เซ็นซู จอมอสูรจากหิมาลัย บทที่ 17 มารเหมันต์
บทที่ 17

มารเหมันต์

ความชั่วร้ายที่แฝงอยู่ในจวนของซาวาระมิได้มีเพียงไพราเท่านั้นที่รู้สึก ยาสึฮิระซึ่งเคยไปยังเมืองอิวะโดยหมายจะกำจัดเจ้าเมืองผู้โอหังที่บังอาจเอ่ยปากขอมิสึกิยังต้องชะงักงันและถอยกลับปราสาทเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังประหลาดที่แผ่กระจายออกมา แม้จะบางเบาแต่แรงกดดันอันมหาศาลทำให้เขารู้ว่าเจ้าของพลังผู้นั้นเป็นปิศาจที่มีความร้ายกาจกว่าทุกตัวที่เคยพบ อาจจะมากกว่าจอมอสูรไพราที่ตนเคยประมือมาครั้งหนึ่งแล้วด้วยซ้ำ

“เจ้าไปทำสัญญากับปิศาจชนิดใดกันแน่ ซาวาระ”

ยาสึฮิระพึมพำพลางนิ่วหน้าด้วยความสงสัยเพราะแม้อีกฝ่ายมีทีท่าว่าจะยืมพลังของปิศาจแต่เมืองโคะโตโระกลับไม่ปรากฏวี่แววของภูตผีร้ายเลยสักตัว ต่างจากตอนที่อาซามิ เคียวคุเซ็นเจ้าครองแคว้นคาสึรางิเมื่อครั้งทำข้อตกลงกับโอชินิไค เพราะในตอนนั้นเขาต้องรับมือทั้งจากฝูงปิศาจและกองทัพมนุษย์ที่หนุนเนื่องเข้ามาโจมตีอยู่เกือบตลอดเวลา

ขณะที่กำลังจมอยู่ในข้อกังขา สายลมผสมผสานแรงกดดันอันหนักอึ้งก็พัดผ่านเข้ามาในห้องดึงความคิดของยาสึฮิระให้กลับมาอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง เขาเลื่อนสายตามองไปยังประตูซึ่งยังคงปิดสนิทและกระตุกยิ้มมุมปากพลางเบนหน้าไปยังอีกด้านหนึ่งของห้องพร้อมกับกล่าวทักทาย

“เมื่อมาถึงแล้วใยจึงไม่ปรากฏตัว”

“ข้าไม่อยากรบกวนความคิดของเจ้า” เสียงหวานดังตอบ ยาสึฮิระมองหางสีขาวคาดดำซึ่งกำลังเลื่อนมาหยิบแผนที่ไปอย่างวิสาสะ

“ไม่คิดว่าเทพจะสนใจสงครามของมนุษย์”

“ข้าก็ไม่ได้สนใจเรื่องราวของพวกเจ้านักแต่กลิ่นเลือดกับน้ำตาของมนุษย์ทำให้ข้ารู้สึกสนุกจนอดที่จะมีส่วนร่วมไม่ได้”

มารเสือขาวตอบพลางมองแผนที่ด้วยสีหน้ากระตือรือล้นคล้ายเด็กน้อยเห็นของเล่นชิ้นใหม่ เจ้าเมืองโคะโตโระมองนางนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงถาม

“อสูรที่ชื่อไพราคงไม่ได้อยู่ในปราสาทสินะ”

“ทำไมจึงถามเช่นนั้น” เบียคโกะย้อนทั้งที่ดวงตายังคงจับจ้องอยู่บนแผ่นที่ ยาสึฮิระเหยียดริมฝีปากยิ้มอย่างรู้ทัน

“เจ้าจะเข้ามาก็ต่อเมื่อเขาออกไปนอกเมือง” เขามองมารเสือขาวนิ่ง “ข้าไม่สนใจจุดประสงค์ของเจ้า แต่อยากรู้ว่าที่พยายามหลีกเลี่ยงอสูรตนนั้นเพราะหวาดกลัวหรือไม่อยากเจอกันแน่”

“ช่างสังเกตสมกับเป็นผู้นำ” เบียคโกะพูดพลางใช้หางร่อนแผนที่ให้ไปตกตรงหน้ายาสึฮิระพร้อมกับตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ”ข้าเป็นถึงหนึ่งในสี่จตุรเทพรักษาทิศ มีหรือจะกลัวอสูร”

“งั้นเจ้าก็เลี่ยงที่จะประจันหน้ากับเขา” เจ้าเมืองโคะโตโระกล่าว “ทำไม”

“เจ้าควรสนใจเรื่องหาวิธีตั้งรับการโจมตีจากเมืองอิวะจะดีกว่า” เบียคโกะพูดพลางใช้นิ้วม้วนปลายหางของนางเล่น ดวงตาทอประกายอย่างสมใจเมื่อเห็นแววตาของอีกฝ่ายลุกโชนขึ้น

“เจ้าซาวาระมีแผนอะไรอีก”

“นี่เจ้ายังไม่รู้อีกหรือ” มารเสือขาวถามเสียงสูงพร้อมแสร้งทำตาโตด้วยท่าทางแปลกใจ”เขาสมคบกับอาซามิ ฮิโรซะผู้นำแคว้นคนใหม่ของคาสึรางิ ผนวกกองทัพทั้งสองเมืองเข้าด้วยกัน เป้าหมายคือถล่มโคะโตโระให้ราบเป็นหน้ากลอง”

