VII. แฝดพี่-แฝดน้อง



รั้วบ้านใส่กุญแจไว้เพียงชั้นเดียว รสาไม่เสียเวลากดกริ่งเรียกคนภายในบ้าน หญิงสาวไขกุญแจแล้วผลักประตูรั้วและเดินเข้าไปภายในบริเวณบ้านเงียบๆ ตรงระเบียงหน้าบ้านมีหญิงวัยกลางคนนั่งอยู่บนเก้าอี้โยก นางขยับตัวและชะโงกหน้ามองก่อนเอ่ยถามเบาๆ

“ฟ้าเหรอลูก...”

“เปล่าค่ะแม่ นี่สาเองค่ะ”
“อืมม สา... ทำไมยัยฟ้าไม่กลับมาพร้อมกันล่ะลูก”


คนตั้งคำถามเอ่ยเสียงราบเรียบ นัยน์ตาเหม่อลอยคล้ายมองทะลุร่างของลูกสาวออกไปไกลแสนไกล รสากัดริมฝีปากเบาๆ ...ไม่มีคำตอบ


“ไปอยู่กับพ่อเขาสินะ ขานั้นน่ะ เขาติดพ่อ ทั้งที่พ่อก็ไปมีลูกกับเมียใหม่แล้วแท้ๆ แล้วนี่แกสมัครงานได้รึยังล่ะฮึ”


“เรื่องฟ้า ไม่ต้องกังวลถึงเขาหรอกค่ะแม่ เรื่องงานของสา แม่ก็ไม่ต้องเป็นห่วง แล้วนี่แม่ออกมานั่งข้างนอกทำไมคะ อากาศก็เริ่มเย็นแล้ว เข้าไปข้างในดีกว่าค่ะ”

หญิงสาวนำเสื้อคลุมที่วางพาดพนักเก้าอี้มาคลุมให้มารดา พร้อมกับพากันเข้าไปในบ้าน ทางด้านอนัลยานีเพียงหลับตาและควานหากระแสจิตของรสา วิญญาณของเด็กน้อยก็มาปรากฏตัวอยู่เบื้องหลังสองแม่ลูก

“คุณแม่อย่าลืมทานยาก่อนจะเข้านอนนะคะ มา เดี๋ยวสาหยิบยาให้”

อนัลยานียืนเอียงคอมองรสาปรนนิบัติมารดาจนกระทั่งส่งนางเข้านอน หญิงสาวเดินเข้าไปในห้องของตนและล้มตัวลง ถอนหายใจแล้วพลิกตัวนอนหงาย สายตาจับจ้องเพดาน อนัลยานีทรุดตัวลงนั่งข้างขอบเตียง ทำตัวเป็นเด็กเรียบร้อย ไม่เรียกร้องความสนใจใดๆ คล้ายกำลังพยายามทำความเข้าใจความรู้สึกของหญิงสาว รสาเอี้ยวคอมองแล้วยิ้มให้


“โดนปั๊มหัวใจไปกี่ทีล่ะ หืม”
“สามทีแหน่ะ แถมคุณหมอกับคุณพยาบาลยังเอาเข็มจิ้มเค้าตั้งหลายที”


“ก็อยากหนีออกมาเที่ยวนานนักนี่นา... เป็นไงล่ะ เลยโดนฉีดยาไปอีกตั้งหลายเข็ม”


“พอเค้ากลับเข้าร่าง คุณหมอคุณพยาบาลดีอกดีใจกันยกใหญ่ กล่องทีวีที่มีเส้นกราฟนอนราบก็ขยับเป็นภูเขาขึ้นมาทีละลูกสองลูก ห้องก็เลยหายโกลาหล ตอนนี้ร่างกายก็ได้ยาไปช่วยเลี้ยงเอาไว้ พอเห็นว่าปลอดภัยแล้ว แอนี่ก็เลยออกมาเที่ยวต่อ”


“ออกมานานๆ ระวังคนอื่นไปสิงร่างแทนนะ”
รสาทำขู่ เด็กสาวหยีตา


“ไม่มีทาง ร่างเล็กกระจ้อยร่อย แถมมีน้ำเกลือระโยงระยาง คงไม่มีใครอยากเข้าไปสิงหรอกน่า”


รสาหัวเราะในลำคอเบาๆ แล้วเบนหน้ามองเพดานต่อ อนัลยานีลุกไปนอนเท้าคางใกล้ๆ


“พี่สา...มีพี่สาวหรือน้องสาวด้วยหรือคะ”
“หืมม์...”


