Iceicy Blog Dhamma หน้าแรก หลักธรรม ปรัชญา ท่องเที่ยวธรรม เก็บตกธรรม บทสวดมนต์ บทเพลงธรรม เว็บบอร์ด iceicy ไอที ไดอารี่
Link to us:
Group Blog
 
All blogs
 

"พ้นแล้วโว้ย!!" ปริศนาธรรมจากภาพ ท่านพุทธทาส อินทปัญโญ








 








พ้นแล้วโว้ย ท่านพุทธทาส



บัดนี้เมฆ ลอยพ้น ยอดเจดีย์
ทั้งโรงโบสถ์ มากมี และวิหาร
เมฆรวมตัว เป็นภาพ พิสดาร
บอกอาการ "พ้นแล้วโว้ย" โปรยยิ้มมา

ตะโกนร้อง บอกสหาย สิ้นทั้งผอง
ว่าไม่ต้อง เสียเที่ยว เที่ยวค้นหา
อนันตสุข ในโลกนี้ ที่หวังมา
เหมือนเที่ยวหา หนวดเต่า ตายเปล่าแล

สุขแท้จริง จิตไม่วิ่ง ไปตามโลภ
อยู่เหนือความ ทุกข์โศก ทุกกระแส
มือเท้าเหนียว เหนี่ยวขึ้นไป คล้ายตุ๊กแก
ไม่อยู่แค่ พื้นโบสถ์ โปรดคิดดู

ลอยเหนือยอด โบสก์ไป ในเวหา
ลอยพ้นไป เหนือฟ้า ที่เทพอยู่
ถึงความว่าง ห่างพ้น จากตัวกู
ไม่มีอยู่ ไม่มีตาย สบายเอยฯ

****
พ้นแล้วโว้ย! สบายจัง เวลาปัญหาประดังเข้ามาปะทะชีวิต บางทีเราจะรู้สึกว่ามันหนักเหลือเกิน เหมือนภูเขาวางอยู่นอก แต่ถ้าเราสามารถผ่านพ้นปัญหานั้นไปได้ เราจะรู้สึกว่า ภูเขาได้ถูกยกไปจากหัวอกแล้ว เราอาจจะอุทานว่า พ้นแล้วโว้ย!

ตรงกลางภาพที่ลอยอยู่นั้น ดูเหมือนจะเป็นพระสังกัจจายน์หัวเราะอย่างร่าเริง แต่ที่จริงเป็นก้อนเมฆที่รวมตัวเป็นก้อนใหญ่ เกิดเป็นภาพพิสดารขึ้นมา ลอยอยู่กลางอากาศ แสดงถึงความเป็นอิสระเสรีเหนืออื่นใดแถมยังหัวเราะเยาะคนอีกด้วย

ก้อนเมฆหัวเราะเยาะคนว่า "คนส่วนมากถูกพันธนาการ ไร้อิสระเสรีมีปัญหา มากด้วยทุกข์ เร่าร้อนกระวนกระวาย เจ็บปวดรวดร้าว น้ำตายังนองหน้า ยังฆ่าตัวตาย ได้รับพิษภัยของความชั่วและความดี ทำชั่วก็เจ็บปวดมากพอแล้ว ครั้นมีโอกาสได้ทำความดีเข้าบ้าง ก็ไปติดดีจนถูกดี ตีหัวโนไปตามๆกัน

ที่เห็นเป็นภาพโบสถ์ วิหาร และเจดีย์ นั่นแหละคือสัญลักษณ์ของความดีที่คนส่วนมากพากันติดจนงอมแงม ทำความดีแล้วก็ติดความดีอยู่นั่นแหละ เล่ากันว่ายายแก่คนหนึ่งทำบุญสร้างเสาศาลาให้วัด เวลาแกไปทำบุญที่วัด แกจะนั่งข้างเสาของแกเท่านั้น จะไมไปนั่งที่อื่น แต่ใครจะมานั่งที่เสาแกไม่ได้ แกว่านี่มันเป็นเสาของกู บางคนเป็นคนดีและมีชื่อเสียงด้วย รู้กันทั่วไปว่าเขาเป็นคนดี แต่มีลักษณะแปลกอยู่อย่างหนึ่งคือ ชอบเอาความดีที่ตนมีข่มขี่ผู้อื่นให้ได้อาย เอาความดีฟาดฟันผู้อื่นให้ได้รับความเจ็บปวด ถ้าใครมาว่าตนเองไม่ดีจะแสดงความไม่พอใจออกมา แต่ถ้าใครชมว่าดีละก็จะชอบใจ นี่หรือคือคนดี? คนดีนั้นย่อมออ่นน้อมถ่อมตนไม่ยกตนข่มขี่ผู้อื่น รู้จักให้อภัยคนพร้อมทั้งต้องช่วยเหลือคนที่ต่ำต้อยกว่าตนด้วย

