๑. สมาธิที่เคลื่อนไหว...สมาธิภาวนาในขณะเคลื่อนไหว มีคุณค่ามากกว่าสมาธิภาวนาในขณะอยู่นิ่งๆ อย่างเงียบเชียบถึงนับพันเท่า๒. ต้องรู้จักกลั่นกรอง...ในน้ำเน่านั้น น้ำบริสุทธิ์ยังมีเจือปนอยู่ ผู้ที่ฉลาดรู้จักหาวิธีกลั่นกรอง จะสามารถหาน้ำบริสุทธิ์จากน้ำเน่าได้เสมอ๓. ยิ่งอยากยิ่งไม่ได้...อยากได้ยิ่งหนี อยากมียิ่งยาก...ฉะนั้น บุคคลผู้มีปัญญาพึงตัดคำว่าอยากออกเสีย ก่อนที่จะลงมือกระทำการใดๆ จะช่วยให้งานนั้นเสร็จเร็วยิ่งขึ้น๔. ความรุ่งโรจน์และความตกต่ำ...จงมองดูปรากฏการณ์แห่งความรุ่งโรจน์และความตกต่ำ ด้วยดวงใจที่สงบไร้กังวล เพราะทั้งความรุ่งเรือง และการล่มสลายเป็นเพียงหยาดน้ำค้างบนใบหญ้าเท่านั้น๕. การศึกษากับการปฏิบัติต้องคู่กันไปสำหรับพุทธศาสนาแล้ว การศึกษากับการปฏิบัติไม่อาจแยกออกจากกันได้...การปฏิบัติถ่ายเดียวโดยไม่ศึกษา ย่อมจะนำไปสู่ความผิดพลาด...การศึกษาโดยไม่ปฏิบัติย่อมไม่อาจก้าวหน้าได้....ถ้าหากว่าใครทำการศึกษาค้นคว้าโดยขาดการปฏิบัติก็ยากที่จะจับแก่นแห่งสัจธรรมได้๖. กลางคืนเป็นควัน กลางวันเป็นไฟ..คนในปัจจุบันนี้ ที่ต้องเหน็ดเหนื่อยวิ่งวุ่นอยู่กับการทำกำไร หนักใจอยู่กับทรัพย์สมบัติมหาศาลจิตใจไม่มีวันสงบ ไม่รู้จักหยุดนิ่ง วิตกกังวลไปร้อยแปดอยู่ตลอดเวลาชนิดที่ว่า "กลางคืนเป็นควัน กลางวันเป็นไฟ" คือใจไม่ยอมหยุด รุ่มร้อนอยู่ทุกเวลา...นั่นแหละคือผลของการที่จิตมันเข้าไปแบกไว้เต็มที่เรียกว่ามีอะไรก็แบกไว้หมด๗. ดับที่นี่...ความทุกข์นั้นปรากฎแล้ว ไม่ต้องไปหาที่ไหนมันเกิดที่นี่ ก็ต้องดับที่นี่.....๘. พระพุทธรูป..พระพุทธรูปบังพระพุทธเจ้า...๙. ปฏิบัติได้ทุกที่...ไม่ต้องยึดว่า การปฏิบัติธรรม ต้องไปอยู่ในสถานที่เงียบสงบ...๑๐. แก่นพุทธธรรม...อยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อม แต่รู้เท่าทันและสามารถกำหนดรู้ที่จะเกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมนั้นๆได้อย่างถูกต้องเหมาะสม...การรู้เท่ากัน และสามารถกำหนดวิธีการได้เช่นนี้ จึงว่า "อยู่ใน" แต่ "อยู่เหนือ"...เหมือนหยดน้ำบนในบัว อยู่บนใบบัว แต่ไม่เกาะติดอยู่ในใบบัวนั้น...นี่คือใจความสำคัญของสภาวะการรู้แจ้งธรรมอันสูงสุด และเป็นแก่นแท้ของพุทธธรรม๑๑. ยิ่งยากยิ่งเข้าใจมีน้ำแข็งมากเท่าใด...ก็มีน้ำมากเท่านั้นยิ่งยากลำบากเท่าใด...ก็ยิ่งเข้าใจชีวิตมากเท่านั้น๑๒. ถึงเวลาจะเห็นเอง...