หญิงสาวทวนคำถามเบาๆคล้ายไม่ตั้งใจฟังนัก


“คนชื่อฟ้า ที่แม่ของพี่สาเรียกผิดทีแรกน่ะค่ะ”
“อืมม์...”


คนถูกซักลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงพลิกตัว


“คนนี้ไง”


รสานอนตะแคงหันหน้าไปทางเด็กน้อยแล้วล้วงเอารูปใต้หมอน รูปเก่าๆใบนั้นเป็นรูปของเด็กหญิงตัวเล็กๆหน้าตาคล้ายคลึงกันยืนเคียงกัน ด้านหลังเขียนด้วยลายมือบรรจง

'รสา-ฟ้าใส'



อนัลยานีห่อปากมองด้วยความตื่นเต้น


“ฮู้วว์...”


“ฝาแฝดน่ะ เกิดเวลาติดๆกันเลย แต่ฟ้าเขาออกมาก่อนก็เลยเป็นน้อง ส่วนพี่ออกมาทีหลังก็เลยเป็นพี่”


“ทำไมคนเกิดก่อนเป็นน้อง คนเกิดทีหลังเป็นพี่ล่ะคะ”
“คนเกิดทีหลังเป็นพี่ เพราะเสียสละให้น้องออกมาก่อนยังไงล่ะ”


“ฮู้วว์...”


อนัลยานีอุทานซ้ำ ยังสงสัยไม่เลิก


“แต่หน้าตาไม่ค่อยเหมือนกันเลยนะคะ”
“แฝดคนละฝา แถมนิสัยก็ต่างกันคนละขั้วเลยล่ะ ขานั้นน่ะ ฉลาด แก่น เซี้ยว แต่ก็เจ้าอารมณ์เป็นที่หนึ่ง”
“แล้วตอนนี้พี่ฟ้าไปอยู่ที่ไหนแล้วล่ะคะ”


หญิงสาวถอนใจทิ้งศีรษะลงบนหมอน เงยหน้ามองทะลุเพดานห้อง


“บนฟ้านู่นล่ะมั้ง”
“เอ๋...”


“เขาเสียไปเมื่อหลายปีก่อนน่ะ พี่กับฟ้าสอบติดคนละมหาวิทยาลัย ต่างคนต่างเรียนหนัก ไม่ค่อยได้กลับบ้านทั้งคู่ เลยไม่รู้ว่าพ่อกับแม่ทะเลาะกันอย่างรุนแรง วันนึงแม่จับได้ว่าพ่อมีชู้ แถมมีมานานจนภรรยาเก็บก็มีลูกและแอบส่งเสียเลี้ยงดูกันมานานแล้ว พ่อกับแม่เลยตกลงปลงใจจะไปเซ็นต์ใบหย่า พี่ทำใจได้ แต่ฟ้าเขาไม่ยอม บึ่งรถกลับมาที่บ้านเพื่อห้ามปราม แต่แล้วก็เกิดอุบัติเหตุ รถชน อาการสาหัส แล้วก็ไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาล”


“โห... อ้าว แล้วที่คุณแม่ของพี่สาพูดถึงพี่ฟ้ากับพี่สาเมื่อกี้นี้ก็...”


“อัลไซเมอร์น่ะ แม่เสียใจเรื่องพ่อ และก็ช็อคเรื่องฟ้าอย่างรุนแรง อาการทางจิตเกิดการต่อต้าน ยอมรับความจริงแค่บางส่วน อีกหลายส่วนปะติดปะต่อเอาเองตามแต่วันไหนจะนึกเรื่องไหนขึ้นมาได้ ส่วนปฏิกิริยาทางร่างกายคือเซลล์สมองถูกทำลาย ยากจะฟื้นคืน ต้องคอยกินยาประคับประคองอาการตลอด”


“น่าสงสารจังเลย อย่างนี้พี่สาก็ลำบากแย่สิคะ ไหนจะทำงานหนัก ไหนจะคอยดูแลแม่”


“เรื่องเล็กจ้ะ มันเป็นหน้าที่ของลูกอยู่แล้วนี่”