คำตอบของเบียคโกะทำให้ยาสึฮิระถึงกับขบกรามพร้อมกับกำมือแน่นด้วยความโกรธ

“ดูท่าว่าแค่การตายของเคียวคุเซ็นคงยังไม่พอ” เขาพูดเสียงรอดไรฟัน ดวงตาแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำดุจเลือด มารเสือขาวเผยอยิ้มเมื่อเห็นเงาของปิศาจปรากฏซ้อนกับร่างของเขาอย่างเลือนราง

“ในความเห็นของข้า เจ้าไม่ควรมานั่งใจเย็นอยู่แบบนี้” นางพูดพลางเดินไปยืนข้างยาสึฮิระ และใช้หางทั้งเก้าตวัดพันรอบตัวเขาพร้อมก้บเอนหน้าลงไปกระซิบ”อำนาจปิศาจของเจ้าทรงพลังนัก ใช้มันให้เป็นประโยชน์ กวาดให้ราบทั้งอิวะและคาสึรางิ”

เสียงคำรามอย่างขุ่นเคืองดังตอบกลับมา ดวงตาของยาสึฮิระทอแสงลุกโชนแรงกล้าแต่แล้วจู่ๆมันกลับดับวูบลงอย่างฉับพลันแช่นเดียวกับเงาทะมึนของปิศาจที่จางหายไป

“เหตุใดข้าจึงต้องทำตามที่เจ้าพูด” เจ้าเมืองโคะโตโระกล่าวขึ้นพร้อมกับหันไปจ้องหน้าเบียคโกะ สีหน้าที่ดูสงบนิ่งแต่น้ำเสียงซึ่งแฝงโทสะอย่างแรงกล้าทำให้มารเสือขาวต้องขยับตัวถอยออกห่างแต่ใบหน้างามยังคงรอยยิ้มเย็นเยือกเอาไว้

“แค่คำแนะนำเท่านั้น”

“คำแนะนำของเจ้าเหมือนต้องการให้ข้าผลาญชีวิตผู้คน” ยาสึฮิระพูดเสียงห้วน”แม้จะเป็นศัตรูแต่ผู้ที่ข้าต้องการสังหารคือผู้นำที่มีแต่ความละโมบเท่านั้น หากเจ้าปรารถนาจะเห็นโลหิตของมนุษย์ก็จงไปยุยงพวกคาสึรางิหรืออิวะอย่าได้มาวุ่นวายกับข้าและชาวโคะโตโระ”

คำพูดและท่าทางของยาสึฮิระทำให้เบียคโกะนิ่งงันด้วยความคาดไม่ถึงไปชั่วขณะ เมื่อตั้งสติได้นางจึงเหยียดยิ้มพร้อมกับกล่าว

“คงไม่จำเป็นเพราะอย่างที่เจ้ารู้ว่าทางอิวะมีคนช่วยอยู่แล้ว ส่วนคาสึรางิจะยังคงความเป็นแคว้นที่ยิ่งใหญ่ต่อไปหรือไม่นั้นขึ้นกับการกระทำของฮิโรซะ”

นางชะงักคำพูดค้างและขมวดคิ้วอย่างขัดใจ

“ทำไมวันนี้กลับเร็วนัก” มารเสือขาวบ่นพึมพำพร้อมกับเลื่อนกายถอยไปที่ผนังจากนั้นจึงเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว ยาสึฮิระรีบก้าวไปเปิดประตูและกวาดตามองไปโดยรอบ คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเมื่อพบว่าพลังวิญญาณของเบียคโกะนั้นมลายหายไปจนไม่เหลือร่องรอย และปรากฏคลื่นพลังของจอมอสูรเคลื่อนเข้ามาแทน

“เจ้าพยายามเลี่ยงไพราจริงๆ” ยาสึฮิระนิ่วหน้าอย่างใช้ความคิด “เพราะอะไร”

เขาพยายามนึกหาสาเหตุแต่ก็ต้องหยุดยั้งความคิดทั้งหมดลงเมื่อเสียงนอมบน้อมของข้ารับใช้ดังมาจากด้านนอก

“ท่านโอริเอะมาขอพบขอรับ”

“ให้เขาเข้ามา”

ยาสึฮิระตอบเสียงเรียบขณะเดินกลับไปนั่งและแสร้งทำเป็นมองแผนที่เมืองอิวะด้วยท่าทางเคร่งขรึมกระทั่งแม่ทัพใหญ่แห่งโคะโตโระก้าวเข้าไปในห้องพร้อมกับค้อมกายลงคำนับเขาจึงเอ่ยถาม

“มีเรื่องอะไร”

“สายของเรารายงานมาว่าเวลานี้ทัพของคาสึรางิกำลังเดินทางไปสมทบกับทัพของซาวาระที่เมืองอิวะ”

โอริเอะรายงานด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด ยาสึฮิระจึงละสายตาจากแผนที่

“คิดว่าการตายของเคียวคุเซ็นจะทำให้พวกมันเลิกล้มความคิดที่จะรุกรานเราเสียอีก” เขานิ่งไปเล็กน้อย”พอจะรู้จำนวนทหารของคาสึรางิไหม”

