คุณแม่น้องแฝด ฮานากะฮารุ ^^
ทริปไปฮ่องกงวันสุดท้าย : ไปกินล๊อปสเตอร์ยักษ์กันเถอะ....










ไม่มีงานเลี้ยงใดที่ไม่เลิกรา....
ในที่สุดทริปของเราก็มาถึงวันสุดท้าย เย็นนี้เราจะต้องกลับเมืองไทยกันแล้ว



รถบัสจะมารับเราที่โรงแรมเวลาห้าโมงเย็น จากนั้นเราจะไปเช็คอินที่สนามบิน
โดยไฟล์บินของเราคือ EK 385 เวลาบินจากฮ่องกงคือสามทุ่มค่ะ



ช่วงเช้าวันนี้เราฟรีสไตล์ เพราะไกด์จะปล่อยให้เราเที่ยวและช๊อปปิ้งเองตามอัธยาศัย
เราจึงตกลงว่าจะนอนกันให้เต็มที่ ตื่นให้สายหน่อย เพราะไม่มีอะไรรีบเร่งแล้ว




ตื่นมาก็เป็นเวลาประมาณเก้าโมงเช้า รู้สึกเมื่อยขาไปหมดเลย
แต่ก็ต้องรีบลุกมาอาบน้ำแต่งตัว เพราะเราจะต้องไปกินติ่มซำและโจ๊กกินเป็นอาหารเช้ากันแล้ว



รีวิวชุดวันนี้ สักนิด
เสื้อกันหนาวสีชมพูมีฮู๊ดเป็นขนเฟอร์ อุ่นมากกก ราคา 800 บาทของ Giodano ถูกมากๆๆ
หมวก ผ้าพันคอ กางเกง กระเป๋า และรองเท้า เหมือนเดิมทุกประการจ้า
(มาเมืองหนาวก็ดีอย่าง ใส่เสื้อผ้าซ้ำได้ อิอิ)











ช่วงนี้ที่ฮ่องกงกำลังเฉลิมฉลองงาน X-mas ค่ะ
ต้นคริสมาร์ตบานเต็มเกาะฮ่องกงเลยทีเดียว ^_^













เราจะไปกินมื้อเช้ากันที่ภัตตาคาร Shamrox อยู่ใกล้ๆกับโรงแรมที่เราพัก
ร้านนี้ไกด์แนะนำไว้ว่าอาหารรสชาติใช้ได้ ประกอบกับเราก็อยากกินโจ๊กฮ่องกงร้อนๆกันสักหน่อย
ร้านนี้จึงเป็นตัวเลือกที่ดีค่ะ







จริงๆป๊าอยากกินหมูแดง เป็ดย่างด้วย
แต่ตอนนั้นที่เรากินเป็นเวลาสิบโมงเช้า เค้ายังไม่ขาย จะขายสิบเอ็ดโมง
ป๊าก็เลยอดไป


อาหารส่วนใหญ่จะเป็นติ่มซำค่ะ รสชาติดีสมราคา
ก๋วยเตี๋ยวหลอดที่นี่อร่อยกว่าร้านที่เรากินวันแรก แป้งนุ่มนวล รสชาติดีมาก








โจ๊กที่นี่รสชาติดีทีเดียวค่ะ
เราสั่งให้เค้าใส่เป๋าฮื้อมา แล้วก็มีซีฟู้ดอื่นๆรวมมาด้วย
เนื้อโจ๊กเนียนเป็นครีม หอมอร่อย เราชอบทานมากๆๆ
ทำไมโจ๊กที่เมืองไทยถึงไม่อร่อยอย่างนี้ก็ไม่รู้







ซาลาเปาลูกใหญ่ได้อีก มาแบบลูกเดียวเต็มเข่งเลย



ซาลาเปาไส้ครีมที่นี่ข้างในเยิ้มเป็นน้ำเลยค่ะ อร่อยมากก
ไม่เหมือนที่บ้านเราที่จะเป็นครีมๆ








น้องสาวสั่งของหวาน หน้าตาคล้ายทาร์ตไข่
ทานเข้าไปแล้วรสชาติดีเลย ไส้คัสตาร์ดหวานแต่ไม่เลี่ยน
แป้งพายร้อนๆร่วนๆ.....อร่อยมาก



