เซ็ฯซู ภาค จอมอสูรจากหิมาลัย บทที่ 15 ภูตลม

บทที่ 15

ภูตลม

เสียงร้องอันไพเราะของนกกระจิบที่เกาะอยู่บนกิ่งซากุระดึงความสนใจของฟุคิบิที่กำลังเดินบนระเบียงให้เงยหน้าขึ้นไปมอง ภาพของนกน้อยสองตัวที่กำลังกระโดดไปมาบนกิ่งไม้อย่างร่าเริงทำให้ข้ารับใช้หนุ่มประจำบ้านฟูจิวาระอมยิ้มด้วยความเอ็นดู หลังจากชื่นชมความน่ารักของวิหคอยู่ครู่หนึ่งเขาจึงลดสายตาลงและก้าวตรงไปยังห้องนักนาฏกรรมหนุ่มผู้เป็นนาย ซึ่งเมื่อไปถึงฟุคิบิได้กล่าวคำขออนุญาตก่อนจะเปิดประตูเข้าไปในห้องและค้อมตัวลงแสดงความเคารพต่อ
ฮารุคาเสะ

“ข้านำเสื้อผ้ามาให้ขอรับ” ฟุคิบิพูดอย่างนอบน้อม อีกฝ่ายซึ่งดูเหมือนจะเพิ่งเสร็จสิ้นจากการชำระร่างกายเพราะกำลังใช้ผ้าซับหยดน้ำบนใบหน้าและท่อนแขนทั้งสองข้างผงกศีรษะ

“ขอบใจ”

“ข้าเตรียมชาและอาหารเช้าไว้เรียบร้อยแล้ว จะให้ยกมาเลยไหมขอรับ”

ฮารุคาเสะสั่นศีรษะอย่างเคร่งขรึม

“ยังไม่ต้อง ข้าอยากจะทำธุระบางอย่างก่อน เสร็จแล้วจะเรียกเจ้าเอง” ชายหนุ่มพูดพลางส่งผ้าเช็ดตัวให้กับฟุคิบิและยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าละล้าละลัง “ที่นี่ไม่ใช่บ้านฟูจิวาระ ข้าดูแลตัวเองได้ เจ้าไปคอยช่วยพวกนักดนตรีเถอะ”

“ขอรับ”

ฟุคิบิค้อมตัวลงพร้อมกับกล่าวรับคำและออกจากห้องไปตามคำสั่ง หลังจากข้ารับใช้เดินไปไกลพอสมควรแล้วฮารุคาเสะจึงถอดเสื้อผ้าชุดเก่าออกแต่ยังไม่ทันที่จะปลดเชือกรัดกางเกงชายหนุ่มก็ต้องหยุดชะงักเมื่อสัมผัสถึงแรงกดดันอันรุนแรงแผ่มาจากด้านหนึ่งของห้อง มือเลื่อนไปหยิบพัดที่วางไว้บนโต๊ะทันทีตามสัญชาตญาณแต่ยังช้ากว่าหางสีดำสลับขาวที่พุ่งออกมาจากผนังห้องรวบพัดทั้งคู่ไปอย่างรวดเร็ว ฮารุคาเสะเบนสายตามองตาม คิ้วเมขมวดเข้าหากันด้วยความโกรธเมื่อเห็นหางเก้าเส้นกำลังแกว่งไกวอย่างร่าเริงเบื้องหลังเรือนร่างอันงดงาม

“เบียคโกะ” ชายหนุ่มเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงแทบจะเป็นคำราม มารเสือขาวเหยียดยิ้มอย่างยั่วเย้าขณะคลี่พัดเล่มหนึ่งออกและมองอย่างพิจารณา

“คิดว่าจะทำมาจากอะไรเป็นพิเศษที่แท้ก็เป็นแค่พัดธรรมดา” นิ้วเรียวสวยลูบไปตามด้ามไล่ไปจนถึงพู่ไหมสีแดงสด ดวงตาสีอำพันเหลือบขึ้นมองฮารุคาเสะ “สิ่งที่แตกต่างไปก็คือพู่ประดับนี่ต่างหาก เจ้าจะบอกข้าได้หรือยังว่ามันเป็นเส้นผมของปิศาจตนใด”

ฮารุคาเสะหยิบเสื้อขึ้นมาสวมพร้อมกับกล่าวอย่างไม่พอใจนัก

“จะรอให้ข้าแต่งตัวเสร็จก่อนไม่ได้หรือ”