ทำความชั่วย่อมเป็นทุกข์ นั้นเป็นสิ่งแน่นอน แต่คนทำความดี ถ้าติดดีอย่างที่ว่าย่อมเป็นทุกข์ได้เหมือนกัน กล่าวกันว่า คนที่เป็นโรคประสาทส่วนมากเป็นคนดี คนชั่วมีน้อย เหตุไฉนคนทำดีจึงเป็นโรคประสาทได้เล่า ถ้ามิใช่ความยึดมั่นถือมั่นในความดี

ความดีจึงเปรียบเหมือนความมืดสีขาว อันที่จริงความมืดย่อมจะเป็นสีดำและก็มองเห็นได้ยาก แต่ความมืดสีขาวนี่ซิ มองเห็นได้ยากกว่า เพราะผู้อยู่ในความมืดสีขาวจะไม่รู้สึกว่าตัวเองอยู่ในความมืด จึงมืดได้สนิทจริงๆ

ความชั่วนั้นเราเข้าใจกันง่ายๆ ส่วนความดีเรามักจะไม่ประสีประสากันสักเท่าไร เราเข้าใจกันว่า ความดีเป็นสิ่งบริสุทธิ์ เลยเข้าไปยึดถือ แต่แล้วก็ถูกความดีตีหน้าพังยับเยิน เจ็บปวด น้ำตาไหล ไม่เป็นสุขได้

พระพุทธศาสนาไม่ได้สอนเพียงให้ละชั่วและทำดีเท่านั้น แต่ท่านยังสอนให้ทำจิตใจให้ผ่องใส ให้ปลอดโปร่ง ทำจิตให้ว่างอีกด้วย การละชั่วและทำดี มีผลทำให้สังคมมีสันติภาพ อยู่กันอย่างผาสุกไม่เบียดเบียนกัน แต่ในส่วนตัวของบุคคลแต่ละคนนั้นอาจจะยังเป็นทุกข์อยู่ก็ได้ เพราะยังมีความยืดมั่นถือมั่น พระพุทธศาสนาจึงสอนให้อยู่เหนือดีอีกขั้นหนึ่ง ซึ่งเป็นขั้นสูงขึ้นไปคือ ทำจิตให้ว่างให้ปลอดโปร่ง ให้เบา ไม่ต้องไปยึดเอาสิ่งใดมาปั่นหัวของตัวเอง แล้วชีวิตส่วนตัวของแต่ละคนก็จะมีสันติสุข อันเป็นความสุขที่แท้จริง "เมื่อบุคคลมีสันติสุข สันติภาพส่วนสังคมย่อมยืนยงถาวร"

อันความสุข ความสุขที่แสวงหากันอยู่นั้น ในทางพระพุทธศาสนาให้หาที่ตัวเอง โดยทำจิตให้ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น ไม่ต้องไปหาความสุขภายนอกตัว เพราะมันไม่มีเหมือนกับการเที่ยวหาหนวดเต่าตายเปล่าแล เพราะเต่าไม่มีหนวด

ความสุขที่แท้จริง ไม่ต้องเที่ยวหาที่อื่น แหล่งท่องเที่ยว สถานเริงรมย์ต่างๆ ก็มิใช่สุขแท้ สุขแท้สุขแน่อยู่ที่ใจปลอดโปร่ง ไม่ยึดติดกับสิ่งนั้นสิ่งนี้เขาบอกว่า ธรรมชาติของตุ๊กแกไม่ได้ติดอยู่แค่พื้น มันจะอยู่ตามฝาผนัง เพดาน ต้นไม้ อยู่สูงๆ ทั้งนั้น แต่คนเราไม่ยักจะเอาอย่างตุ๊กแกกลับติดที่ความดีพื้นๆ เลยมีความทุกข์กันร่ำไป..



( ที่มา : หนังสืออภิมหามงคลธรรม หน้า ๒๓๒ )





Create Date : 18 กรกฎาคม 2550    
Last Update : 17 พฤษภาคม 2551 23:24:11 น.
Counter : 1609 Pageviews.  

