เซ็นซู ภาคจอมอสูรจากหิมาลัย บทที่ 11 การจู่โจมของคุโระอิเนโกะ

บทที่ 11

การจู่โจมของคุโระอิเนะโกะ

ข่าวการพ่ายแพ้ของคาสึรางิกระจายไปถึงเมืองอิวะภายในค่ำคืนเดียวกันนั้นเอง ซาวาระจึงออกคำสั่งให้ถอนกำลังกองทัพของเขาออกมา และในเช้าวันรุ่งขึ้นขณะที่กำลังออกกำลังกายด้วยการซ้อมฟันดาบ คุโระอิเนโกะ ปิศาจแมวดำก็เข้ามาหาพร้อมกับรายงานเรื่องอาซามิถูกสังหารและโดนทำลายร่างกายจนหมดสิ้นเหลือเพียงแผ่นหนังวางแผ่ไว้กลางห้องพร้อมตัวอักษรเมืองที่เขาต้องการครอบครอง

“พอจะรู้หรือเปล่าว่าเป็นฝีมือของใคร”

เจ้าเมืองอิวะถามทั้งที่ยังคงกวัดแกว่งดาบในท่วงท่าเชิงรุก แมวปิศาจกระดิกใบหูทั้งสองข้างเหมือนรำคาญที่ถูกซักไซ้ก่อนตอบ

“ข้าไม่รู้ ตอนไปถึงก็พบว่าอาซามิถูกสังหารไปเรียบร้อยแล้ว แม้จะรู้สึกถึงพลังปิศาจที่อบอวลอยู่ในห้องแต่ก็น้อยเกินกว่าที่จะรู้ว่าเป็นใคร”

คุโระอิเนโกะพูดพลางแลบลิ้นเลียมือของตัวเอง ซาวาระจึงหยุดการซ้อมและหันไปหยิบผ้ามาซับเหงื่อบนใบหน้า

“เจ้าบอกว่ามีตัวอักษร”

เขาพูดพลางเดินไปหยิบถ้วยชาที่ข้ารับใช้เตรียมไว้ให้ขึ้นมาดื่ม ความร้อนของน้ำชาเย็นเยือกลงอย่างฉับพลันเมื่อปิศาจแมวตอบสวนขึ้นมา

“ถูกเขียนด้วยหมึกไว้บนแผ่นหนังว่า โคะโตโระ” ดวงตาสีอำพันจ้องผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้า “อาจจะเป็นฝีมือของปิศาจที่ยาสึฮิระส่งมา”

“เท่าที่รู้ เขาไม่เคยติดต่อกับใครทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นอสูร ปิศาจหรือมนุษย์ด้วยกันเอง”
ซาวาระกล่าวพร้อมกับวางถ้วยชาลง คุโระอิเนโกะเอียงคอเล็กน้อย

“ท่านเองก็ไม่เคยทำเช่นกัน แต่เพราะอำนาจจึงต้องหันมาพึ่งพลังของพวกเรา”

น้ำเสียงเจือการดูถูกอย่างไม่ปิดบัง เจ้าเมืองอิวะหันไปจ้องนางด้วยดวงตาวาว

“จะบุกโคะโตโระไม่จำเป็นต้องใช้พลังของพวกเจ้า แต่ที่ให้ช่วยก็เพื่อป้องกันไม่ให้พวก
คาสึรางิย้อนกลับมาโจมตีพวกข้าในภายหลัง และอีกเหตุผลที่ทำให้ปิศาจอย่างพวกเจ้ายอมมาไม่ใช่เพราะมีน้ำใจ แต่กลัวอำนาจของอสูรตนนั้นจนไม่กล้าที่จะปฏิเสธต่างหาก”

เขานิ่งไปเล็กน้อยและยกมือขึ้นลูบคางเหมือนใช้ความคิด

“เพื่อความไม่ประมาท เจ้าจงเข้าไปในปราสาทยาสึฮิระ สืบดูให้รู้แน่ว่าเขาติดต่อกับผู้ใด เสร็จแล้วจงรีบกลับมารายงานให้ข้าฟัง”

“ข้าไม่ใช่ทาสรับใช้เจ้า”

