V. ผีเด็กสึนามิ (ครึ่งแรก)




รถรับส่งพนักงานของโรงพยาบาลจอดเทียบป้ายรถเมล์ปากทางเข้าหมู่บ้านจัดสรร รสาลงจากรถและยืนรอแท็กซี่อยู่บนฟุตบาท ขณะทรุดตัวลงบนม้านั่ง อนัลยานีก็ปรากฏตัวอีกครั้ง

“ไปไหนมาคะคุณหนู”

ตั้งใจถามจำเพาะเจาะจงกับอนัลยานี แต่ในเมื่อต่อหน้าคนทั่วไปเบื้องหน้าของเธอมีเพียงความว่างเปล่า รสาโน้มตัวดูด้านหลังอนัลยานี ตรงนั้นมีเด็กน้อยวัยประถมสะพายกระเป๋าตรงม้านั่งถัดไปมองไปรอบๆไม่เห็นใครจึงเอ่ยปากตอบ

“ไปโรงเรียนมาค่ะ”

รสาหันไปห่อไหล่ยิ้มให้ แม่ของเด็กน้อยเห็นว่าลูกหันไปคุยกับคนแปลกหน้า ก็รีบพาลุกหนีไปทางอื่น คุณหนูที่ไม่มีใครมองเห็นหัวเราะคิกคัก


“เวลาคุยกับเค้า แค่ออกเสียงในใจก็ได้ เดี๋ยวใครเค้าจะคิดว่า คุณพยาบาลเพิ่งกลับจากศรีธัญญาหรือคะ”

“แล้วกัน ยัยเด็กคนนี้ เห็นว่าสื่อสารกับใครไม่ได้หรอก ถึงได้ยอมพูดด้วย เดี๋ยวเถอะ จะแกล้งไม่เห็นไม่ได้ยินเสียเลย”

เด็กสาวยักไหล่อมยิ้ม ชุดที่สวมใส่ไม่ใช่ชุดผู้ป่วยที่นอนในห้องไอซียู แต่เป็นชุดวันพีชสีชมพูอ่อนๆคล้ายชุดนอนเบาบาง เพียงลมปะทะผ่านวูบเดียวก็สะบัดพลิ้วเหมือนผ้าม่านริมหน้าต่าง

“แอนี่ไปเปลี่ยนชุดมาล่ะค่ะ ชุดนี้เป็นชุดโปรดที่คุณพ่อซื้อให้”

พูดพลางหมุนตัวเห็นชายกระโปรงลอยขึ้นเหมือนลูกคลื่น แม้ยืนอยู่กลางผู้คนแต่เมื่อใครเดินมาก็ผ่านร่างของเธอไปเหมือนปะทะอากาศธาตุ รสาจะแกล้งทำไม่เห็นก็เป็นอันล้มเลิก เพราะมัวแต่มองกิริยาท่าทางที่น่ารักเสียเพลิน ขณะเดียวกันก็นึกอาทรอาการแกล้งยั่วของเด็กสาว ที่แม้จะคอยก่อกวนและแสดงท่าทีซุกซน แต่แววตาหม่นเศร้ากลับปรากฏขึ้นมาขัดกับใบหน้าทะเล้นอยู่เป็นนิจ

“มานั่งใกล้ๆสิมา ตรงนี้ยังมีที่ว่าง”
รสาทดลองส่งออกไปด้วยโทรจิต อนัลยานีหันมายิ้มให้และเข้ามานั่งชิดแต่โดยดี
“รอใครมารับเหรอคะ คุณผู้หญิง”

“รอใครที่ไหนกัน ถ้าจะมีราชรถ คงจอดเทียบท่าตั้งแต่หน้าโรงพยาบาลแล้ว”

“อาจจะแอบสะกดรอยตามมา แล้วหลบอยู่ตามเสาไฟฟ้าแถวนี้ก็ได้นะ”


เด็กสาวพูดแล้วก็ทำเหลียวมองไปยังป้ายรถเมล์ก่อนหน้า พอรสามองตามก็หลิ่วตาเอียงหน้ามองหญิงสาวบ้าง สายตาอ่อนโยนคู่นั้น เมื่อเหม่อมองไกลออกไปกลับทอความเหงาและว้าเหว่ขึ้นมาชั่วขณะ แต่เมื่อตวัดหางตากลับมาค้อน ก็กลายเป็นสายตาคมแกมดุ