“วิธีปลอดภัยที่สุดในการเข้าใกล้เจ้าคือเวลาที่พัดอยู่ห่างจากตัว ซึ่งเจ้าจะทำเช่นนี้ก็ต่อเมื่อตอนเข้าห้องอาบน้ำเพราะถึงจะเป็นนักนาฏกรรมและผู้ปราบมารเจ้าคงไม่นำพัดติดไปด้วยแน่”

คำพูดของเบียคโกะทำให้ใบหน้าของฮารุคาเสะเข้มขึ้นเล็กน้อย เขาจ้องมารเสือขาวที่กำลังโบกพัดไปมาอย่างสนุกสนานและเอ่ยถามเสียงห้วน

“หมายความว่าเจ้ารอข้าอยู่นานแล้ว”

“ใช่” เบียคโกะตอบพลางมองเขาด้วยหางตาและยิ้มอย่างยั่วยวน “ตอนแรกข้าก็คิดจะเข้าไปคุยในห้องนั้นเลยแต่กลัวเจ้าจะเขินอายเลยอดใจรอให้อาบน้ำจนเสร็จเรียบร้อยก่อน”

ดวงตาสีเหลืองอำพันไล่มองแผ่นอกในสภาพที่เกือบจะเปลือยเปล่าอย่างซุกซน

“แต่ไม่ว่าจะเป็นตอนไหนก็น่าดูไม่แพ้กัน”

สายลมรุนแรงพุ่งออกจากตัวฮารุคาะเสะวิ่งเข้าใส่เบียคโกะทันที นางเพียงใช้มือข้างหนึ่งปัดออกไปอย่างรำคาญ

“จะต้องให้บอกกี่ครั้งว่าเจ้าไม่มีทางทำอะไรข้าได้”

“เจ้ามีธุระอะไร” ชายหนุ่มถามเสียงเข้มและขบกรามแน่นเมื่อถูกหางของมารเสือขาวพันรอบตัว

“เป็นคำถามที่ไม่ถนอมน้ำใจกันสักนิด ข้าหรืออุตส่าห์ยอมอดทนรอตั้งแต่เช้ากระทั่งอสูรตนนั้นออกไปจากปราสาทจึงเข้ามาหาเจ้า น่าจะกล่าวอะไรที่ฟังแล้วรื่นหูกว่านี้”

“นอกจากเสียงร่ำไห้ของมนุษย์แล้วมารร้ายอย่างเจ้ายังต้องการได้ยินสิ่งใดอีก” ฮารุคาเสะพูดเป็นเชิงประชด เบียคโกะยกพัดขึ้นป้องปากตนเองด้วยกิริยาของสาวน้อยที่กำลังอยู่ในอาการเขินอาย

“ข้าเบื่อเสียงพวกนั้นแล้ว สิ่งที่อยากได้ยินในตอนนี้ก็คือชาติกำเนิดของเจ้าต่างหาก” นางยื่นหน้าเข้าไปหาอีกฝ่าย”สัญญาไว้ไม่ใช่หรือว่าจะเล่าให้ข้าฟัง”

ฮารุคาเสะกำมือแน่นขณะพยายามใช้พลังของสายลมบั่นหางมารเสือขาวที่พันรอบตัวแต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผลเพราะนอกจากจะไม่สามารถทำอะไรได้แล้วมันกลับรัดแน่นขึ้นแถมหางเส้นหนึ่งยังเลื่อนเข้าไปในเสื้อและไล้แผ่นอกของเขาอย่างย่ามใจ ชายหนุ่มขยับตัวอย่างนึกรังเกียจพร้อมกับพูด

“ข้าเคยบอกเจ้าไปแล้วไม่ใช่หรือว่าตระกูลฟูจิวาระเป็นเพียงนักนาฏกรรม”

“ตระกูลของเจ้าเป็นผู้ปรนนิบัติเทพวายุ การร่ายรำซึ่งถือปฏิบัติกันมานานก็เพื่อปลอบประโลมภูตลมให้สงบเท่านั้นแต่ไม่มีผู้ใดมีอำนาจในการปราบมารเหมือนกับเจ้า”

ดวงตาวาววับมองฮารุคาเสะอย่างจ้องจับผิด

“เจ้ามีพลังในการควบคุมสายลมได้อย่างไร”