“ราวสองพันหกร้อยคน” โอริเอะตอบ ผู้เป็นนายจึงลูบคางอย่างใช้ความคิด

“สองพันหกร้อย” เขาขมวดคิ้ว”คาสึรางิเสียไพร่พลไปกับการโจมตีเราถึงสองครั้ง ไม่น่าจะมีกำลังทหารถึงขนาดส่งไปช่วยอิวะได้มากมายขนาดนี้”

“ข้าได้ยินมาว่าทหารที่ถูกส่งไปคือกำลังพลส่วนใหญ่ของคาสึรางิ ที่เหลือในแคว้นตอนนี้มีเพียงทหารใหม่แค่หยิบมือเดียวเท่านั้นหากเราจะยกทัพไปโจมตีก็คงเอาชนะได้ไม่ยาก”

“ข้าคงทำเช่นนั้นแน่หากไม่กังวลเรื่องทัพของอิวะ” ยาสึฮิระกล่าว “แต่ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าฮิโรซะจะเบาปัญญาจนถึงขนาดยอมยกทหารเกือบทั้งหมดให้กับซาวาระ”

“ไม่เพียงมอบทหารให้ไปเท่านั้น เขายังแต่งตั้งให้ซาวาระเป็นแม่ทัพใหญ่ควบคุมการบัญชากองทัพทั้งหมดอีกด้วย การตัดสินใจของเขาในครั้งนี้สร้างความไม่พอใจต่อพวกเสนาบดีและที่ปรึกษารวมทั้งแม่ทัพนายกองเป็นอย่างมาก สายของข้าสืบรู้มาว่าตอนนี้ที่ปรึกษาใหญ่นามโยรินากะกำลังมีการเคลื่อนไหวบางอย่าง ซึ่งคงไม่เป็นผลดีต่อฮิโรซะเท่าใดนัก”

“ข้าเคยได้ยินเรื่องราวของโยรินากะมาบ้าง เขาเป็นผู้ที่มีความภักดีและเป็นพวกใฝ่สันติ หากเขาคิดโค่นล้มฮิโรซะจริงก็น่าจะเป็นผลดีกับเรา”

ยาสึฮิระกล่าวพลางเลื่อนสายตาไปยังแผ่นที่เมืองอิวะอีกครั้ง โอริเอะมองตามนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดขึ้น

“แต่ข้ากลัวว่าซาวาระจะชิงลงมือสังหารโยรินากะเสียก่อน เพราะเจ้าเมืองอิวะผู้นี้มากด้วยไหวพริบเล่ห์กล เขาคงคิดจะครอบครองแว้นคาสึรางิเช่นเดียวกัน”

“ซาวาระเป็นคนฉลาดและมีความมั่นใจในความคิดของตัวเองเป็นอย่างมาก สิ่งนี้แหละที่จะทำให้เขาก้าวเข้าสู่ความพินาศโดยไม่รู้ตัว”

ยาสึฮิระแย้งเสียงเรียบ โอริเอะขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ

“อะไรทำให้ท่านคิดเช่นนั้นหรือขอรับ”

ผู้เป็นนายกระตุกยิ้มบนมุมปาก มันเป็นรอยยิ้มที่สร้างความเย็นยะเยือกจนน่าขนลุกในความรู้สึกของโอริเอะ

“ความฉลาดก็เหมือนดาบอันคมกริบ มันจะปลอดภัยหากเจ้าของรู้จักเก็บคมเอาไว้ในฝัก” ยาสึฮิระกล่าว”แต่หากเมื่อใดที่ผู้ใช้เกิดทะนงจนประมาท คมดาบนั่นก็จะย้อนกลับมาปลิดชีวิตตนเองโดยไม่รู้ตัว”

เสียงใบไม้กระทบกันดังซู่ซ่าทั้งที่ปราศจากสายลมทำให้ยาสึฮิระชำเลืองตาไปมอง คิ้วเข้มขมวดมุ่นเมื่อเห็นไพรากำลังนั่งมองการสนทนาระหว่างเขากับโอริเอะอยู่บนต้นไม้ ดวงตาของจอมอสูรฉายแววประหลาดออกมาวูบหนึ่งและดับหายไปอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับร่าง ครั้นเห็นว่าไพราจากไปโดยไม่กล่าวอะไรเจ้าเมืองโคะโตโระจึงหันไปปรึกษาแผนการรับมือข้าศึกกับแม่ทัพใหญ่ของเมืองต่อทั้งที่ในใจนั้นเต็มไปด้วยความสงสัยในเรื่องปิศาจที่ให้ความช่วยเหลือเมืองอิวะและเรื่องราวระหว่างมารเสือขาวกับไพรา

ทางด้านจอมอสูรหนุ่มเมื่ออกจากบริเวณห้องของยาสึฮิระแล้วจึงมุ่งหน้าตรงไปยังที่พักของท่านหญิงมิสึกิด้วยตั้งใจว่าจะแกล้งหาเรื่องหยอกเย้านางเพื่อให้คลายความกังวลในเรื่องของสงคราม แต่เมื่อไปถึงเขาก็ต้องเปลี่ยนใจเพราะแทนที่จะเห็นหญิงสาวยืนเหม่อมองต้นไม้อย่างวิตกกังวลดังเช่นทุกครั้งกลับพบว่านางกำลังซ้อมการร่ายรำอย่างตั้งอกตั้งใจ สีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุขขณะวาดพัดในมือด้วยท่วงท่าที่เต็มไปด้วยความอ่อนช้อยตามที่ได้เรียนมาทำให้ไพราต้องยืนนิ่ง สายลมอันอบอุ่นที่พัดผ่านร่างของหญิงสาวอย่างอ่อนโยนจนเรือนผมสีดำพลิ้วไหวไปมาทำให้จอมอสูรต้องถอนใจ