“เลิกซนเสียที มาคุยเรื่องของแอนี่ดีกว่า ออกมาเพ่นพ่านอย่างนี้ ไม่กลัวกลับเข้าร่างไม่ได้หรือ”
“กลับไปตอนนี้ก็ต้องทุรนทุรายกับร่างกายที่มีแต่พิษสะสม ทรมานจะตาย รอหมอระบายออกไปให้หมดก่อน”
“พุทโธ่ ...ร่างกายนะ ไม่ใช่คอห่าน จะได้ระบายของเสียออกไปง่ายๆ ทำไมไม่ห่วงชีวิตตัวเองบ้างเลย หือ”
คราวนี้รสาดุอย่างจริงจัง เห็นอนัลยานีนั่งหน้าจ๋อง เลยลดเสียงลงบ้าง

“เมื่อกี้กลับไปที่บ้าน มีใครในบ้านเห็นแอนี่บ้างมั้ย”
เด็กสาวส่ายหน้าแทนคำตอบ
“ไม่มีเลย...”


หญิงสาวทวนย้ำ เด็กน้อยพยักหน้าและถอนใจ ไม่เกินความคาดหมายนัก รสามีความรู้สึกว่าเหมือนอะไรสักอย่างจัดวางอยู่แล้ว ให้เป็นแต่เฉพาะเธอกับเด็กสาวที่จะสื่อสารเข้าใจกันได้


“พี่ขอถามอีกคำนึงได้มั้ย”
เด็กสาวพยักหน้า
“ว่ามาสิคะ”


“หนู... กินยาฆ่าตัวตายมาใช่มั้ย”

คราวนี้อนัลยานีส่ายหน้า

“หรือว่าโดนวางยา...? แม่เลี้ยงคิดร้ายกับหนูใช่มั้ย วิญญาณของหนูถึงได้มาขอให้พี่ช่วย”

เด็กสาวทำตาโต เหลือเชื่อ

“พี่รสารู้ได้ยังไงคะ”

“พี่เดาเอาน่ะ ดูจากในหนัง กับท่าทางที่หนูแสดงกับแม่เลี้ยงเมื่อกี้”
ฟังคำสันนิษฐานแบบซื่อๆ อนัลยานีเลยถอนใจและหัวเราะเบาๆ

“เปล่าหรอกค่ะ ไม่ใช่หรอก แม่เลี้ยงของแอนี่เขาเป็นอย่างนั้นแหละ แต่จริงๆแล้วเค้าใจดีนะคะ แต่แอนี่น่ะ ขี้โรคเอง กินอะไรนิดหน่อยก็เป็นพิษกับร่างกายไปซะหมด”
“อืมม์... ถ้าอย่างนั้น... ทำไมต้องเป็นพี่ล่ะ”

“ไม่รู้สิคะ แต่หัวใจของแอนี่... ไม่ใช่สิ เสียงหัวใจที่อยู่ในตัวแอนี่ เต้นตึกตักทุกทีที่เห็นหน้าพี่สา”
“เสียงหัวใจเหรอ”
“ฮื่อ... หัวใจของใครสักคน ที่เขาให้แอนี่มา”
เด็กน้อยมองหน้ารสาที่เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถามจึงรีบบอก

“แอนี่เพิ่งผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจมาเมื่อหลายปีก่อนค่ะ เป็นโรคหัวใจโตตั้งแต่เกิด มันโตมากและทำงานหนักเกินไป ตั้งแต่เล็กจนโต แอนี่ต้องเข้าโรงพยาบาลบ่อยๆ ครั้งสุดท้ายก่อนผ่าตัด หัวใจของแอนี่เต้นแผ่วลงๆ ต้องนอนในห้องปิดสนิท หมอต้องคอยฉีดยากระตุ้นหัวใจเข้าทางสายน้ำเกลือที่แขวนระโยงระยาง ทุกคนทำใจแล้วว่า ไม่ช้าไม่นานก็ต้องปล่อยให้แอนี่ตายไป แอนี่เตรียมจะไปหาคุณแม่บนสวรรค์แล้วล่ะ แต่อยู่ดีๆก็ลืมตาตื่นมาในห้องสีขาว คุณหมอบอกว่า มีคนบริจาคหัวใจที่เข้ากับแอนี่ได้ในนาทีสุดท้ายพอดี ไม่อย่างนั้นแอนี่ก็คงตายไปแล้ว”

