XV. ตัวจริง-ตัวปลอม

ทักทายคนอ่านด้วย Quote ยาวๆ ค่ะ ^___^

"ทำดีไม่ได้ดี ไม่มีอยู่ในความจริง
มีอยู่แต่ในความเข้าใจผิดของคนทั้งหลายเท่านั้น
ทำดีแล้วต้องได้ดีแน่นอนเสมอไป
ที่มีเหตุการณ์ต่างๆ นานาปรากฏขึ้น เหมือนทำดีไม่ได้ดีนั้น
เป็นเพียงการปรากฏของความสลับซับซ้อนแห่งการให้ผลของกรรมเท่านั้น
เพราะกรรมนั้นไม่ได้ให้ผลทันตาทันใจเสมอไป
แต่ถ้าเป็นเรื่องภายในใจแล้ว กรรมให้ผลทันทีที่ทำแน่นอน
เพียงแต่ว่าบางทีผู้ทำไม่สังเกตด้วยความประณีตเพียงพอ จึงไม่รู้ไม่เห็น
ขอให้สังเกตใจตนให้ดี แล้วจะเห็นว่าทันทีที่ทำกรรมดี
ผลจะปรากฏขึ้นในใจเป็นผลดีทันทีทีเดียว"

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

(via Dharma@Hand Lite ธรรมะใสใส ใกล้ตัวคุณ)

จากนั้นมาอ่านนิยายกันต่อเลยดีกว่า ('',)


2 เดือนผ่านไป...

กิจวัตรที่ต้องกระทำตามแม่ชีดูเรียบง่าย แต่ก็แฝงไว้ด้วยความเคร่งครัด ช่วงเวลาทำวัตรเช้าของทางวัดคือเวลาตีห้า จากนั้นพระออกบิณฑบาตหกโมง ช่วงเวลาที่พระออกบิณฑบาต คือช่วงเวลาที่แม่ชีและฆราวาสช่วยกันเตรียมอาหารและจัดระเบียบข้าวของที่ญาติโยมนำมาถวาย ที่วัดไม่มีการตั้งกล่องบริจาค ไม่มีการเรี่ยไรเงินทองและข้าวของทำบุญ เป็นการคัดกรองให้ผู้คนที่เข้ามาในวัด ให้เหลือแต่ผู้ประสงค์จะเข้ามาหาความสงบ เรียบง่าย และทำบุญด้วยใจสละออก ไม่ใช่จะเข้ามาร้องขอโชคลาภจากการทำบุญหย่อนตู้

เด็กคนงานที่อาศัยอยู่ในวัดก็มีความประพฤติเรียบร้อยน่ารัก มักเข้ามารับขนมและของว่างเล็กๆ น้อยๆ ที่กุฏิแม่ชีหลังเพล บางครั้งโผล่มาตอนเช้าเพื่อมาเก็บดอกไม้ที่ต้นมณฑา รสาเห็นเด็กเดินมาก็เดินอ้อมไปด้านหลัง ยืนดูเธอเด็ดดอกไม้ไปถวายพระ บางดอกสวยแต่อยู่สูง พอเด็กเผลอเธอก็ช่วยโน้มกิ่งมณฑาลงมาให้ เด็กคนงานหันกลับมาอีกครั้งจึงพบว่ามณฑาดอกงามมาอยู่ใกล้แค่เอื้อม

“เอ้อ ดอกนี้ก็สวยดี เมื่อกี้ทำไมไม่เห็นนะ”

รสายิ้มสุขใจ พอคนเก็บดอกไม้เดินจากไปก็ปล่อยกิ่งต้นไม้ให้เอนไปที่เดิม วิญญาณสาวพลอยยินดีเหมือนตนได้เป็นส่วนหนึ่งในการถวายดอกไม้บูชาพระ

เมื่อเสร็จพิธีถวายภัตตาหารและพระฉันเป็นที่เรียบร้อย ญาติโยมที่มาจากภายนอกวัดก็แยกย้ายและพากันกลับ อุบาสกอุบาสิกาที่พักอยู่ในวัดก็ถึงเวลาเก็บกวาดบริเวณวัดและแยกย้ายกันไปปฏิบัติภารกิจส่วนตัว บ้างพักผ่อนนอนหลับ และบ้างปฏิบัติภาวนา จะมารวมตัวกันอีกครั้งในพระวิหารที่ประดิษฐานพระประธานเวลาหนึ่งทุ่มเพื่อทำการสวดมนต์ทำวัตรเย็น วนเวียนซ้ำๆอยู่เป็นประจำเช่นนี้