คุโระอิเนโกะแยกเขี้ยวพูด อีกฝ่ายมองนางด้วยสายตาที่เฉยนิ่งจนน่ากลัว

“แต่เจ้าต้องทำหากไม่ต้องการมีสภาพเช่นนี้”

ซาวาระตวัดดาบเป็นวงตัดไม้ที่ปักไว้กลางสนามจนขาดเป็นสองท่อน และเก็บเข้าฝักเดินกลับเข้าห้องพักโดยไม่สนใจปิศาจแมวที่กำลังจ้องมองเขาด้วยดวงตาลุกวาวน่ากลัว

“หากพวกข้าได้รับอิสระเมื่อใด อาหารมื้อแรกก็คือเจ้า จากนั้นก็เป็นชาวเมืองอิวะทุกคน”

*/*/*/*/*

หลังจากนั่งรอจนสึมิเระกินข้าวและยาตามที่หมอจัดให้เสร็จเรียบร้อยแล้วมิสึกิจึงเดินกลับห้อง แม้จะอิ่มเอิบใจที่เวลานี้ฮารุคาเสะได้เข้ามาภายในปราสาทเรียบร้อยแล้วแต่นางก็ไม่อาจไปเรียนกับเขาได้ตามที่ตั้งใจเพราะเป็นห่วงบิดาที่เดินทางไปทำสงคราม หญิงสาวระบายลมหายใจออกมาด้วยความกลัดกลุ้มทั้งผิดหวังที่ไม่ได้พบหน้าชายคนรักและกังวลในความปลอดภัยของยาสึฮิระและความอยู่รอดของเมืองโคะโตโระ

ระหว่างกำลังสับสนอยู่กับความคิดของตนเอง เสียงหัวเราะคิกคักของข้ารับใช้หญิงก็ดังขึ้นดึงความคิดว้าวุ่นของมิสึกิให้กลับคืนมา นางหันหน้าไปยังสวนและขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นสาวใช้สามถึงสี่คนกำลังยืนจับกลุ่มและผลัดกันส่งอะไรบางอย่างให้แก่กันอย่างสนุกสนาน

“นั่นพวกเจ้ากำลังทำอะไรกันอยู่”

มิสึกิเอ่ยถามด้วยความสงสัย สาวใช้ทั้งสี่สะดุ้งเฮือกและหันมาค้อมกายให้กับนางพร้อมกัน หนึ่งในนั้นตอบอย่างนอบน้อม

“ไม่มีอะไรหรอกเจ้าค่ะ”

“หากไม่มีอะไรแล้วเหตุใดพวกเจ้าจึงยืนจับกลุ่มกันอยู่เช่นนี้” นายหญิงของพวกนางกล่าวเสียงเข้มและมองมือของข้ารับใช้คนนั้นที่พยายามแอบไว้ทางด้านหลัง “เจ้ากำลังซ่อนอะไร เอาออกมาให้ข้าดูเดี๋ยวนี้”

ข้ารับใช้ทั้งสี่มองหน้ากัน ผู้ที่ซ่อนมือไว้ทางด้านหลังยื่นออกมาอย่างจำใจ มิสึกิมองพร้อมกับนิ่วหน้าเมื่อพบว่าสิ่งที่อยู่ในมือของข้ารับใช้เป็นลูกแมวสีดำตัวหนึ่ง มันจ้องหญิงสาวด้วยดวงตากลมโตไร้เดียงสาและส่งเสียงร้องออกมาเบาๆ อีกฝ่ายยิ้มอย่างถูกใจ

“น่ารักจริง” นางประคองแมวน้อยจากมือสาวใช้มากอดไว้แนบอก “พวกเจ้าได้มันมาจากไหน”

“ข้าพบมันในสวนใต้ต้นสึบากิเมื่อเช้านี้เจ้าค่ะ คิดว่าคงหลงเข้ามาในปราสาทตั้งแต่เมื่อคืน โชคดีที่แถวนั้นอยู่ใกล้คบไฟมันเลยไม่หนาวตาย” ข้ารับใช้คนที่อุ้มแมวเมื่อครู่ตอบ มิสึกิลูบศีรษะแมวตัวนั้นด้วยความเอ็นดู