พยาบาลสาวฟังแล้วคิดตาม นึกถึงชาร์ตโปรไฟล์กับคำพูดของเพื่อน


‘…คนไข้เป็นโลว์อิมมูนจากการเปลี่ยนอวัยวะนะ ต้องระวังการให้ยาทุกชนิด แม้แต่ยาพาราแค่สี่ห้าเม็ดยังกลายเป็นโอเวอร์โดสเลย…’


“ดีแล้วล่ะ ที่คุณหมอหาหัวใจดวงใหม่มาให้หนูทัน ยังได้กลับมาใช้ชีวิตใหม่”


รสาเคยได้อ่านได้ฟังเรื่องเล่าประเภทตายแล้วฟื้น หรือคนที่ประสบการณ์เฉียดตาย ซึ่งมักจะได้ของฝากเป็นความสามารถแปลกๆ จากโลกวิญญาณมาบอกเล่าให้ตื่นเต้น แต่ล้วนขาดหลักฐานที่พิสูจน์ได้จริง ยิ่งสำหรับกรณีนี้ รสาไม่คิดจะนำไปบอกเล่าให้ใครฟังด้วยประการทั้งปวง เพราะพยานที่อยู่ตรงหน้า ปรากฏให้เธอเห็นเพียงคนเดียวเท่านั้น


“คนที่ตายไปแล้ว ถ้าไม่ได้ไปสู่สุคติ เขาก็จะยังวนเวียนอยู่ใกล้ๆคนธรรมดา แต่ไม่มีใครเห็นเขาใช่ไหม”

หญิงสาวตั้งคำถามราวกับเด็กน้อยเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโลกวิญญาณ อนัลยานีพยักหน้า


“ใช่แล้วค่ะ อย่างพี่ผู้หญิงข้างบ้านแอนี่ ตอนเป็นคน หากู้เงินมาซื้อบ้าน ตอนแรกก็ช่วยกันผ่อนกับสามี วันดีคืนดี สามีไปมีภรรยาใหม่ ทิ้งให้เฝ้าบ้าน ผ่อนบ้านคนเดียว สุดท้ายหาเงินมาผ่อนบ้านไม่ได้ กับช้ำใจที่ถูกสามีทอดทิ้ง ก็แขวนคอตายอยู่ในบ้าน เมื่อกี้แอนี่กลับไปที่บ้าน ยังเห็นเขาเดินร้องไห้วนอยู่รอบบ้าน นี่ไม่รู้ว่าต้องเดินวนอยู่อย่างนั้นอีกกี่ปีกี่ชาติ”

รสาฟังแล้วลูบแขนตัวเองเบาๆ รู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นโดยไม่มีสาเหตุ


“บางเรื่องไม่เห็นด้วยตาก็คงไม่เชื่อ พี่รสาลองดูพี่ผู้ชายที่อยู่ม้านั่งถัดไปคนนั้นสิคะ เหมือนคนกำลังจมน้ำมั้ย”


รสาละสายตาจากอนัลยานีหันไปมอง ชายหนุ่มในชุดนักศึกษากำลังนั่งตัวเกร็ง เหงื่อตก หายใจลึกอย่างเร็วและแรงไม่เป็นจังหวะ เขาเริ่มกำมือแน่นอย่างพยายามควบคุมตัวเอง

“แอนี่ไม่รู้ว่าทางการแพทย์จะวินิจฉัยว่าเป็นโรคอะไร แต่ก่อนพี่รสาจะไปช่วยเค้า ช่วยจับมือแอนี่ไว้ทีนึง”

รสาลุกขึ้นยืนและส่งมือให้อนัลยานี ขณะที่คนหลายคนตรงป้ายรถเมล์เริ่มหันมามองอาการของชายหนุ่ม...