การมีแต่วิญญาณที่ไร้ร่างกลายเป็นข้อดีอย่างหนึ่งของรสา นั่นคือไม่มีร่างกายให้เหนื่อยล้า เธอจึงไม่จำเป็นต้องพักผ่อนหลับนอน ไม่มีลำไส้ให้ร้องครวญครางขออาหาร มีเพียงบางครั้งที่นึก “กระหายหิว” คิดอยากลิ้มลองรสชาติอาหารด้วยความเคยชิน ก็เริ่มรู้จักการ “นิมิต” ให้อาหารที่ต้องการมาอยู่ตรงหน้า จากนั้นเพียง “ระลึก” ว่าได้ลิ้มชิมรส ความอร่อยลิ้นและกลิ่นที่กรุ่นกำจายก็ซึมซาบอย่างนุ่มนวลได้ดังปรารถนา แต่บางครั้งการดลบันดาลอะไรสักอย่างขึ้นมาด้วยสมาธิไม่ตั้งมั่น และบาทฐานของสิ่งที่ระลึกถึงไม่มั่นคงพอ สิ่งที่ปรากฏขึ้นมาก็พลอยบิดเบี้ยว เช่นนึกถึงมะพร้าวก็กลายเป็นมะนาวไปเสียเป็นต้น

แน่นอนว่าวิชาเหล่านี้ อยู่นอกเหนือตำราที่แม่ชีพร่ำสอน และแน่นอน เธอทำได้เฉพาะยามที่แม่ชีจำวัดอยู่เท่านั้น เช้ามืดของวันหนึ่ง รสาก็ได้อำพรางตัวอยู่ในห้องสมุดของวัดและค้นพบหนังสือเล่มหนึ่งโดยบังเอิญ หนังสือเล่มนั้นมีชื่อว่า “สมบัติอมรินทร์คำกลอน” บทประพันธ์ของ “เจ้าพระยาพระคลัง (หน)” เล่มนี้มีผู้นำมาถวายด้วยเห็นว่าเป็นวรรณคดีที่ทรงคุณค่า รสาพลิกอ่านคร่าวๆ แล้วให้ตื่นตาตะลึงลาน เนื้อหานั้นบรรยายความงามของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ไว้อย่างละเอียดลออจนแทบจะนึกภาพตามได้ รสายิ้มพรายเหมือนเด็กน้อยได้ของเล่นใหม่

หญิงสาวค่อยๆ อ่าน ค่อยๆ คิดนึกและจินตนาการตาม ดวงตากลมใสเลื่อนอ่านลงไปทีละบรรทัด แล้วภาพสวรรค์ชั้นฟ้าก็ราวกับงอกเงยและเรียงรายอยู่รอบตัวตามคำบรรยายที่ปรากฏ


๏ ชานชาลาหน้าหลังพระลานมาศ
ศิลาลาดแลคว้างเล่ห์ทางสินธุ์
อ่อนละไมใยทิพโกมิน
มลทินมิได้สุมอยู่รุมราย

มีลมหนึ่งหอบหวนประมวลพัด
ระบัดดวงปทุมามากรองถวาย
เป็นสีหราชผาดเผ่นผยองกาย
คชาส่ายงารำสำเริงเริง

บ้างร้อยรุมโกสุมเป็นสิงห์ขนัด
ดูเอี้ยวอัดซัดเท้าจะโลดเถลิง
งามบุปผาอาชาประลองเชิง
ที่ละเลิงเลี้ยวไล่ลำพองคะนอง

มะลุลีสารภีพิกุลแก้ว
เป็นถ่องแถวมฤคีที่เยื้องย่อง
บ้างพัดดวงมณฑามากรายกรอง
บนตั่งทองหอมฟุ้งจรุงใจ

ยังมีลมหนึ่งรับเอาบุปผา
ที่โรยรสพัดพาไปเนินไศล
เอาสินธุใสสิ้นมลทินไคล
มาพรมในรัถยาศิลาลายฯ

