XVI. หลายชีวิต


รสากลับไปอยู่ในห้องเดิม...

ความมืดและหนาวเย็นกางแขนออกมาต้อนรับ หญิงสาวเป็นคนเปิดประตูและเดินเข้าไปในห้องนั้นด้วยตัวเอง หากแต่ครั้งนี้บรรยากาศเปลี่ยนแปลงไปบ้าง เหมือนคนเดินมาจากที่สว่างแล้วเอาความสว่างนั้นติดตัวตามเข้าไปด้วย เป็นความสว่างที่อาจไม่สว่างจ้าเหมือนพระอาทิตย์ ไม่ได้เรื่อเรืองอย่างพระจันทร์ หากเพียงกระพริบพรายเหมือนแสงสว่างจากหิ่งห้อย แต่ก็พลันทำให้ห้องมืดสนิทห้องหนึ่งสว่างโพลงขึ้นมาได้

ห้องนี้ไม่ได้มืด แคบ และเดียวดายอย่างที่คิด รสาได้ยินเสียงดนตรีจากหีบเพลงเบาๆอยู่ตรงมุมในสุดของห้อง หญิงสาวเดินเข้าไปตามเสียงเพลงนั้น มุมห้องเป็นผนังตั้งฉากกัน ด้านหนึ่งเป็นกระจก อีกด้านหนึ่งเป็นหน้าต่างที่เชื่อมต่อกับโลกภายนอก รสามองออกไปนอกหน้าต่างมีเพียงหมอกลงจัดมองไม่เห็นทาง จึงหันไปอีกด้านของผนังที่มีกระจก ภาพที่ปรากฏในเงาของกระจกนั้นสะท้อนภาพหญิงสาวชุดสีชมพูยืนอยู่เดียวดาย ใบหน้าที่ปรากฏนั้นเป็นใบหน้าของเธอเอง

...หรือไม่ใช่...

“ไม่ใช่”

เสียงนั้นเป็นเสียงเด็กสาววัยแรกรุ่น แสงสว่างวาบเข้าตา ปรากฏเป็นภาพในห้องนอนของรสาและฟ้าใสในวัยมัธยม เด็กสาวคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาโอบด้านหลังเด็กสาวอีกคนที่กำลังนั่งมองกระจกสี่เหลี่ยมเล็กๆสองบานที่วางทำมุมกัน ตรงกลางของกระจกสองบานนั้นมีตุ๊กตาขนาดเท่าก้อนยางลบวางอยู่ กระจกทั้งสองบานวางทำมุม 120 องศาต่อกัน เงาสะท้อนตุ๊กตานั้นมีอยู่ 2 ตัว เด็กสาวที่นั่งอยู่กางกระจกให้กว้างขึ้น ภาพยังคงมีเท่าเดิม

“ต้องทำมุมให้น้อยลงอีก”

ไม่พูดเปล่า ฟ้าใสเอื้อมมือขยับกระจกสองบานให้ตั้งฉากกัน ภาพตุ๊กตาในกระจกรวมกันเพิ่มขึ้นเป็น 3 ตัว

“ว้าว”

รสาหันไปมองดูตัวเองในวัยเด็ก ที่คะยั้นคะยอฟ้าใสให้อธิบายเพิ่ม

“มันเป็นกฎการสะท้อนของแสง รังสีและมุมตกกระทบ จะเท่ากับรังสีและมุมสะท้อน ถ้าเราเอาวัตถุไปวางหน้ากระจกเงาราบ เงาตกกระทบจะสะท้อนเข้าตาเราในมุมเดียวกัน และเส้นทางเดียวกันกับที่วัตถุนั้นทำมุมกับกระจก”

“กลับจากซ้ายไปขวา…”
รสาเป็นคนพูดน้อยมาแต่ไหนแต่ไร เอ่ยปากได้ไม่กี่คำ ฟ้าใสก็แย่งพูดไปเสียหมด

“ไม่ใช่ มันเป็นแค่มายา นี่ ลองดูกระจกนี่สิ”
ฟ้าใสเลื่อนกระจกห่างออกไป ทำให้เห็นภาพครึ่งตัวของรสาโดยมีฟ้าใสอยู่ด้านหลัง

“เวลามองกระจก คนเราจะคิดว่า ภาพในกระจกจะสะท้อนด้านซ้าย ไปเป็นด้านขวา ด้านขวาไปเป็นด้านซ้าย แต่จริงๆไม่ใช่ มันคือด้านหลัง กลับมาเป็นด้านหน้าต่างหาก”

“เอ๋...”