ทันทีที่มือของคนและวิญญาณสัมผัสกันภาพที่ปรากฏตรงหน้าของหญิงสาวก็กลายเป็นมิติที่วิญญาณอยู่ร่วมกับคน รถราบนท้องถนนและผู้คนริมทางที่ดูจอแจ ก็กลับมีกลุ่มควันหม่นคล้ำ ปรากฏรวมร่างเป็นวิญญาณร่อนเร่พนเจรแทรกอยู่ตามเงามืด ส่วนเบื้องหน้าชายหนุ่มที่กำลังหอบหายใจอยู่เป็นเด็กชายหัวเกรียน ใบหน้าซีดเผือกและโชกชุ่มน้ำตลอดหัวจรดเท้า เขากำลังทรุดนั่งยองๆ เอามือเหนี่ยวคอชายหนุ่มเอาไว้


ร่างของคนที่กำลังหอบหายใจคู้ตัวลงเรื่อยๆ นิ้วมือเริ่มจีบเกร็ง รสาแม้จะตกใจกับภาพตรงหน้าแต่ก็รีบสะบัดมือออกจากอนัลยานีและตรงเข้าไปหาผู้ป่วยด้วยสัญชาตญาณ


“คุณคะ คุณคะ”
เขย่าตัวชายหนุ่มแล้วจับให้เอนหลังพิงกับพนักของม้านั่ง

“มีใครถือถุงกระดาษอยู่บ้าง ช่วยส่งมาให้หน่อยค่ะ”


พยาบาลสาวร้องขอความช่วยเหลือจากไทยมุงที่มาดูอาการอยู่รายรอบ ถุงกระดาษถุงหนึ่งถูกยื่นให้จากหญิงชราที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก รสาเอาถุงใบนั้นครอบหน้าผู้ป่วยเอาไว้ พอลักษณะการหายใจเริ่มติดขัดก็ดึงถุงออก

“ไม่เป็นไรนะคะ ไม่เป็นไร ตอนนี้หายใจช้าๆค่ะ”


ชายหนุ่มให้ความร่วมมืออย่างดี พยายามหายใจให้ช้าลง รสามองไปรอบๆเห็นสมุดโน้ตและหนังสือเรียนหล่นอยู่กับพื้น คาดเดาได้ว่าชายหนุ่มน่าจะเป็นนักศึกษาที่เพิ่งกลับจากมหาวิทยาลัย มีพลเมืองดีช่วยเก็บมายื่นให้ จากนั้นเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มมีอาการดีขึ้น ไทยมุงทั้งหลายก็เริ่มสลายตัว

“ผะ... ผมเป็นอะไรไปครับ”

‘ไฮเปอร์เวนทริเลท....’

ศัพท์ทางการแพทย์จุกอยู่แค่ลำคอ รสากลืนลงไปแล้วหาคำอธิบายที่ชายหนุ่มฟังได้ง่ายกว่า

“สมองสั่งการให้หายใจเร็วเกินไปน่ะค่ะ คุณต้องพยายามควบคุมตัวเองด้วยการหายใจให้ช้าลง หรือไม่ก็ผ่อนคลายด้วยการพูดคุยกับคนอื่นบ้าง ก็จะพอช่วยได้”

“พี่เป็นหมอเหรอครับ”
“เปล่าค่ะ พี่เป็นพยาบาล”

รสาพูดยิ้มๆ พลางขยับเสื้อคลุมให้เห็นชุดขาวและตราพยาบาลที่อยู่ข้างใน ที่สมัยเรียนหมดสิทธิ์ใส่ออกมานอกวิทยาลัย อาจารย์พยาบาลกำชับนักกำชับหนาว่าชุดขาวของบุคลากรทางการแพทย์ จะตกเป็นเป้าสายตาและถูกดึงเข้าไปในจุดเกิดเหตุทันทีเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน


‘เราจะไม่กลายเป็นคนใจดำไปหน่อยเหรอคะอาจารย์ อย่างน้อยถ้าเห็นคนเป็นลม เราเป็นพยาบาล ก็น่าจะเข้าไปช่วย’

รสานึกถึงคำถามของเพื่อนที่ยกมือถามอาจารย์ขณะเรียนวิชาจรรยาบรรณการพยาบาล


‘แล้วถ้าในเวลานั้น เธอกำลังถูกเรียกตัวไปช่วยชีวิตผู้ป่วยหัวใจล้มเหลวในห้องไอซียู ระหว่างทางมีคนเป็นลมหรือแค่หกล้ม แต่เพราะเธอใส่ชุดพยาบาล จึงถูกลากเข้าไปช่วยปฐมพยาบาล ระหว่างที่เธอลูบคลำให้คนเป็นลมฟื้นตัว ผู้ป่วยอีกคนในห้องไอซียูก็เสียชีวิตไปแล้ว ครูถามกลับบ้าง ว่าใครใจดำกว่ากัน’