“ข้าขอได้ไหม”

สาวใช้ค้อมตัวลง

“หากท่านหญิงเมตตา ก็นับเป็นโชคของแมวตัวนี้แล้วเจ้าค่ะ”

มิสึกิยิ้มอย่างอ่อนโยนพลางยกลูกแมวน้อยขึ้นมาแนบกับใบหน้า ราวกับรู้ว่าผู้ที่กำลังอุ้มตัวเองอยู่ในเวลานี้คือเจ้านายคนใหม่ มันรีบคลอเคลียพวงแก้มปลั่งอย่างประจบทันที หญิงสาวหัวเราะ

“ช่างประจบเสียด้วย” นางมองข้ารับใช้หญิงผู้นั้น “เจ้าตั้งชื่อให้มันหรือยัง”

“ยังเลยเจ้าค่ะ แต่พวกข้าเรียกมันว่าเจ้าดำ ดูเหมือนมันจะชอบให้เรียกแบบนั้นด้วยเจ้าค่ะ”

“เจ้าดำงั้นหรือ” มิสึกิมองหน้าเจ้าแมวน้อย”เจ้าชอบชื่อนี้ใช่ไหม”

เจ้าแมวน้อยส่งเสียงร้องออกมาคำหนึ่งคล้ายขานรับ หญิงสาวยิ้มอย่างถูกใจ

“’งั้นข้าจะเรียกเจ้าว่าเจ้าดำ” นางหันไปทางเหล่าข้ารับใช้ “พวกเจ้าไปทำงานได้แล้ว อ้อ ช่วยเตรียมนมไว้ให้เจ้าดำด้วยนะ”

หญิงรับใช้ทั้งสี่กล่าวรับคำพร้อมกับย่อตัวลงก่อนเดินจากไป มิสึกิจึงอุ้มลูกแมวน้อยเดินกลับห้อง เมื่อไปถึงนางจึงวางเจ้าดำลงบนเบาะและหยอกเย้ามันด้วยความเอ็นดู

“คิดว่าเจ้าไปเรียนการร่ายรำเสียอีก”

เสียงไพราดังขึ้นมา มิสึกิสะดุ้งด้วยความตระหนกแต่ก็รีบปรับสีหน้าให้ดูนิ่งสงบและตอบอย่างสำรวม

“ข้ายังไม่อยากไป”

“ทั้งที่ดีใจกับการมาของเขาจนถึงขนาดนั้นน่ะหรือ” จอมอสูรแสร้งถามพลางหย่อนตัวลงนั่งข้างหญิงสาว “บอกเหตุผลที่แท้จริงของเจ้ามาดีกว่า”

มิสึกิทำท่าอึกอักเล็กน้อยคล้ายไม่อยากพูดแต่เมื่อเห็นแววตาของไพราแล้วนางจึงรู้ว่าแท้จริงแล้วเขาเองก็พอจะรู้เหตุผลอยู่เหมือนกัน ในที่สุดหญิงสาวระบายลมหายใจออกมา

“โคะโตโระกำลังถูกรุกราน ท่านพ่อต้องนำทัพออกไปต่อสู้กับข้าศึก ไม่เป็นการสมควรเลยสักนิดหากข้าไปเรียนการร่ายรำเพียงเพื่อความสุขของตัวเอง”

“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวของกับความเหมาะสม แต่อยู่ที่ความตั้งใจของเจ้าต่างหาก” จอมอสูรกล่าวพลางนิ่วหน้าอย่างรำคาญเมื่อแมวดำตัวน้อยกระโดดขึ้นไปนั่งบนตักและใช้เล็บตะกุยขนสัตว์ที่เขานุ่งอยู่อย่างสนุกสนาน “ว่าเป้าหมายในการเรียนในครั้งนี้แท้จริงแล้วเพื่อให้บิดาเป็นสุขหรือเพียงเพราะจะได้พบหน้าอาจารย์รูปงามเท่านั้น”

ดวงหน้าผุดผ่องมีสีชมพูระเรื่อขึ้นมาในทันที มิสึกิก้มหน้าลงหลบสายตาของไพราและแสร้งทำเป็นย้อนถาม

