คุณแม่น้องแฝด ฮานากะฮารุ ^^
ชมวิวเขื่อนเชี่ยวหลาน

มอร์นิ่งค่า





เช้าตื่นมา เราก็เตรียมไปลงเรือตอนหกโมงเช้าตามที่นัด เพื่อไปชมบรรยากาศภายในเขื่อน


จริงหกโมงเช้านี่ที่นี่ยังไม่สว่างเลยค่ะ   ตอนแรกก็เสียวๆว่านั่งเรือไปจะเห็นอะไรไหม  แต่พอนึกๆไป  อีกสักพักก็สว่างแล้วแหล่ะ  แถมไปเช้าๆดีกว่าด้วยค่ะ  ไม่ร้อน



นั่งเรือไปประมาณ 20 นาที ก็จะมาถึงบริเวณที่เค้านิยมมาดูกัน


จุดที่เป็นไฮไลท์ก็แน่นอน ที่เขาสามเกลอแห่งนี้




หนนี้อิชั้นตื่นเต้นน้อยหน่อย เพราะมาเป็นรอบที่สามแล้วค่ะ  เหอๆ 

แต่คนอื่นๆก็สนุกสนานกันดีนะคะ




ระหว่างรอๆๆๆคนอื่นถ่ายรูป


สวยนักใช่ไหม   ขโมยซีนซะเลย เหอๆๆ Smiley





แล้วเรือก็พาเรามาแวะตรงหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติเขาสกค่ะ  จุดนี้มีห้องน้ำให้เข้าด้วย



วิวบังคับ  มาแล้วต้องถ่ายทุกคน...สวยมั่กมาก






ตรงนี้คือแพนางไพรค่ะ  ตอนแรกพี่ศักดิ์ว่าจะให้ป๊ามานอนที่นี่  แต่ตอนกลางคืนไฟเค้ามีถึงแค่เที่ยงคืน อิชั้นกลัวป๊าขี้ร้อนจะอยู่ไม่ได้  เลยไม่เอาคะ



หลังจากล่องเรือเสร็จแล้วเราก็กลับขึ้นรถเพื่อหาข้าวเช้ากินค่ะ

แต่ก่อนไป แวะมาถ่ายรูปกะป้ายสักหน่อย



แดดร้อนแรงมากก

แต่วิวก็งดงามมากเช่นกัน



มุมสวยๆ  ถ่ายรูปแล้วเหมือนอยู่เมืองนอกเลยค่ะ




สำหรับมื้อเช้า ตอนแรกพี่ศักดิ์จะพามากินร้านป้าเล็กที่บ้านพักริมเขื่อน แต่ปรากฏว่ามาเช้าไป เค้าไม่ขายค่า Smiley   ต้องหาที่อื่นกิน


สุดท้ายก็ได้มาที่นี่  ครัวกุ้ยหลิน



ขับรถวนไปมาเยอะหน่อยนะคะ   แต่วิวทีนี่ดีจริงๆ  สวยที่สุดเท่าที่เคยเห็นอ่ะ




เมนูค่ะ




จานแรก  ป๊า want นานแล้ว  เพราะกินแถวเมืองชลแล้วมะถูกปาก

มันก็คือปลาบึกลวกจิ้มค่า  

ปลาที่นี่หนังหนามากก  กินไปกินมาเหมือนหมูมากกว่านะ  เนื้อหนา แน่น เคี้ยวมันดีจริงๆ



ใบเหลียงต้มกะทิค่ะ  แปลกๆนะ  แต่อิชั้นมะค่อยถนัดอ่ะ 



ขอปลาบึกอีกสักถ้วย เอาเป็นต้มยำนะ อร่อยตามที่คาด เพราะปลาสดมากก



ไข่เจียวใส่เครื่องเทศค่ะ   หอมดีจัง แต่ถ้ามันน้อยกว่านี้จะดีมาก



และก็พลาดไม่ได้...ใบเหลียงผัดไข่  (อีกแว้ว)



