เซ็นซู ภาคจอมอสูรจากหิมาลัย บทที่ 9 จอมอสูรกับจ้าวปิศาจ

บทที่ 9

จอมอสูรกับจ้าวปิศาจ

โคดาจิเดินนำฮารุคาเสะเข้าไปในจวนของยาสึฮิระ ระหว่างอยู่บนระเบียงชายหนุ่มลอบสังเกตผู้คนและสรรพสิ่งโดยรอบไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ ตัวอาคารหรือแม้แต่ปลาโค่ยหลากสีที่กำลังแหวกว่ายอยู่ในสระ คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันด้วยความแปลกใจเมื่อพบว่านอกจากทหารรักษาการณ์บางคนที่ถูกเรียกให้ฟื้นมาจากความตายแล้วส่วนอื่นกลับไม่ปรากฏความผิดปรกติเลยแม้แต่น้อย มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่แตกต่างไปจากทุกอย่างนั่นก็คือพลังกดดันมหาศาลที่ปกคลุมไปทั่วปราสาทยาสึอิระ และศูนย์กลางของพลังดังกล่าวมาจากใจกลางจวนอันเป็นที่พำนักของเจ้าเมือง

เมื่อถึงห้องอันเป็นที่พักผ่อนของยาสึฮิระ หัวหน้าราชองครักษ์ซึ่งบัดนี้มีเพียงร่างอันปราศจากไร้ลมหายใจจึงหยุดและหันมาทางฮารุคาเสะ

“กรุณารอตรงนี้ก่อน” เขาหันไปทางประตูและค้อมตัวลงอย่างนอบน้อมพร้อมกับพูดเสียงกังวาน “ฟูจิวาระ ฮารุคาเสะมาถึงแล้วขอรับ”

“ให้เขาเข้ามา” เสียงทรงอำนาจดังตอบมาจากด้านใน โคดาจิจึงผงกศีรษะให้กับข้ารับใช้ที่นั่งรออยู่ เขาค้อมคำนับรับคำสั่งพร้อมกับเลื่อนบานประตูออก หัวหน้าองครักษ์จึงหันไปก้มศีรษะให้กับนักนาฏกรรมหนุ่ม

“เชิญ”

ฮารุคาเสะก้าวเข้าไปในห้องและนั่งลงตรงหน้าเจ้าของปราสาทพร้อมกับค้อมตัวลงแสดงความคารวะอย่างนอบน้อม

“ฟูจิวาระ ฮารุคาเสะ จากตระกูลนาฏกรรม”

“ไม่ต้องพิธีการนักก็ได้” ยาสึฮิระกล่าวอย่างอารมณ์ดีพลางโบกมือเป็นเชิงให้ทั้งโคดาจิและข้ารับใช้ออกไปด้านนอก เมื่ออยู่ตามลำพังกับฮารุคาเสะแล้วเขาจึงถาม

“การเดินทางเป็นอย่างไรบ้าง”

“ราบรื่นดี”

เจ้าเมืองโคโตโระเลิกคิ้ว

“ข้าได้ยินมาว่าพวกเจ้าถูกปิศาจทำร้าย นั่นหรือคือการเดินทางอย่างราบรื่นของพวกนาฏกรรม”

“พวกเราถูกรบกวนบ้างแต่เพราะความช่วยเหลือของทหารที่ท่านกรุณาส่งไปคุ้มครองทำให้ไม่มีผู้ใดได้รับอันตราย” ฮารุคาเสะตอบพลางเลื่อนสายตาขึ้นมองอีกฝ่าย”ฝีมือของพวกเขาไม่ธรรมดาเลย”

น้ำเสียงของนาฏกรรมหนุ่มทำให้ยาสึฮิระอมยิ้ม แม้จะเป็นรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตาแต่ดวงตากลับทอแสงกร้าวจนน่ากลัว

“ย่อมไม่ธรรมดาแน่เพราะข้าเป็นผู้คัดเลือกทุกคนกับมือ” เขาโน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย “พวกเขาเก่งจนเจ้านึกไม่ถึงเลยทีเดียว”