"ผมไม่อยากตายแล้ว" ไม่ต้องรอจนตายก็ได้เจอนรกบนดินแล้ว









 







ผมไม่อยากตายแล้ว:

ไม่ต้องรอจนตายก็ได้เจอนรกบนดินแล้ว








ที่มา : ผมไม่อยากตายแล้ว




Create Date : 15 มิถุนายน 2550    
Last Update : 28 มิถุนายน 2551 23:17:54 น.
Counter : 1024 Pageviews.  

ชีวิตของเรา ต่างอะไรกัน ผ้าขี้ริ้ว (อีกมุมที่น่าคิด)








 





ชีวิตของเรา ต่างอะไรกัน ผ้าขี้ริ้ว (อีกมุมที่น่าคิด)




1.
ผ้าขี้ริ้วยอมสกปรกเพื่อให้สิ่งอื่นสะอาด เสน่ห์ของคนอยู่ที่ยอมลำบากเพื่อให้ผู้อื่นเป็นสุข พ่อแม่ยอมเหนื่อยเพื่อให้ลูกหลานอยู่สุขสบายความสุขแท้ของคนคือการได้ยืนแอบยิ้มอยู่เบื้องหลังความสำเร็จ

2.
ผ้าขี้ริ้วดูดซับความสกปรกได้ แต่ก็สลัดความสกปรกออกจากตัวได้ตลอดเวลา เสน่ห์ของคนอยู่ที่รู้ตัวเองว่าสกปรก ถึงเวลาต้องชำระล้างแล้ว มิใช่อมความสกปรกไว้แล้ว แกล้งบอกว่าตนเองสะอาด

3.
ผ้าขี้ริ้วเป็นผ้าที่สะอาดที่สุด ในขณะที่คนมองว่าสกปรกที่สุด เหมือนคนที่ฝึกหัดขัดเกลาตนเอง รู้จักถ่อมตนและอ่อนโยน ไม่โอหังอวดดีให้เป็นที่รังเกียจหมั่นไส้ของคนอื่น เขาจะเป็นคนที่มีคุณค่า ไม่ว่าจะมาจากสกุลใด การศึกษามากหรือน้อยก็ตาม เป็นผู้ใฝ่รู้แต่ไม่อวดดี เหมือนผ้าขี้ริ้วห่อทอง

4.
ผ้าขี้ริ้วถึงจะเป็นผ้าไม่มีราคา แต่มีคุณค่ายิ่งใหญ่ได้ เหมือนคนที่พยายามทำตนให้มีคุณค่า ด้วยการทำงานมิใช่ด้วยการประจบ ทำตนให้มีประโยชน์ ให้มีค่า ไม่ใช่งอมืองอเท้า น้อยเนื้อต่ำใจในวาสนาชะตาชีวิต ต้องสร้างกำลังใจให้ตนเองอย่ารอคอยจากคนอื่น

5.
ผ้าขี้ริ้วไม่เกี่ยงงอนว่าจะถูกใช้เช็ดถูอะไร เหมือนคนที่ยอมตัวอาสาทำงานที่ได้รับมอบหมาย โดยไม่ปริปากบ่น รู้จักอาสาคน อาสาทำงาน ต้องตั้งใจทำงานโดยไม่เกี่ยงงอน ไม่ว่าจะเป็นงานใด ๆ ก็ตาม คนที่ตกงานเพราะไม่ยอมทำงาน

6.
ผ้าขี้ริ้วยอมให้ถูกใช้งานในที่สกปรกที่สุด เหมือนคนที่ยอมทำในสิ่งที่คนทั้งหลายรังเกียจ ที่เขาเห็นว่าเป็นงานชั้นต่ำ แต่ก็ตั้งใจทำให้เป็นของมีค่าขึ้นมาได้ หรือยินดีในการบริการ เหมือนคนที่อิ่มเอิบเมื่อได้บริการรับใช้คนอื่น รับใช้สังคม ดีใจเมื่อคนยินดีมาใช้บริการความรู้ ความสามารถของตน และยินดีที่ได้เสนอตัวเข้าไปบริการมากกว่าเข้าไปบริหาร