อิ่มจากมื้อนี้ เราก็กลับไปเก็บของ เพื่อเช็คเอาท์ออกจากโรงแรม
แต่เค้าก็ให้ฝากกระเป๋าได้ แล้วก็กลับมารับได้ก่อนเวลาที่รถบัสมารับไปสนามบิน
เท่ากับเรามีเวลาเหลือประมาณห้าชั่วโมง




พวกเราจึงโดยสารรถไฟใต้ดินหรือ MRT ไปเดินเล่นกันที่ม่งก๊ก ซึ่งอยู่เลยจากสถานีที่เราอยู่ราวสองป้าย
(ติดใจล่ะซิ เห็นมั้ยบอกแล้วว่ารถไฟใต้ดินน่ะไปง่าย)
















ม่งก๊กนี้เป็นย่านที่ขายของคล้ายๆสยามสแควร์.....
วันเสาร์แบบนี้คนยิ่งเยอะคะ มองไปทางไหนก็เจอคนๆๆๆเต็มไปหมด




เราขึ้นมาจากสถานี ก็เจอคนแจกใบปลิว
ในนั่นเขียนว่านาฬิกา Casio ลด 30-40%
อิชั้นก็ตาลุกวาวซิ ถามคนแจกใบปลิวว่า “”Where is the shop ?”




คนแจกใบปลิวก็ชี้ให้อิชั้นไปทางนี้
แล้วเลี้ยวตรงหัวมุมก็จะเจอเลย



อิชั้นเดินตามไป ไม่เห็นมีร้านนาฬิกาอะไรเลย
พวกเราก็ยืนงงๆกัน กะว่าหาไม่เจอก็จะไปแล้ว...



ทันใด เจ๊คนที่แจกใบปลิวก็เดินตามมาหาอิชั้น
(เจ๊แกรู้แน่เลยว่าอิชั้นไม่มีปัญญาหาร้านเจอแน่)
ก็เลยมาจูงมืออิชั้นเข้าไปในตัวตึกตรงหน้า และพาไปถึงหน้าประตูลิฟท์
แล้วบอกอิชั้นว่า ชั้น 20




โอ้...มายก๊อด อิชั้นล่ะเง็ง
นี่ถ้ามาคนเดียวตรูไม่กล้าขึ้นแน่ๆ แต่พอดีป๊ากับแม่ก็บอกลองขึ้นๆไปดูก็แล้วกัน
เรามากันหลายคน
แล้วอีกอย่าง ยัยเจ๊แจกใบปลิวก็ยังยืนยิ้มแผ่
รอส่งอิชั้นอยู่อย่างแนวแน่ ไม่ยอมหนีไปไหนเลยวุ้ยย
เอาวะ ขึ้นไปแล้ว กดชั้นยี่สิบ พอออกมามีสาวน้อยฮ่องกงตามมาด้วยสองคน เริ่มอุ่นใจ อย่างน้อยตรูก็มีเพื่อนแล้ว



สองสาวเดินเข้าไปทางซ้าย เป็นห้องเล็กๆห้องหนึ่งซึ่งมีแต่นาฬิกา Casio
โอๆๆๆๆ อิชั้นอยากจะกรี๊ดสลบเหลือเกิน
ทุกชิ้นมาป้าย Saleๆๆๆๆ ราคาพิเศษทั้งนั้น โ
อ้วววว ดีใจจัง ในที่สุดก็หาเจอ (ไม่หน้าแตกแย้ว)




นาฬิกาที่นี่ถูกใช้ได้เลยอ่ะ Baby G รุ่นเก่าๆ
(แต่ไม่ใช่ของเก่านะ หมายถึงแบบที่เป็นคลาสสิคดั้งเดิมน่ะ)
ราคาพันนิดๆเอง ถ้าไปดูที่ห้างเมืองไทยลดแล้วก็เกือบสามพัน




นาฬิกาแบบถูกที่สุดคือสายพลาสติกสีดำ แต่เราว่าก็สวยใช้ได้ ราคา 700 กว่าบาทเอง ถูกมากกก
แม่ซื้อไปหลายเรือนเลย เอาไปแจกเค้า เพราะของคาสิโอเนี่ยถ่านอยู่ได้นานด้วย ประมาณ 3-5 ปีแน่ะ ปัญหาก็ไม่ค่อยมี