แรงกดดันมหาศาลแผ่จากร่างยาสึฮิระโอบล้อมฮารุคาเสะ แม้ชายหนุ่มจะใช้พลังแห่งสายลมเข้าปกป้องแต่อำนาจปิศาจของอีกฝ่ายกลับทวีความรุนแรงราวจะบดขยี้เขาให้แหลกเป็นจุณ เจ้าเมืองโคะโตโระมองใบหน้าของนักนาฏกรรมหนุ่มที่เริ่มเผือดลงและเผยอยิ้มออกมา

“เจ้าไม่อาจทานพลังของข้าได้หรอก ฮารุคาเสะ”

แรงกดดันหายไปอย่างฉับพลัน ยาสึฮิระกลับไปนั่งตัวตรงตามเดิมและกล่าวอย่างเคร่งขรึม

“ที่ให้เจ้ากลับมายังปราสาทนี่อีกครั้งเพราะคำขอของมิสึกิ บุตรสาวข้ายืนยันจะเรียนการร่ายรำจากเจ้าเท่านั้น จงทำตัวเป็นผู้สอนที่ดีและอย่าได้คิดอะไรที่มันเกินเลยไปกว่านี้เป็นอันขาด” เขาหยิบถ้วยชาขึ้นมาและบดมันจนแหลกเป็นผงด้วยมือ “ไม่เช่นนั้นแล้วอย่าหาว่าข้าไม่เตือน”

ดวงตาของฮารุคาเสะจ้องประสานกับเจ้าเมืองโคะโตโระอย่างไม่กลัวเกรง

“หากท่านกลายเป็นปิศาจร้ายไปเมื่อใด ข้าเองก็ไม่ขอเกรงใจเช่นกัน”

ยาสึฮิระไม่ตอบอะไรนอกจากส่งรอยยิ้มเย็นเยือกให้กับชายหนุ่ม เขาปรบมือสองครั้งเพื่อเรียกข้ารับใช้และออกคำสั่ง

“พาคุณชายฟูจิวาระไปที่ห้อง” เขามองนักนาฏกรรมหนุ่มและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น “ท่านเดินทางมาไกลคงเหน็ดเหนื่อยมาก พักให้สบายสักคืนก่อนพรุ่งนี้ค่อยลงมือสอนบุตรีของข้า”

แม้กิริยาท่าทางรวมถึงคำพูดจะเป็นการกระทำที่เสแสร้งแต่ฮารุคาเสะก็รู้ดีว่าเขาไม่อาจลงมือทำสิ่งใดได้ ชายหนุ่มจึงจำใจต้องกล่าวคำขอบคุณและค้อมตัวลงก่อนจะถดตัวถอยออกจากห้องจากนั้นจึงเดินตามข้ารับใช้ไป เมื่อนักนาฏกรรมหนุ่มพ้นไปจากสายตาแล้วสีหน้าอ่อนโยนของยาสึฮิระก็แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมดุดัน เขาลุกขึ้นเดินออกไปยืนที่สวนและจ้องท้องฟ้าด้วยสายตาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงตัดสินใจไปเยี่ยมเยือนมิสึกิที่จวน

*/*/*/*/*

ข้ารับใช้หญิงวางถาดชามข้าวต้มลงข้างตัวของมิสึกิและน้อมตัวลงทำความเคารพ นางยิ้มรับพร้อมกับกล่าวคำขอบคุณ เมื่อสาวใช้ผู้นั้นออกจากห้องไปแล้วหญิงสาวจึงหันไปทางสึมิเระ

“ลุกขึ้นมากินข้าวต้มนี่สักหน่อยเถอะ จะได้มีแรง”

พี่เลี้ยงขยับตัวลุกขึ้นอย่างลำบาก เมื่อนั่งได้แล้วมิสึกิจึงหยิบชามข้าวต้มขึ้นมาและทำท่าจะป้อนแต่อีกฝ่ายรีบปฏิเสธ

“ข้ากินเองได้เจ้าค่ะ”

นางดึงชามมาจากมือท่านหญิงและตักกินทีละคำจนหมด หลังจากดื่มยากับน้ำเป็นที่เรียบร้อยแล้วสึมิเระจึงน้อมศีรษะลง

“ขอบคุณท่านหญิงมากเจ้าค่ะที่กรุณาสละเวลามาดูแลข้า”

“เมื่อเทียบกับความเสียสละของเจ้าแล้ว สิ่งที่ข้าทำยังมีค่าน้อยนัก มันยังไม่พอสำหรับคำขอบคุณเลยด้วยซ้ำ”