อ่านได้ถึงเท่านั้น แสงสว่างก็พร่างพรายอยู่รายรอบ ปรากฏเหมือนมิติที่ซ้อนเหลื่อมกันเข้ามาสองระนาบ ภพภูมิที่เคยได้อาศัยอยู่เดิมดูคล้ายเหนอะหนะและร้อนรุ่ม ส่วนแสงสว่างและบรรยากาศของทิพยวิมานที่สาดส่องกลับดูปลอดโปร่งและเย็นฉ่ำน่ารัญจวนใจ รสาเกือบจะผลุบหายเข้าไปในระนาบนั้นหากแต่เสียงหนึ่งดังขึ้นในภวังคจิต

“ถ้าปล่อยไว้นานๆ จะเป็นอย่างไรหรือเจ้าคะ”
“จะมองหาแสงสว่าง แล้วไปเกิดใหม่ในร่างอื่นแทน”


บทสนทนาของแม่ชีและพระภิกษุผู้ชราเมื่อแรกรับเธอเข้ามาอยู่ในวัดดังแว่วแต่กระจ่างชัด รสาสะดุ้งเฮือกแล้วถอยกรูดกลับมาที่ต้นมณฑาอันเป็นที่พึ่งพิงอาศัย

“ไม่ได้... เรายังไปไหนไม่ได้”

หากยังมีร่างกาย ป่านนี้รสาคงได้ยินเสียงหัวใจเต้นโครมคราม ทว่าเมื่อไร้รูปไร้ลักษณ์ จึงไม่เกิดปรากฏการณ์อันใดนอกจากลมพัดไหว ใบไม้บางใบปลิดปลิวและร่วงลงจากกิ่งไม้ จากนั้นไม่นาน วิญญาณสาวจึงได้ยินเสียงถอนใจเบาๆของแม่ชี ที่ไม่รู้ว่าโผล่มาตอนไหน

“ไปเที่ยวสวรรค์มา สนุกไหม”
“ปะ... เปล่านะคะ...”

“จะตอบอย่างนั้นรึ”

แม่ชีไม่ได้บังคับให้สารภาพ ปล่อยให้รสานิ่งนึกตรึกเองว่าควรบอกหรือไม่

“สา... จินตนาการไปตามหนังสือ ก็ไม่คิดว่าจะเป็นวิมานมาปรากฏตรงหน้าจริงๆ...”

“ที่เห็นน่ะจริง แต่ของจริงน่ะ ยังไม่ได้เห็น”

“เอ๋...?”

“สับสนไหม”
“สับสนค่ะ”

รสาตอบอย่างงุนงง ในใจมีคำถามหลายคำอยากถาม

“สงสัยไหม”
“เอ้อ...สงสัยค่ะ”

“แล้วรู้ทันหรือเปล่า”
“เอ้อ...เมื่อครู่ไม่รู้ แต่ตอนนี้รู้แล้วค่ะ ตอนที่คุณแม่ทัก”

ทันทีที่รู้ทัน คำถามที่ค้างคาใจก็หายไป

“นั่นล่ะ สภาวธรรมปรากฏตรงหน้าที่แม่ชีสอนให้ดูบ่อยๆ ทำไมไม่ดู ไปเที่ยวเล่นในสวรรค์วิมาน นั่นน่ะของเล่น ของจริงที่ควรแสวงหา คือพระนิพพานต่างหาก”

“นิพพาน...หรือคะ”

รสายิ่งสงสัยหนักกว่าเดิม ได้แต่รู้ทันใจแล้วค่อยสารภาพใหม่

“คำนั้นดูไกลเหลือเกินค่ะ สาไม่ได้คิดหวังว่าตัวเองจะทำได้ขนาดนั้น”

“จริงๆ แล้วจะว่าไกลก็ไม่ไกล แต่จะว่าใกล้ก็ไม่ใกล้ อย่าทำตัวเป็นคนมักน้อย หวังแค่สวรรค์วิมาน เพราะพอหมดบุญ ก็ต้องลงมาเกิดใหม่ เจอความทุกข์ ความผิดหวังซ้ำซาก การปฏิบัติภาวนาให้พ้นไปจากการเวียนว่ายตายเกิดดีกว่าเป็นไหนๆ”

แม่ชีพูดอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก รสารับรู้ได้ถึงกระแสความเมตตาและห่วงใย ไม่จำเป็นต้องมาจากคำพูด แต่สัมผัสได้จากการกระทำและคำสอน

“คุณแม่คะ... สาออกมาจากร่างมานานเกินไปแล้วใช่ไหมคะ…”

“อืม...”