อย่าคิดอยากจะเห็นแจ้งในธรรมถึงเวลาจะเห็นเอง...๑๓. วิธีลัด..มีเวลาเมื่อไร ให้ปฏิบัติเมื่อนั้น...การฝึกจิต การพิจารณาจิตเป็นวิธีลัดที่สุด...๑๔. ดูความคิดเราต้องดูความคิดให้เห็นความคิดเมื่อคิดขึ้นอย่าไปตามความคิดอย่าเข้าไปในความคิด...เรื่องธรรมะนั้นคิดล่วงหน้าเอาไม่ได้เมื่อมันเกิดจึงรู้ รู้ก่อนไม่ได้....และต้องอาศัยดูความคิด เมื่อเห็นความคิดความคิดมันจะหดตัว หยุดคิดของมันเองไม่ใช่สะกดห้ามคิด ต้องให้เห็นมันคิดแล้วดู...๑๗. อยู่กับความรู้สึกตัว...การอยู่กับความรู้สึกตัวนี้ก็เช่นการขยับมือของเราเราก็รู้สึก คือ รู้สึกที่ตัวของเราชัดเจนดีกำมือเข้าคลายมือออกก็รู้สึกหรือเอานิ้วสีกันถูกกันไปมาก็รู้สึก...คนมีปัญหามากๆกลุ้มมากอึดอัดมากขอให้ทดลองเทคนิคออกจากความคิดนี้ดูสักครู่เดียว จะรู้สึกถึงผลดีของมันได้ทันควันทีเดียว พอคิดขึ้นมาก็สลัดออกไปหันมาใส่ใจกับความรู้สึกของมือที่กำ-แบ-กำ-แบ-กำ-แบ ฯลฯอยู่นี้อย่าไปใส่ใจกับความคิดจงหันมาใส่ใจกับความรู้สึกที่เนื้อที่ตัวของเรา.......คนที่มีความทุกข์มากๆ......มักจะเห็นผลได้ชัดเจนถึงผลดีของวิธีนี้๑๙. ความรู้สึกตัวความรู้สึกตัวเป็นเรื่องที่สำคัญมาก..พระอรหันต์ก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากผู้ที่มีสติสมบูรณ์ทุกอิริยาบทเท่านั้นคือท่านรู้สึกตัวอยู่ทุกขณะจิตเท่านั้น....แต่ปุถุชนส่วนใหญ่จะลืมตัว....พลัดหลงไปจากตัว...ไม่รู้สึกตัว....แต่ไปหมกหรือตกอยู่ในความคิดเสียเป็นส่วนใหญ่ เรียกว่าไม่รู้สึกตัวของตัว....๒๐. ผู้ให้ควรขอบคุณ..ผู้ให้กับผู้รับนั้น ใครจะเป็นผู้ได้กุศลมากกว่ากัน..ถ้าคิดให้ดี ผู้ได้กุศลมากกว่า ก็ควรจะขอบคุณผู้ได้น้อยกว่า จึงเป็นเรื่องที่ไม่ผิด....๒๑. ต้องมีสติในทุกสิ่งที่เนื่องกับตน...การมีสติรู้เท่าทันอาการต่างๆ ของกายนั้นยังไม่พอ...ในมหาสติปัฏฐานสูตร ยังกล่าวว่าเราต้องมีสติพร้อมถึงลมหายใจแต่ละครั้งการเคลื่อนไหวแต่ละหนความคิดทุกความคิด และความรู้สึกทุกความรู้สึก...๒๒. การปฏิบัติธรรมเป็นเหมือนการทำงาน...การปฏิบัติธรรมก็เหมือนกับการทำงานอื่นๆโดยทั่วๆ ไปนั่นแหละ....เวลาใดที่ใจเราตกเราก็ต้อง "ยก" ใจของเราขึ้นมาบ้างและเวลาใดที่ใจเราฟุ้งซ่านมากเกินไปเราก็ต้องรู้จักข่มมันลงไปเสียบ้าง...ทั้งนี้ต้องด้วย "ไหวพริบ" เท่านั้น
ทั้งสิ่งที่เอามาให้อ่าน
และกล่องเม้น
..มาเยี่ยมค่ะ