มิสึกิกล่าวอย่างอ่อนโยน สึมิเระส่ายหน้า

“แต่ข้าก็แทบไม่ได้ช่วยอะไรท่านหญิงเลย”

“ตรงกันข้าม เพราะเจ้าทำให้ข้าได้รับความช่วยเหลือจากท่านโมโรสุเกะ และทำให้ท่าน
โอริเอะได้รู้ว่าค่ายของพวกอิวะตั้งอยู่ที่ใด”

นางแตะมือของข้ารับใช้อย่างแผ่วเบา

“ข้าดีใจมากที่เจ้าไม่เป็นอะไร”

“ท่านหญิง” สึมิเระเอ่ยเรียกผู้เป็นนายเสียงสั่นพร้อมกับกุมมือมิสึกิเอาไว้และบีบเบาๆความตื้นตันที่เอ่อล้นทะลักขึ้นมาทำให้นางหลุดคำพูดเพียง

“ดีใจจริงที่ท่านปลอดภัย”

น้ำตาหยดลงบนมือของมิสึกิ หญิงสาวมองรับใช้ด้วยดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความซาบซึ้งในน้ำใจ มืออีกข้างเลื่อนไปแตะไหล่ข้ารับใช้พร้อมกับกล่าว

“เจ้าควรพักผ่อนให้มาก รีบหายโดยไวเพราะข้าเบื่อที่จะต้องไปไหนมาไหนเพียงลำพัง”

สึมิเระพยักหน้ารับและเอนตัวลงนอนอย่างว่าง่าย หลังจากรอจนแน่ใจว่าอีกฝ่ายหลับสนิทไปแล้วมิสึกิจึงเดินก้าวออกจากเรือนข้ารับใช้เพื่อกลับไปยังห้อง เมื่อไปถึงนางกลับยืนมองกลีบซากุระที่กำลังปลิวไปตามสายลมอยู่หน้าห้องแทนที่จะเข้าไปนั่งเขียนโคลงกลอนตามที่ตั้งใจ 

“เป็นดอกไม้ที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก”

เสียงทุ้มต่ำดังมาจากในห้อง มิสึกิหันไปมองไพราที่กำลังยืนกอดอกมองต้นซากุระด้วยสายตาที่ฉายความหมายเดียวกับคำพูด

“ท่านกล่าวเหมือนไม่เคยเห็นต้นซากุระมาก่อน”

“ดินแดนที่ข้าจากมามีแต่หิมะกับน้ำแข็ง ดอกไม้ก็มีแต่ทุ่งหญ้าที่จะงอกเฉพาะฤดูใบไม้ผลิเท่านั้น ต้นไม้ขนาดใหญ่แบบนี้ส่วนมากขึ้นอยู่ในถิ่นของพวกมนุษย์ซึ่งข้าไม่พิสมัยที่จะลงไปดูเท่าไหร่นัก”

จอมอสูรตอบด้วยท่าทางเคร่งขรึมตามนิสัย หญิงสาวทำตาโตราวกับทึ่งในสิ่งที่ได้ยิน

“ฟังเหมือนท่านไม่ใช่คนบนแผ่นดินนี้” นางขยับเข้าไปหาไพรา “บอกได้หรือเปล่าว่าท่านมาจากที่ใด”

“บนยอดเขาสูงไกลจากที่นี่มาก” ไพราตอบพร้อมกับเดินออกไปยืนที่ระเบียงและทอดสายตามองท้องฟ้าทางด้านทิศตะวันตก มือเลื่อนขึ้นแตะแผ่นหนังสีขาวที่พันรอบท่อนแขนและกำแน่นดุจคำนึงถึงแผ่นดินที่อยู่ไกลแสนไกล ความหมองเศร้าที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าคมเข้มสง่างามสร้างความสงสัยต่อมิสึกิจนนางเผลอหลุดปากถาม

“แล้วเหตุใดท่านจึงถูกกักอยู่ที่นี่”

ความเศร้าเมื่อครู่กลับกลายเป็นความแค้นอย่างฉับพลัน ดวงตาของจอมอสูรหนุ่มทอประกายกร้าวอย่างน่ากลัว

“ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจำเป็นต้องรู้” ไพราตอบเสียงห้วนและหันกลับไปมองท่านหญิงด้วยท่าทางดุดัน แต่เมื่อเห็นใบหน้างามซีดเผือดด้วยความตระหนกเขาจึงผ่อนลมหายใจพร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าเดิม

”ข้าไม่อยากพูดถึงเรื่องในอดีต” จอมอสูรหยุดไปเล็กน้อยคล้ายสำเหนียกถึงใครบางคนที่กำลังใกล้เข้ามา”ดูเหมือนวันนี้บิดาของเจ้าจะมีข่าวดี”

ร่างสูงใหญ่ถอยไปยืนอยู่ที่พุ่มสึบากิเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ยาสึฮิระก้าวมาหยุดยืนอยู่หน้าห้อง คิ้วเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นบุตรีกำลังยืนนิ่งอยู่กลางห้องและจ้องเขาอย่างตกใจ

“ท่านพ่อ”

“เป็นอะไรไปหรือ” ยาสึฮิระถามและเตรียมจะเดินเข้าไปหาแต่มิสึกิรีบส่งยิ้มกลับมาพร้อมกับก้าวมายืนที่ระเบียง

“ข้าตกใจแมลงที่บินเข้ามาในห้องเท่านั้น” นางหันไปมองต้นไม้ใหญ่กลางสวน”ปีนี้ดอกซากุระงามเหลือเกิน”
ผู้เป็นบิดาเงยหน้าขึ้นมองดอกซากุระที่ผลิดอกบานสะพรั่งจนแลเห็นเป็นสีชมพูไปทั้งต้น ยามมีสายลมต้องกระทบกิ่งก้านกลีบบอบบางก็หลุดจากดอกร่วงพรูลงสู่พื้นปกคลุมผิวดินในบริเวณนั้นให้กลายเป็นสีอันอ่อนหวานสร้างความอบอุ่นและอ่อนโยนต่อผู้ที่ได้ยล

“ซากุระจะงามเมื่อแผ่นดินสงบสุข” ยาสึฮิระกล่าว บุตรสาวของเขาลดสายตาลงพร้อมกับถอนใจ

“ซากุระที่ทะเลสาบบิวะก็งดงามเช่นเดียวกัน แม้แผ่นดินในบริเวณนั้นจะถูกย้อมด้วยเลือดก็ตาม” นางหันกลับมาทางบิดา “ข้ารู้ดีว่าเวลานี้โคะโตโระกำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบาก แผ่นดินของเรามิได้สงบสุขเหมือนแต่ก่อน”

“ก็แค่ตอนนี้เท่านั้น อีกไม่นานสันติสุขก็จะกลับมาสู่เมืองของเราและจะคงเช่นนั้นตลอดไป”

“อะไรทำให้ท่านพ่อแน่ใจเช่นนั้น” มิสึกิถามด้วยความสงสัย ยาสึฮิระยิ้ม

“ข้ามีวิธี พูดไปเจ้าก็ไม่เข้าใจหรอก” เขามองบุตรสาวด้วยดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตา “สึมิเระเป็นอย่างไรบ้าง”

“นางได้สติแล้วแต่ยังต้องนอนพักอีกหลายวัน”

“ได้ยินแบบนี้แล้วข้าก็เบาใจ” ยาสึฮิระกล่าวเบาๆและมองมิสึกิที่กำลังทำสีหน้าเหมือนประสงค์ที่จะพูดอะไรบางอย่างแต่ลังเลที่จะกล่าวออกมา เขาแตะแขนบุตรีอย่างแผ่วเบาพร้อมกับถาม”มีอะไรหรือ”

“มีเรื่องหนึ่งที่ข้ายังไม่ได้เล่าให้ท่านฟัง” ท่านหญิงนิ่งไปเล็กน้อย “ระหว่างหนีพวกโจรข้าหลงเข้าไปในถ้ำและพบกับอสูรตนหนึ่ง เขารับปากว่าจะช่วยจัดการกับพวกโจรให้แต่ข้าต้องทำลายผนึกที่กักขังเขาเป็นการตอบแทน”

สีหน้าอ่อนโยนแปรเปลี่ยนเป็นดุดันขึ้นมาในทันใดแต่มันก็ถูกปรับให้กลายเป็นปรกติอย่างรวดเร็ว

“แล้วเจ้าทำอย่างไร”