แม่ชีตอบแบ่งรับแบ่งสู้

“ก่อนจะเปลี่ยนภพใหม่ แม่ก็อยากให้ได้ของดีติดตัวไปบ้าง แต่ไม่ใช่วิธีเนรมิตสวรรค์วิมานอะไรอย่างที่เรากำลังเล่นอยู่”

“ค่ะ...”

รสารับคำเสียงอ่อย

“ที่จริง อยู่ตรงนี้ก็มีความสุขดีใช่ไหม”

แม่ชีถามอย่างอ่อนโยน รสาไม่รู้ว่ามีความนัยอันใดแฝงอยู่

“มีความสุขดีค่ะ นี่ถ้าคุณแม่ไม่ช่วย ป่านนี้สาไม่รู้จะกลายเป็นเปรตเป็นเดรัจฉานไปถึงไหนต่อไหน สาขอกราบขอบพระคุณคุณแม่มากเลยนะคะ”

วิญญาณสาวก้มลงไปกราบกับตักแม่ชีอีกครั้ง

“แต่...”

ไม่กล้าบอกออกไป ได้แต่ถอนใจเศร้า

“ก็ยังอยากกลับเข้าร่างที่เป็นคนอยู่”

แม่ชีเสริมให้

“ค่ะ ก็ยังอยากกลับไปดูแลแม่ กลับไปทำงานที่โรงพยาบาล กลับไปเพราะคิดถึง...”

คิดถึงแม่... คิดถึงคนไข้ที่โรงพยาบาล... คิดถึงเจ้าของเสื้อคลุมกับชุดที่อยู่ติดตัวมาจนถึงเวลานี้... หญิงสาวกระดากอายเกินกว่าจะบอกออกมาให้แม่ชีชราได้ยินต่อหน้า

“คิดถึงใครก็ไปหา จิตเรามีกำลังมากพอจะไปโน่นมานี่ได้แล้วล่ะ เอ...จะไปที่ไหนก่อนก็ไม่รู้นะ”

รสาอมยิ้ม ไม่ตอบคำถาม ใจส่ายแวบนึกถึงชายหนุ่มที่น่าจะกำลังให้ความคุ้มครองร่างของเธออยู่ ระหว่างนั้นบทสนทนาถูกขัดจังหวะด้วยเสียงคนเดินเข้ามาใกล้ แม่ชีมองไปหน้าประตูรั้ว อาคันตุกะผลักรั้วเข้ามา วิญญาณสาวรีบหลบไปอยู่ข้างหลังแม่ชี...ทั้งที่ไม่ได้มีใครมองเห็นร่างของเธอเลยสักหน่อย

“กราบนมัสการครับแม่ชีน้อย”

บุรุษที่มาใหม่ก้มลงกราบ รสาชะโงกหน้ามองตามลำดับ

“มาทำบุญหรือเชิด”

แม่ชีทัก

“ขอรับ”

เชิดรีบประณมมือบอก

“วันนี้พาหนุ่มๆ สาวๆ เขามาทำบุญกับที่วัดด้วยน่ะครับ ก่อนพระฉันเลยพากันเดินมาดูรอบบริเวณวัดเสียหน่อย กราบขออภัยที่มารบกวนแม่ชีนะขอรับ”

“ไม่เป็นไรหรอกเชิด คนกันเอง ว่าแต่พาใครมารึ”

“เบาๆ นะครับ”

ชายหนุ่มหญิงสาวอีกคู่หนึ่งตามหลังมา เสียงนั้นลอยมาแต่ไกลแต่รสาจำได้ไม่มีวันลืม เจ้าของเสียงหันไปประคองคนที่ถือไม้ค้ำยันเดินตามมาด้วย กระถินริมรั้วบังกั้น รสาได้ยินเสียงวางไม้ค้ำยันลงกับทางเดิน คนมาใหม่ทรุดตัวลงนั่งเคียงข้างชายหนุ่มและกราบแม่ชีบ้าง

“ผมชื่อวินทร์ครับ ส่วนคนนี้รสา ที่ช่วยกันพาคนถูกไฟดูดในกุฏินี้ไปโรงพยาบาลเมื่อสองอาทิตย์ที่แล้วไงครับ พอดีคืนนั้น รสาเขาถูกรถชน ตอนนี้พอจะเดินได้แล้ว เลยพามาทำบุญสะเดาะเคราะห์เสียหน่อยครับ”

“อ้อ...”