“อย่างตอนนี้ตัวหันหลังให้เค้า มือซ้ายกับมือขวาของตัวกับเค้า จะอยู่ฝั่งเดียวกัน เห็นมั้ย”

“อื้ม…”

“มา หันมาทางนี้มั่ง”

ฟ้าใสจับรสาหมุนตัวมาเผชิญหน้ากันแล้วจับมือของฝาแฝดตนไว้ทั้งสองข้าง

“แต่พอตัวหันหลังกลับมา มือข้างซ้ายของตัว จะจับอยู่กับมือข้างขวาของเค้า ทำให้ตัวมองเห็นว่าคนที่อยู่ตรงกันข้าม จะมีทุกอย่างกลับด้าน คือจากฝั่งซ้ายเป็นฝั่งขวา ดังนั้น ที่จริงภาพในกระจกเลยไม่ใช่การกลับจากซ้ายเป็นขวา แต่เป็นการกลับจากข้างหลัง มาข้างหน้าต่างหาก”

“อ้อ...”
รสาร้องเบาๆ

“เข้าใจมั้ย”
ฟ้าใสถามย้ำ

“เอ... เข้าใจมั้ง”
ฟ้าใสอธิบายได้เห็นภาพ แต่รสาไม่ได้ฟังลึกถึงรายละเอียด ได้แต่ยิ้มรื่น ขยับที่ให้ฟ้าใสมานั่งข้างๆ

“ส่วนนี่ ถ้าเราเอากระจกสองบานมาทำมุมกัน จำนวนภาพที่เกิดจากการทำมุมของกระจกสองบานนี้ จะเท่ากับ 360 องศา หารด้วยมุมนั้น แล้วเอามาลบด้วย 1 อย่างถ้ามุมฉากหรือ 90 องศา ก็จะปรากฏเงา 3 เงา เห็นมั้ย”

“อือ...”
รสามองภาพในกระจกตามไป

“ถ้าองศาที่กระจกทำมุมกันน้อยลงไปเรื่อยๆ ภาพก็จะยิ่งมีจำนวนมากขึ้น”
ฟ้าใสลากกระจกให้มาใกล้กัน จำนวนเงาก็เพิ่มตาม

“แล้วถ้าวางกระจกขนานกันล่ะ”
รสาถามขึ้น

“ก็แปลว่ามุมที่ทำต่อกันเป็น 0 องศา ภาพที่ออกมาจะกลายเป็นภาพอนันต์ เรียกภาษาอังกฤษว่า อินฟินิตี้”

“ไม่มีวันสิ้นสุดหน่ะเหรอ”

“อื้ม ไม่มีสิ้นสุด คาดเดาไม่ได้ ว่ามีเงาจำนวนเท่าไหร่ ทั้งๆที่วัตถุจริงมีแค่ 1 เดียว ที่เหลือเป็นแค่ภาพเสมือน มีอยู่ทฤษฏีนึงที่คล้ายๆปรากฏการณ์นี้นะ ชื่อว่าเอกภพคู่ขนาน คือมีเราเหมือนกัน แต่เหตุการณ์ทุกอย่างกลับตรงข้ามกันไป โดยไม่มีทางมาบรรจบกัน”

“ยากจังฟ้า ตัวไปเรียนเรื่องพวกนี้มาจากไหนเนี่ย”

“จำมาจากในหนัง แล้วก็ไปค้นในหนังสือวิทยาศาสตร์เอาน่ะสิ ใครจะนั่งอยู่แต่ในห้อง อ่านวรรณคดีร้อยกรองอย่างตัวได้ตลอดเวลา น่าเบื่อจะตาย”

“ฟ้าก็... เราชอบคนละแบบกันนี่นา... เออ... แต่ในวรรณคดี ก็มีเรื่องประมาณเอกภพคู่ขนานเหมือนกันนะ”