“อย่างนี้นี่เอง พี่สาผ่านเรื่องพวกนี้มาได้ ก็เลยกลายเป็นคนเข้มแข็ง ไม่ค่อยกลัวปัญหา ถ้าพี่ฟ้ารู้ว่าคนที่ยังอยู่ ช่วยดูแลแม่ได้อย่างนี้ ก็คงภูมิใจเนอะ”


รสาจำได้ว่าประโยคหลังนั้นตนบอกเด็กหนุ่มที่ชื่อก้องออกไป


“นี่ อย่ามาเลียนแบบเค้านะ”




“อิอิ ไม่แน่นา พี่ฟ้าอาจจะยังวนเวียนอยู่แถวนี้ก็ได้ ฮา.. ฮา.. ฮา.. รสา..า..า ฟ้าอยู่ที่นี่แล้..ว..ว”


เด็กสาวทำเสียงยานคาง


“ฮึ้ยย อย่ามาแกล้งกันอย่างนี้”
หญิงสาวเอ็ดเสียงสูง


“พี่รสากลัวเหรอ”
อนัลยานีตาโต ตื่นเต้นกับท่าทางของหญิงสาว
“พี่ไม่ได้อยากให้ฟ้าอยู่ที่นี่...ไม่ใช่เพราะไม่คิดถึงเขาหรอก”


รสาพึมพำ


“แต่อยากให้เขาไปสู่สุคติต่างหาก อย่ามาจมปลักกับโลกวุ่นวายใบนี้เลย”


วูบหนึ่งรสาเห็นสีหน้าของอนัลยานีเจื่อนเจือเศร้า จะว่าไปเด็กน้อยเองก็ไม่ต่างจากวิญญาณเร่ร่อนที่จมปลักอยู่ในโลกนี้สักเท่าไรนัก


“เอาล่ะ มะรืนวันเสาร์ พี่ไม่ขึ้นเวร เราไปเยี่ยมพ่อของก้อง แล้วก็ไปเที่ยวสวนสนุกกันนะ”


ทันใดที่พูดถึงสวนสนุก ดวงตาของเด็กน้อยก็เป็นประกายสว่างจ้า อนัลยานีกลับมาร่าเริงในทันใด


“ค่ะ”


“งั้นตอนนี้ แอนี่ก็กลับไปเฝ้าร่างเถอะ พี่จะนอนละ”
รสาจัดหมอนให้เข้าที่ พนมมือจรดหว่างคิ้ว


“สวดมนต์ด้วยเหรอคะ”
อนัลยานีร้องถามด้วยอากัปกิริยาที่รสาเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน


“อื้ม ทำไม กลัวเหรอ”
“ฮึ คนใจร้าย”


“พี่ไม่ได้สวดไล่ใครนะ พี่สวดเพื่อให้ใจสงบสบาย และนอนหลับง่ายขึ้นเท่านั้นแหละ มาสวดด้วยกันสิ เผื่อแอนี่จะได้สบายใจขึ้น”


“ไม่เอาล่ะ พี่รสาสวดเถอะ แอนี่ไปดีกว่า”


ร่างเล็กกระจ้อยร่อยวูบหายไปในทันทีที่ขาดคำ รสายกมือขึ้นพนมใหม่แล้วสวดมนต์ต่อ จบบทที่สวดเป็นประจำค่อยดึงผ้าห่มมาคลุมตัว นอนตะแคงข้างหันมองหน้าต่างที่พระจันทร์ยังปรากฏสลัวในคืนเดือนแรม


`•.,¸,.•*¯`•.,¸,.•*


“นี่ตัวยังสวดมนต์ก่อนนอนอยู่เหรอ”


ฟ้าใสนอนตะแคงเอามือเลื่อนผ้าห่มที่คลุมโปงลงไปไว้ที่ระดับอก ผมที่เปียไว้หลวมๆพาดผ่านเนินอกลงไประกับผ้าห่มเหมือนเถาวัลย์บรรจงเลื้อยรัดต้นไม้ลงไปเกลี่ยผืนหญ้า รสาปรายตามอง สวดต่อสั้นๆแล้วตอบคำ


“อื้ม ก็สวดอย่างที่แม่สอนตั้งแต่ตอนเด็กๆ”


