XI. เรื่องบังเอิญ


เสียงรถเคลื่อนเข้ามาจอดหน้าประตูบ้าน ถัดจากนั้นก็มีชายหนุ่มผิวพรรณสะอาดสะอ้านยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ด้านนอก พอหญิงสาวสูงวัยหันไปเห็นเข้า เขาก็ยิ้มและพนมมือไหว้ นางวางฝักบัวที่รดน้ำผักและเดินไปที่ประตูเพื่อถามไถ่

“ไม่ทราบมาหาใครคะ”
“ผม เอ่อ... มาหารสาครับ”

“รสา... เอ... เอ้อ ใช่ค่ะ ลูกสาวฉันเอง เข้ามาก่อนสิคะ”
“ครับ ขอบคุณครับ”

หญิงสูงวัยเชิญชายแปลกหน้าเข้าไปภายในบ้าน แต่เมื่อเดินไปถึงชายคาและหยิบโน้ตที่แปะริมหน้าต่างมาดูก็อุทาน

‘สาไปวัด และไปเที่ยวสวนสนุกต่อ กลับเย็นๆนะคะแม่ อาหารอยู่ในตู้กับข้าวแล้ว แม่อุ่นเอานะคะ’

นางอ่านแล้วรีบละล่ำละลัก

“ขอโทษเถอะคุณ ลูกสาวฉันไม่อยู่บ้านล่ะ”
“เอ... เอ่อ ครับ”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับ ยังมีสีหน้างุนงง

“จะให้บอกว่าใครมาหาคะ”
“ผม หมอไตรรัตน์ครับ”
วิเคราะห์จากสายตา หญิงสูงวัยตรงหน้าคงมีโรคประจำตัวเกี่ยวกับความจำที่ไม่ดีนัก

“โอ... คุณหมอหรอกเหรอคะ ฉันชื่อนภาจ้ะ เป็นแม่ของรสา เอาล่ะ จดในกระดาษหน่อยเถอะพ่อคุณ พอลูกสาวฉันกลับมา ฉันจะได้ไม่ลืมบอก”
“ครับ”
นภาควานหาปากกาที่วางอยู่ตรงไหนสักจุดแต่หาไม่เจอ จึงเปิดประตูบ้านเข้าไป ในเวลาเดียวกันนั้น สายฝนก็พรั่งพรูลงมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

“อ้าว ฝนตกเสียแล้ว หลบเข้ามาข้างในก่อนสิคะคุณหมอ”

นางเชื้อเชิญแขกของลูกสาวเข้าไปภายในบ้าน สายฝนเทกระหน่ำผิดฤดูกาลแต่ครอบคลุมไปทั่วทุกหย่อมหญ้า ไม่เว้นแม้แต่ที่ศาลาวัด


`•.,¸,.•*¯`•.,¸,.•*


ลมแรงกรรโชกพร้อมเม็ดฝนร่วงลงมาเปาะแปะ นายเชิดชะลอรถแล้วจอดภายในลานจอดรถที่ใกล้กับศาลาวัดมากที่สุด ปลดเกียร์ว่างโดยไม่ดับเครื่องก่อนหันมาสั่งความ

“คุณวินทร์อยู่ในรถรอผมก่อนนะครับ”

เจ้านายหนุ่มที่เอนกายอยู่ทางเบาะหลังกำลังมองบรรยากาศฝนตกเพลิน ได้ยินดังนั้นก็ชะโงกหน้าไปหาคนขับ

“ทำไมล่ะน้าเชิด น้าเชิดจะลงไปไหน”

“ไปช่วยพระเก็บข้าวของครับ ฝนตกแถมมีลมแรงแบบนี้ เดี๋ยวข้าวของกระจุยกระจายหมด”

“แล้วผมล่ะ”

“อยู่นี่แหละครับ ลงไปก็เกะกะผมกับพระเณรเปล่าๆ เคลียร์พื้นที่เสร็จแล้วผมจะหาร่มมารับครับ”

“อะ... เอ่อ...”