นักเรียนพยาบาลในห้องหลายคนฮือฮา เกิดประเด็นให้วิเคราะห์ต่ออีกหลายกรณี อาจารย์ยกตัวอย่างการให้การรักษาที่ผิดพลาดในยามฉุกเฉินและขาดอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ทันสมัย จนกลายเป็นความผิดอย่างร้ายแรงทั้งที่ไม่มีใครต้องการให้เกิด

การปกปิดอาชีพของตนจึงกลายเป็นกฎเหล็กที่บัญญัติไว้เพื่อไม่ให้นักศึกษาพยาบาลที่ร้อนวิชา ออกไปให้ความช่วยเหลือผู้คน ที่ในภาวะคับขันคนทั่วไปมักไม่อยากเข้าไปข้องแวะ แต่เมื่อสถานการณ์คลี่คลาย มักจะกรูกันเข้ามาหาคนผิด


แต่เมื่อก้าวเข้าสู่ชีวิตการทำงาน กฎเหล็กเหล่านั้นก็ดูจะเลือนรางและขาดความศักดิ์สิทธิ์ลงเพราะขาดผู้ควบคุมดูแล รสาใช้วิธีใส่เสื้อคลุมทับเมื่อต้องสัญจรไปไหนมาไหนหลังเลิกงาน เธอรักที่จะใส่ชุดนี้ อย่างน้อยก็ในเวลาที่ผู้ป่วยต้องการที่พึ่ง เครื่องแบบสีขาวย่อมนำความอุ่นใจมาให้ เมื่อเห็นชายหนุ่มผ่อนคลายลง รสาจึงให้คำแนะนำเพิ่มเติม


“แต่พี่คงช่วยรักษาไม่ได้เท่าคุณหมอจริงๆ พอค่อยยังชั่วขึ้นแล้วคุณต้องไปหาที่โรงพยาบาลเพื่อเช็คร่างกายด้วยนะคะ”
“ถึงอย่างไรก็ต้องขอบคุณครับ”
ชายหนุ่มพูดพลางยกมือไหว้

“ถ้าไม่ได้พี่ ผมคงแย่แน่ แต่ก็พลอยทำให้พี่เสียเวลาไปด้วย”
รสารับไหว้ ยิ้มและพยักหน้าให้

“ไม่เป็นไรจ้ะ พี่เพิ่งเลิกงานพอดี”
รสาเตรียมคว้ากระเป๋าลุกขึ้นแต่พอหันหน้าไปมองหาแท็กซี่ ชายหนุ่มก็มีอาการกำเริบขึ้นมาอีก หญิงสาวจึงทรุดตัวลงนั่งที่เดิม

“พยายามคุยกับพี่ไว้ก็ได้ค่ะ เดี๋ยวพี่นั่งเป็นเพื่อนอีกสักพักก็ได้”
แท็กซี่คันที่สามผ่านไป อนัลยานีเองก็พลอยหายไปด้วย

“ช่วงนี้มีเรื่องเครียดอะไรหรือเปล่าคะ”
ชายหนุ่มขมวดคิ้วมุ่นแล้วก็หันมายิ้มแห้งๆ
“ก็ใกล้สอบน่ะครับ”

รสานึกถึงคำพูดและเหตุการณ์ก่อนหน้าระหว่างที่อนัลยานีอยู่ด้วยแต่ยังไม่กล้าออกปากถาม


“ผมชื่อก้องฮะ ชื่อจริงชื่อก้องภพ กำลังเรียนคณะวิทยาศาสตร์ชั้นปีที่ 2...”



ก้องภพเอ่ยชื่อมหาวิทยาลัย และหันมาถามรสาบ้าง


“พี่ชื่ออะไรครับ”

“พี่ชื่อรสา เรียกพี่สาก็ได้ค่ะ ตอนนี้ทำงานเป็นพยาบาล ตอนที่พี่ฝึกงาน ก็เคยฝึกงานในโรงพยาบาลสังกัดมหาวิทยาลัยของคุณด้วยล่ะ”
“พี่สาพูดสุภาพจังเลยครับ จริงๆเรียกผมว่าน้องก็ได้ ไม่ต้องเรียกคุณหรอกครับ”
ก้องภพบอกเก้อๆ

“ขอโทษที”
รสาเองก็หัวเราะเขินๆ

“พี่ชินน่ะ อยู่ที่โรงพยาบาล เราจะเรียกคนไข้ว่าน้องก็ต่อเมื่อเป็นเด็กอายุน้อยกว่าสิบขวบ มากกว่านั้นต้องเรียกคุณหมดเลยล่ะ”