รสาเริ่มเป็นฝ่ายเล่าบ้าง

“ยังไงเหรอ”
ฟ้าใสยักคิ้วถาม

“ก็อย่างเช่น ตรงที่เรานั่งอยู่ตรงนี้ อาจจะมีนางฟ้า เทวดา หรือวิญญาณนั่งอยู่เหมือนกัน เพียงแต่อยู่คนละภพภูมิ เลยสัมผัส สื่อสาร หรือพูดคุยกันไม่ได้ นอกจากจะมีจังหวะที่ข้ามมิติเข้ามาหากัน อะไรทำนองนั้น”

“โอ้...”
ฟ้าใสพยักหน้า ตาโต

“เค้าไม่ได้กำลังเล่านิทานนะ เค้าพูดถึงเรื่องที่อยู่ในวรรณคดี ไม่ก็ตำราโบราณ ในนั้นมีพูดถึงจริงๆ”

คนพูดตัดพ้อ เมื่อรู้ว่าคู่สนทนาแกล้งทำเป็นสนใจไปอย่างนั้น คนถูกจับได้เอาแต่หัวเราะร่วน เสียงหัวเราะและพูดคุยเบาลงและเงียบหายไป เด็กสาวสองคนถูกเรียกให้ไปรับประทานอาหาร พวกเธอวิ่งผ่านร่างของรสาที่ยืนมองอยู่ราวกับวิ่งผ่านหมอกจางๆ

รสาเดินตามออกไปทางประตูห้อง พอเธอก้าวข้ามผ่านธรณีประตู ผนังห้อง ข้าวของเครื่องใช้ ก็เปลี่ยนแปลงไป ภาพต่างๆผ่านเข้ามาแล้วผ่านไปเหมือนการฉายสไลด์ รสามองดูการเจริญเติบโตของเด็กทั้งสองคนไปเรื่อยๆ ฟ้าใสเป็นเด็กหัวไว เรียนรู้เร็ว ปรับตัวเก่ง ขี้เล่น แต่บางครั้งก็ เจ้าอารมณ์ ตรงข้ามกับรสาที่ค่อนข้างเก็บอารมณ์ ใจอ่อน และขี้สงสาร ทั้งสองคนเติบโตมาด้วยกันแต่สุดท้ายก็ต้องพลัดพรากจากกันเมื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ต่างคณะ และเป็นคนละแห่ง พอถึงปีสุดท้ายในการเรียนมหาวิทยาลัย ฟ้าใสเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ รสารับปริญญา บรรจุเข้าทำงานในโรงพยาบาล และได้พบกับอนัลยานี วันที่รสาประสบอุบัติเหตุ เธอเห็นฟ้าใสอยู่ริมถนน จนถึงวันนี้ รสาเห็นฟ้าใสอีกครั้ง แต่กลับมาปรากฏโดยร่างของตัวเธอเอง

รสากระพริบตาอีกหน ตนก็กลับมาอยู่ในห้องขังห้องเดิม แสงสว่างจางหายลง ความมืดเริ่มปกคลุมจนทั่วห้องอีกครั้ง บางที ถ้าเพื่อแลกเปลี่ยนให้ฟ้าใสได้มีชีวิตใหม่ นี่อาจจะเป็นเอกภพคู่ขนาน ที่เธอต้องอยู่ต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด หรืออาจเป็นอณูของภพภูมิหนึ่งซึ่งเป็นที่ที่เธอควรอยู่

เมื่อคนหนึ่งเป็นของจริง อีกคนก็ต้องเป็นภาพเสมือน
เมื่อต่างอยู่คนละภพ ย่อมไม่มีทางมาบรรจบกัน

พอปลงใจเชื่อเช่นนั้น ผนังห้องก็กลับไร้ขอบเขตและแปรสภาพใหม่ พื้นห้องอ่อนยวบก่อนเปลี่ยนไปเป็นเมือกเหลวแล้วค่อยๆหลอมรวมเป็นผืนน้ำสีดำมืด และดูดกลืนหญิงสาวให้เข้าไปสู่ก้นบึ้ง แต่ในทันใดนั้นกลับมีมือหนึ่งดึงเธอขึ้นมาจากผืนน้ำนั้น