แม่ชีตอบรับเสียงเบาหวิว ใจหายวาบเมื่อมองหาไม่เห็นวิญญาณอาภัพที่เพิ่งหลบไปด้านหลัง แต่ยังต้องทำหน้าที่ต้อนรับอาคันตุกะเหมือนยามปรกติ แม่ชีชราตัดใจจากรสาแล้วหันมามองคนตรงหน้าเต็มตา

“นมัสการเจ้าค่ะ”

ใบหน้าและรูปพรรณสัณฐานของหญิงสาวที่ยกมือประณมอยู่ตรงหน้า เหมือนกันกับวิญญาณที่เพิ่งล่องหนหายไปไม่มีผิดเพี้ยน

`•.,¸,.•*¯`•.,¸,.•*

การเผชิญหน้ากับแม่ชีชรากลับทำให้ฟ้าใสร้อนรนและกระวนกระวายอย่างไม่ทราบสาเหตุ แววตาสงบเย็นคู่นั้นดูราวกับผิวน้ำราบเรียบ ความแน่นิ่งของกระแสธารเบื้องหน้าอาจเพราะไม่มีสรรพชีวิตใดๆ อาศัยอยู่ภายใต้สายน้ำนิ่ง หรืออีกนัยยะ ก็คือสรรพชีวิตเหล่านั้นเคลื่อนไหวอยู่ลึกเกินไปจนไม่อาจหยั่งถึง...

ผิวน้ำราบเรียบสะท้อนภาพของคนที่ชะโงกลงไปดูได้ชัดปานใด แววตาสงบเย็นคู่นั้นก็ดูราวจะสะท้อนเงาของ ‘ฟ้าใส’ ที่อยู่ในร่างของรสาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

แต่หญิงสาวก็ฉลาดพอที่จะไม่แสดงอาการใดๆ ให้มีพิรุธ หากแม่ชีจะตอบรับคำทักทายด้วยการบอกว่า “เธอคือฟ้าใส” หรือ “เธอไม่ใช่รสา” ก็คงจะถูกข้อหามีความผิดปรกติทางสมองเหมือนมารดาของเธออีกคน ฟ้าใสเผยรอยยิ้มละมุนละไมแต่ในดวงตามีประกายท้าทายอยู่วาววับ และยิ่งเจิดจรัสขึ้นเมื่อได้ยินคำตอบรับจากแม่ชีตรงหน้า

“เจริญพร... ยังเจ็บแผลไม่หายเลยสินะ”

ช่างเป็นคำทักทายที่แสนธรรมดาสามัญ ฟ้าใสแทบจะร้อง ‘เฮอะ’ ให้กับสัญชาตญาณที่วิปลาสคลาดเคลื่อนของตนในตอนแรก

“ดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ หมอยังให้พักอีกไม่กี่สัปดาห์ ไม่นานก็คงจะกลับไปทำงานได้เจ้าค่ะ”

“เปล่า ที่ถาม ไม่ได้หมายถึงแผลทางร่างกาย แผลทางจิตใจน่ะ ได้รับการรักษาบ้างไหม”
คำถามถัดมาทำเอาฟ้าใสแทบสะอึก แววตาวาวโรจน์ขึ้นมาลืมตัว แผลทางใจอะไร? ทำไมต้องรักษา?

“คนที่ขับรถชนน่ะ อภัยให้เขานะ ทำได้ไหม”

คำถามที่คนนอกฟัง เหมือนประติดประต่อกันได้อย่างแนบสนิท มีเพียงฟ้าใสเท่านั้นที่รู้ว่าแม่ชีไม่ได้พูดถึงอุบัติเหตุของรสา แต่เป็นอุบัติเหตุของเธอเองต่างหาก ตกลงแม่ชีอยากจะพูดอะไร? ฟ้าใสตะโกนก้องในใจ แต่ก็เก็บซ่อนอาการก้าวร้าวนั้นไว้อย่างมิดชิดด้วยการพยักหน้าช้าๆ