“เจ้าไปพบเขามาแล้วหรือ”

“แค่เห็นตอนเขาเข้าไปหาบิดาเจ้าเท่านั้น” จอมอสูรตอบอย่างเคร่งขรึมพลางใช้มือหิ้วคอแมวน้อยขึ้นมา “ความจริงข้าเองก็อยากเข้าไปทักทายเจ้าหนุ่มนั่นเหมือนกันเพราะดูเหมือนเขาจะมีอะไรบางอย่างที่น่าสนใจ”

ดวงตาของไพราทอประกายลุกวาวขณะเหวี่ยงลูกแมวไปที่มุมห้อง มิสึกิอุทานด้วยความตกใจ

“ทำอะไรน่ะ”

นางลุกขึ้นเตรียมจะเข้าไปอุ้มแมวน้อยแต่กลัวถูกอสูรหนุ่มคว้าไหล่เอาไว้และกดบังคับให้นั่งลงไปตามเดิม

“ข้าอยากรู้ว่าเขาจะทำยังไงหากปิศาจบุกเข้ามาในห้องของเจ้า”

“เจ้าพูดเรื่องอะไร” มิสึกิถามอย่างงงัน ไพรายิ้มมุมปากพร้อมกับเหยียดมือไปข้างหน้าตรงไปยังลูกแมวตัวน้อยที่กำลังนั่งตัวสั่นเทา “ร่างน่ารักแบบนั้นตบตาข้าไม่ได้หรอก”

แสงสีแดงพุ่งวาบเข้าใส่แมวดำ มันส่งเสียงร้องดังลั่นและสลายหายไปอย่างรวดเร็ว
มิสึกินั่งตกตะลึงนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงได้สติ นางหันไปทางจอมอสูรพร้อมกับต่อว่าด้วยความโกรธ

“เจ้าทำอะไรลงไป เจ้าดำเป็นแค่ลูกแมวเท่านั้นฆ่ามันทำไม”

“ลูกแมว” ไพราทวนคำและกระแทกลมหายใจออกมา “แค่ภาพน่ารักที่ดูไร้พิษภัยก็สามารถหลอกลวงมนุษย์อย่างพวกเจ้าได้แล้ว มิน่าเล่าถึงถูกปิศาจทำร้ายได้อย่างง่ายดาย”

“เจ้าพูดเรื่องอะไร” มิสึกิถามอย่างงุนงง จอมอสูรจึงชี้มือออกไปด้านนอก

“ดูนั่น”

หญิงสาวมองตามมือผ่านสวนไปจนถึงกำแพง ดวงตาของนางเบิกกว้างเมื่อเห็นปิศาจแมวดำคุโระอิเนโกะกำลังยืนเลียบาดแผลของตัวเอง ราวกับรู้ว่ากำลังถูกเฝ้ามอง นางแมวสาวจึงจ้องกลับมาด้วยดวงตาวาว มิสึกิถึงกับยกมือขึ้นปิดปากและหลุดคำพูดออกมาอย่างตระหนก

“ปิศาจ”

“นั่นคือร่างจริงของแมวดำที่เจ้าอุ้มเมื่อครู่” ไพราอธิบายและคำรามออกมาด้วยความโกรธเมื่อเห็นคุโระอิเนโกะกำลังแกว่งหางไปมาคล้ายต้องการเยาะเย้ยที่หลุดรอดพลังทำลายของเขามาได้ “นางแมวปิศาจอุตส่าห์ปล่อยให้รอดยังบังอาจมาล้อหลอกกันได้ งั้นข้าจะฉีกเจ้าให้เป็นชิ้นเหมือนปิศาจหมาป่าตัวเมื่อคืน”

เพียงขยับตัวคุโระอิเนโกะก็กระโจนแผล็วลงจากกำแพงและเผ่นหายไปอย่างรวดเร็ว จอมอสูรเตรียมจะพุ่งตามแต่มิสึกิกลับคว้าแขนเขาไว้พร้อมกับร้องห้าม

“อย่าไพรา”

เขาหันไปมองนางอย่างขัดใจ

“ห้ามข้าทำไม”