รสารู้สึกราวกับถูกกระชากขึ้นทั้งตัวและได้ยินเสียงวี้ดจากเครื่องมือช่วยชีวิตที่คุ้นหู แสงสว่างจ้าสะท้อนเข้าตาจนพร่าเลือน รสาหรี่ตาแล้วค่อยๆลืมขึ้นช้าๆ จากนั้นได้ยินเสียงหัวใจเต้น สัมผัสได้ถึงลมหายใจ อ๊อกซิเจนครอบที่จมูกอัดลมให้ไหลผ่านจมูกเข้าสู่ปอด รสาได้ยินกระทั่งเสียงลมที่เดินทางผ่านทางเดินหายใจ พร้อมกับได้ยินเสียงผู้คนรายล้อม

“คนไข้ปลอดภัย หัวใจกลับมาเต้นแล้ว”

รสาไม่มีแรงขยับตัวมากนัก รู้สึกว่าแขนขาเล็กลงกว่าที่เคยคุ้นชิน แต่ที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่านั้น ท่ามกลางเจ้าหน้าที่ในชุดสีขาวรายรอบ เธอเห็นแอนี่เดินจากไปอย่างช้าๆ โดยไม่มีใครเหลียวมองเลยแม้แต่คนเดียว

`•.,¸,.•*¯`•.,¸,.•*

เวลาเย็นย่ำ ราชรถคันงามเคลื่อนตัวเข้ามาจอดหน้าบ้านหลังเล็กๆ หลังหนึ่งซึ่งอยู่เกือบท้ายซอย ริมรั้วมีรถเก๋งขนาดกลางจอดอย่างสงบนิ่งอยู่หนึ่งคัน ไฟหน้าบ้านเปิดไว้สลัวๆ ประตูรั้วล็อคไว้ด้วยแม่กุญแจคล้องกับกลอนประตูอีกหนึ่งชั้น ฟ้าใสมองชายคาบ้านผ่านกระจกหน้าต่างของรถที่นั่งมา บรรยากาศของบ้านดูเงียบเหงาซึมเซา แต่เธอยังจดจำได้ถึงทุกสรรพสิ่งที่เคลื่อนไหวอยู่ภายใน

ภาพเด็กสาวผมเปียสองคนกระโดดขึ้นรถเก๋งคันเก่าของพ่อ มีไม่กี่ครั้งเท่านั้นที่รสาจะได้เลื่อนขึ้นมานั่งตรงตักแม่ เนื่องด้วยอภิสิทธิ์นั้นขึ้นตรงกับฟ้าใสที่จับจองพื้นที่ด้านหน้า ที่ถ้าหากถนนว่างจากยวดยานคราใด เธอก็จะสามารถเลื่อนไปนั่งบนตักของพ่อและสามารถสวมบทคนขับรถได้อย่างแนบเนียน หากพ่อต้องการให้ลูกสาวคนโปรดนั่งนิ่งๆ จะต้องหอมแก้มเธอหนึ่งครั้งเป็นสินบนและต้องลูบหัวก่อนลงจากรถทุกครั้ง

ไม่น่าเชื่อว่าพ่อที่แสนรักแสนห่วงลูกสาวขนาดนั้น จะใจร้ายใจดำไปมีผู้หญิงใหม่ ทิ้งฟ้าใส ทิ้งรสา และทิ้งแม่ของเธอไปในที่สุด พ่อไม่ใช่พ่อคนเดิมอีกต่อไป นี่เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้เลยสักนิด...

“ถึงบ้านแล้วครับคนดี”

วินทร์ดับเครื่องยนต์และปลดเข็มขัดนิรภัย เมื่อเห็นตุ๊กตาหน้ารถยังคงนั่งนิ่งก็เอียงคอมอง หญิงสาวข้างกายกำลังเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเงียบงัน

“รสา...”