โดยไม่รอให้เจ้านายตั้งตัวทัน คนขับรถผู้ขยันขันแข็งลงจากรถอย่างรวดเร็วก่อนจะใช้เสื้อแจ็คเก็ตของตนต่างร่ม วิ่งไปช่วยพระเก็บข้าวของในศาลาและขนเข้าห้องเก็บของ เห็นนายเชิดกระทำการอย่างขมีขมันวินทร์ก็เขม้นมองเหตุการณ์ผ่านกระจกอย่างตั้งใจ ทันใดนั้นก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อมีเสียงทุบกระจกหน้าต่างรถปังๆๆ จากอีกด้านหนึ่ง

“คุณคะ! คุณคะ!”

คนทุบกระจกรถร้องพลางหันรีหันขวาง มือหนึ่งก็ทั้งทุบกระจกทั้งง้างประตู อีกมือหนึ่งก็ถือร่มกางให้แม่ชีที่อุ้มร่างของคนหมดสติอยู่ในอ้อมแขน สายฝนเทกระหน่ำ ภายในกรอบโค้งของโครงรถ วินทร์หันไปมองก็พบร่างที่ถูกโอบอุ้มมา ก็พบว่าเป็นร่างที่ถูกห่อด้วยผ้าขนหนูผืนใหญ่ เจ้าของร่างมีอาการกระตุกดิ้นกระแด่วเป็นพักๆ

“ช่วยพาคนเจ็บไปโรงพยาบาลหน่อยเถอะค่ะ มีคนโดนไฟฟ้าช้อต”

เจ้าของเสียงรีบบอกเมื่อเห็นชายหนุ่มเปิดประตูรับ เหตุการณ์ค่อนข้างสับสนอลหม่าน วินทร์ได้ยินเสียงตัวเองร้อง “ครับ! ได้ครับ” พลางลงไปเปิดประตูด้านหลังรถให้คนอุ้มพาคนเจ็บขึ้นนั่ง พอเขาขึ้นนั่งฝั่งคนขับ ประตูด้านหน้าอีกด้านก็เปิดออกพร้อมกับมีหญิงสาวกระโดดเข้ามานั่งด้วย สายฝนซัดสาดทำให้เสื้อผ้าบางส่วนของเจ้าตัวมีละอองน้ำเกาะพราว หญิงสาวไม่สนใจตนเองนัก ก้มหน้าก้มตารัดเข็มขัดพลางบอก


“ข้างหน้าไม่ถึงสิบกิโลมีโรงพยาบาล ไปกันเถอะค่ะ”

พูดจบค่อยหันมาสบตาคนขับ เสียงฟ้าร้องครืนด้านนอกดังขึ้นมาทีหนึ่ง ทั้งคนขับทั้งคนนำทางเหมือนต่างคนโดนไฟฟ้าช้อตเสียเอง

“คุณเอง... มาอยู่ที่นี่ได้ยังไงเนี่ย!!”
วินทร์และรสาร้องขึ้นมาเกือบพร้อมกัน

“รู้จักกันหรอกเหรอพ่อคุณแม่คุณ ดีแล้วล่ะ ช่วยพาโยมคนนี้ไปโรงพยาบาลก่อน”
แม่ชีที่อยู่ด้านหลังอุทานและสั่งการเสียงดังไม่แพ้กัน

“ครับๆ”

คราวนี้ชายหนุ่มรีบตอบรับ ก่อนจะสำลักเสียงหัวเราะขึ้นมาทีหนึ่ง แต่ก็ทำทีหันไปมองกระจกข้างเพื่อถอยรถกลบเกลื่อน เหมือนกันกับที่หญิงสาวก็อดอมยิ้มน้อยๆขึ้นมาไม่ได้

เจอกันทีไร ก็อยู่ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานทุกทีสิน่า...