“งั้น เรียกผมว่าก้องก็ได้ครับ ที่จริงผมก็เลยสิบขวบมานานแล้ว อาการที่ผมเป็น เอ่อ... ไอ้อาการสมองสั่งการให้หายใจไวเกินไปนี่ หมอหรือพยาบาลเค้าเรียกอะไรเหรอฮะ”


“ไฮเปอร์เวนทริเลท ... มาจากสองคำจ้ะ คำว่าไฮเปอร์ แปลว่ามากเกิน เวนทริเลท แปลว่าการหายใจ เป็นแค่ข้อสันนิษฐานเริ่มต้น และเป็นอาการที่แก้ได้ไวที่สุดด้วยการลดอากาศที่จะต้องหายใจเข้าไป”

“อ๋อ ครับ ผมเคยดูในหนังเหมือนกัน ที่เขาเอาถุงครอบคนที่หายใจแรงๆ ไม่นึกว่าจะมาเจอกับตัวเอง อย่างนี้ผมต้องคอยพกถุงเอาไว้ครอบหัวตัวเองเวลาใกล้มีอาการหรือเปล่าครับ”


“ไม่ใช่นะ มีคนดูหนังแล้วเข้าใจผิดกันเยอะ บางคนเอาถุงพลาสติกมาครอบหัวเพื่อนที่หายใจแรงๆแล้วเพื่อนขาดใจตายไปเลยก็มี จริงๆ ถ้าเกิดเหตุแล้วคนไข้รู้ตัวก่อน ต้องพยายามหายใจให้ช้าลง ถุงก็เปลี่ยนเป็นถุงกระดาษก็พอจ้ะ ถ้าฉุกเฉินจะได้กระชากออกได้ และให้ดีที่สุดก็นี่แหละ หาเพื่อนคุย”

“เหรอครับ”
ชายหนุ่มพยักหน้าตามคำบอก

“พี่สาเป็นคนใจดีมากเลยนะครับ สมแล้วที่เป็นนางพยาบาล ตอนผมเข้าโรงพยาบาลไม่เห็นเจอนางพยาบาลใจดีอย่างนี้เลย”
“เคยเข้าโรงพยาบาลด้วยหรือคะ”
“ฮะ ไปนอนรักษาตัวอยู่หลายวันเหมือนกัน ตอนที่เจอคลื่นยักษ์นั่น...”

“สึนามิ..?”

รสารำพึงเบาๆ ก้องภพพยักหน้า แม้ลำบากใจที่จะพูดถึง แต่ด้วยบรรยากาศอันเป็นมิตรยามที่พูดคุยกับรสาทำให้อยากเปิดอก

“ครับ หลายคนลืมเหตุการณ์นั้นไปกันหมดแล้ว แต่กับครอบครัวผม ไม่มีใครลืมลง ใกล้ปีใหม่ปีนั้น ผมไปเที่ยวกันกับเพื่อนๆในกลุ่ม น้องชายผมขอตามไปด้วย”

ทันทีที่ก้องภพเอ่ยถึงน้องชาย อนัลยานีก็ปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้นั่งอยู่ข้างๆ แกว่งขาไปมาและเอื้อมมือมาแตะมือของรสา ภาพของเด็กชายร่างเล็กชุ่มโชกไปด้วยหยดน้ำก็ปรากฏขึ้นมาอีก รสานั่งนิ่ง มีเพียงแววตาที่ไหวระริก ก้องภพเองก็มีหยาดน้ำตาเอ่อนองในคลองจักษุ

“เค้าเสียน้องชายไป”
อนัลยานีพึมพำพร้อมๆกับที่ก้องภพเล่าต่อ

“ผมเสียน้องชายไปครับ เป็นความผิดของผมเองที่พาเค้าไป วันที่เกิดเหตุมีทริปล่องเรือกับปีนเขาให้เลือก ผมเลือกไปปีนเขา แต่น้องชายผมอยากล่องเรือว่ายน้ำดูปะการัง ผมเลยให้เขาไปกับไกด์กับเพื่อนอีกกลุ่มนึง ตอนที่คลื่นยักษ์มา ทีมผมอยู่บนหน้าผา มองบ้านช่องถูกพัดปลิวไปคาตา พอคลื่นซาผมรีบวิ่งลงไปตามหาน้องชาย เจออีกคลื่นทะลักมาจากซอกผา ผมโดนซัดไปกระแทกเรือประมงริมฝั่ง เพื่อนผมพาส่งโรงพยาบาล ตอนที่ผมลืมตาขึ้นมาในโรงพยาบาล พ่อแม่ผมเอาแต่กอดผมร้องไห้ ผมบอกว่าผมไม่เป็นไร แต่พอนึกทบทวนดู ถึงได้รู้ว่าทำไมพวกเค้าเอาแต่ร้อง”