หญิงสาวไม่ขานรับด้วยลืมไปว่าตนอยู่ในร่างของพี่สาวฝาแฝด ปฏิกิริยานั้นยิ่งทำให้ชายหนุ่มสงสัยจนต้องเอื้อมมือไปแตะไหล่และไถ่ถาม

“คุณครับ”
“คะ”

ฟ้าใสเพิ่งรู้สึกตัวและหันมาสบตาทั้งที่น้ำตากำลังรินไหล ประกายตาเหงาเศร้าอย่างล้ำลึกนั้น ทั้งดึงดูดทั้งสร้างความกังวลใจให้ชายหนุ่มอย่างไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ

“เป็นอะไรไปครับ คุณร้องไห้ทำไม”

“เอ่อ... ขอโทษค่ะ”

เธอก้มหน้า ยกมือขึ้นปาดน้ำตา พยายามฝืนยิ้มให้

“ก็แค่... กำลังนึกถึงอะไรบางอย่างแล้วสะเทือนใจ คุณวินทร์…”

บทสนทนาขาดช่วงลง วินทร์โน้มตัวเข้าไปใกล้และใช้ฝ่ามือประคองใบหน้าของหญิงสาวเอาไว้ ก่อนจะเกลี่ยน้ำตาที่ไหลออกมาจากขอบตาและปัดออกจากพวงแก้ม ฟ้าใสรู้สึกรุมร้อนขึ้นมาอย่างกะทันหันจนใบหน้าแดงระเรื่อแต่ก็ไม่ขยับตัวขัดขืน ทั้งสองฝ่ายต่างโน้มตัวขยับเข้าไปชิดใกล้กัน เมื่อตาต่อตาประสาน แรงดึงดูดชนิดหนึ่งที่อยู่ในดวงตาและลมหายใจที่รินรด ก็ปลดเปลื้องความกระดากอายทั้งหลายทั้งปวงเสียหมดสิ้น ชายหนุ่มพรมจุมพิตตั้งแต่ดวงตาไล่มาถึงแก้มนวล ในเวลานั้น เขารับรู้ได้ถึงวงแขนของหญิงสาวที่โอบกอดเขาไว้อย่างโหยหา ดูราวกับเด็กกำพร้าที่รอคอยความรักอย่างเดียวดายและอ้างว้างมาเป็นเวลานานเหลือแสน เมื่อริมฝีปากของทั้งสองขยับเข้ามาใกล้ชิดกันก็กลับกลายเป็นฝ่ายหญิงที่พยายามเร่งเร้า ชั่ววินาทีนั้นคำพูดของมารดาก็ดังแว่วเข้ามาในมโนสำนึก

“แน่ใจนะ ไม่ใช่ว่าแม่คนนั้นเขาหันมาโอนอ่อนผ่อนตามลูกเพราะเพิ่งรู้ว่าบ้านเรามีอันจะกิน แม่ไม่ได้รังเกียจเรื่องหัวนอนปลายเท้าหรอกนะ แต่ความประพฤติโดยเฉพาะช่วงหลังๆ แม่ว่าดูแปลกๆ พิกลยังไงอยู่”

ภาพของรสาเมื่อแรกพบกับปัจจุบันก็แตกต่างกันดังคำที่มารดาเอ่ยอ้าง ในช่วงเวลาที่รสารับรู้ว่าเขาเป็นเพียงนักข่าวหรือช่างภาพกระจอกๆ เธอวางตัวห่างเหินและเดินหนีทันทีเมื่อรู้ว่าเขาโกหก แล้วนี่วันนี้ หญิงสาวกลับกลายเป็นฝ่ายรุกไล่และดูสับสนในตัวเองจนน่าผิดสังเกต...

วินทร์ถอนจูบและค่อยๆ ดึงแขนของหญิงสาวมาคว้ามือจับไว้ ฟ้าใสหน้าเสียและขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ ชายหนุ่มดึงมือข้างนั้นมาจุมพิตปลอบใจและเอ่ยเสียงเบา

“ขอโทษครับ ผมว่าเวลานี้ คุณคงยังไม่พร้อม”
“คะ...”

ฟ้าใสขานรับเสียงค่อย เมื่อเห็นวินทร์ถอนหายใจเบาๆ ก็ก้มหน้าม่อยแม้ในใจรู้สึกว้าวุ่นเหลือกำลัง อุตส่าห์ให้ท่าขนาดนี้แล้วยังบอกว่าเธอไม่พร้อมหน้าตาเฉย ใครไม่พร้อมกันแน่...

“ผมไม่อยากคบใครแค่ผิวเผิน เราควรจะค่อยเป็นค่อยไป และให้เกียรติกันไปจนกว่าจะถึงเวลา... นะครับ”

“ค่ะ...”