“การได้พบกับเขาทำให้เจ้ามีความสุขมากเพียงนี้เชียวหรือ”

ไพราพึมพำโดยที่ยังคงจ้องมิสึกิไม่วางตา ชั่วขณะหนึ่งนั่นเองเงาเลือนลางของหญิงสาวในเครื่องแต่งกายสีขาวสะอาดก็ปรากฏซ้อนทับกับร่างที่กำลังร่ายรำ ห้องพักอันแสนอบอุ่นตรงหน้ากลับแปรเปลี่ยนไปเป็นลานหิมะสีขาวกว้างสุดลูกตา สายลมเย็นยะเยือกของเทือกเขาหิมาลัยพัดผ่านกระทบโตรกน้ำแข็งสร้างเสียงหวีดหวิวราวกับเสียงดนตรีรับกับเสียงกระพรวนที่ดังเป็นจังหวะขณะที่ร่างแน่งน้อยกำลังเต้นรำอย่างร่าเริง ดวงหน้างดงามราวเทพธิดาระบายด้วยรอยยิ้มที่แสนบริสุทธิ์ หญิงสาวนางนั้นหมุนตัวไปรอบๆและหันมาทางเขาพร้อมกับเอ่ยเรียก

“ไพรา”

จอมอสูรสะดุ้งเฮือกสุดตัว ความคิดที่ล่องลอยถูกดึงกลับมาราวกบถูกกระชาก เขามองผู้ที่กำลังยืนตรงหน้าพร้อมกับหลุดปากเรียกชื่อของนางอย่างงุนงง

“มิสึกิ”

หญิงสาวมองเขาด้วยความแปลกใจ

“เจ้าเป็นอะไรไป”

คำถามและสีหน้าที่ฉายความกังวลของมิสึกิทำให้ไพราแสร้งทำเป็นหัวเราะพร้อมกับย้อนถามราวต้องการกลบเกลื่อน

“ทำไมถึงถามแบบนั้น”

“ทุกครั้งที่เจ้าเข้ามาจะต้องหาเรื่องหยอกเย้าหรือเอ่ยปากทักทายก่อนเสมอแต่คราวนี้เจ้ากลับยืนเงียบซ้ำข้าเรียกตั้งหลายครั้งแล้วก็ยังไม่ได้ยิน”

หญิงสาวพูดพลางขยับเข้าไปใกล้ จอมอสูรรีบถอยออกห่างและเบือนหน้าหนีไปด้านอื่น

“ข้าแค่คิดอะไรเพลินไปหน่อย”

เขาตอบอ้อมแอ้มไม่เต็มปาก มีสึกิมองไพราอย่างลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงตัดสินใจถาม

“คาร์มูเป็นใคร”

จอมอสูรหันขวับมามองหญิงสาวด้วยดวงตาคมกริบราวกับใบมีดที่พร้อมจะเชือดเฉือนผู้บังอาจเอ่ยนามต้องห้ามนั้นออกมา แต่เมื่อเห็นสีหน้าเผือดของนางเขาจึงรีบหันหน้าเลี่ยงไปด้านอื่นโดยไม่พูดอะไร ส่วนมิสึกิเมื่อเห็นอีกฝ่ายมีท่าทางที่ดูสงบลงจึงรวบรวมความกล้าและถามด้วยเสียงที่ไม่ดังนัก

“นางเป็นคนรักของเจ้า”

“ไม่ใช่”

จอมอสูรหันมาตอบเสียงกระด้างทันควันและหยุดคำพูดค้างเมื่อเห็นมิสึกิสะดุ้งพร้อมกับก้าวถอยหลังด้วยความตกใจ เขาถอนใจออกมาก่อนกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าเดิม

“นางเป็นน้องร่วมสาบานของข้า”

“เกิดอะไรขึ้นกับนางอย่างงั้นหรือ” ท่านหญิงแห่งโคะโตโระเผลอตัวหลุดปากถามและรีบก้มหน้าลงหลบสายตาของไพราที่มองกลับมาอย่างไม่พอใจ”ข้าแค่แปลกใจที่เห็นท่านซึ่งกำลังดูการร่ายรำแต่ดวงตานั้นกลับมองผ่านเลยไปอย่างเหม่อลอยซ้ำยังเอ่ยปากเรียกชื่อนี้ออกมา”

มิสึกิอธิบายด้วยความเป็นห่วงแต่จอมอสูรกลับยืนนิ่งไม่ตอบอะไรเลยสักคำ ไม่แม้แต่จะชักสีหน้าหรือแสดงอาการโกรธเกรี้ยวดังเช่นที่กระทำเมื่อครู่ สิ่งเดียวที่บ่งบอกถึงความในใจของเขาคือแววตาแสนเศร้าที่มองออกไปด้านนอก ผ่านกำแพงปราสาทไปยังที่ไกลแสนไกล หญิงสาวจึงรู้ได้ในทันทีว่าเขากำลังคิดถึงดินแดนหิมาลัยอันเป็นบ้านเกิดรวมทั้งหญิงสาวซึ่งมีนามว่าคาร์มู