`•.,¸,.•*¯`•.,¸,.•*


รูปบนโต๊ะถูกวางไว้ริมแจกันอย่างพิถีพิถัน มีกรอบอัดรูปไว้อย่างดี ไตรรัตน์ถือวิสาสะเดินเข้าไปหยิบขึ้นมาพินิจดู สายฝนด้านนอกยังตกเปาะแปะ หญิงวัยกลางคนกำลังเดินเข้าไปรินน้ำในครัว นายแพทย์หนุ่มได้ยินเสียงกุกกักก่อนเจ้าของบ้านจะออกมาพร้อมกับแก้วใส่น้ำใสเย็นชื่นใจ นางเอียงหน้าดูรูปในมือของผู้มาเยือนแล้วอมยิ้มบอก

“ลูกสาวฉันน่ะ น่ารักไหม”

“ครับ เป็นคนหน้าตาดีทั้งคู่ทีเดียวครับ ฝาแฝดหรือครับ”

ไตรรัตน์พลิกดูรูปคู่ของหญิงสาวที่ถ่ายในสวนหน้าบ้าน คนหนึ่งสวมชุดนักเรียนพยาบาล อีกคนสวมเสื้อกาวน์สั้นสีขาว มีป้ายชื่อเป็นเข็มกลัดเล็กๆติดที่หน้าอก ‘นสภ. ฟ้าใส พิริยะ” ส่วนอีกคนไม่มีป้ายชี้บ่ง แต่เขาพอเดาได้

“คนนี้รสาหรือครับ”

“ใช่แล้วล่ะ จะให้ฉันสารภาพอะไรไหม ถ้าไม่ใช่รูปที่ต่างคนต่างใส่เครื่องแบบของตัวเอง คนทั่วไปก็คงแยกสองคนนี้ไม่ค่อยออก คนความจำไม่ดีอย่างฉันยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ บางทีจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าคนไหนเรียนอะไร ดีที่ในรูปมีป้ายชื่อของยัยฟ้า เห็นรูปนี้ทีไรก็พอจะนึกออก”

“แล้ว ... คนที่ชื่อฟ้าใส ตอนนี้ไปอยู่ที่ไหนเหรอครับ”

แวบหนึ่งนายแพทย์หนุ่มมองเห็นรอยยิ้มของหญิงวัยกลางคนเหือดหาย มุมปากล่างตกลง กระพริบตาอย่างสับสน ก่อนจะพึมพำตอบ

“เอ... ไม่รู้สินะ หายหน้าหายตา ไม่ส่งข่าวนานแล้วเหมือนกัน หรือเพราะฉันจำไม่ได้เองก็ไม่รู้ เฮ้อ...”

นางถอนหายใจก่อนจะทรุดตัวลงนั่งกับโซฟา ไตรรัตน์เข้าไปประคองและนั่งลงบนโซฟาตัวข้างๆ สังเกตจากอาการแสดงที่ยังไม่มีอารมณ์ก้าวร้าวรุนแรงมากนัก ทั้งยังสามารถจดจำญาติมิตรของตนได้ แม้ไม่ปะติดปะต่อนัก แต่ก็นับได้ว่า หากหญิงวัยกลางคนผู้นี้มีพยาธิสภาพของคนความจำเสื่อม ก็ยังไม่ใช่อาการที่รุนแรงมากนัก หากรักษาให้ดี ก็ยังจะพอประคับประคองอาการให้ใช้ชีวิตเหมือนคนปรกติได้

สายลมนอกหน้าต่างพัดแรงขึ้น เจ้าของบ้านได้ยินเสียงพรึ่บพรั่บเหมือนนกตัวใหญ่กระพือปีกก็ร้องอุทาน

“ตายล่ะ ฉันลืมไปว่าตากผ้าทิ้งไว้”

นางชะโงกหน้าดูนอกหน้าต่าง และทำท่าจะออกไปเก็บผ้า ไตรรัตน์ลุกขึ้นอย่างว่องไวแล้วขันอาสา

“คุณน้ารอตรงนี้เถอะครับ ให้ผมช่วยดีกว่า”
“ขอบใจนะพ่อคุณ ร่มน่าจะอยู่แถวๆหน้าบ้านนั่นแหละ หาเอานะ”

ไตรรัตน์กึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปนอกประตู หยิบร่มที่แขวนอยู่หน้าบ้านและตรงไปยังราวตากผ้า นภาปิดประตูหน้าต่างก่อนฝนสาด จึงไม่ได้เห็นภาพชายหนุ่มชะลอฝีเท้าลง อาการเอื้อมมือไปเก็บผ้านั้นผ่อนช้าและเยือกเย็นราวกับนักชันสูตรที่กำลังวินิจฉัยว่าศิลปะตรงหน้าเป็นของแท้หรือไม่

หรือต่อให้มองเห็น นางก็ไม่อาจจำได้ ว่าสิ่งใดเกิดขึ้นหลังจากนั้น ความทรงจำของนภาเลือนรางเต็มทีแล้ว...