ส่วนตัวอิชั้นได้นาฬิกา G SHOCK มาเรือนนึง ราคาสองพันกว่าบาท
แพงหน่อยแต่ชอบอ่ะ เป็นแบบล่าสุดที่ออกใน Spring นี้ ราคาเลยสูงหน่อย แต่ก็ถือว่าถูกมากๆๆๆ เมื่อเทียบกับในเมืองไทยนะ



ตกลงว่าบ้านเราสอยได้นาฬิกา Casio มา 12 เรือน หมดเงินไปราวหมื่นกว่าบาท
ถ้าเจ๊แจกใบปลิวรู้ว่าเราซื้อขนาดนี้ คงมีกำลังใจยืนแจกต่อทั้งคืนแน่ อิอิ




เรามารู้ทีหลังว่า
ร้านค้าปลีกหรือภัตตาคารในฮ่องกง นิยมเช่าตึกที่เป็นชั้นสูงๆหน่อย
เพราะราคาถูก ประกอบกับค่าเช่าที่ในฮ่องกงแพงมากกกก
นั่นซิ เราว่าร้านที่อยู่ตามทางเดินของฮ่องกง ส่วนใหญ่เป็นแบนด์ที่เราคุ้นเคย เช่น เซเว่นอิเลเว่น , Giodano Bossini, Mac Donald
ร้านที่เล็กๆก็ต้องหาเช่าที่สูงๆลึกลับหน่อยอยู่ แต่ก็ใช้แจกใบปลิว + การบอกต่อปากต่อปากมากกว่า
เหมือนอย่างเราที่เจ๊แจกใบปลิวพาเรามาจนได้ไง อิอิ




เดินกลับมาโรงแรม กลับมาแพ็คกระเป๋าอีกครั้ง
เพราะนอกจากนาฬิกาแล้ว เรายังซื้อขนมจุกจิกและช๊อกโกแลตมาฝากคนที่เมืองไทยอีกเยอะเลย



นอกจากนี้เรายังมีภารกิจสำคัญ.....
คือการกินมื้อเที่ยง ซึ่งเป็นมื้อสุดท้ายของที่นี่
และป๊าหมายมั่นปั้นมือมากว่าจะต้องกินกุ้งมังกรยักษ์ หรือล๊อปสเตอร์สุดไฮโซให้ได้ครั้งหนึ่งในชีวิต
งานนี้ป๊าทุ่มไม่มีอั้นคร่า......




พวกเราเดินทางไปที่ภัตตาคาร Furam (ชื่อเหมือนทีมฟุตบอลเลยเนอะ )
ภัตตาคารนี้ไกด์แนะนำมาเช่นกัน ซึ่งหากไม่แนะนำมาเราไม่มีทางหาเจอแน่ เพราะเค้าอยู่บนชั้นสาม ข้างล่างเป็นร้านแม็คโดนัลด์ วันแรกตอนพวกเราเดินวนหาของกิน เราก็เดินเลยผ่านร้านนี้ไป




ก็ใครจะไปรู้ว่าร้านอาหารหรูๆอย่างนี้จะอยู่บนชั้นสามแบบนี้หล่ะ



V
V
V
V







เข้าไปนั่งรอ













เข้าไปในร้าน ตอนแรกไม่ค่อยมีใครสนใจเราเลยค่ะ
นั่งตั้งนานน้ำชาก็ยังไม่ได้กิน

แต่พอป๊าบอกว่าจะกินกุ้งมังกรล๊อปสเตอร์เท่านั้นแหล่ะ โอ้โฮ ผู้จัดการร้านมาต้อนรับกันเลยทันที.....



