“ข้าเรียนมาจากตำราไสยเวทประจำตระกูล” นักนาฏกรรมหนุ่มตอบ เบียคโกะสะบัดพัดเสียงดังพรึ่บพร้อมกับกล่าวสวนขึ้นมาทันควัน

“อย่ามาโกหก ตระกูลของเจ้าเชี่ยวชาญในเรื่องการร่ายรำเท่านั้น ไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับมนตร์มายาเลยสักนิด”

มารเสือขาวก้าวเข้าไปใกล้ฮารุคาเสะและวางกรงเล็บลงบนลำคอของเขา

“จะยอมเล่าให้ฟังแต่โดยดีหรือรอให้ข้าเจาะคอแสนสวยของเจ้าก่อนจึงค่อยสาธยาย”

ปลายเล็บคมกริบกดลงไปบนเนื้อเรียกเลือดสีแดงเข้มไหลซึมออกมา แต่ฮารุคาเสะกลับไม่สนใจ เขามองเบียคโกะด้วยสีหน้าเฉยชาปราศจากความรู้สึก มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่ฉายความชิงชังออกมาอย่างไม่ปิดบัง

“ข้าไม่มีอะไรจะเล่าให้เจ้าฟัง”

น้ำเสียงราบเรียบไร้ความยำเกรงทำให้มารเสือขาวต้องขบกรามแน่น แต่แทนที่จะลงมือสังหารชายหนุ่มตามคำขู่นางกลับลดมือลงและถอยหลังออกไปสองสามก้าว ดวงตาที่เต็มไปด้วยประกายโทสะจ้องฮารุคาเสะเขม็ง

“ลืมไปว่านักปราบมารผู้หนักแน่นอย่างเจ้าคงไม่ยอมเปิดปากพูดอะไรโดยง่าย” เบียคโกะคลี่พัดออกและโบกไปมาอย่างเชื่องช้า ใบหน้างดงามเบือนไปยังตำหนักของมิสึกิ ริมฝีปากได้รูปเหยียดยิ้ม

“อยากรู้จริงว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากกรงเล็บของข้าวางบนลำคอระหงของบุตรียาสึฮิระ” ดวงตาสีอำพันเลื่อนกลับมายังฮารุคาเสะ เขากำมือแน่นด้วยความโกรธ

“อย่าแตะต้องมิสึกิ”

“ถ้าเจ้ายอมเล่าทุกอย่างนางก็จะปลอดภัย”

มารเสือขาวตอบเสียงเย็น เมื่อเห็นอีกฝ่ายอ้ำอึ้งคล้ายกำลังตัดสินใจนางจึงรวบพัดในมือและยื่นไปข้างหน้าโดยจงใจให้พู่ไหมสีแดงที่ประดับอยู่นั้นแกว่งไหวพร้อมกับเอ่ยถาม

“พู่ไหมนี่เป็นเส้นผมของปิศาจตนใด”

ฮารุคาเสะขบกรามด้วยความแค้นแต่เพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของสตรีอันเป็นที่รักเขาจึงต้องก้มหน้าลงและตอบอย่างจำใจ

“ภูตลม”

คิ้วสวยเลิกสูงด้วยความแปลกใจขณะดึงพัดกลับเข้าไปพิจารณา ดูเหมือนตัวพู่ไหมเองจะรับรู้ถึงพลังเทพมารของเบียคโกะเพราะมันเริ่มสั่นไหวราวกับมีชีวิตพร้อมกับปล่อยสายลมเป็นคลื่นออกมาอย่างบางเบา

“ไม่น่าเชื่อว่าภูตลมจะยอมสละเส้นผมให้มนุษย์” มารเสือขาวกล่าวและหยุดนิ่งไปเล็กน้อยประกายบางอบ่างทอวาบขึ้นในดวงตา นางหันไปทางฮารุคาเสะ

”หรือภูตลมที่เจ้าพูดถึงนี่คือเทพจากศาลเจ้าวายุ”

ชายหนุ่มผงกศีรษะแทนการตอบคำ เบียคโกะนิ่วหน้าด้วยความสงสัย

“ต่อให้เป็นผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ ก็ไม่น่าเป็นไปได้ที่เทพจะมอบของประจำตัวให้ โดยเฉพาะเส้นผมซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวและเป็นสิ่งสำคัญ” นางขยับเข้าไปใกล้ชายหนุ่มอีกครั้ง”ภูตลมผู้นั้นมีนามว่าอะไร ด้วยเหตุผลใดจึงยอมสละเส้นผมอันมีค่านี้ให้กับเจ้า”

