วันนี้ (๑๑ ต.ค.๕๕) ผมได้ไปเป็นวิทยากร ในงานสัมนา ธรรมาภิบาลในภาคความมั่นคง หรือ Security Sector ที่จัดโดย FES , DCAF และ สถาบันพระปกเกล้า (KPI) ที่ รร. Siam City Hotel กรุงเทพ จึงขอเล่าบรรยากาศให้ฟังครับ
การสัมมนา มี พล.อ.เอกชัยฯ ผอ.สำนักสันติวิธี สถาบันพระปกเกล้า เป็นผู้ดำเนินรายการ มีนายพงษ์เทพ เทพกาญจนา และ การเปิดอภิปรายโดยผู้อำนวการสถาบัน FES ซึ่งเป็นชาวเยอรมัน ท่านยาวพอสมควร แต่ความสรุปว่า ประเทศประชาธิปไตย ต้องยึดมั่นในหลักกฎหมาย ต้องมี Accountability หรือความรับผิดชอบ และประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ การใช้อำนาจของทุกฝ่าย รวมถึงเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้น จะต้องกระทำโดยชอบและสอดคล้องกับหลักประชาธิปไตย การดำเนินโีครงการเกี่ยวกับการรณรงค์ให้มี Security Reform หรือปฎิรูปภาคความมั่นคง คือ ทหาร และตำรวจ จึงมีความสำัคัญมาก ต่อการพัฒนาประเทศและการประกันสิทธิและเสรีภาพของประชาชน
มีการนำเสนอว่า ภาค Security นั้น จะต้องมีการควบคุมโดยฝ่ายการเมืองพลเรือน (Civilian Control) มิเช่นนั้น ไม่ถือเป็นประเทศประชาธิปไตยได้ พล.อ.เอกชัย ฯ กล่าวว่า เพ้อเจ้อมาก ๆ เพราะหลักธรรมาภิบาลในกองทัพนั้น ไม่เคยมีอยู่จริง รัฐบาลพลเรือนไม่เคยมีอำนาจเหนือทหาร ทหารเท่านั้น ที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ อย่าว่าแต่จะปลด ผบ.เหล่าทัพเลย แม้กระทั่งจะตั้งปลัดกระทรวงกลาโหม ยังตั้งไม่ได้ จะไปคิดอะไรมาก ธรรมาภิบาล จึงเป็นเรื่องห่างไกลกับประเทศไทยมาก
ผมได้เสนอเกี่ยวกับการปฏิรูประบบงานตำรวจ ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงองค์กรควบคุมการบริหารงานตำรวจ ให้เหมือนญี่ปุ่น หรือประเทศที่เจริญแล้ว ที่ประชาชนจะต้องเข้าไปมีส่วนในการเลือกกรรมการ ก.ตร. การลดสายการบังคับให้สั้นลง โดยจากส่วนกลาง ให้ลงไปถึงจังหวัดเลย โดยไม่ต้องมีกองบัญชาการ และการแต่งตั้งโยกย้ายให้มีเฉพาะในจังหวัดนั้น ๆ .....