เค้าพาป๊าไปเลือกเลยว่าจะกินตัวไหน อยากจะกินอะไรบ้าง
ไปดูมา โอ้...มีเยอะแยะเลย ทั้งปูอลาสก้า กุ้งมังกร หอยเป๋าฮื้อ หอยงวงช้าง ปลาเก๋ายักษ์ ละลานตาไปหมด




มาถึงนี้ ป๊าอิชั้นชักไม่อยากเป็นคนชี้นิ้วเลือกเองซะแล้ว กลัวบาป
เลยบอกว่าเอากุ้งมังกร ปูอลาสก้า กับเป๋าฮื้อ ให้เค้าจับเอง



เค้าก็เลยจับแล้ววางให้ดูเลยว่า ลื้อเลือกตัวนี้นะ


เราก็ แอร๊ยยยยยย อุตส่าห์ให้เอ็งเลือกให้เพราะไม่อยากเป็นคนเลือกเองวุ้ย ไม่ต้องเอาให้ดู เดี๋ยวกินไม่ลง



ป๊าก็เลยรีบพยักหน้าหงึกๆ จะทำอะไรก็รีบไปทำเหอะ ตรูจะรีบกลับโต๊ะแหล่วววว





************************************


ตะกี้ที่เล่าว่าจากการที่รู้ว่าเราสั่งล๊อปเตอร์ สถานะในชีวิตเราก็เปลี่ยนไปในทันที




พนักงานมาเชิญเราไปนั่งที่โต๊ะใหญ่ขึ้น มีจานรองหมุนได้ และเปลี่ยนผ้าปูให้ใหม่ให้




สักพักถ้วยน้ำชา จานชามก็เดินทางมาหาเรา มีผ้าเช็ดปากสีทองวางเคียงมาให้ด้วย



บ๋อยก็มาเสริฟน้ำชาให้ รินให้อย่างเรียบร้อยผิดวิสัยคนฮ่องกง
(ซึ่งถือว่าแปลกมากค่ะ แถมเมื่อตะกี้นั่งรอตั้งนานก็ไม่มาเสริฟสักที)



เท่านั้นยังไม่พอ ... มีผ้าเย็นมาเสิรฟให้ท่านอีก...คนละ 2 ผืน



อิชั้นวางกระเป๋าไว้ข้างหลัง พนักงานก็เข้ามาบอกว่า ให้วางไว้บนเก้าอี้ตัวที่อยู่ข้างๆ ที่ว่างอยู่ เดี๋ยวเค้าจะคลุมผ้าให้ กันเอาไว้เผื่อเด็กเสริฟทำน้ำจิ้มหรืออาหารพลัดหล่น กระเป๋าแบรนด์เนมแสนไฮโซ (หรือเปล่า) ของท่านจะได้ไม่เปื้อน




โอ...มื้อนี้จะราคาเท่าไหร่เนี่ย
อิชั้นกับน้องสาวซุบซิบถามกัน ที่รู้ๆไม่ต่ำกว่าหลักหมื่นแหงมๆ ไม่งั้นพี่แกไม่ดูแลพวกอิชั้นดีเยี่ยงนี้แน่ๆ












V
V
V
V
V
V



แล้วอาหารจานแรกก็เดินทางมาถึง เป็นเป๋าฮื้อห้าตัว (เท่าจำนวนคน) ผัดกับผักโสภณ หน้าตาน่าทานอย่างนี้จ้า









กินเข้าไป อุ๊ยยยย อร่อย เป๋าฮื้อกรอบ สด แต่ไม่แข็ง แบบเคี้ยวหนึบๆอร่อยดี
ผักโสภณก็สด กรอบ อร่อย และชิ้นใหญ่ดีค่ะ รสชาติก็กลมกล่อมดี อร่อยมาก







จานต่อมา เป็นจานที่สร้างความโกลาหลในร้านพอสมควร
เพราะพอพนักงานเสริฟยกปูอลาสก้ามา ก็ได้ยินเสียงอื้ออึงกันมาเลย




อิชั้นหันไปเห็น โอ้....ปูตัวใหญ่มากกกกก

พวกเราถึงกับอ้าปากค้าง

เพราะตอนนี้โต๊ะรอบด้าน ประชาชนรอบกายทุกคนพร้อมใจกันมองที่ปูยักษ์ใหญ่จานนี้โดยทั่วกัน