“ฟูจิน”ฮารุคาเสะตอบสั้นๆและนิ่งไปเล็กน้อยคล้ายลังเลในคำพูดที่จะกล่าวต่อไป แต่เมื่อเห็นดวงตาสีเหลืองทองที่กำลังจ้องเขม็งราวกับรอคอยเขาจึงสูดลมหายใจเข้าก่อนจะหลุดคำพูดออกมา

“นางเป็นแม่ของข้า”

ดูเหมือนสิ่งที่ได้ยินจะอยู่นอกเหนือความคาดหมายเพราะเบียคโกะยืนทำตาโตนิ่งอย่างคิดไม่ถึงอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อตั้งสติได้นางจึงยกพัดคู่ขึ้นมาและมองพู่ประดับสีแดงสดที่กำลังแกว่งไหวคล้ายร้องเรียกหาผู้ที่เป็นเจ้าของ ดวงตาคมกริบเลื่อนไปยังฮารุคาเสะอีกครั้ง

“พลังการควบคุมสายลมของเจ้าเกิดจากสายเลือดของภูตลม มิได้มาจากการร่ำเรียนตามที่ข้าคิดจริงๆ แต่ฟูจินเป็นภูต ย่อมไม่มีการดับสลายเหมือนปิศาจหรือมนุษย์ เท่าที่ข้าสัมผัสได้ในเวลานี้มีเพียงคลื่นพลังแผ่วเบาวนเวียนอยู่ในศาลเจ้าเท่านั้น เจ้าพอจะบอกได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกับนาง”

ฮารุคาเสะมองมารเสือขาวด้วยความแปลกใจ

“เจ้าพูดเหมือนรู้จักแม่ของข้าดี”

“ข้าคือเบียคโกะผู้ควบคุมเทพวายุทั้งปวง” นางตอบอย่างเคร่งขรึมและขมวดคิ้วเมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังทำสีหน้าคล้ายไม่เชื่อถือ”มีภูตลมนามฟูจินอยู่สองสามคนที่ข้ารู้จัก หนึ่งในนั้นเป็นหญิงที่มีเรือนผมสีแดงเพลิงแสนงดงาม”

เบียคโกะชูพัดในมือขึ้นและสะบัดให้พู่ไหมกวัดแกว่งอย่างจงใจ

“ที่น่าแปลกใจก็คือเมื่อ 17 ปีก่อนนางได้หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย บอกข้าหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะฟูจินมีพลังแข็งแกร่งชนิดที่แม้มนุษย์ทรงเวทที่สุดก็ไม่อาจต่อกร ดังนั้นต้องมีสาเหตุบางอย่างที่ทำให้นางต้องสลายหายไป”

“ไม่ได้สลาย แต่เป็นการมอบดวงจิต พลังและวิญญาณให้กับชีวิตใหม่ต่างหาก” ชายหนุ่มตอบด้วยเสียงที่ไม่ดังนัก มือทั้งสองข้างที่เคยขัดขืนต่อสู้กับหางที่พันรัดรอบร่างผ่อนคลายลง ใบหน้าที่เคยนิ่งสงบฉายความเศร้าออกมาจางๆ มารเสือขาวมองท่าทางที่เปลี่ยนไปของชายหนุ่มพลางขมวดคิ้ว

“ข้าไม่เข้าใจ”

ฮารุคาเสะขบกรามพร้อมกับหลับตาลงคล้ายต้องการสงบจิตใจขณะหวนรำลึกถึงอดีต เมื่อลืมตาขึ้นเขาจึงเล่าเรื่องราวของตนด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่ฟังเหมือนพยายามสะกดให้ราบเรียบ

“อย่างที่เจ้ารู้ ตระกูลฟูจิวาระของเรามีหน้าที่รับใช้ศาลเจ้าวายุ แต่แม้จะมีการประกอบพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์รวมถึงการร่ายรำเพื่อปลอบประโลมเทพฟูจินมายาวนานแต่ไม่มีผู้ใดเคยเห็นร่างที่แท้จริงของเทพที่สถิตย์อยู่ภายในศาล จนเมื่อ 20 ปีก่อนได้เกิดศึกระหว่างทาคุฮันกับคาสึรางิ โคะโตโระซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ระหว่างกลางจึงถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ท่านยาสึฮิระ โมโตคาระซึ่งเป็นเจ้าเมืองในเวลานั้นจึงเดินทางมาขอความช่วยเหลือที่ศาลเจ้าฟูจิน และในค่ำคืนนั้นเองก็บังเกิดพายุพัดโหมกระหน่ำอย่างรุนแรงทำลายกองทัพทั้งสองฝ่ายจนต้องถอยร่นกลับแคว้น เมืองโคะโตโระของเราจึงรอดพ้นจากความพินาศของสงคราม”