“ถึงจะเป็นปิศาจแต่ก็เป็นแค่แมวตัวหนึ่ง ข้าไม่คิดว่านางจะทำร้ายผู้ใด”

“แล้วทำไมนางแมวดำนั่นจึงมาที่นี่ และจำเพาะจะต้องอยู่กับเจ้า” ไพราถามเสียงห้วน
มิสึกินิ่งไปเล็กน้อย นางเลื่อนสายตามองออกไปด้านนอกและตอบด้วยเสียงที่ไม่ดังนัก

“ข้าก็ไม่รู้ อาจจะเป็นเพราะความหิวหรือต้องการมีที่อบอุ่นเอาไว้หลบนอนก็ได้ บางทีปิศาจแมวตัวนั้นอาจต้องการมีบ้าน”

เหตุผลของหญิงสาวทำให้จอมอสูรต้องส่ายหน้าด้วยความระอา เขาเบือนหนีไปอีกด้านพร้อมกับพูด

“แมวดำตัวนั้นมาจากเมืองของชายคนที่ช่วยเจ้า ที่มานี่ก็เพื่อสืบข่าวคราวการเคลื่อนไหวของคนในปราสาทนี้” อสูรหนุ่มหันมาทางมิสึกิอีกครั้ง “แต่นับว่ามันยังโชคดีที่ตอนนี้ยาสึฮิระไม่อยู่ ไม่เช่นแล้วคงถูกฆ่าตายตั้งแต่ยังไม่ทันได้ย่างเท้าก้าวเข้ามา”

“เจ้าพูดเหมือนท่านพ่อสามารถสังหารปิศาจได้” หญิงสาวกล่าวพร้อมกับเลื่อนมือขึ้นกุมทรวงอก “แต่ถึงปิศาจแมวตัวนั้นคิดทำร้ายข้าจริงก็คงไม่สำเร็จเพราะข้ามีเครื่องรางพิเศษของ
ฮารุคาเสะคอยคุ้มครอง”

มือที่แตะบนอกอย่างอ่อนโยนและพวงแก้มที่มีสีเข้มขึ้นขณะที่เอ่ยนามของนักนาฏกรรมหนุ่มทำให้ไพรารู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ดวงตาคมกริบจ้องบริเวณทรวงอกของหญิงสาวอย่างลืมตัว คิ้วเข้มขมวดเข้ากันด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นแสงสีแดงทอประกายเรื่อเรืองออกมา

“นี่มันพลังของปิศาจ” จอมอสูรพึมพำและทำท่าจะเอ่ยปากขอให้มิสึกิหยิบสิ่งที่อยู่ในเสื้อออกมา แต่เมื่อเห็นสีหน้าเปี่ยมสุขของนางแล้วเขาก็เปลี่ยนใจ ร่างสูงใหญ่จางหายไปอย่างฉับพลันท่ามกลางความงงงันของมิสึกิ

“หรือข้าทำอะไรให้เขาไม่พอใจ”

นางพึมพำพลางเลื่อนมือขึ้นไปแตะใบโมมิจิที่ซ่อนอยู่ในเสื้อและยิ้มน้อยๆด้วยความสุขใจ

*/*/*/*/*

ฟุคิบิวางถาดน้ำชาลงข้างกายของฮารุคาเสะและมองนายหนุ่มของเขาที่กำลังนั่งนิ่งคล้ายจมอยู่ในภวังค์ ดวงตาที่จ้องตรงออกไปนอกห้องนั้นเต็มไปด้วยความครุ่นคิด หลังจากเฝ้ามองกิริยาของผู้เป็นนายนิ่งอยู่ครู่หนึ่งเขาจึงเอ่ยเรียกอย่างนอบน้อม

“คุณชายขอรับ”

ฮารุคาเสะเลื่อนสายตากลับมาที่เขาและตวัดกลับไปยังสวนอีกครั้งโดยไม่กล่าวอะไรออกมาสักคำ ฟุคิบิรีบมองตามอย่างหวาดระแวงเพราะยังจำเหตุการณ์ครั้งที่ปิศาจบุกเข้ามาทำร้ายฮารุคาเสะถึงในห้องได้ดี เขารีบขยับเข้าไปใกล้พร้อมกับถาม