“ข้าเข้าใจดีว่าท่านไม่อยากกล่าวถึงอดีต”มิสึกิพูดพลางขยับเข้าไปใกล้และวางมือลงบนแขนไพราอย่างอ่อนโยน”แต่บางครั้งการระบายเรื่องราวที่ติดค้างอยู่ในใจให้ใครสักคนฟังอาจช่วยลดความปวดร้าวลงไปได้บ้าง”

“เจ้าอยากฟังเรื่องของข้าอย่างงั้นหรือ” ไพราถามเสียงเรียบ มิสึกิสั่นศีรษะ

“ข้าแค่ไม่อยากเห็นท่านเศร้าใจ”

จอมอสูรหันหน้ามามองหญิงสาวด้วยความตั้งใจว่าจะแย้งในสิ่งที่นางพูดแต่เมื่อได้เห็นดวงตาที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงแล้วเขาจึงเปลี่ยนใจ รอยยิ้มเจือความปวดร้างผุดขึ้บนใบหน้าสง่างาม เขาหันไปยังต้นซากุระและมองกลีบที่กำลังปลิวไปตามสายลมนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าวด้วยเสียงที่ไม่ดังนัก

“ข้าไม่ได้เศร้า แต่ปวดใจที่ไม่อาจรักษาชีวิตเพื่อนเพียงคนเดียวเอาไว้ได้”

“เกิดอะไรขึ้นกับเขาอย่างนั้นหรือ” มิสึกิถามและก้มหน้าลงเมื่อเห็นดวงตาวาววับของจอมอสูร”ขอโทษข้าเพียงแต่...”

“ไม่เป็นไร” ไพรากล่าวพร้อมกับระบายลมหายใจออกมาเบาๆและหันหน้าไปยังสวน

“อย่างที่เคยพูดกับเจ้าในตอนแรก ข้าไม่ใช่อสูรบนแผ่นดินนี้ บ้านเกิดของข้าคือเทือกเขาหิมาลัยซึ่งอยู่ไกลจากที่นี่มาก”

“แล้วท่านมาอยู่ที่โคะโตโระได้อย่างไร” มิสึกิถาม ไพราเลื่อนมือไปแตะขนสัตว์สีขาวบนต้นแขนและหลับตาลงคล้ายกำลังหวนนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมา

“ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน จำได้แค่ว่าหลังจากลอยคออยู่ในทะเลอยู่หลายวันข้าก็มาถึงชายฝั่งแห่งหนึ่งแต่ยังไม่ทันได้รู้ว่าเป็นที่ไหนก็ถูกใครบางคนผนึกพลังและขังเอาไว้ในถ้ำกระทั่งเจ้ามาพบ”

“ทำไมเขาถึงต้องทำแบบนั้น ท่านไม่ได้เป็นอสูรที่ชั่วร้ายเลยสักนิด” มิสึกิพูด ไพราหันมามองนางพร้อมกับยิ้ม

“เพราะเขาไม่เหมือนเจ้า”

คำพูดแสนอ่อนโยนของอสูรหนุ่มทำให้ใบหน้าของหญิงสาวมีสีแดงระเรื่อขึ้นมา นางรีบหันหน้าหลบเมื่อมิให้ไพราเห็นก่อนจะแสร้งถาม

“ท่านเคยบอกว่าหิมาลัยเป็นดินแดนแห่งความหนาวเย็น พอจะเล่าให้ฟังได้ไหมว่ามันเป็นอย่างไร”

“ก็เหมือนกับเมืองของเจ้าในฤดูหนาว จะต่างกันก็ตรงที่นั่นไม่มีต้นไม้ มองไปที่ใดก็มีแต่หิมะกับน้ำแข็ง แสงแดดแม้จะเจิดจ้าแต่ก็แทบจะไม่สร้างความอบอุ่น สัตว์ก็อยู่เพียงน้อยนิด หากคิดจะล่ามาเป็นอาหารต้องใช้เวลาค้นหานานหลายวัน”

“ช่างเป็นดินแดนที่โหดร้ายเหลือเกิน” มิสึกิพึมพำ จอมอสูรยิ้มมุมปาก

“แต่มันก็เป็นบ้านเกิดของข้า” เขาเอนตัวพิงเสาและมองช่อดอกโมคุเร็นสีขาวที่พัดลู่ไปตามลมด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความคิดคำนึง

“หิมาลัยก็มีมนุษย์แต่จะอยู่แถบเชิงเขาเป็นส่วนใหญ่ ยอดเขาที่อยู่สูงขึ้นไปมันจะเป็นที่อาศัยของสัตว์กับภูตผีปิศาจและอสูรมากมายหลายเผ่าพันธุ์ และเช่นเดียวกับแผ่นดินนี้ ปิศาจทุกตัวต่างแย่งชิงความเป็นใหญ่ เผ่าพันธุ์ไหนอ่อนแอก็จะถูกผู้แข็งแรงกว่าฆ่าหรือกัดกินเป็นอาหาร”

“แล้วท่านล่ะ” มิสึกิเผลอตัวถามและยกมือขึ้นปิดปากเมื่อคิดได้ว่ามันเป็นคำพูดไร้ปัญญาเสียเหลือเกิน แต่ไพรากลับยิ้มพร้อมกับตอบ