มื้อนี้อิ่มอร่อยราคาไม่แพงค่ะ แค่ 700 บาท ป๊าบอกถูกมากก แถมวิวก็สวยอีกต่างหาก




หลังจากเช็คเอ้าท์จากเพชรไพลินแล้วเราก็ออกเดินทางมาที่ระนอง  

ระหว่างทาง  แวะที่สวนโมกข์กันหน่อยนะคะ







โรงมหรสรรพทางวิญญาณ









นางเบ็ด



ม้าหิน ที่นั่งประจำของท่านพุทธทาสภิกขุ



เราชอบคำสอนของที่นี่มากเลย ท่านเป็นพระที่เน้นปฎิบัติมากกว่าวัตถุจริงๆค่ะ



เที่ยวเพลินจนเกือบลืมทานข้าวเที่ยงแนะ  

เรามาแวะที่ร้านขาหมูนกน้อย (ชื่อน่ารักได้อีก) ที่ละแมนะคะ 




บรรยากาศในร้านค่ะ



เมนู



บนผนังก็มีเมนูแนะนำ



มาถึงที่นี่ก็ต้องสั่งขาหมูนะคะ  เราสั่งมาขานึง...มาแล้วตกใจ  อันเบ้อเริ่มเทิ่มเลย

รสชาตินี่คุณแม่บอกว่าอร่อยค่ะ  ไม่หวานมาก   เค้าตุ๋นเปื่อยดีจัง



ไข่เจียวสักจาน



พี่ศักดิ์สั่งเนื้อกวางผัดเผ็ดด้วย  แปลกสุดๆอ่ะ แต่กินแล้วก็ไม่เหม็นสาบนะ



มาถึงใต้  ต้องมาลองหม่ำสะตอผัดกุ้ง  จานนี้ใส่กะปิด้วย  หร่อยแรงงงง ไม่เหม็นด้วย



มาถึงระนอง  พี่ศักดิ์กดโทรศัพท์หาเพื่อนที่อยู่ที่นี่


แต่เริ่มแรก เราก็มาเที่ยวที่นี่ก่อนค่ะ  วัดบ้านหงาว

พี่ศักดิ์ชวนขึ้นบันไดไปชมวิวข้างบน  แต่อิชั้นเห็นแดดแล้วยอมแพ้  ขออัญเชิญพี่แกไปคนเดียว Smiley





แล้วก็มาต่อที่ภูเขาหญ้า


ภูเขาหญ้าเป็นภูเขาที่ไม่มีไม้ใหญ่ขึ้น ในฤดูฝนมีหญ้าสีเขียวขึ้นปกคลุมแนวเขาที่ทอดตัวจากทิศเหนือ สู่ทิศใต้ ภูเขาที่เต็มไปด้วยหญ้า ต่างสีต่างวันเวลา และเนินเขางดงาม ที่ราบเชิงเขามีทางเดินเท้าสำหรับ นักท่องเที่ยวขึ้นสู่บนสันเขาเพื่อชมทิวทัศน์โดยรอบ 


เป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจและชมความมหัศจรรย์ยามเย็น เมื่อแสงอาทิตย์จะลับขอฟ้าภูเขาทั้งลูกจะกลายเป็นสีทอง  ทอง เหลืองงามอร่ามตา  จึงนิยมเรียกกันว่า "ภูเขาหญ้าสองสี” 

เรียกได้ว่าเป็นความมหัศจรรย์ ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ยังต้องยกให้เป็นหนึ่งใน อันซีนอินไทยแลนด์อีกแห่งหนึ่ง



เห็นวิวแบบนี้แล้วอดไม่ได้....ขอโดดสักหน่อย



มาที่บ่อน้ำร้อนพรรั้้ง  ซึ่งอยู่ในความดูแลของอุทยานแห่งชาติน้ำตกหงาว 



เห็นว่ามีหลายบ่อเลยค่ะ




ป้ายต่างๆภายใน






อุต๊ะ...ใครมาแช่ไข่ไว้เนี่ย (เด๋วขโมยกินซะเรย  ยิ่งชอบกินไข่ต้มอยู่ด้วย ) Smiley




น้ำแร่นี่สีน่าแช่จังนะคะ









แต่เราก็ไม่ได้แช่น้ำแร่ที่นี่ค่ะ เพราะไม่ได้เตรียมตัวกันมา  และอีกอย่างที่พักของเราคืนนี้ก็มีน้ำแร่ถึงในห้องเลยคร่าาา  ไฮโซป่ะ  เด๋วไปอาบที่โรงแรมก้อด้ายยย Smiley



แล้วก็แวะมาเคารพศพที่สุสานเจ้าเมืองระนอง

เป็นสุสานแบบจีนฝังศพของพระยารัตนเศรษฐี(คอซู้เจียง) เจ้าเมืองระนองคนแรก บริเวณสุสานซึ่งเป็นที่ดินที่ได้รับพระราชทานจากรัชกาลที่ 5 บริเวณสุสานปูด้วยศิลา 3 ชั้น สองข้างมีตุ๊กตาแกรนิตโบราณนำมาจากประเทศจีน ประกอบด้วยรูปขุนนางจีนฝ่ายบู๊ฝ่ายบุ๋นรูปม้า รูปแพะ รูปสิงห์โต