ก้องภพกลืนน้ำลายลงคอยากเย็น

“ทริปนั้น พวกที่ไปปีนเขารอด แต่พวกที่ไปล่องเรือตายเกลี้ยง”

“ขอแสดงความเสียใจด้วยนะคะ คุณ เอ้อ... ก้อง...คงกลายเป็นความหวังเดียวของครอบครัว”
รสาพูดเสียงสั่น หางตาไม่วายเหลือบไปกระทบแววตาขาวโพลนของเด็กชายที่อยู่ข้างๆ

“ไม่หรอกครับ เพราะผมเป็นคนชวนเค้าไป พ่อแม่ก็รู้ความจริงข้อนี้ ถึงปากจะไม่ต่อว่า แต่พวกเราก็มองหน้ากันไม่ติด บางวัน พ่อเรียกชื่อผมเป็นชื่อน้อง พอนึกขึ้นได้ว่าไม่ใช่ อาการโรคหัวใจก็กำเริบ ผมเลยขอแม่ออกมาอยู่หอในมหาวิทยาลัย วันนี้ว่าจะกลับมาเยี่ยม แต่ไปชะโงกที่ประตูรั้วแล้ว เห็นพ่ออยู่คนเดียว ไม่กล้าเข้าไป ก็คิดจะกลับหอแล้วล่ะครับ ไม่นึกว่าจะมาป่วยเอากลางทาง”

“มีอะไรให้ช่วยมั้ย พี่ชาย”
คราวนี้อนัลยานีเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาบ้าง แต่เป็นการสนทนากับวิญญาณของเด็กชายอีกฟาก เมื่ออีกฝ่ายไม่ตอบคำถาม อนัลยานีจึงเดินเข้าไปใกล้
“แล้วทำไมไปแกล้งพี่เค้าล่ะ หืม”
ร่างขาวซีดและเปียกโชกเอี้ยวคอไปหาพี่ชายของตน พร้อมกับชี้นิ้วไปที่หน้าอกข้างซ้ายของก้องภพ ริมฝีปากซีดขาวขยับเป็นครั้งแรกแต่ไร้สรรพเสียง

“พ่อ...”
รสาจับคำพูดจากริมฝีปากของเด็กชายได้

“เมื่อครู่คุณพูดถึงพ่อที่เป็นโรคหัวใจใช่มั้ยคะ”
“ครับ”

“ก่อนคุณจะออกมา พ่ออยู่ที่บ้านคนเดียว”
“ครับ”

“กลับไปที่บ้านอีกครั้งเถอะค่ะ”
“อะไรนะครับ”

“แท็กซี่!”
รสากวักมือเรียกแท็กซี่คันที่สี่ที่แตะเบรคดังเอี๊ยด

“บอกทางไปบ้านคุณ พี่จะไปด้วย เราต้องรีบพาพ่อของคุณไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด”


ก้องภพทำหน้าเหรอหราแต่ก็กระโดดขึ้นรถอย่างรวดเร็วด้วยสัญชาตญาณ ขณะที่อนัลยานีหันไปยิ้มให้กับวิญญาณของเด็กชาย เด็กสองคนพยักหน้ายิ้มให้กันแล้วหายตัวไปจากป้ายรอรถ


Create Date : 28 มิถุนายน 2554
Last Update : 28 มิถุนายน 2554 22:16:59 น. 1 comments
Counter : 783 Pageviews.

 
สนุกมากจริงๆ เขียนได้ไหลรื่นมากๆ อ่านสนุกและก็เพลินมาก..ขอบคุณมากค่ะ


โดย: cat__a IP: 110.168.108.126 วันที่: 22 สิงหาคม 2555 เวลา:15:36:55 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รุริกะ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




users online
pageviews
Group Blog
 
 
มิถุนายน 2554
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
28 มิถุนายน 2554
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add รุริกะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.