“ข้าปล่อยเขา” มิสึกิมองไปยังต้นโมมิจิที่กำลังสะบัดใบสีเขียวจัดล้อสายลม “แต่อสูรตนนั้นก็ทำตามสัญญา นอกจากจะช่วยจัดการกับพวกโจรแล้วเขายังตามข้าไปจนถึงค่ายของพวกอิวะตามสัญญาที่ว่าจะปกป้องข้าจนกว่าจะปลอดภัย”

“แล้วเวลานี้อสูรตนนั้นอยู่ที่ไหน” ยาสึฮิระถามโดยสายตาตวัดผ่านบุตรีไปยังด้านหลังและจ้องนิ่งอยู่ที่พุ่มสึบากิครู่หนึ่งจึงเลื่อนกลับมาที่มิสึกิตามเดิม นางสั่นศีรษะพร้อมกับตอบ

“ข้าไม่ทราบ”

“อาจเป็นเพราะเจ้าเดินทางกลับถึงปราสาทอย่างปลอดภัย อสูรตนนั้นจึงคิดว่าหน้าที่ของเขาสิ้นสุดลงแล้ว อีกอย่างหนึ่งก็คือเขาอาจจะรู้ตัวดีว่าไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับมนุษย์” บิดาของนางกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ดีแล้วที่เขาจากไปแต่ก็น่าเสียดายที่ข้าไม่มีโอกาสพบจะได้กล่าวคำขอบคุณสำหรับน้ำใจที่มีให้เจ้า”

“เขาชื่อไพรา” มิสึกิกล่าว ยาสึฮิระขมวดคิ้วอย่างสนเท่ห์ใจ

“เป็นชื่อที่แปลกมาก”

“ข้าเองก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน หนำซ้ำไพรายังบอกด้วยว่าเขากินทุกอย่างยกเว้นจามรีกับมนุษย์”

“จามรีงั้นหรือ” บิดาของนางถามย้ำ มิสึกิทำสีหน้าแปลกใจ

“ท่านพ่อรู้จักด้วยหรือ”

“ได้ยินว่ามันเป็นสัตว์หายากอาศัยอยู่บนภูเขาสูงในดินแดนห่างไกล” ยาสึฮิระตอบอย่างเคร่งขรึมและพึมพำเบาๆ”แสดงว่าเจ้านั่นไม่ใช่อสูรบนแผ่นดินนี้ แล้วเขามาที่นี่ทำไม”

เขายืนนิ่งคิดอย่างใคร่ครวญ อาจจะเป็นไปได้ว่าอสูรที่ชื่อไพรานี้อาจมีจุดมุ่งหมายเดียวกับโอนิชิไค แต่การช่วยเหลือมิสึกิกับประโยคที่ว่าไม่กินเนื้อมนุษย์ทำให้ยาสึฮิระคิดว่าอสูรตนนี้น่าจะมีเป้าหมายอื่น ซึ่งในเวลานี้ก็มีเพียงเรื่องการช่วยเหลือพวกอิวะกับคาสึรางิแต่เขาเองก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่าเป็นฝ่ายใด เจ้าเมืองโคะโตโระยืนนิ่งอยู่เช่นนั้นกระทั่งมิสึกิเอ่ยถาม

“มีอะไรหรือท่านพ่อ”

เขาไหวตัวเล็กน้อยและหันไปส่งยิ้มให้กับบุตรี

“แค่คิดอะไรนิดหน่อยเท่านั้นเจ้าอย่าได้สนใจเลย ที่ข้ามานี่ก็เพื่อจะบอกข่าวดีกับเจ้า” เขาแสร้งทำเป็นเว้นระยะคำพูดและมองดวงตาที่ฉายความอยากรู้ของบุตรีอย่างขบขัน

“อาจารย์สอนนาฏกรรมของเจ้าเดินทางมาถึงแล้ว”

ใบหน้าของมิสึกิมีสีชมพูระเรื่อขึ้นมาในทันที แต่นางก็ยังคงรักษากิริยาให้ดูสงบเสงี่ยมขณะที่เอ่ยถาม

“ท่านพ่อหมายถึง”

“ฟูจิวาระ ฮารุคาเสะ” ยาสึฮิระตอบพลางหรี่ตาลงเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้ายินดีของมิสึกิ “เขาเดินทางมาไกลข้าเลยสั่งให้ไปพักที่ห้อง พรุ่งนี้ค่อยเริ่มการสอน เจ้ารอได้ใช่ไหม”