7.
ผ้าขี้ริ้วพอใจที่ได้อยู่เบื้องหลังความสะอาด เหมือนคนควรพอใจที่ได้อยู่เบื้องหลัง ความสำเร็จของคนอื่น ต้องมีความพอใจที่จะทำงานปิดทองหลังพระ เป็นนายอินหรือนางอิน ผู้ปิดทองหลังพระ มีความสุขและภูมิใจที่ได้มอบความสำเร็จให้คนอื่น มีมากที่ผู้น้อยบางคน ทำงานแล้วทำให้ผู้ใหญ่เล็กลง ขณะที่ตัวเองโตขึ้น

8.
ผ้าขี้ริ้วทนทานต่อการขัดถูซักล้างไม่เปราะบาง เหมือนคนที่มีความอดทน ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคปัญหา แม้จะเหน็ดเหนื่อยเพียงใดก็อดทนได้ เพื่อให้สำเร็จ ประโยชน์สุขแก่ผู้อื่น มีจิตใจหนักแน่นไม่เปราะบางหักง่าย คือไม่เป็นคนทุกข์ง่ายใจเบา แต่นิ่งและหนักแน่นคงดุจแผ่นดิน

9.
ผ้าขี้ริ้วแม้จะถูกมองว่าเป็นผ้าขี้ริ้ว แต่ไม่ทำตัวให้ขี้เหร่ เหมือนคนที่รู้ตัวเองว่า กำลังถูกึนปรามาสสบประมาท จะต้องตั้งใจเอาชนะอุปสรรค ครงนั้นให้ได้ ไม่พ่ายแพ้ต่อคำปรามาสของผู้อื่น รู้ตัวตลอดเวลาว่ากำลังทำอะไรและมีกำลังใจในสิ่งนั้น มองเห็นคุณค่าจากสิ่งที่คนทั้งหลายมองว่าไร้ค่า เมื่อมีปัญหาให้หัดมองสองด้านเสมอ ผ้าขี้ริ้วมีเสน่ห์เพราะยอมสัมผัสกับสิ่งสกปรก



เราต้องทำตัวเองให้มีคุณค่าและมองเห็นค่าของตัวเองก่อน แล้วเราจะไม่รู้สึกท้อแท้หมดหวัง

ชีวิตของคนเราก็เช่นกัน หากทนความทุกข์ยากลำบาก ยอมสัมผัสกับงานที่ต่ำต้อยได้ก็จะมีเสน่ห์ และมีความหมาย ทุกคนจึงควรพากเพียรพยายามสร้างเสน่ห์ให้กับชีวิต อย่างที่ผ้าขี้ริ้วสร้างเสน่ห์ให้กับตนเอง คุณเห็นด้วยไหม ที่ว่าเราต้องทำตัวเองให้มีคุณค่าและมองเห็นค่าของตัวเองก่อน แล้วเราจะไม่รู้สึกท้อแท้หมดหวัง


ครั้งในชีวิตของเรา ที่ถูกทิ้งถูกเหยียบย่ำ และถูกทำให้สกปรก โดยสิ่งที่เราตัดสินใจทำมัน และสภาพแวดล้อมที่เราเจอ ทำให้เรารู้สึกว่าคุณค่าของเราลดน้อยลง แต่ไม่ว่าอะไรที่ได้เกิดขึ้น หรืออะไรที่จะเกิดขึ้น คุณไม่เคยสูญเสียคุณค่าของคุณ คุณเป็นคนพิเศษ อย่าลืมมันตลอดไป! "อย่านำความผิดหวังของเมื่อวานมาบดบังความฝันในวันพรุ่งนี้"





Create Date : 08 มิถุนายน 2550    
Last Update : 17 พฤษภาคม 2551 23:26:03 น.
Counter : 1008 Pageviews.  

"คำย่าฝากไว้" ชีวิตคนเราก็เท่านี้แหละ
















 







คำย่าฝากไว้


...ชีวิตคนเราก็เท่านี้แหละ
เกิดมาแต่ดินตายไปกับดิน เอาอะไรไปไม่ได้
ซักอย่าง..หากคนเราทำใจให้สงบลงได้
เหมือนต้นไม้ก็คงจะดี..ต้นไม้เติบโต
ออกดอกออกผลให้คน เราได้อาศัยยังชีพได้
ไม่เคยทำร้ายใคร คนเราซะอีกที่คอยทำร้าย
ทั้งตัวเอง ทำร้ายทั้งผู้อื่น...