เรียกว่าเจ้าปูเนี่ยมันเกิดมาเพื่อสร้างความตื่นตะลึงให้แก่ฝูงชนโดยแท้



อย่าว่าแต่คนกินอย่างอิชั้นและโต๊ะอื่นๆจะตะลึงเลยค่ะ
เด็กเสริฟในร้านอีกห้าหกคนมันก็วิ่งมาดูปูยักษ์ที่โต๊ะอิชั้นเหมือนกัน
อิชั้นงี้อยากจะหน้าแทรกเข้าไปในโต๊ะ
เพราะความที่คนมองเยอะ
น่าอายชะมัด>












ขนาดใหญ่ไม่ใหญ่ ก็เทียบกับใบหน้าปะป๋าอิชั้นดูเองนะคะ



ต่อไป....ก็เป็นรายการอึ้ง อึ้งว่าพวกเราจะกินปูนี้อย่างไง ไม่มีปัญญาแกะ
ก็มีพนักงานค่ะมาจัดการแกะปูให้ โอ้....เลิศค่ะ กินปูแบบมือไม่เปื้อนเลย ไฮโซมาก
แต่มานั่งนึกๆไป โห มื้อนี้จะราคาเท่าไหร่วะ มีคนมาเซอร์วิสซะขนาดนี้








อิชั้นว่าถ้าหน้าเราออกเป็นแขกสักหน่อย
เค้าคงคิดว่าเราเป็นสุลต่านมาจากตะวันออกกลางที่ไหนแน่เลย หาญกล้าชาญชัยสั่งปูอลาสก้าที่มันโคตรรรรร แพงขนาดนี้

ชำเลืองมองโต๊ะอื่นเค้าก็ทานอาหารแบบคนปกติธรรมดาเค้าทานกัน
ไม่เห็นมีใครสั่งเหมือนโต๊ะอิชั้นเลยง่ะ เง้อ....







เนื้อปูข้างในค่ะ







หง่ำๆๆๆๆ






ที่นี่ไม่มีน้ำจิ้มซีฟู๊ดนะคะ อย่างมากก็เป็นน้ำพริกเผา ไม่ค่อยเข้ากับอาหารทะเลเล้ยยยยย



รสชาติของปูอลาสก้าแสนไฮโซ....
บอกตรงๆว่า เมื่อไม่ได้จิ้มกับน้ำจิ้มซีฟู๊ดแบบบ้านเรา ทำให้มันไม่ค่อยอร่อยมากในความรู้สึกของเราอ่ะ

กินจิ้มน้ำพริกเผาก็ไม่ไหวเลยกินเปล่าๆ แบบว่ากินๆไปก็เริ่มจะเลี่ยนเพราะไม่มีน้ำจิ้มมาตัดรสเลย



อิชั้นแอบคิดว่าปูม้าต้มเนื้อแน่นๆ จากบางแสนจิ้มน้ำจิ้มซีฟู๊ดยังอร่อยกว่าเลย...แง









จานต่อมาเป็นล๊อปสเตอร์ซาสิมิ เนี่ยแหล่ะค่ะ พระเอกตัวจริง
จะบอกว่าราคาแพงที่สุดเลย จานนี้เกือบหมื่นบาท เอิ๊กกกก


(ตอนนั้นยังไม่รู้ราคา ไม่งั้นคำนึงอาจจะต้องอมประมาณยี่สิบนาทีแล้วค่อยกลืน)












เอาเนื้อขาวๆใส่ปากเข้าไป
โอ้ววววว สวรรค์มีจริง






เนื้อกุ้งมังกรหวานมากๆๆๆ รสชาติอร่อยสุดๆ
จิ้มกินกับน้ำจิ้มวาซาบิ อร่อยลืมตายไปเลยค่ะ อร่อยโฮกๆๆๆๆ





จานต่อมาเป็นหมี่กรอบราดหน้าค่ะ อร่อยอีกแล้ว
หมี่เค้าอร่อยดีค่ะ คล้ายๆมาม่าเลย เคี้ยวกันเพลิน
ถูกใจคนชอบกินเส้นอย่างเราอย่างยิ่ง






ต่อมาล๊อปสเตอร์ตัวนั้นเค้าก็เอาไปทอดกรอบให้เรา
(ตัวนึงกินไม่เหลือซากเลยนะ)
รสชาติกรอบๆอร่อยดีค่ะ









ถ้วยนี้เป็นขนมหวานที่เค้าแถมมาให้
คล้ายๆจะเป็นซุปฟักทองใส่สาคู หวานๆร้อนๆดี







ชักเอะใจ บริการดี แถมมีของหวานบริการตบท้ายให้ขนาดนี้.....