“เมื่อข้าถือกำเนิดขึ้นสิ่งแรกที่ทำคือฉีกเนื้อปิศาจตัวหนึ่งเป็นอาหาร” เขามองใบหน้าตระหนกของหญิงสาวและรีบพูด”ข้าเกิดจากพลังธรรมชาติผนวกกับลมหายใจของเทพที่สถิตย์อยู่บนหิมาลัยมิได้มีพ่อแม่เหมือนมนุษย์”

จอมอสูรยกมือขึ้นกอดอกขณะเล่าต่อ

“เพราะอำนาจอันยิ่งใหญ่คือผู้ให้กำเนิด ข้าจึงมีพลังเหนือกว่าปิศาจทุกตัวบนหิมาลัย ครั้งแรกพวกมันก็พยายามต่อต้านและพยายามหาทางทำลายข้าแต่เมื่อถูกสังหารไปเป็นจำนวนมากปิศาจพวกนั้นจึงยอมก้มหัวและยกให้ข้าเป็นจอมอสูรแห่งหิมาลัย”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ไพราก็หัวเราะออกมาดังๆ

“ทั้งที่ในหัวใจของพวกมันปรารถนาที่จะบดขยี้ข้าให้ย่อยยับเสียเหลือเกิน”

“ถึงจะเป็นการกระทำเพื่อเอาใจ แต่ข้าเห็นด้วยกับตำแหน่งของท่าน”

มิสึกิพูดเสียงไม่ดังนักพลางมองแผ่นหลังแกร่งและต้นแขนกำยำอย่างชื่นชม ไพรายักไหล่อย่างไม่ใส่ใจนัก

“ข้าไม่สนใจคำสอพลอของพวกมัน”

“แล้วท่านรู้จักคาร์มูได้ยังไง” หญิงสาวถาม จอมอสูรนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองดอกโมคุเร็นอีกครั้ง

“ข้าเองก็ไม่ต่างไปจากปิศาจตนอื่นที่ออกล่าสัตว์บนหิมาลัยเป็นอาหาร จามรีก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น พวกมันมักอยู่รวมกันเป็นฝูงหากินแถบเชิงเขาแต่ก็มีหลายครั้งที่ถูกพายุหิมะจนพลัดหลงขึ้นมายังด้านบน แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ข้าบังเอิญจับจามรีตัวหนึ่งได้แต่ยังไม่ทันลงมือก็ถูกปิศาจจากที่ไหนไม่รู้พุ่งเข้ามาขวาง เราสู้กันอยู่นานในที่สุดเจ้านั่นก็ถูกข้าฉีกเนื้อมาเต็มกำมือ พอเตรียมจะกระชากหัวใจของมันออกมาก็มีผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งมาห้าม”

ไพราสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอดและผ่อนออกมา

“จนบัดนี้ข้ายังนึกแปลกใจตัวเองว่าเหตุใดจึงปล่อยทั้งปิศาจและจามรีตัวนั้นให้รอดชีวิตเพียงเพราะคำพูดของนาง”

“อาจจะเป็นเพราะวิธีการพูดของนาง” มิสึกิพูดแทรกขึ้นมา”แสดงว่าผู้หญิงคนนี้ต้องเป็นคนที่ฉลาดมาก”
“ฉลาดน่ะใช่ แต่นางไม่ใช่คน” ไพราพูดและหันมาทางหญิงสาว”ผู้หญิงคนนั้นคือคาร์มู นักรบจามรีขาวของฝูงจามรีแห่งหิมาลัย”

ไพรากุมขนสัตว์สีขาวบนแขน

“ตอนแรกข้าคิดว่าเรื่องจะจบลงแต่ไม่ใช่เพราะหลังจากนั้นคาร์มูก็พยายามทุกวิถีทางที่จะทำให้ข้ายอมรับนางเป็นเพื่อน ทั้งพูดคุยตั้งคำถามและหว่านล้อมให้ข้าเลิกล่าจามรีเป็นอาหารด้วยการหาผลไม้ที่ข้าก็ไม่รู้ว่านางไปหามาจากไหนมาให้ คาร์มูทำเช่นนี้อยู่หลายเดือนซึ่งข้าก็ไม่ได้สนใจกระทั่งได้เห็นนางปกป้องลูกจามรีตัวหนึ่งจากปิศาจอย่างกล้าหาญ ข้าจึงยอมรับคาร์มูเป็นน้องสาว และด้วยเหตุนี้จึงทำให้ข้าได้รู้ว่าฝูงของนางอยู่ภายใต้การดูแลของจามรีเฒ่านามชิเคอรังผู้มีอายุมากกว่าเจ็ดร้อยปี ฝูงจามรีแห่งหิมาลัยทุกตัวมีเชื้อสายของปิศาจ หากบำเพ็ญตนได้เกินร้อยปีก็จะสามารถกลายร่างเป็นมนุษยซึ่งก็ทำได้แค่นั้น แต่ก็มีจามรีบางตัวที่นอกจากจะแปลงร่างได้แล้วยังมีพลังพิเศษอย่างอื่นอีกด้วย จามรีที่ว่านี้จะมีแค่หนึ่งหรือสองตัวเท่านั้นในช่วงเวลาร้อยปีและคาร์มูเองก็เป็นหนึ่งในนั้น เนื่องจากนางเป็นจามรีที่มีขนสีขาวสะอาดดุจหิมะจึงถูกเรียกว่าจามรีขาว”