...หากวาระสุดท้ายของย่ามาถึง
ย่าก็ปรารถนาที่จะให้ร่างกายที่เน่าเปื่อย
ในดิน เป็นประโยชน์แก่ต้นไม้ทุกต้น
ที่ย่ารัก..ต้นไม้จะได้ยั่งยืนคงให้ประโยชน์
แก่มนุษย์ต่อไปอีกนานเท่านาน...


(ธรณีนี่นี้...ใครครอง)





Create Date : 15 พฤษภาคม 2550    
Last Update : 17 พฤษภาคม 2551 23:26:57 น.
Counter : 942 Pageviews.  

คุณคิดอย่างไรกับผู้มีพระคุณ? "เด็กน้อยกับต้นแอปเปิ้ล"











 







เรื่อง เด็กน้อยกับต้นแอปเปิ้ล



นานมาแล้วมีต้น แอปเปิ้ลใหญ่อยู่ต้นนึง และก็มีเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ คนหนี่ง ชอบเข้ามาอยู่ใกล้ๆ และเล่นรอบๆต้นไม้นี้ทุกๆวัน เขาปีนขึ้นไปบนยอดของต้นไม้ และก็กินผลแอปเปิ้ล และก็นอนหลับไปภายใต้ร่มเงาของต้นแอปเปิ้ล
เขารักต้นไม้ และต้นไม้ก็รักเขา...

เวลาผ่านไป เด็กน้อยโตขึ้น และเขาไม่มาวิ่งเล่นรอบๆต้นไม้ทุกวันอีกแล้ว วันหนึ่ง เด็กน้อย กลับมาหาต้นไม้ เด็กน้อยดูเศร้า....

" มาหาฉัน และมาเล่นกับฉันเหรอ" ......ต้นไม้ถาม
" ฉันไม่ใช่เด็กเล็กๆแล้วนะ ฉันไม่อยากเล่นรอบๆต้นไม้อีกแล้ว ฉันต้องการของเล่น ฉันอยากได้เงินไปซื้อของเล่น" เด็กน้อยตอบ...
" ฉันไม่มีเงินจะให้ .... เก็บลูกแอปเปิ้ลของฉันไปขายสิ เพื่อเอาเงินไปซื้อของเล่น "....... ต้นไม้ตอบ
เด็กน้อยตื่นเต้นมาก เขาเก็บลูกแอปเปิ้ลไปหมด
และจากไปอย่างมีความสุข..


หลังจากเขาเก็บแอปเปิ้ลไปหมดแล้ว เขาไม่กลับมาหาต้นไม้อีกเลย ต้นไม้ดูเศร้า...... วันหนึ่ง เด็กน้อยกลับมา เขาดูโตขึ้น ต้นไม้รู้สึกตื่นเต้นมาก..


" มาหาฉัน และมาเล่นกับฉันเหรอ" .....ต้นไม้ถาม
" ฉันไม่มีเวลามาเล่นหรอก ฉันมีครอบครัวแล้ว
ฉันต้องทำงานเพื่อครอบครัวของฉันเอง...เราต้องการบ้าน ช่วยฉันได้ไหม"
" ฉันไม่มีบ้านจะให้ แต่... ตัดกิ่งก้านของฉันไปสิ .... เอาไปสร้างบ้าน"


ดังนั้นเด็กน้อยตัดกิ่งก้านทั้งหมดของต้นไม้ไป และจากไปอย่างมีความสุข อีกครั้งที่ต้นไม้ถูกทิ้งให้เดียวดาย และเศร้า.... วันหนึ่งในฤดูร้อน เด็กน้อยกลับมา ต้นไม้ดีใจมาก...

" มาหาฉัน และมาเล่นกับฉันเหรอ"..... ต้นไม้ถาม
" เปล่า ฉันรู้สึกผิดหวังกับชีวิต และเริ่มแก่ขึ้น
ฉันอยากแล่นเรือไปพักผ่อนไกลๆ ให้เรือฉันได้ไหม"
" ใช้ลำต้นของฉันได้ เอาไปสร้างเรือ เพื่อเธอจะได้เล่นเรือไปและมีความสุข" ...ต้นไม้ตอบ


ดังนั้น เด็กน้อยตัดลำต้นของต้นไม้ไปสร้างเรือ เขาล่องเรือไป และไม่เคยกลับมาอีกเลย หลายปีผ่านไป ในที่สุดเด็กน้อยกลับมา คราวนี้เขาดูแก่ลงไปมาก..