“ไม่เอาน่า โตแล้ว มาคุยกับเค้าดีกว่า นานๆจะปิดเทอมแล้วได้มานอนด้วยกันเสียที”
คนถูกขัดจำเป็นต้องรวบรัด ยกมือจรดคิ้วก้มกราบสามครั้งแล้วเอียงหน้าถามคู่กรณี


“ตกลงเมื่อกี้ยังคุยไม่จบเหรอ”
“จบที่ไหน เค้าถามว่าตัวมีแฟนหรือยัง”

“ก็ตอบไปแล้วว่ายังไม่มี นึกว่าจะไม่ซักต่อแล้ว”
รสาถอนหายใจ ล้มตัวลงไปนอนเคียงข้าง ฟ้าใสยังกระเง้ากระงอด

“เอ๊า แล้วตัวไม่ถามเค้าบ้างเล่า”

“เอ้าๆ ถามก็ได้ ...ไหน... นางสาวฟ้าใสมีแฟนหรือยัง”

คนถามตั้งโจทย์เนือยๆ พอจะรู้คำตอบอยู่ล่วงหน้า

“มีแล้ว”
“ตกลงเลือกคนไหน ชื่อไร”

“ไม่บอก”
“งั้นเค้านอนล่ะ”
“เอ๊า”

“ไม่ต้องมายั่วให้เค้าอยากรู้หรอก เค้ารู้ว่าตัวมีคนมาจีบเยอะแยะ จากคณะแพทย์บ้างล่ะ วิศวะบ้างล่ะ เรียนเภสัชก็หนักพออยู่แล้ว ยังหาเวลาที่ไหนไปสับรางอีก”

“สับรางที่ไหน เค้าเรียกว่า บริหารเสน่ห์ย่ะ”
“ระวังเหอะ เกิดใครเขาคลั่งฟ้าขึ้นมามากๆ ตีอกชกตัวทำร้ายตัวเองขึ้นมาทำไง”

“ช่างเค้าดิ ทำตัวเองนี่”
ฟ้าใสยักไหล่ ก่อนล้มตัวลงนอน รสาลุกไปปิดไฟและล้มตัวนอนเคียงข้าง


ภาพของน้องสาวร่วมครรภ์มารดายิ้มหวานด้วยความมั่นใจยังตราตรึงในความทรงจำ จากการฟังเรื่องเล่า รสาอดไม่ได้ที่จะอิจฉารอยยิ้มกึ่งยั่วยวนของฟ้าใส ใบหน้า แววตา และรอยยิ้มที่ดึงดูดใจ แม้จะหน้าตาละม้ายคล้ายกัน เธอก็ทำได้ไม่ถึงครึ่งของฟ้าใส น่าเสียดาย กลับต้องจากไปก่อนวัยอันควร

หนุ่มๆที่เคยเดินตามต้อยๆ คงลืมเรื่องของฟ้าใสไปจนหมดแล้ว


“ใครจะลืมตัวก็ช่างเถอะ”


รสาถอนหายใจและพึมพำกับภาพถ่ายใบเดิม


“ทุกวันนี้เค้าก็ยังสวดมนต์อยู่นะ สวดเผื่อตัวด้วยล่ะ ตัวจะได้หลับสบายไง”


หญิงสาวกระซิบเบาๆแล้วสอดรูปใบเก่าไว้ใต้หมอนเหมือนเดิม ก่อนซุกตัวกับผ้าห่มแล้วปิดเปลือกตาลงหลับสนิทจนถึงรุ่งเช้า


`•.,¸,.•*¯`•.,¸,.•*



Create Date : 12 กรกฎาคม 2554
Last Update : 12 กรกฎาคม 2554 8:18:27 น. 3 comments
Counter : 989 Pageviews.

 
เขียนสนุกมากเลยค่ะ


โดย: พี่หมูนัอย IP: 223.206.227.187 วันที่: 12 กรกฎาคม 2554 เวลา:21:25:31 น.  

 


โดย: auyza วันที่: 13 กรกฎาคม 2554 เวลา:1:13:33 น.  

 
ขอบคุณค่ะคุณพี่หมูน้อย ^____^


โดย: รุริกะ วันที่: 20 กรกฎาคม 2554 เวลา:19:53:41 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รุริกะ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




users online
pageviews
Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2554
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
12 กรกฏาคม 2554
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add รุริกะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.