“แสดงว่าในฝูงยังมีนักรบอีกคน”

มิสึกิพูด ไพราผงกศีรษะ

“นัคปู จามรีดำ เขาคือคนที่ข้าต่อสู้ด้วยในตอนแรก ความพ่ายแพ้ในครั้งนั้นทำให้เจ้านั่นมองข้าเป็นศัตรู”

“หากเขารู้ว่าความจริงแล้วท่านเป็นคนมีน้ำใจคงไม่คิดเช่นนั้น”

คำพูดอย่างบริสุทธิ์ใจของมิสึกิทำให้จอมอสูรชะงักเรื่องที่กำลงเล่า เขาหัวเราะออกมาเบาๆ

“ถึงรู้เขาก็ไม่มีวันที่จะทำใจยอมรับ และข้าเองก็ไม่สนใจ” ไพรายื่นมือไปรับกลีบดอกซากุระที่ปลิวมาตามสายลม

“คาร์มูก็เหมือนกับเจ้า นางช่วยเหลือผู้อื่นด้วยความจริงใจเสมอไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ สัตว์หรือปิศาจ การกระทำของนางทำให้ข้าประทับใจและตั้งปฏิญาณว่าจะเลิกกินเนื้อจามรีตลอดไป แม้จะต้องต่อสู้กับพวกปิศาจแต่คาร์มูกับข้าและเหล่าจามรีก็ดำเนินชีวิตอย่างเป็นสุขจนกระทั่งปิศาจแห่งฤดหนาวปรากฏตัวขึ้น มันประกาศชื่อตัวเองว่ากุนบุและบอกจุดประสงค์กับปิศาจทุกตัวว่าต้องการเป็นจ้าวแห่งหิมาลัย แน่นอนว่าทั้งอสูรและพวกปิศาจทั้งหลายไม่ยอมรับ มันจึงเริ่มลงมือสังหารทุกคนอย่างเลือดเย็น จนในที่สุดเมื่อไม่มีผู้ใดกล้าต่อกร กุนบุจึงเข้าครอบครองทุกอย่างแต่มันไม่มีวันได้เป็นจ้าวปิศาจตราบใดที่ยังมีข้าอยู่ กุนบุจึงขอท้าประลอง เราสู้กันอยู่สามวันแต่เจ้านั่นกลับใช้แผนสกปรกทำร้ายคาร์มูจนบาดเจ็บ ด้วยความเป็นห่วงว่านางจะเป็นอันตรายข้าจึงจำต้องล่าถอย หลังจากพานางกลับไปที่ฝูงแล้วข้าจึงย้อนไปหากุนบุอีกครั้งเพื่อจัดการให้จบเรื่องแต่คาดไม่ถึงเลยว่ามันจะใช้วิธีต่ำช้าเล่นงานข้า”

“เขาทำอะไร” มิสึกิถามด้วยความอยากรู้และนิ่งเงียบแทบจะทันทีเมื่อเห็นดวงตาสีเข้มทอแสงลุกโชนราวเปลวเพลิง

“มันฆ่าจามรีทั้งฝูงและลากคาร์มูมาฉีกทั้งเป็นบนลานน้ำแข็ง กว่าข้าจะไปถึงก็สายเกินไปจึงได้แต่หยิบแผ่นหนังและประคำของนางออกมาจากนั้นจึงเดินทางไปยังสุดขอบแผ่นดินเพราะคาร์มูเคยพูดว่าอยากเห็นทะเล”

มือเลื่อนขึ้นกุมขนสัตว์สีขาวบนท่อนแขนและกำแน่น ดวงตาของไพราแดงก่ำราวกำลังสะกดกลั้นหยาดน้ำตา

“สิ่งที่ข้าคิดไม่ถึงก็คือจามรีดำ เขาตามไปถึงที่นั่นเพราะเข้าใจผิดคิดว่าข้าเป็นคนสังหารคาร์มู แม้จะพยายามอธิบายยังไงนัคปูก็ไม่ยอมเข้าใจ ที่สุดเราจึงต้องต่อสู้กัน”

“ข้าไม่เข้าใจในเมื่อจามรีดำก็เป็นนักรบแต่ทำไมจึงมีเขาเพียงคนเดียวที่รอดชีวิต และทำไมถึงคิดว่าท่านเป็นคนฆ่าคาร์มู”

มิสึกิถามขัดขึ้น ไพราขบกรามก่อนตอบ

“กุนบุ เจ้านั่นลวงให้จามรีดำออกไปนอกฝูง หลังจากฆ่าคาร์มูแล้วมันได้ทิ้งอัญมณีประจำตัวของข้าเอาไว้บนกองเลือดของนางเพื่อที่เมื่อจามรีดำกลับมาเจอจะได้เข้าใจผิดคิดว่าข้าเป็นคนลงมือซึ่งก็เป็นเช่นนั้น ความแค้นของนัคปูทำให้เขาตามข้าไปจนถึงชายฝั่งทะเลและใช้พลังที่มีอยู่ทั้งหมดโจมตีข้าแต่ไม่สำเร็จ ช่วงที่พวกเรากำลังบอบช้ำกุนบุก็บุกเข้ามาจู่โจมโดยไม่รู้ตัว ข้าถูกพลังของมันอัดเข้าใส่เต็มที่จนตกลงไปในทะเล ในตอนนั้นข้าไม่มีเรี่ยวแรงเหลืออยู่เลย สิ่งที่ทำได้มีแต่เพียงพยุงตัวให้ลอยไปตามคลื่นกระทั่งมาถึงชายฝั่งแห่งหนึ่ง ยังไม่ทันได้รู้ว่าเป็นที่ไหนข้าก็ถูกผนึกเอาไว้ในประคำและถูกขังอยู่ในถ้ำจนเจ้าไปพบ”