" ฉันเสียใจ ฉันไม่เหลืออะไรจะให้อีกแล้ว
ไม่มีผลแอปเปิ้ลให้ .... ฉันไม่มีลำต้นให้ปีนอีกแล้ว "
" ฉันไม่มีฟันจะกินแล้ว ฉันปีนไม่ไหว และฉันก็แก่แล้ว" เด็กน้อยตอบ " ฉันไม่มีอะไรเหลือให้อีกแล้ว สิ่งเดียวที่เหลือ มีเพียงรากที่กำลังจะตาย"
" ตอนนี้ฉันไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว แค่อยากได้ที่พักพิง ฉันเหนื่อยมาหลายปีแล้ว"
" รากของต้นไม้แก่ๆ จะเป็นที่พักพิงของหนูได้
...... มาสิ นั่งลงข้างๆฉัน ... หลับให้สบาย....."
เด็กน้อยนั่งลงข้างๆ ต้นไม้ดีใจ ยิ้ม...และน้ำตาไหล...


นี่เป็นเรื่องสำหรับทุก ๆ คน ต้นไม้ในเรื่องคือพ่อแม่
เมื่อเราเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ เรารักที่จะเล่นกับพ่อกับแม่...
เมื่อเราโตขึ้น เราทอดทิ้งพ่อ และแม่ และกลับมาหาท่าน
เมื่อเราต้องการบางสิ่งบางอย่าง หรือเมื่อเรามีปัญหา
ไม่ว่าอย่างไร...พ่อ และแม่ของเราก็จะอยู่และให้ทุกสิ่งอย่างที่ท่านทำได้ หวังเพียงเรามีความสุข คุณอาจจะคิดว่า " เด็กน้อย" ในเรื่องโหดร้าย

แต่นั่นคือความจริงที่สะท้อนให้เห็นว่าพวกเราทำกับผู้มีพระคุณอย่างไร ?

........ แล้วต้นไม้ของคุณล่ะ ....... เด็กน้อย .....???






Create Date : 06 พฤษภาคม 2550    
Last Update : 17 พฤษภาคม 2551 23:27:14 น.
Counter : 1678 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  

lcelcy
Location :
ชลบุรี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




มิถุนายน เดือนดี๊ดี " จุดกำเนิด iceicy's blog Dhamma"
ครบรอบ ๗ ปี แล้วค่ะ"

คนมาจากไหน?
เริ่มจาก เกิด แก่ เจ็บ และก็ตาย
คนก็หายไป !!...แต่ความดีไม่เคยหายไปด้วย..
ทุกคนจำวันเกิดตัวเองได้ไหม... ก็คงจำได้กันหมดอะน่ะ
เคยคิดจะทำอะไรดีดี....
ให้กับตัวเองและคนอื่น..ในวันครบรอบวันเกิดของตัวเองไหมค่ะ?

ตั้งแต่เดือนมิถุนายน ปีพ.ศ. ๒๕๔๙ (๗ ปีได้ผ่านมาแล้ว)
ฉันได้ทำสิ่งที่ชอบ และชอบในสิ่งที่ฉันได้ทำ
สิ่งนั้น คือ " บล๊อกเกี่ยวกับหลักธรรมข้อคิดต่างๆ "
เริ่มจากทำไม่เป็น ลองผิดลองถูก ทำจนสำเร็จ
ทั้งนี้ ขอขอบพระคุณ " กำลังใจ " คนรอบข้าง
และทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยม iceicy's blog Dhamma น่ะค่ะ
(ซึ้งน่ะซึ้งน่ะเนี่ย!!!!)
<

วัตถุประสงค์ iceicy blog Dhamma
1. เพื่อเผยแพร่และสนับสนุนส่งเสริมพระพุทธศาสนาให้อยู่คู่กับประเทศไทย
2. เพื่อนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ประโยชน์ในทางพระพุทธศาสนา
3. เพื่อแบ่งปันความรู้ทางพระพุทธศาสนา และแลกเปลี่ยนข่าวสารทั่วไป
4. สรรเสริญบุคคลที่ควรสรรเสริญ ยกย่องบุคคลที่ควรยกย่อง

Google



Link to us:
ท่านสามารถนำ code ของ banner นี้
ไปติดที่เว็บของท่านได้ตามสะดวกน่ะค่ะ
ขอขอบคุณและขออนุโมทนามา ณ ที่นี้ด้วยน่ะค่ะ

Iceicy blog dhamma



New Comments
Friends' blogs
[Add lcelcy's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.