“แล้วเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเจ้ายังไง”

เบียคโกะถามแทรกขึ้นพลางคลายหางที่พันรอบตัวฮารุคาเสะออกปล่อยเขาให้เป็นอิสระ ชายหนุ่มรีบขยับเตรียมจะเรียกสายลมเพื่อโจมตีแต่เมื่อเห็นสีหน้าของนางที่กำลังฟังอย่างตั้งใจแล้วจึงล้มเลิกความคิดนั้นและวกกลับไปเล่าเรื่องราว

“พ่อของข้าเห็นเทพฟูจินตอนที่กำลังสร้างพายุพอดี ในครั้งแรกท่านเองก็ตกใจจนแทบสิ้นสติด้วยความคาดไม่ถึงว่าเทพผู้ที่ตระกูลฟูจิวาระรับใช้มานานนั้นแท้จริงแล้วเป็นสตรี เมื่อตั้งสติได้ท่านจึงเฝ้ามองด้วยความรู้สึกชื่นชมเพราะนอกจากพลังทำลายที่น่าเกรงขามแล้วเทพวายุผู้นั้นยังเปี่ยมไปด้วยความงามอันชวนตะลึง แต่หลังจากปลดปล่อยพลังขับไล่กองทัพทาคุฮันและคาสึรางิไปจนหมดสิ้นแล้วเทพฟูจินก็ล้มลง พ่อของข้าจึงนำนางไปรักษาตัวที่บ้าน ระหว่างที่อยู่ในช่วงพักฟื้นทั้งสองก็บังเกิดความรักต่อกันจนข้าถือกำเนิดขึ้นมา”

สีหน้าของฮารุคาเสะเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย

“แม้จะเป็นรักแท้แต่ภูตกับมนุษย์นั้นไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ การมีบุตรก็เหมือนเป็นการทำลายจิตวิญาณของภูตลม เพราะหากต้องการคงสภาพความเป็นเทพวายุก็ต้องละทิ้งทุกอย่างรวมทั้งชีวิตของทารกในครรถ์ แต่แม่ของข้ากลับทำสิ่งที่ตรงกันข้าม เพราะเมื่อข้าลืมตาดูโลกและได้ดื่มนมจากอกของมารดาครั้งแรก นางก็มอบพลังชีวิตและอำนาจการควบคุมสายลมให้ ท่านพ่อบอกว่านั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่เห็นแม่ของข้าในร่างมนุษย์เพราะหลังจากนั้นนางก็สูญสลายหายไป เหลือไว้เพียงเส้นผมสีแดงเพลิงที่วางไว้ข้างเบาะกับจิตใจที่เปี่ยมไปด้วยความรักที่ยังคงหมุนวนอยู่รอบตัวข้าจนกระทั่งเติบใหญ่ ซึ่งข้าคิดว่าเจ้าคงสัมผัสความอบอุ่นนั้นได้จากศาลเจ้าวายุ”

ฮารุคาเสะจบเรื่องของตนด้วยประโยคที่หันไปกล่าวกับเบียคโกะ นางเหยียดยิ้ม

“ที่แท้สายลมที่โจมตีข้าในตอนนั้นก็คือพลังที่หลงเหลือของฟูจินนั่นเอง สิ่งที่แม่ของเจ้าทิ้งไว้ให้ไม่ได้มีแค่ความอบอุ่นเท่านั้น มันยังมีอำนาจในการขับไล่ผู้ที่คิดร้ายต่อเจ้าด้วยฮารุคาเสะ”

“น่าเสียดายที่พลังนั้นอ่อนเกินไป” ชายหนุ่มพูดพลางมองอีกฝ่ายด้วยดวงตาวาว มารเสือขาวเปล่งเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นราวกับสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่นั้นเป็นเรื่องขบขันเสียเหลือเกิน