ไพรายุติเรื่องของเขาลงและยืนนิ่งไม่พูดอะไรต่อจากนั้น มิสึกิมองเขาด้วยรู้สึกทั้งสงสารและเห็นใจแต่ก็ไม่กล้าที่จะเอ่ยคำปลอบโยน หลังจากลังเลอยู่อึดใจหญิงสาวจึงถาม

“กุนบุเป็นคนทำแบบนั้นกับท่านใช่ไหม”

จอมอสูรแค่นหัวเราะ

“หากเป็นเจ้านั่นคงเลือกที่จะสังหารข้ามากกว่ากักขัง”

“แล้วท่านจำได้หรือเปล่าว่าเป็นใคร”

มิสึกิซักไซ้เพราะต้องการหาเรื่องคุยมากกว่าอยากรู้ ไพราบดกรามตัวเองแน่นก่อนจะตอบด้วยเสียงลอดไรฟัน

“ข้าจำได้ไม่มีวันลืม นางคือหนึ่งในสี่จตุรเทพ เสือขาวเบียคโกะ”

“ไม่น่าเชื่อ เบียคโกะเป็นเทพเหตุใดจึงทำเช่นนั้น บางทีอาจจะเป็นเพราะนางไม่รู้จักท่านเลยเข้าใจผิดคิดว่าเป็นปิศาจร้าย”

จอมอสูรหัวเราะในลำคอ

“นางรู้จักข้าดี” เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า”มังกรน้ำเงินเซย์ริวเพื่อนข้าซึ่งเป็นหนึ่งในสี่
จตุเทพเช่นเดียวกันเคยบอกว่าทุกห้าร้อยปีเบียคโกะจะมีจิตกระหายเลือดดุจมาร นางทำได้ทุกอย่างแม้แต่สังหารมนุษย์เพียงเพื่อความสำราญใจ”

ไพราลดสายตาลงมาและจ้องนิ่งอยู่ที่มิสึกิซึ่ง ดวงหน้างดงามที่กำลังมองกลับมาทำให้หัวใจของอสูรหนุ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ เขาปรารถนาที่จะดึงหญิงสาวเข้ามากอดไว้แนบอกเพื่อปลอบประโลมหัวใจที่เป็นทุกข์และปัดเป่าให้มลายหายไป แต่จิตใจส่วนหนึ่งกระตุ้นให้สำนึกถึงเกียรติของนาง ไพราจึงจำต้องสลัดความคิดทั้งหมดพร้อมกับถอนใจออกมา เมื่อเขามองมิสึกิอีกครั้งและเห็นตาคู่งามกำลังฉายความลังเลออกมาจางๆ อสูรหนุ่มจึงรู้ทันทีว่านางคิดสิ่งใด

“จะเล่าให้เขาฟังก็ได้”

มิสึกิสะดุ้งและมองอีกฝ่ายอย่างตระหนก

“ท่านพูดเรื่องอะไร”

“เจ้าหนุ่มนักรำพัด เจ้ากำลังคิดว่าควรจะเล่าเรื่องของข้าให้เขาฟังดีไหม” ไพราตอบและยิ้ม หญิงสาวรีบส่ายหน้าพร้อมกับกล่าวปฏิเสธ

“แต่มันเป็นการไม่สมควร...”

“ไม่เป็นไร อย่างน้อยสิ่งที่เกิดขึ้นกับข้า อาจทำให้เขารู้จักการปกป้องคนรักมากขึ้น”

จอมอสูรกล่าวพลางยื่นมือออกไปแตะพวงแก้มปลั่ง

“ข้าก็เช่นกัน”

ไพราพูดพึมพำและเลือนหายไปพร้อมกับสายลม ทิ้งให้มิสึกิยืนงุนงงต่อการกระทำของเขาท่ามกลางกลีบซากุระที่โปรยปราย

“ไพรา”

หญิงสาวเรียกชื่อจอมอสูรเสียงแผ่วพลางยกมือขึ้นจับแก้มข้างที่ถูกสัมผัสและหลับตาลงด้วยความรู้สึกสงสารอสูรหนุ่มอย่างสุดหัวใจ


*/*/*/*/*/*/*



Create Date : 25 กรกฎาคม 2555
Last Update : 25 กรกฎาคม 2555 20:45:37 น.
Counter : 546 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

กิสึเนะ
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



moony ค่ะ เป็นคนชอบสร้างจินตนาการมาตั้งแต่เด็ก เคยวาดการ์ตูนไว้เป็นเล่ม แต่เก็บไว้อ่านเอง นิยายเรื่องแรกที่เขียนเป็นแนวจีนกำลังภายใน ตอนหลังรู้จักเน็ตจึงเริ่มสร้างสรรเรื่องอื่นบ้างแต่ส่วนใหญ่เป็นแนวแฟนตาซี
All Blog