ประโยคสุดท้ายถามบุตรีอย่างจงใจ มิสึกิรีบก้มหน้าลงหลบสายตาพร้อมกับกล่าวเบาๆ

“หากท่านพ่ออนุญาตข้าก็พร้อมจะเรียน”

ยาสึฮิระหัวเราะพลางลูบศีรษะบุตรสาวอย่างเอ็นดู

“ถึงไม่อนุญาตเจ้าก็รั้นที่จะเรียนกับเขาอยู่ดี” บิดาของนางกล่าวด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ “แต่สัญญาก่อนได้ไหมว่าเมื่อเรียนแล้วเจ้าจะร่ายรำให้ข้าดูก่อนใคร”

“มันเป็นความตั้งใจของข้าอยู่แล้ว” มิสึกิกล่าวอย่างแข็งขันจนบิดาต้องอมยิ้ม

“ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะรอ” เขามองบุตรีนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าว “ป่านนี้พวกที่ปรึกษากับบรรดาแม่ทัพนายกองคงพร้อมกันอยู่ที่ห้องประชุมแล้ว ข้าคงต้องรีบไป”

มิสึกิกล่าวคำขอบคุณและค้อมคำนับบิดาอย่างนอบน้อม ยาสึฮิระยิ้มพร้อมกับผงกศีรษะรับจากนั้นจึงเดินจากมา แต่แทนที่จะตรงไปยังห้องประชุมตามที่กล่าวกับบุตรีเขากลับก้าวกลับไปที่จวนจนกระทั่งถึงห้อง ทันทีที่บานประตูเลื่อนปิดลงยาสึฮิระจึงพูดขึ้น

“มาที่นี่ทำไม”

ร่างสูงใหญ่ปรากฏขึ้นกลางห้องพร้อมกับรอยยิ้มที่น่ากลัว

“คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเห็นข้า”

ไพรากล่าวด้วยน้ำเสียงต่ำทุ้มก้องกังวาน ยาสึฮิระหันไปจ้องหน้าเขาและพูดด้วยเสียงทรงอำนาจไม่แพ้กัน

“ข้าสัมผัสถึงพลังของเจ้าตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามาในปราสาท” ดวงตาทอประกายกร้าวดุดัน “บอกจุดประสงค์ของเจ้ามาแล้วข้าจะดับลมหายใจให้อย่างไม่ทรมาน”

“ดับลมหายใจของข้า” ไพราพูดพลางแค่นเสียงหัวเราะออกมาคำหนึ่ง “ด้วยพลังระดับเจ้าคงไม่มีทางทำได้ดังที่พูด”

คิ้วของยาสึฮิระขมวดเข้าหาด้วยความแปลกใจ

“รู้ด้วยหรือว่าข้าเป็นใคร”

“ตั้งแต่ก่อนที่ข้าจะก้าวเข้ามาในปราสาทด้วยซ้ำ”จอมอสูรตอบพร้อมกับยกมือขึ้นกอดอก “ข้าเคยเห็นพวกที่ยอมตกเป็นทาสหรือทำสัญญากับปิศาจ แต่ไม่นึกเลยว่าจะได้เจอมนุษย์ใจกล้าจนถึงขนาดยอมเปลี่ยนวิญญาณตัวเอง”

เขาจ้องเจ้าครองโคะโตโระเขม็ง

“เจ้าต้องการอำนาจมากขนาดนี้เลยหรือ”

“ใช่” ยาสึฮิระตอบเสียงห้วน ไพรามองเขาด้วยสายตาสมเพช

“น่าอนาถนัก อยากยิ่งใหญ่จนถึงกับยอมทิ้งศักดิ์ศรีความเป็นมุนษย์ ช่างแตกต่างจากบุตรสาวของเจ้าโดยแท้”

ประโยคสุดท้ายทำให้ดวงตาของยาสึฮิระทอแสงลุกโชน เขาขยับไปข้างหน้าหนึ่งก้าวพร้อมกับยืดตัวขึ้นและกล่าวอย่างทระนง