 “ต่อให้ฟูจินมีพลังเต็มเปี่ยมก็ไม่มีวันแม้แต่จะสร้างรอยข่วนบนปลายหางของข้า” นางคลี่พัดคู่ในมือและโบกไปมาในท่าร่ายรำพร้อมกับชายดวงตาซึ่งทอประกายวาววับไปทางฮารุคาเสะ รอยยิ้มสาสมใจผุดขึ้นบนเรียวปากเมื่อเห็นใบหน้างามกำลังบึ้งตึงด้วยความโกรธ 

“ลืมไปแล้วหรือว่าหางของเจ้าเคยถูกสายลมข้าบั่นจนขาดสะบั้น”

เบียคโกะยุติการเล่นในทันทีและจ้องอีกฝ่ายแน่วนิ่ง แม้สีหน้าจะราบเรียบปราศจากอารมณ์แต่ฮารุคาเสะกลับมองเห็นความขุ่นเคืองกำลังเต้นระริกอยู่ภายในดวงตา ขณะที่กำลังคิดว่ามารเสือขาวจะใช้วิธีใดจัดการกับตนอยู่นั้นจู่ๆพัดคู่ก็ถูกโยนกลับมา ชายหนุ่มรีบรับมาถือไว้อย่างว่องไวและมองมารร้ายอย่างงุนงง ช่วงจังหวะที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัวนั่นเองเขาก็ถูกหางเส้นหนึ่งเลื่อนมาพันรอบคอ ฮารุคาเสะสะบัดพัดในมือตัดมันทันทีแต่ยังไม่ทันได้ทำสิ่งใดนอกเหนือไปจากนั้นแขนทั้งสองข้างก็ถูกหางอีกสองเส้นรัดเอาไว้และถูกกระชากอย่างแรงจนหงายหลังลงไปนอนกับพื้น

“ทำได้แค่นี้คิดว่าเก่งแล้วหรือ” เบียคโกะพูดเสียงเย็นพลางยื่นหางที่ถูกตัดขาดไปตรงหน้านักนาฏกรรมหนุ่ม เขาขบกรามแน่นเมื่อเห็นมันเริ่มงอกขึ้นมาใหม่อีกครั้งจนสมบูรณ์ดังเดิม มารเสือขาวย่อตัวลงนั่งข้างตัวเขาและก้มลงไปจนเกือบจะชิดใบหน้าพร้อมกับกล่าว

“ข้าคือเบียคโกะ หนึ่งในจตุรเทพรักษาทิศ ขอเตือนด้วยความหวังดีว่าอย่าได้ผยองนักเพราะต่อให้ผู้มีพลังเข้มแข็งอย่างเจ้าอีกร้อยคนก็ไม่มีทางทำอะไรเจ้าแห่งวายุผู้ดำรงมานานนับพันปีอย่างข้าได้”

นางยืนขึ้นโดยยังคงมองฮารุคาเสะด้วยดวงตาที่ทำให้เขาต้องไหวเยือกไปทั้งตัว

“พบกันครั้งหน้าข้าจะไม่รามือให้เจ้าอีก ลาก่อนฟูจิวาระ ฮารุคาเสะ”

หางที่รัดแขนทั้งสองข้างค่อยๆเลือนลางและจางหายไปพร้อมกับร่างของมารเสือขาว ชายหนุ่มรีบลุกยืนขึ้นทันทีที่เป็นอิสระเมื่อพบว่าศัตรูตัวร้ายจากไปแล้วเขาจึงทำได้แต่เพียงกำพัดในมือแน่นพร้อมกับพูดด้วยความแค้นใจ

“ข้าไม่มีวันยอมแพ้เจ้าเช่นเดียวกัน เบียคโกะ”

*/*/*/*/*

 




Create Date : 03 กรกฎาคม 2555
Last Update : 3 กรกฎาคม 2555 11:04:44 น.
Counter : 619 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

กิสึเนะ
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



moony ค่ะ เป็นคนชอบสร้างจินตนาการมาตั้งแต่เด็ก เคยวาดการ์ตูนไว้เป็นเล่ม แต่เก็บไว้อ่านเอง นิยายเรื่องแรกที่เขียนเป็นแนวจีนกำลังภายใน ตอนหลังรู้จักเน็ตจึงเริ่มสร้างสรรเรื่องอื่นบ้างแต่ส่วนใหญ่เป็นแนวแฟนตาซี
All Blog