ฟ้าใสฝืนยิ้มออกมาจนได้ แม้จะยังรู้สึกกระอักกระอ่วนใจอยู่บ้าง ระหว่างที่ผละออกจากกัน หญิงสาวจึงได้ยินเสียงสตาร์ทของรถเก๋งคันที่จอดนิ่งอยู่ริมรั้ว จากนั้นก็เคลื่อนตัวออกไปอย่างเงียบเชียบ เมื่อฟ้าใสหันไปมองประตูบ้าน ก็พบว่ามารดายืนมองอยู่ด้วยสีหน้าและสายตาตึงเครียด

นภารับไหว้ชายหนุ่มและหญิงสาวที่ลงมาจากรถ เมื่อลูกสาวของเธอปลีกตัวเข้าบ้านและวินทร์ขับรถจากไป นางก็รู้สึกสงสารและเสียดาย ที่ปล่อยให้ไตรรัตน์ออกมาเจอภาพที่ดูจะไม่เจริญตาแก่นายแพทย์หนุ่มเท่าไรนัก

`•.,¸,.•*¯`•.,¸,.•*

ไตรรัตน์เดินทางกลับถึงที่พัก...

มันคือคอนโดสูงหกชั้นและค่อนข้างโอ่โถงอยู่ในย่านชุมชน เขากดลิฟต์ขึ้นไปยังห้องพักชั้นบนสุดและเดินตรงไปยังด้านในสุดของอาคาร ภายในห้องพักที่ถูกเหมาซื้อคราวเดียวสองห้องและถูกปรับปรุงให้เป็นเรือนพักรักษาตัวขนาดย่อมยังมีทางเดินเป็นซอกซอยเข้าไปอีกชั้น ด้านในกั้นเอาไว้ด้วยผนังกระจกใส นายแพทย์หนุ่มถอดเสื้อคลุมแขวนไว้ตรงราวไม้ริมหน้าต่างก่อนจะเดินตัดไปยังห้องน้ำ เขาเปิดฝักบัวแรงสุดแล้วชำระล้างร่างกายอยู่นาน เมื่อเดินออกมาจึงเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นเสื้อเชิ้ตผืนบางสีขาวสะอาด จากนั้นชายหนุ่มเดินเข้าไปในห้องกระจกดังกล่าว เลี้ยวเข้าไปมุมในสุดของห้องมีเตียงผู้ป่วยตั้งอย่างโดดเดี่ยว บนเตียงนั้นมีร่างผอมบางนอนหันหลังให้ ติดผนังห้องมีอุปกรณ์การแพทย์คล้ายตู้อบขนาดใหญ่ ส่วนด้านข้างมีเครื่องช่วยหายใจ และเครื่องบอกสัญญาณชีพครบครันคล้ายห้องดูแลผู้ป่วยพิเศษในโรงพยาบาลขนาดย่อมๆ

“กลับมาแล้วครับคุณแม่...”
“อือ...”

ร่างผอมบางบนเตียงขานรับ ขยับปากจะพูดต่อก็ไอโขลกเขลก ไตรรัตน์เข้าไปประคองให้นางลุกนั่ง

“แม่ไม่สบายหรือครับ ผมบอกแล้วว่าอย่าออกไปข้างนอก”


“แม่ก็ไม่ได้ออกไปไหนนี่นา แค่ออกไปยืนริมหน้าต่าง”

“นั่นแหละครับ อากาศข้างนอกก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่”

“ยังไม่ดีพออีกหรือ นี่ก็ชั้นบนสุดของอาคารแล้วนะ ถ้าวันไหนลิฟต์เสียขึ้นมา แม่คงลงบันไดไม่ไหว ไปไหนไม่ได้กันพอดี”

“โธ่... คุณแม่ก็ไม่เห็นต้องออกไปไหนนี่ครับ”
ไตรรัตน์ปลอบใจมารดา พร้อมสำทับ

“เอาไว้ผมหาเงินได้เยอะๆกว่านี้ จะพาแม่ไปรักษา ไปผ่าตัดที่เมืองนอก ที่มีหมอเก่งๆนะครับ”
“ยังต้องไปรักษาที่ไกลๆ อีกหรือ ลำพังที่พัก กับอุปกรณ์พวกนี้ ลูกก็หมดเงินไปมากแล้วนะ”