`•.,¸,.•*¯`•.,¸,.•*


หญิงสาวกอดอกและทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้หน้าห้องไอซียู แม่ชีไปเฝ้าดูอาการของโยมเคราะห์ร้ายอยู่ในห้อง ส่วนชายหนุ่มเดินวนไปมาอยู่พักหนึ่งก่อนจะถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกมาคลุมบนบ่าของหญิงสาว

“ถ้าไม่รังเกียจครับ เปียกฝนแล้วมาเจอแอร์เย็นๆแบบนี้ เดี๋ยวจะเป็นหวัดเปล่าๆ...”

รสาตวัดหางตามองและเม้มริมฝีปาก วินทร์กลั้นหายใจรอดูปฏิกิริยาของหญิงสาว

“ขอบคุณค่ะ”

ริมฝีปากบางนั้นคลี่ออกเป็นรอยยิ้มพร้อมกับน้ำเสียงอ่อนโยน ชายหนุ่มถอนหายใจโล่งและทรุดตัวนั่งลงข้างๆ

“เฮ้อ... ค่อยยังชั่ว”
“ค่อยยังชั่วอะไรคะ”

“ก็ ผมนึกว่า คุณจะปาเสื้อของผมทิ้ง หรือดุอะไรผมอีก”

“แล้วกัน ฉันไม่ใช่นางยักษ์หรือแม่มดสักหน่อย ทำไมคุณถึงคิดไปได้ขนาดนั้น”

“ฮ่ะๆ ไม่ได้คิดขนาดนั้นครับ ผมว่าคุณน่ะ เป็นนางฟ้าเวลาเผลอ แต่เห็นหน้าผมทีไร จะต้องจำแลงกายเป็นแม่มดทุกทีสิน่า”

“จริงเหรอ... ขอฉันนึกก่อน อ้อ คิดออกล่ะ ครั้งแรกฉันเจอคุณแอบถ่ายรูปคนไข้ในวันอุบัติเหตุหมู่ ครั้งต่อมา ก็เจอคุณไปทำลับๆล่อๆหน้าห้องคนไข้ที่ทำท่าจะฟ้องร้องโรงพยาบาล ฉันเลยไม่ชอบขี้หน้าคุณ”

“แต่วันนี้ผมช่วยพาญาติของคุณที่โดนไฟช้อตมาส่งโรงพยาบาล ถือว่าหายกัน คุณคงรู้สึกดีกับผมมากขึ้น”

“เปล่าเลย” รสาร้องขัด
“ไม่ใช่ญาติฉันสักหน่อย”
แก้ต่างเฉพาะประโยคแรก หญิงสาวไม่พูดถึงประโยคหลัง

“ฉันมาไหว้อัฐิของน้องสาวที่วัด พอฝนใกล้ตก แม่ชีก็เรียกให้ไปหลบฝนในกุฏิ พอดีกับมีโยมที่มาพักกับแม่ชีในกุฏิเขารีบถอดปลั๊กกาต้มน้ำร้อน แต่ปลั๊กไฟคงใกล้พังเต็มที เธอกระชากแรงไปหน่อยเลยถูกไฟช้อต ฉันกับแม่ชีต้องรีบหาผ้าแห้งดึงเธอออกมากันจ้าละหวั่น ดีที่ฉันพอปฐมพยาบาลได้บ้าง แต่ยังไงก็ต้องรีบพาคนเจ็บส่งโรงพยาบาลอยู่ดี”

“แล้วแทนที่จะเรียกรถพยาบาล ก็มาทุบรถผม”

“ก็มันไวกว่านี่ การช่วยชีวิตคน ยิ่งใช้เวลาน้อยเท่าไหร่ ก็ดีกับตัวคนไข้มากเท่านั้น ตอนทุบน่ะ ฉันไม่รู้ว่าใครอยู่ในรถด้วยซ้ำ”

“คุณนี่น้า...”