“ในสวนมีอะไรหรือขอรับ”

ชายหนุ่มส่ายหน้า

“ไม่มี”

“ถ้างั้นคุณชายกำลังจ้องอะไรอยู่”

ฮารุคาเสะหันหน้ามามองฟุคิบิพร้อมกับรอยยิ้มมุมปากเพราะเข้าใจถึงความหวาดกลัวของข้ารับใช้ผู้นี้ดี

“ในสวนนั่นไม่มีปิศาจหรอกฟุคิบิ ที่ข้าเหม่อลอยไปเมื่อครู่ก็เพราะกังวลเรื่องท่านยาสึฮิระ ไม่รู้ว่าป่านนี้ทั้งค่ายทางทิศเหนือกับทางด้านตะวันออกจะเป็นอย่างไรบ้าง”

“ท่านยาสึฮิระเป็นผู้มีความปราดเปรื่อง ส่วนท่านโอริเอะก็เป็นนับรบมากฝีมือ ข้าคิดว่าพวกเขาคงไม่เป็นไร บางทีป่านนี้ทางคาสึรางิอาจจะถูกตีแตกพ่ายไปแล้วก็ได้”

ฟุคิบิพูดไปตามที่ตนคิด ฮารุคาเสะผงกศีรษะและหันกลับไปมองสวนอีกครั้ง

“ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ก็ดี เพราะถึงแม้ข้าจะได้กลิ่นเลือดลอยมาตามลมแต่ก็ไม่รู้ว่ามาจากฝ่ายใด”

“โคะโตโระไม่มีวันพ่ายแพ้หรอกขอรับ” ฟูคิบิพูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ ฮารุคาเสะหัวเราะเบาๆขณะหันหน้ามายังเขา

“เจ้าพูดเหมือนพวกนักรบ”

“อย่างนั้นหรือขอรับ” ข้ารับใช้หนุ่มพูดด้วยท่าทางเคอะเขิน เขารีบรินน้ำชาใส่ถ้วยเป็นการแก้เก้อ “ข้าแค่พูดไปตามที่คิดเท่านั้นแหละขอรับ”

ฟุคิบิเลื่อนถ้วยชาส่งให้นักนาฏกรรมหนุ่มพร้อมกับถาม

“ท่านหญิงยังไม่มาอีกหรือขอรับ”

“บิดาของนางออกรบ เจ้าคิดว่านางยังมีแก่ใจที่จะเรียนอยู่อีกหรือ”

ฮารุคาเสะตอบเสียงเรียบ ฟุคิบิรีบค้อมตัวลงอย่างรวดเร็ว

“ขออภัยที่ถามเช่นนั้น ข้าเพียงแต่สงสัยว่าป่านนี้แล้วเหตุใดท่านจึงยังไม่ไปที่ห้องฝึกเท่านั้นเองขอรับ”

ผู้เป็นนายไม่ตอบอะไร เขาเลื่อนมือไปหยิบถ้วยชาขึ้นมาเพื่อจะดื่มแต่ต้องหยุดชะงักเมื่อมีลมกลุ่มใหญ่พัดกรรโชกผ่านต้นโมมิจิหน้าห้องไปอย่างรุนแรง สีหน้าของฮารุคาเสะแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมอย่างฉับพลันแต่กระนั้นเขาก็ยังสงวนทีท่าให้นิ่งสงบเพื่อข้ารับใช้ของเขาจะได้ไม่ตกใจ

“ข้าอยากให้เจ้าไปตรวจดูชุดสำหรับการร่ายรำ” ชายหนุ่มกล่าวขึ้น ฟุคิบิมองด้วยความสงสัย

“จะมีพิธีฉลองในปราสาทหรือขอรับ”

“ตอนนี้ยัง แต่อยากจะให้พร้อมเมื่อท่านยาสึฮิระกลับมา”

ฮารุคาเสะตอบพลางยกถ้วยชาขึ้นดื่ม ฟุคิบิจึงรับคำและค้อมตัวลงก่อนเดินจากไป เมื่อข้ารับใช้พ้นไปจากสายตาแล้วชายหนุ่มจึงวางถ้วยในมือลงพร้อมกับพูดเสียงเรียบ