ผมได้พูดถึงการปฏิรูปทหาร ต้องเริ่มที่การศึกษา เพราะทหารไม่ได้เคยมี Mind Set ว่าประชาชนเป็นเจ้าของประเทศ ไม่มีเคยเคารพประชาชนเจ้าของเงินภาษีให้ทหารมีเงินเดือนรับประทาน แต่ทหารคิดว่าตัวเองเป็นผู้ิวิเศษ ที่จะนำพาชาติรอด ในทางตรงกันข้าม การทำรัฐประหารของทหาร ทำให้ชาติเสียหาย นับแต่ปี พ.ศ.๒๕๐๐ เป็นต้นมา เพราะประชาชนไม่เคยได้มีโอกาสพัฒนาตนเอง และเรียนรู้ประชาธิปไตยแต่ประการใด
ผมได้กล่าวว่า นร.ทหาร กับ นร.ตำรวจ ต่างกันที่เรียนกฎหมาย และสิทธิมนุษยชนนี่แหละครับ ตำรวจต้องปฎิญาณทุกวัน จะพิทักษ์รักษารัฐธรรมนูญ ต้องเคารพประชาชน ประชาชนเป็นเจ้านายของเรา แต่ทหารไม่เคยมีการปลูกฝังเรื่องพวกนี้เลย แต่สอนให้รับฟังคำสั่งผู้บังคับบัญชาเท่านั้น ไม่ได้เคารพประชาชนเจ้าของประเทศนี้ ดังนั้น ถ้าเกิดมีการสั่งการให้ ตำรวจไปฆ่าประชาชน ตำรวจจะไม่ทำโดยเด็ดขาด .... เพราะรู้ว่าทำไม่ได้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลทางมนุษยธรรม หรือกฎหมาย
ผู้แทนทหาร พยายามพูดว่า ทหารเหมือนคนคุมคนขับรถเมล์ หากเลวร้าย ขับรถไม่ได้เรื่อง ทหารจะยึดพวกมาลัยแล้ว ขับรถเมล์แทน ... เมื่อเห็นว่าดี ก็ปล่อยให้คนขับต่อไป แต่ผมถามว่า ที่บอกว่า ฝ่ายการเมืองไม่ดีนั้น แล้วที่รัฐประหารไปหลายสิบครั้งนั้น ทหารที่ยึดอำนาจล้วนร่ำรวย ตรวจสอบก็ไม่ได้ ตรงกันข้ามกับฝ่ายการเมือง ด่าได้ ประณามได้ ตรวจสอบได้ อะไรจะดีกว่ากัน ????
ผมพูดถึงองค์กรที่สำคัญที่จะยับยั้งรัฐประหาร คือ ศาลฎีกา ถ้าศาลฎีกา กล้าตัดสินตามหลักกฎหมายที่ดี คือ รัฐประหาร ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ ก็ไม่ได้อำนาจอธิปไตย ต้องระวางโทษประหารชีวิตเสมอ ผมพูดเช่นนี้ ก็เปรียบเทียบว่า กระทำสำเร็จเป็นรัฐาธิปัตย์ ดังนั้น ถ้าลักทรัพย์สำเร็จ ก็ควรจะได้เป็นเจ้าของทรัพย์นั้นด้วย ใช่ไหม ???
คำพิพากษาศาลฎีกาเช่นนี้ จึงไม่ควรเกิดขึ้นเลย ถ้าศาลยุติธรรมกล้าพิพากษาว่า รัฐประหารจะสำเร็จหรือไม่ ก็ยังเป็นความผิดอยู่เช่นนั้น รัฐประหารก็จะไม่เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะองค์กรศาลเอง ก็มีปัญหา ไม่กล้าหาญ และ ขาดการตรวจสอบเช่นกัน
สุดท้าย ผมมีประชุมที่รัฐสภา ผมจึงได้ออกมาก่อน ได้ยินว่า บรรดาทหารที่นั่งอยู่ก่อนหน้าตอนผมอยู่ด้วย ที่เคยนั่งเงียบกริบ ตอนผมนั่งอยู่และตอบโต้ทุกเม็ดด้วยกฎหมายและเหตุผล พอผมไป ก็รุมด่าผมใหญ่เลย ทหารบางส่วนเหล่านั้น ยศนายพลเอก แต่โคตรแมนจริง ๆ 555
ไม่ได้จะแนะนำน้าา แต่ว่าสิ่งที่พี่รู้มันเกินความสามารถคนอื่น ๆ เยอะ
จนไม่อาจอธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ ได้ ไม่อาจทำให้ยอมรับง่าย ๆ ได้
คือพี่เรียนมา ได้เห็นอะไร ๆ มาก็รู้ แต่คนอื่นเขาแคบกว่าก็เข้าใจยาก
คือคนฉลาด ๆ เรียนรู้ ศึกษามาตั้งกี่ปี ๆ จะแป๊บเดียวให้คนไม่รู้เข้าใจก็เป็นไปไม่ได้
คือถ้าคิดว่าพูดไปเขาคงไม่เข้าใจ กลัวจะไปสร้างศัตรูอีก
ปล.วันนี้เจอพี่ต้นบน BTS ด้วยครับ บังเอิญจริง ๆ
พี่ต้นที่ตัวสูง ๆ ที่เคยฝากผมไปอยู่ด้วยน่ะ