“ค่ะ”
หญิงสาวรับคำส่งๆ ทั้งที่ในใจต่อต้านเหลือกำลัง

“ศีลห้านะ รักษาไว้ ทำให้ได้อย่างน้อย ศีลห้าก็ยังดี”

นี่ถ้าคนที่อยู่ข้างๆ ไม่ใช่วินทร์ ขุมทองเดินได้ที่เธอต้องเกาะเอาไว้ให้มั่น ฟ้าใสอาจลุกไปบีบคอแม่ชีชราแล้วเค้นถาม ว่ารู้เห็นอะไร และอยากพูดอะไรกันแน่ แต่ที่นี่ และเวลานี้ เธอต้องรักษาภาพพจน์ของรสาที่แสนจะเรียบร้อยและอ่อนโยนเอาไว้ก่อน

“ค่ะ...คุณแม่”

ศีลห้ามีอะไรบ้างยังไม่แน่ใจว่าจะท่องได้ครบทุกข้อ หรือต่อให้รู้ ก็ไม่ได้สนใจจะรักษาเลยสักนิด ใช่ ไม่เห็นต้องสนใจ ปล่อยให้แม่ชีพูดพล่ามไปคนเดียวเถอะ ฟ้าใสไม่หันไปสบตาแม่ชีอีกต่อไป จากนั้นก็ปล่อยให้เชิดเป็นธุระในการถวายของทำบุญ ระหว่างนั้น หญิงสาวมีท่าทีกระสับกระส่ายอยู่ตลอดเวลา

“เป็นอะไรไปหรือเปล่าครับ”

วินทร์แตะไหล่ร่างบางและเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง คนถูกถามตอบเสียงเบาราวกับกำลังอ่อนแอเหลือกำลัง

“สารู้สึก... หายใจไม่สะดวกอย่างไรบอกไม่ถูกค่ะ ขอออกไปเดินเล่นข้างนอกได้ไหมคะ”

“ครับ เดี๋ยวผมพาไป ผมออกไปรอข้างนอกนะครับน้าเชิด”

ชายหนุ่มรีบกุลีกุจอเอาใจใส่ แต่ส่วนลึกก็รู้สึกเสียดายที่ไม่ได้อยู่สนทนากับแม่ชีให้นานกว่านี้

“กราบลาแม่ชีก่อนครับ”
“เจริญพร”

วินทร์ไหว้ลา ฟ้าใสไหว้ตาม แม่ชีกล่าวอำลาเบาๆ และลอบถอนใจ...

`•.,¸,.•*¯`•.,¸,.•*

ระหว่างทางที่พาตัวหญิงสาวออกไปเดินเลาะริมรั้วข้างกุฏิแม่ชีชรา มณฑาสีเหลืองอ่อนดอกหนึ่งร่วงมากระทบไหล่ชายหนุ่ม ดอกไม้ไร้ที่เกาะร่วงเปาะลงกับพื้น โดยไม่มีต้นสายปลายเหตุ วินทร์รู้สึกได้ถึงคลื่นความเศร้าโถมซัดเข้ากลางใจ จุกแน่นจนต้องหยุดเดิน

“อุ๊ย...”

ที่จริงฟ้าใสเดินด้วยตัวเองได้นานแล้ว แต่ยังคงทำกะปลกกะเปลี้ยเพื่อให้ได้รับความเอาใจใส่ พอชายหนุ่มหยุดเดินก็อาศัยจังหวะนั้นชนไหล่แล้วเซทรุด วินทร์ตั้งสติได้จึงรีบหันมาประคอง

“คุณวินทร์ก็... จู่ๆหยุดเดินทำไมคะ”
“ขอโทษครับ”

วินทร์ไม่รู้ว่าจะอธิบายความรู้สึกเมื่อครู่ที่ผ่านมาอย่างไร ได้แต่อ้ำอึ้ง นึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่มีดอกไม้ร่วงมากระทบไหล่ พอมองหา ฟ้าใสเดินเยื้องอยู่ทางด้านหลังตามมาก็เหยียบซ้ำ ดอกไม้กลีบบางถูกฝังจมลงพื้นดินร่วน

ทำไมต้องรู้สึกใจหายขนาดนี้ กับแค่ดอกไม้ดอกหนึ่งโดนเหยียบย่ำจนจมดิน...