“ต้องการพบข้าไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงยังมัวซ่อนตัวอยู่”

เสียงหัวเราะด้วยความชอบใจดังขึ้นพร้อมกับร่างของไพราที่ยืนกอดอกอยู่ใต้ต้นโมมิจิ ดวงตาสีเข้มมองฮารุคาเสะอย่างนึกทึ่ง

“ไม่คิดว่าคนธรรมดาอย่างเจ้าจะมองเห็นข้า”

“พลังปิศาจของเจ้ามันแผ่นกระจายออกมาจนข้ารู้สึกได้ตั้งแต่วันแรกที่ก้าวเข้ามาในนี้ เพียงแต่ไม่แน่ใจว่าเป็นของผู้ใดเท่านั้น”

ชายหนุ่มตอบพร้อมกับลุกยืนขึ้นและสะบัดพัดในมือไปข้างหน้า จอมอสูรรู้ได้ในทันทีว่าเขากำลังถูกจู่โจมจึงยกแขนเตรียมป้องกันแต่ยังไม่ทันได้ขยับลมหมุนรุนแรงก็พัดวนรอบตัว ใบไม้แห้งที่ตกเกลื่อนพื้นถูกดึงให้ลอยขึ้นมาในอากาศ ไพราถึงกับเบิกตากว้างเมื่อพบว่าทุกใบคมกริบดุจใบมีดและกำลังกรีดร่างของเขาอย่างรวดเร็ว

“พลังอะไรกันนี่”

เขาอุทานเสียงดังพร้อมกับเหวี่ยงแขนทั้งสองลงข้างตัวสร้างแรงอัดรุนแรงกระจายออกจากร่างกระแทกใบไม้ทุกใบจนแหลกเป็นผงไปในพริบตา

“ไม่ยอมให้ตั้งตัวกันเลยนะ”

จอมอสูรคำรามพร้อมกับตวัดกรงเล็บไปข้างหน้า คลื่นพลังรูปจันทร์เสี้ยวพุ่งเข้าใส่
ฮารุคาเสะอย่างรวดเร็ว เขาโบกพัดปัดมันจนเบี่ยงไปปะทะกับต้นซากุระและสะบัดพัดทั้งคู่ไปข้างหน้าด้วยท่วงท่าที่งดงามพร้อมกับพูด

“สายธารโลหิต”

พู่ไหมประดับพัดเคลื่อนไหวราวกับมีชีวิต มันยืดตัวออกแตกกระจายเป็นสายมองคล้ายสายน้ำสีแดงเข้มพุ่งเข้าโจมตีไพรา อีกฝ่ายกระโดดหลบอย่างว่องไวพร้อมกับสร้างม่านพลังขึ้นป้องกันและกระแทกมันย้อนกลับไปหาเจ้าของทันที นักนาฏกรรมหนุ่มพลิกตัวหลบและมองจอมอสูรด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ

“ไม่เคยมีปิศาจตนใดตีโต้สายธารโลหิตของข้าได้” เขามองไพราเขม็ง “เจ้าเป็นใครกันแน่”

จอมอสูรปลดม่านพลังและยืนตัวตรง ดวงตาคมกริบจ้องฮารุเคเสะแน่วนิ่งขณะตอบเสียงเรียบ

“ชื่อของข้าคือไพรา และเป็นอสูรไม่ใช่ปิศาจชั้นต่ำอย่างที่เจ้าเคยพบ” ดวงตาเลื่อนลงไปมองพัดในมือฮารุคาเสะ “นั่นคือสิ่งที่เจ้ามอบให้มิสึกิใช่ไหม”

“เจ้าพูดถึงอะไร” นักนาฏกรรมหนุ่มย้อนถามและขยับไปข้างหน้าหนึ่งก้าว “รู้จักมิสึกิได้ยังไง”