“ความยิ่งใหญ่จะมีค่าอะไรถ้าไร้คนให้ปกป้อง ที่ข้ายอมเป็นปิศาจก็เพื่อคุ้มครองโคะโตโระและมิสึกิให้รอดพ้นจากความกระหายของศัตรู มันเป็นสิ่งที่อสูรอย่างเจ้าไม่มีวันเข้าใจ”

จอมอสูรถึงกับยืนอึ้งด้วยความคาดไม่ถึงเมื่อได้ฟังเหตุผลของเจ้าเมืองโคะโตโระ เขาเลื่อนมือไปสัมผัสขนจามรีสีขาวบนท่อนแขนอย่างลืมตัว

“เพื่อปกป้องอย่างนั้นหรือ” รอยยิ้มผุดบนริมฝีปาก “เป็นข้ออ้างที่น่ายกย่องแต่เจ้าเพียงคนเดียวไม่มีทางสู้กับคนและปิศาจนับร้อยได้”

“ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น แค่บั่นหัวผู้นำพวกที่เหลือก็หมดกำลังใจที่จะสู้แล้ว” ยาสึฮิระพูดด้วยน้ำเสียงคำราม ดวงตาเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ เขาสองอันผุดขึ้นบนศีรษะและเริ่มยืดยาวออกมา “เช่นเดียวกับพวกปิศาจ ตัวใดกล้าย่างกรายเข้ามาในปราสาทข้าก็จะสังหารให้หมด”

กรงเล็บตวัดไปข้างหน้า แรงกระแทกทรงพลังพุ่งเข้าใส่ไพราแต่เขากลับตีสีหน้าเบื่อหน่ายขณะใช้มือปัดมันออกอย่างง่ายดายคล้ายไล่แมลงตัวหนึ่งเท่านั้น

“คิดจะใช้พลังแค่นี้กำจัดข้า มันไม่เป็นการดูถูกกันไปหน่อยหรือ” จอมอสูรกล่าวเสียงต่ำพลางเรียกพลังเพลิงขึ้นมาบนฝ่ามือและสะบัดใส่ยาสึฮิระทันที เขายกมือขึ้นรับและบีบมันจนแตกสลายไปในพริบตา

“ข้าไม่ใช่ปิศาจชั้นต่ำอย่างที่เจ้าเคยพบ” เจ้าเมืองโคะโตโระในร่างปิศาจพูดพร้อมกับวาดมือทั้งสองไปด้านข้าง มวลอากาศรอบตัวเต้นไหวกลายเป็นคลื่นหมุนวน เขามองไพราด้วยดวงตาทอแสงลุกโชน “เพราะมีบุญคุณที่ช่วยเหลือมิสึกิข้าจึงคิดที่จะไล่ออกไปให้พ้นเท่านั้น แต่เมื่อเจ้ากล้าวางท่าอวดดีเช่นนี้ ก็คงไม่จำเป็นต้องออมมือกันอีกต่อไป”

“ข้าก็แค่อยากมาทักทายเท่านั้น แต่ถ้าเจ้าต้องการจะสู้ก็ลงมือได้เลย”

จอมอสูรยืดอกพร้อมกับกางแขนทั้งสองข้างออก เปลวเพลิงระเบิดขึ้นในใจกลางฝ่ามือและลุกโชติช่วงไปทั่วร่าง ยาสึฮิระเปลี่ยนมวลอากาศรอบตัวเขาให้กลายเป็นหอกและเตรียมจะซัดเข้าใส่แต่เสียงฝีเท้าที่วิ่งเข้ามาอย่างร้อนรนทำให้ต้องชะงัก กายปิศาจกลับกลายเป็นมนุษย์เช่นดังเดิมเป็นจังหวะเดียวกันกับที่บานประตูเลื่อนเปิดออก โอริเอะก้าวพรวดเข้ามาและรีบค้อมตัวลงพร้อมกับรายงาน

“ค่ายด้านเหนือแจ้งมาว่ากำลังถูกทัพของคาสึรางิโจมตีอย่างหนักขอรับ”

“ว่าไงนะ” เจ้าเมืองโคะโตโระอุทาน “เป็นไปได้ยังไง ทำไมเราจึงไม่รู้การเคลื่อนไหวของพวกนั้นเลย”