นางหันไปมองอุปกรณ์ชิ้นใหญ่ที่สุดของห้อง ไตรรัตน์เพิ่งเปิดสวิตซ์เดินเครื่อง ขณะเดียวกันก็เอามือลูบแขนนางคลำหาเส้นเลือด หญิงชราเมินหน้าไปทางอื่น ข่มอาการเจ็บจี๊ดเมื่อลูกชายแทงเข็มเข้าไปหนึ่งเข็มใต้ข้อพับ ปล่อยแขนตกลงด้านล่าง เลือดของนางไหลลงตามสายยางและถูกดูดเข้าเครื่อง จากนั้นเข็มที่สองก็ถูกแทงตามมาทางด้านบน ถึงจะชินชากับความเจ็บปวด แต่นางก็ยังทำใจไม่ได้ที่จะหันไปมองกระบวนการทั้งหมดที่ลูกชายทำให้

“ไหนจะค่าบำรุงรักษา ไหนจะค่าใช้จ่าย ...แค่ก”

หญิงชรายกมืออีกข้างปิดปาก ลูกชายหาน้ำมาให้จิบโดยไม่ต้องออกคำสั่ง นางจิบน้ำพลางมองลูกชายอย่างสงสัย นึกทบทวนเหตุการณ์เมื่อสามปีก่อน...

“ลูกไปเอาเงินมาจากไหน ทำห้อง ซื้ออุปกรณ์พวกนี้มา ไม่เห็นต้องลำบากเลย แม่คอยเทียวไปฟอกเลือดที่โรงพยาบาลเหมือนที่เคยทำก็ได้”

“ไม่ได้หรอกครับแม่ ผมไม่มีสิทธิ์สวัสดิการแล้ว ผมลาออกจากโรงพยาบาลแล้วครับ”

“ตายๆ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยออกใหญ่โต เพิ่งเล่าให้แม่ฟังเมื่อเดือนที่แล้วว่าอีกพักใหญ่ก็ได้เป็นอาจารย์หมอ ทำไมจู่ๆถึงลาออกล่ะลูก”

“ผมได้งานเอกชนน่ะครับ ค่าตอบแทนสูงกว่าเดิมเยอะมาก แล้วสิทธิ์สวัสดิการเขาก็ให้การรักษาให้แม่ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ขั้นตอนยุ่งยาก ผมดูแลแม่ได้ ผมก็ดูแลเองดีกว่า”

ระหว่างพูด ลูกชายของนางหลบสายตาลงต่ำแต่ก็ฝืนยิ้มบางๆ

“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ”

ยามปรนนิบัติมารดาที่นอนป่วยอยู่บนเตียงแต่สายตายังทอความห่วงใยร้อยรัดเขาอยู่เสมอ ไตรรัตน์สลัดภาพหญิงสาวชายหนุ่มโอบกอดและจุมพิตกันทิ้งไปพร้อมกับปลายเข็มฉีดยาที่หักโยนลงในถังขยะ ก่อนหันไปตอบรับมารดาด้วยรอยยิ้มชนิดหนึ่งที่ยากจะบรรยาย

“มีผมอยู่ทั้งคน แม่ไม่ต้องกังวลนะครับ”

รอยยิ้มในวันนี้ไม่ต่างจากรอยยิ้มเมื่อสามปีก่อนเท่าใดนัก ปลอบโยน แต่ปกปิดเงื่อนงำอะไรบางอย่างไว้ นางไม่อยากถามต่อให้ลูกชายลำบากใจ จึงได้แต่เอนตัวลงนอนราบ ปล่อยให้เครื่องฟอกไตทำงานไปตามปกติ เวลาเดียวกันนั้น เสียงโทรศัพท์มือถือด้านนอกห้องดังขึ้น ไตรรัตน์ขอตัวออกไปรับ

ผู้เป็นแม่หลับตาลง ระยะห่างระหว่างห้องไกลเกินไปที่จะได้ยินเสียงลูก


Create Date : 14 กันยายน 2554
Last Update : 14 กันยายน 2554 9:39:08 น. 0 comments
Counter : 793 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รุริกะ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




users online
pageviews
Group Blog
 
<<
กันยายน 2554
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
14 กันยายน 2554
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add รุริกะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.