สงสัยราคาจะไม่ธรรมดา
แล้วนาทีระทึกใจก็มาถึงค่ะ เราเรียกเค้ามาเช็คบิล...








ราคารวม 6,606 เหรียญ หรือเท่ากับราวๆ 27,000 กว่าบาทไทย (เอิ๊กก กรูว่าแล้ว )



แพงที่สุดคือกุ้งมังกรล๊อปสเตอร์ ราคาเกือบหมื่นบาท
แพงที่สองคือปูอลาสกา ตัวนี้เกือบแปดพันบาท
ส่วนแพงที่สามคือเป๋าฮื้อค่ะ ห้าตัวรวมเกือบหกพันบาท




และที่สำคัญ....
มีค่า Service Charge 10% รวมเป็นเงิน 2,000 กว่าบาทในนี้ด้วย !!!




สงสัยจะเป็นค่าแกะปู ถึงได้ดูแลพวกเราดีขนาดนี้ 5555

จ่ายเงินแล้วก็สบายใจ กระเป๋าโล่งงง ขึ้นไปเยอะเลยค่ะ ปะป๋าก็ได้กินล๊อปสเตอร์สมใจปรารถนาแล้ว
เราก็เท่ากับมาถึงฮ่องกงโดยสมบูรณ์เสียที




แล้วเราก็เดินทางกลับ




ที่สนามบิน










แฟชั่นตอนขึ้นเครื่องกลับบ้านค่ะ ออกแนวดาร์คเวเดอร์เล็กน้อย
แต่เราชอบนะ.....ปิดพุงดี อิอิ









เครื่องบินออกเวลาสามทุ่มตรงเป๊ะ แล้วก็เหินฟ้าพาเรากลับเมืองไทย
ถึงสุวรรณภูมิราวห้าทุ่ม ใช้เวลาไม่นานเลย


แต่เราไปเสียเวลาตรงรอกระเป๋านานนิดนึง
เพราะเครื่องบินลำใหญ่กระเป๋าเยอะค่ะ รอครึ่งชั่วโมงได้ เง้อ....
กลับถึงบ้านเกือบตีหนึ่ง




ทริปไปฮ่องกงของเราในวันนี้ก็จบลงเพียงเท่านี้ค่ะ สนุก+เหนื่อยใช้ได้

แต่ก็ถือว่าได้กินของอร่อยๆหลายอย่าง และได้ของช็อปปิ้งถูกใจมาเพียบ
และอีกอย่างถือเป็นการชิมลางการเที่ยวฮ่องกงเองด้วย
เราว่าเดินทางไปไหนไปไม่ยากเลยนะคะ รถไฟใต้ดินก็สะดวกมากกก
แอบติดใจ...คาดว่าน่าจะมีหนหน้าที่จะพามาเที่ยวกันเองอีก


แต่วันนี้เหนื่อยมากแล้ว...ต้องพักผ่อนแล้วค่ะ



บายค่ะ










Create Date : 21 ธันวาคม 2553
Last Update : 12 กันยายน 2556 13:55:24 น. 1 comments
Counter : 6208 Pageviews.

 


อ้าว..ตกข่าวๆ
คุณแฮคกี้ไปเที่ยวฮ่องกงมาเหรอคะเนี่ย
อาหารการกินทริปนี้ล้นหลามน่าอิ่มหมีพลีมันมากจริงๆ

วันนี้ตั้งใจมา Merry x' mas and Happy New Year 2011 กันด้วย
ขอให้คุณแฮคกี้และครอบครัวมีความสุขตลอดปีที่จะมาถึงและตลอดไปนะคะ


โดย: เจิมค้า (nLatte ) วันที่: 24 ธันวาคม 2553 เวลา:13:26:40 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

hi hacky
Location :
ชลบุรี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 24 คน [?]




Life is a journey....
New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add hi hacky's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.