“ข้าต้องขออภัยที่เลินเล่อปล่อยให้ทัพข้าศึกรุกมาประชิดชายแดนได้” โอริเอะค้อมศีรษะลงจนต่ำ แม้เพลิงพิโรธจะปะทุขึ้นแต่ยาสึฮิระกลับไม่กล่าวตำหนิแม่ทัพใหญ่เลยสักคำ เขาเลื่อนสายตามองออกไปด้านนอกและจ้องท้องฟ้าด้านเหนือนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงเบนกลับมายังโอริเอะอีกครั้งพร้อมกับพูดอย่างเคร่งขรึม

“เจ้าไม่ได้เลินเล่อ แต่ถูกพวกปิศาจอำพรางสายตาต่างหาก นอกจากจะทำให้เราไม่เห็นการเคลื่อนไหวของข้าศึกแล้วพวกมันยังทำลายกับดักที่เจ้าวางเอาไว้ด้วย”

เขานิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะออกคำสั่ง

“จงรีบไปจัดการแบ่งทหารออกเป็นสองกอง ต้วข้าจะนำทหารส่วนหนึ่งไปสมทบที่ค่ายทางทิศเหนือส่วนเจ้าจงนำกำลังที่เหลือไปรอที่ค่ายทิศตะวันออก” 

“เพราะอะไรหรือขอรับ” แม่ทัพหนุ่มถามด้วยความสงสัย ยาสึฮิระหันไปหยิบดาบมากำกระชับแน่น

“เพราะทัพของคาสึรางิกำลังจะเข้าโจมตีที่นั่นด้วยเหมือนกัน ที่สำคัญคือนอกจากพวกมันแล้วยังมีทัพจากเมืองอิวะตามมาสมทบ เจ้าอาซามิคงคิดจะยกกำลังถล่มโคะโตโระจากทางด้านนั้นจึงทุ่มกำลังส่วนใหญ่ไปทางตะวันออก ข้าคิดว่าถ้าเราสามารถจัดการทัพใดทัพหนึ่งไปก่อนพวกที่เหลือคงจำต้องล่าถอยออกไป”

เขาหันไปทางโอริเอะซึ่งกำลังยืนมองกลับมาด้วยสายตาแปลกใจ

“มัวตกตะลึงอะไรกันอยู่ รีบไปจัดการตามข้าที่สั่งโดยเร็ว”

แม้จะสงสัยในสิ่งที่ผู้เป็นนายพูดแต่ความภักดีที่วิ่งอยู่ในสายเลือดทำให้โอริเอะไม่คิดที่จะเอ่ยปากถาม เขาโค้งคำนับพร้อมกับกล่าวรับคำและรีบเดินไปจัดการตามคำสั่ง เมื่อแม่ทัพพ้นไปไกลแล้วเจ้าเมืองโคะโตโระจึงหันไปมองไพราซึ่งกอดอกยืนมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยสีหน้านิ่งเฉยพร้อมกับกล่าว

“คงต้องพักเรื่องของเจ้าเอาไว้ก่อน”

“ข้ารอได้เสมอ”

พูดจบร่างของจอมอสูรก็เลือนหายไป ยาสึฮิระจึงจัดแจงสวมเกราะและเดินไปยังกองทหารที่โอริเอะจัดเตรียมไว้แต่ผู้นำแห่งโคะโตโระได้แบ่งกำลังพลของเขาให้ไปกับกลุ่มของ
แม่ทัพและนำองครักษ์ของเขาเข้าไปทดแทน เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้วทั้งหมดขบวนนักรบจึงออกเดินทางโดยแยกกันไปคนละด้าน แม้ปลายทางจะต่างกันแต่ทั้งสองทัพก็มีจุดมุ่งหมายเดียวคือการป้องกันโคะโตโระจากการบุกของกองทัพคาสึรางิ

*/*/*/*/*





Create Date : 25 มีนาคม 2555
Last Update : 25 มีนาคม 2555 11:24:20 น.
Counter : 377 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

กิสึเนะ
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



moony ค่ะ เป็นคนชอบสร้างจินตนาการมาตั้งแต่เด็ก เคยวาดการ์ตูนไว้เป็นเล่ม แต่เก็บไว้อ่านเอง นิยายเรื่องแรกที่เขียนเป็นแนวจีนกำลังภายใน ตอนหลังรู้จักเน็ตจึงเริ่มสร้างสรรเรื่องอื่นบ้างแต่ส่วนใหญ่เป็นแนวแฟนตาซี
All Blog