ท่านคอซู้เจียง



ประวัติของท่านนะคะ ยาวหน่อยแต่น่าสนใจดีค่ะ

คอซู้เจียง (ต้นตระกูล ณ ระนอง) เป็นชาวจีนฮกเกี้ยน เกิดเมื่อ พ.ศ.๒๓๔๐ ที่เมืองเจียงจิวหู ประเทศจีน ตรงข้ามกับเกาะ ไต้หวัน เมื่ออายุ ๒๕ ปี (พ.ศ.๒๓๖๕) ได้เดินทางออกจากแผ่นดินจีน หนีความยากแค้นกดขี่จาก รัฐบาลแมนจู มาเป็นกรรมกรอยู่ที่เกาะหมาก (ปีนัง) ทำเกษตรกรรมและค้าขายอยู่ราว ๖ ปี 



พอมีทุนแล้วได้เข้ามาราชอาณาจักสยามในปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๓) ทำการค้าที่เมืองตะกั่วป่า โดยได้รับความช่วยเหลือจากท้าวเทพสุนทร ภริยาเจ้าเมือง ตะกั่วป่า ต่อมาย้ายไปตั้งหลักแหล่งที่พังงา ได้ต่อเรือกำปั่นใบวิ่งล่องค้าขายดีบุกและพืชผล เช่น รังนก พริกไทย จันทน์เทศ แลกเปลี่ยนกับเสื้อผ้า ปืน ฯลฯ ที่เกาะหมาก ต่อมาเห็นว่าเมืองตระและเมือง ระนองมีแร่ดีบุกมาก แต่ผู้ทำการขุดแร่มีน้อย จึงได้คิดทำเหมืองแร่

ในระหว่างที่ทำการค้าอยู่ที่พังงา ได้สมรสกับหญิงชาวพังงา (คุณหญิงซิทท์ กิ้มเหลียน) มีบุตรด้วยกัน ๕ คน และมีบุตรที่เกิดจากภรรยาเมืองระนอง ชื่อ กิ้ม อีก ๑ คน

ปีพุทธศักราช ๒๓๘๙ ในปลายสมัยรัชกาลที่ ๓ คอซู้เจียง ได้เข้ากรุงเทพพระมหานคร พบกับ พระยาอัครมหาเสนาบดี (ดิศ บุนนาค) สมุหพระกลาโหม ผู้รับผิดชอบหัวเมืองภาค ใต้ เพื่อขอประมูลผูกขาดอากรดีบุกเมืองระนอง และเมืองตระ 


ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาต จากพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ให้เป็น หลวงรัตนเศรษฐี ตำแหน่งขุนนางนายอากรเมืองระนอง แล้วได้ย้ายครอบครัวจาก เมืองพังงามาอยู่เมืองระนอง แต่บ้านที่พังงาก็ยังรักษาไว้เพื่อความไม่ประมาท 



ได้เกลี้ยกล่อมชักชวน ราษฎรชาวไทยจีนและหัวเมืองใกล้เคียงให้มาทำมาหากินใน ๑๐ ตำบลที่ รับทำอากรดีบุก ได้ถวายอากรดีบุกจำนวน ๑๔,๐๐๐ ชั่ง ต่อปี (หนึ่งล้านบาทเศษในขณะนั้น)


ในปลายรัชกาลที่ ๔ หลวงระนองเจ้าเมืองคนเดิมถึงแก่กรรมลง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชดำริว่า หลวงรัตนเศรษฐีทำอากรดีบุกมาช้านานหลายปี ส่งเงินภาษีอากรมิได้ขาดค้าง เป็นผู้ใหญ่ใจอารีอารอบเป็นที่รักใคร่นับถือ พอจะเป็น เจ้าเมืองระงับกิจทุกข์ของไพร่บ้านพลเมืองต่อไปได้ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานสัญญาบัตรเลื่อนเป็น พระรัตนเศรษฐี ผู้สำเร็จราชการเมืองระนอง