วินทร์ตกอยู่ในภวังค์ของคนที่กำลังงุนงงสงสัย แทบไม่ได้ยินประโยคต่อมาที่หญิงสาวพูด

“แม่ชีคนนี้ดูแปลกๆนะคะ พูดจาเป็นปริศนามีเลศนัยยังไงก็ไม่รู้”
“ครับ... ว่าไงนะครับ”

“อะไรกัน คุณวินทร์ ดูไม่ค่อยสนใจที่สาพูดเลย วันหลังไม่ต้องพากันมาแล้วนะคะ มานั่งฟังแม่ชีบ่นอะไรก็ไม่รู้ น่าเบื่อชะมัด”

“เอ่อ...ขอโทษครับ ผมก็นึกว่าคุณเคารพนับถือและสนิทกับแม่ชี ก็วันนั้น ที่เรานัดไปเที่ยวสวนสนุกกัน แต่กลับมาเจอกันก่อนที่วัด ผมนั่งอยู่ในรถดีๆ คุณก็มาเคาะกระจกรถผมโครมๆ ให้พาคนโดนไฟฟ้าช้อตไปส่งโรงพยาบาล ก็มาพร้อมกับแม่ชีท่านนี้เองไม่ใช่หรือครับ”

“เอ้อ...”

ฟ้าใสนึกออกแค่รำไร เวลานั้นเธออยู่ในร่างของอนัลยานี ที่ยังตกอยู่ใต้อิทธิพลและสามัญสำนึกของเด็กสาวเต็มที่ เฉพาะเรื่องของตัวเอง ยังต้องรื้อฟื้นความทรงจำหนัก นับประสาอะไรกับเรื่องของรสา แล้วกัน นี่ยัยสาเที่ยวสนิทกับใครไปทั่ว ให้เธอต้องมาหาข้ออ้างแก้ต่างให้วุ่นวายอีก

“ไม่ค่ะ จริงๆ ก็ไม่สนิทหรอก แค่วันนั้นบังเอิญไปเจออุบัติเหตุพร้อมกันเท่านั้น”
“ครับ นั่นสิ ผมยังจำที่คุณบอกได้เลย ว่าถ้าเพื่อช่วยชีวิตคนแล้ว อะไรทำได้โดยไวที่สุด ก็จะรีบทำเดี๋ยวนั้น ผมยังแอบขำคุณเลยนะครับ คนอะไร...”

“คนอะไรคะ”

หญิงสาวหันมาถามเสียงอ้อน ดวงตาที่จ้องมองชายหนุ่มตรงหน้าดูวิบวับเป็นประกาย
เพิ่งเคยเห็นว่ารสาตาสวยขนาดนี้...

วินทร์มองตาคู่นั้นอย่างชื่นชม ถ้าไม่ติดว่าที่นี่เป็นบริเวณวัด เขาอาจอดใจไม่ได้ที่จะประคองร่างนั้นเข้ามากอดแนบอกแล้วจุมพิตที่ดวงตาสวยคู่นั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“คนน่ารักไงครับ สวย น่ารัก ใจดี ผมจะหาคนรักดีๆแบบนี้ได้ที่ไหนอีก”

หญิงสาวตรงหน้าแย้มยิ้มแล้ว รอยยิ้มของเธอมัดใจชายหนุ่มอย่างไม่เหลือช่องว่างให้เขาคิดถึงใครได้อีก

มณฑากลีบช้ำจมอยู่ในปลักดินร่วนสีดำ
ไม่ต่างอะไรกับสภาวะจิตของวิญญาณไร้ร่างในเวลานี้...



Create Date : 08 กันยายน 2554
Last Update : 8 กันยายน 2554 7:39:50 น. 1 comments
Counter : 613 Pageviews.

 
น่าสงสารรสานะ ฟ้าใสทำไมชั่วร้ายอย่างนี้ ใครกันล่ะที่จะมาเกลาจิตใจอันมือทำของฟ้าใสไห้กระจ่างใสเหมือนชื่อได้


โดย: VEE IP: 66.172.227.200 วันที่: 8 กันยายน 2554 เวลา:20:43:39 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รุริกะ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




users online
pageviews
Group Blog
 
<<
กันยายน 2554
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
8 กันยายน 2554
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add รุริกะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.