“ไม่จำเป็นที่จะต้องตอบเจ้า” ไพรากล่าวอย่างเคร่งขรึมและมองเศษไหมเส้นหนึ่งที่ตกอยู่แทบเท้า เขาโบกมือเรียกมันให้ลอยขึ้นมาและพิจารณาอย่างละเอียด รอยยิ้มเยาะประทับบนริมฝีปาก“เส้นผมของปิศาจ เจ้าไม่ใช่คนธรรมดาอย่างที่ข้าคิดจริงๆ”

คำพูดของจอมอสูรทำให้ฮารุคาเสะขยับพัดในมือและมองเขาอย่างระแวง

“ผู้ที่ดูออกว่าพู่ไหมนี่คืออะไรไม่ใช่ปิศาจระดับธรรมดาเช่นเดียวกัน” เขาก้าวไปข้างหน้าด้วยท่าทางคุกคาม “เจ้าเป็นใครและต้องการอะไรจากข้ากันแน่”

“แค่คำถามเดียว” ไพราตอบด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่ราบเรียบนิ่งสงบหากดวงตากลับฉายแววดุดันออกมา “เจ้าคิดยังไงกับมิสึกิ”

คำถามของฝ่ายตรงข้ามทำให้ฮารุคาเสะถึงกับยืนอึ้งด้วยความงุนงงไปชั่วขณะ เมื่อตั้งสติได้เขาจึงย้อนถาม

“ทำไมถึงถามแบบนั้น”

“มิสึกิดูตื่นเต้นดีใจที่จะได้พบกับเจ้า แต่เจ้ากลับดูเฉยเมยเหมือนไม่ยินดีที่จะไปหานางเลยสักนิด ข้าจึงสงสัยว่าเจ้าผู้ซึ่งยอมสละเส้นผมปิศาจซึ่งนับเป็นของมีค่าสร้างเครื่องรางเพื่อปกป้องนางแต่พอได้อยู่ใกล้กลับทำตัวเย็นชาราวกับไม่ใส่ใจนั้น”

จอมอสูรแยกเขี้ยวและถามด้วยน้ำเสียงเกือบจะเป็นคำราม

“แท้จริงแล้วรู้สึกเช่นไรกันแน่”

ฮารุคาเสะลดพัดในมือลงและยืนนิ่ง แม้ยังคงมีความคิดที่จะจัดการกับอสูรที่อยู่ตรงหน้าแต่พอได้ฟังคำถามจากอีกฝ่ายแล้วจิตใจของเขาก็บังเกิดความสับสนวุ่นวายจนความรู้สึกอยากจะต่อสู้ลดถอยลง ชายหนุ่มกำพัดในมือแน่นเพราะอยากจะตอบไพราเหลือเกินว่า หัวใจของเขาเปี่ยมด้วยความยินดีมาเพียงใดที่ได้พบกับมิสึกอีกครั้ง แต่ด้วยฐานะผนวกกับตัวตนที่แท้จริงของยาสึฮิระทำให้เขาจำต้องระงับความรู้สึกที่มีทั้งหมดจนไม่อาจแสดงสิ่งใดออกมา

“ข้า...”

คำพูดกล่าวได้เพียงเท่านั้นก็ต้องหยุดลงเมื่อมีสายลมพัดผ่านมากระทบร่างพร้อมกลิ่นสาบสางของปิศาจ ฮารุคาเสะมองหน้าจอมอสูรทันทีแต่ยังไม่ทันที่จะได้กล่าวถามสิ่งใดเสียงกรีดร้องก็ดังขึ้น ทั้งคู่หันไปยังที่มาของเสียงและอุทานพร้อมกัน

“มิสึกิ”

*/*/*/*/*




Create Date : 02 พฤษภาคม 2555
Last Update : 2 พฤษภาคม 2555 9:34:13 น.
Counter : 416 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

กิสึเนะ
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



moony ค่ะ เป็นคนชอบสร้างจินตนาการมาตั้งแต่เด็ก เคยวาดการ์ตูนไว้เป็นเล่ม แต่เก็บไว้อ่านเอง นิยายเรื่องแรกที่เขียนเป็นแนวจีนกำลังภายใน ตอนหลังรู้จักเน็ตจึงเริ่มสร้างสรรเรื่องอื่นบ้างแต่ส่วนใหญ่เป็นแนวแฟนตาซี
All Blog