ปีพุทธศักราช ๒๔๐๕ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้ยกเมืองตระและเมืองระนองขึ้นเป็นหัวเมืองจัตวา ขึ้นตรงต่อกรุงเทพพระมหานคร เพื่อให้สะดวกในการรักษาพระราชอาณาเขต เพราะขณะนั้น อังกฤษได้เข้ามารุกรานพม่า ซึ่งมีชายแดน ติดต่อถึงเมืองระนอง โปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น พระยารัตนเศรษฐี ผู้สำเร็จราชการเมืองระนอง

เมืองระนองเจริญรุ่งเรืองมาก มีผู้คนอพยพจากเมืองใกล้เคียง เช่น เมืองไทรบุรี เมืองปีนัง มาตั้งหลักแหล่งทำมาค้าขายและขุด ร่อนแร่ดีบุก พระยารัตนเศรษฐีได้ตั้งห้างโกหงวนที่เกาะหมากเพื่อซื้อขายสินค้าของเมืองระนอง ขยายการทำเหมืองแร่ข้ามเขาบรรทัด ไปถึงเมืองหลังสวน ทำให้เมืองหลังสวนเจริญขึ้น และได้รับการยกฐานะเป็นเมืองจัตวาเช่นเดียวกัน


ปีพุทธศักราช ๒๔๑๙ อันเป็นสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ระนองเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยผลประโยชน์ นายทุนและกรรมกร กรรมกรจีนซึ่งมีอยู่มากมายเกิดกำเริบต่อสู้เจ้าเมือง 



รัชกาลที่ ๕ ได้ทรงส่งทหารคุม ปืนใหญ่เล็ก และโปรดฯ ให้ส่งกำลังจากกองทัพหัวเมืองเข้ามาปราบ เมื่อบ้านเมือง สงบแล้ว ได้เลื่อนตำแหน่งพระยารัตนเศรษฐี เป็น พระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดี จางวางผู้กำกับราชการเมืองระนอง และทรงแต่งตั้งคอซิมก๊อง บุตรชายคนโตของ ท่านขึ้นเป็น “พระยารัตนเศรษฐี” ผู้ว่าราชการเมืองระนองแทน



พระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดี (คอซู้เจียง) ได้ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อปีพุทธ ศักราช ๒๔๒๕ อายุได้ ๘๖ ปี ด้วยวัณโรคที่ไขสันหลัง ได้รับพระราชทานที่ดินที่ เขาระฆังทอง เมืองระนอง เป็นที่ฝังศพ พระราชทานป้ายศิลาปักหน้าฮวงซุ้ย จารึกประวัติของท่านทั้งภาษาไทยและภาษาจีน.







มื้อเย็นเพื่อนพี่ศักดิ์พามาร้านนี้ค่ะ  ร้านเคียงเล  

เห็นว่าบรรยากาศดีสุดๆ  มองไปตรงข้ามเห็นฝั่งพม่าด้วย




มุมนี้ที่เค้าจัดให้สวยจริงๆค่ะ





แต่พอดีเค้ามีงานจัดเลี้ยงบริษัท  มุมสวยๆที่เค้าจัดให้เรานั่งจะออกอึกทึกครึกโครมไปหน่อย  เราเลยตัดสินใจย้ายไปมุมอื่นแทน







มานั่งริมชายฝั่งแทนค่ะ  สวยไม่แพ้กันเลยนะ  ทานข้าวริมทะเล

แต่ด้วยความที่จะมืดแล้ว  เลยต้องรีบถ่ายก่อนแสงสุดท้ายหมด



หม้ามืดแว้วว




อะฮ่า...หลังจากถ่ายรูป เราก็มาสั่งอาหารกันเถอะค่ะ  ดูเมนูว่ามีอะไรน่ากินบ้าง



อาหารที่นี่อร่อยใช้ได้เลยค่ะ  สดมากๆๆ ขนาดว่าเราอิ่มจากขาหมูที่ละแมแล้วยังหม่ำกันเพลินเลย



สบายพุงแร่ะ แต่วันนี้ภาระกิจของเรายังไม่เสร็จนะคะ เดี๋ยวต้องไปเช็คอินที่โรงแรมกันแล้วค่ะ

เห็นเค้าบอกว่าที่พักคืนนี้ของเราสวยมากเลย ยังไงรีบไปดูดีกว่า  ว่าจะแจ่มแค่ไหน..อิอิ



Create Date : 25 กุมภาพันธ์ 2557
Last Update : 17 เมษายน 2558 20:20:50 น. 0 comments
Counter : 1172 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

hi hacky
Location :
ชลบุรี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 24 คน [?]




Life is a journey....
New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add hi hacky's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.