ชายหนุ่มกำลังจะชวนคุยต่อ เป็นจังหวะเดียวกับที่แม่ชีที่ติดรถมาด้วย ได้เดินออกมาหาคนทั้งคู่

“ญาติของโยมเขามารับช่วงต่อแล้วล่ะ ขอบใจเธอทั้งสองมากนะ นี่ทานอะไรกันบ้างหรือยัง”
“เอ่อ... ยังไม่ค่อยหิวน่ะค่ะ แม่ชีล่ะคะ ให้พวกเราหาของมาถวายตอนนี้พอจะได้ไหมคะ”

“อย่าเลย... แม่ทานแค่มื้อเดียวเท่านั้นแหละ นี่ก็เลยเพลแล้ว คงจะดื่มแต่น้ำปานะที่ญาติของโยมเขาเอามาฝากนี่แหละ เธอสองคนจะมาทานด้วยกันไหม”

“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณครับ พอดี เรามีนัดกันต่อด้วยน่ะครับ คงจะออกไปหาทานข้างนอกครับ”

วินทร์รีบออกตัว รสาที่ก้มหน้ามองพื้นอยู่หันไปมองค้าน แต่ไม่ทันได้ออกปาก ญาติของผู้ป่วยตามออกมาขอโทษขอโพยที่ทำให้เป็นธุระและรับปากจะพาแม่ชีส่งกลับวัด คณะบุคคลดูจะเพิ่มมากขึ้น หญิงสาวและชายหนุ่มจึงขอตัวลา

‘...ตกลงเราจะไปเที่ยวดรีมเวิลด์กันต่อใช่มั้ยคะ พี่สา…’
อนัลยานีปรากฎตัวขึ้นมาตอกย้ำ รสาพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจนัก

“เดี๋ยวนะ พ่อหนุ่ม แม่หนู”

แม่ชีเรียกขานด้วยเมตตา รสาหันกลับไปตามเสียง พยายามสบตาแม่ชีด้วยหวังว่าแม่ชีจะเห็นอย่างที่เธอเห็นบ้าง

“เดินทางปลอดภัย ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก็ขอให้คุณพระคุ้มครองนะลูก”

อุบาสิกาในชุดขาวอำนวยอวยพร ชายหนุ่มและหญิงสาวพนมมือไหว้ รสาถอนหายใจแล้วบอกตัวเองว่า นี่คงเป็นชะตากรรมที่หาคนชี้ทางให้ได้ยาก

ฝ่ายแม่ชียังยิ้มเย็นอย่างเอ็นดู รู้ทั้งรู้ เห็นอยู่ชัดเจน แต่ก็เฉกเช่นเห็นการเปลี่ยนแปลงของอากาศในวันฟ้าครึ้ม เมฆหม่น ห้ามปรามอย่างไรฝนก็ต้องตกลงมาสักวันหนึ่ง

อุบาสิกาในชุดขาวอำนวยอวยพรอีกครั้ง แต่ครานี้กระทำในใจ ที่หวังจะเห็นกรรมใหม่ที่แต่ละคนได้เพียรกระทำ จะช่วยละลายกรรมเก่า ให้สถานการณ์ในภายภาคหน้าคลี่คลายไปในทางที่ดีที่สุด...




Create Date : 17 สิงหาคม 2554
Last Update : 17 สิงหาคม 2554 12:42:20 น. 1 comments
Counter : 681 Pageviews.

 
อืมม์ถ้าเป็นหนังสือ..ก็ต้องบอกว่าวางไม่ลง..


โดย: cat__a IP: 124.122.156.110 วันที่: 22 สิงหาคม 2555 เวลา:17:24:18 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รุริกะ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




users online
pageviews
Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2554
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
17 สิงหาคม 2554
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add รุริกะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.