X. ความลับ


มันคือความฝันที่เกิดขึ้นซ้ำๆ....

รสาจำภาพเหตุการณ์นี้ได้ แต่ก็ไม่อาจสลัดตัวเองให้หลุดออกมาจากความฝัน เธอเปิดประตูบ้านที่เงียบเหงาและวังเวง บรรยากาศชวนหดหู่และขนลุก มีเสียงร้องไห้กระซิกอยู่ด้านใน หญิงสาวผลักประตูเข้าไปช้าๆและค่อยๆเดินไปตามทางเดิน แม่นั่งกอดเข่าจมน้ำตาอยู่หน้าห้องครัว รสาเดินเข้าไปประคองแม่อย่างสับสนและงุนงง

“แม่ แม่จ๋า เป็นอะไรคะ เกิดอะไรขึ้น”


“ฟ้า.... ฟังแม่ดีๆนะ”


“คะ”


หญิงสาวขานรับ กำลังจะบอกแม่ว่าเรียกชื่อของตนผิด แม่เงยหน้าขึ้นมามองเธอด้วยนัยน์ตาชุ่มโชก


“รสาตายแล้ว...”

ประโยคนั้นแผ่วเบาแต่เจ็บปวด ความหลังผลักเธอจนสะดุ้งและลืมตาตื่น


หรือบางที...คนที่ควรมีชีวิต ได้หายใจ ได้ดูแลแม่อยู่ในเวลานี้ควรเป็นฟ้าใส
หรือบางที...คนที่ควรตายไปจริงๆ น่าจะเป็นรสาอย่างที่แม่เข้าใจตั้งแต่แรก


สลัดคำถามและความฝันพร่ามัวแล้วค่อยๆ พินิจมองภาพตรงหน้า เม็ดสีมัวๆเรียงตัวกันเป็นสีเนื้อและสีขาว พยาบาลสาวรุ่นน้องนั่นเอง ที่กำลังดูแลเธออยู่ไม่ห่าง


“รู้สึกดีขึ้นหรือยังคะพี่สา”


ยัยจ๋านั่นเอง... รสาขยับตัวลุกนั่งและมองไปรอบๆ จึงรู้ตัวว่ามาอยู่ในห้องพักผู้ป่วยที่ยังว่างอยู่ ภายในห้องโล่งกว้างนี้ไม่มีใครนอกจากเธอสองคน

“เขาล่ะ”
รสาถามถึงนักข่าวคนนั้น

“เอ่อ... หมายถึงคนที่ อุ้ม พี่รสามาใช่ไหมคะ”
“อื้อ”


รู้สึกขัดๆกับประโยคของพยาบาลรุ่นน้อง แต่รสาก็ไม่คิดจะซักไซ้ไล่เรียง เพียงสำรวจเสื้อผ้าและเครื่องนุ่งห่มของตัวเองว่าอยู่ในสภาพปกติ และอยากรู้ว่าเขาทำอะไรในเวลาที่เธอหมดสติไปเท่านั้น

“เขาอุ้มพี่สาได้สบายเลย แล้วก็ผลักประตูห้องพักห้องนี้เข้ามา โชคดีที่เป็นห้องว่างพอดี พอวางพี่สาบนเตียงได้ ก็เดินไปเจอจ๋าที่เคาน์เตอร์ บอกให้มาดูแลพี่รสาเนี่ยค่ะ”

จามรีอธิบายโดยรวบรัด กระโดดข้ามเนื้อหาส่วนที่เล่าว่า พอชายหนุ่มโผล่หน้าเข้าไป พยาบาลอาวุโสทั้งหลายก็รีบกระวีกระวาดเข้าไปให้การต้อนรับ ทราบภายหลังว่าเป็นประธานบริษัทคนใหม่ ขณะที่จามรีกำลังก้มหน้างุดอยู่กับถาดยาผู้ป่วย เขาก็เอ่ยชื่อเธอออกมา

“ขอพบพยาบาลที่ชื่อจามรี ที่ฉีดยาผิดอัตราเร็วให้คนไข้หน่อยครับ”

“ขะ...คะ”

จามรีขานรับมือไม้สั่น เธอเพิ่งกลับมาขึ้นเวรในเวลาสี่โมงเย็น ได้รับรู้เหตุการณ์หลายอย่างผ่านการส่งเวรของเพื่อนพยาบาล ทำใจและเตรียมตัวถูกด่าโดยหัวหน้าฝ่ายการพยาบาลอยู่จนตกค่ำ ไม่นึกว่าเรื่องจะถึงหูประธานบริษัทคนใหม่ไวขนาดนี้

“ช่วยมาคุยกับผมหน่อยครับ ตอนนี้เลย”


ท่านประธานทำหน้าขึงขัง และลากเธอซึ่งเดินตัวลีบออกไปหาไปยังมุมอับซึ่งเป็นทางเดินไปยังห้องพักผู้ป่วย มาหยุดอยู่ตรงห้องพักที่รสานอนหมดสติอยู่ด้านใน


“อยากจะแก้ตัวเรื่องที่ทำผิดพลาดไหมครับ คุณจามรี”
“ค่ะ”



จามรีตอบรับด้วยใบหน้าแดงซ่านและเคลิ้มฝัน ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่และใบหน้าคมคายอยู่ใกล้แค่เอื้อม กำลังจะลงทัณฑ์เธอด้วยจุมพิตแสนหวานหรืออย่างไรหนอ


“คุณจามรีครับ ตั้งสติและฟังผมดีๆนะครับ ห้ามผิดบทเด็ดขาด”


ชายหนุ่มในฝันพูดพลางผลักประตูห้องพักผู้ป่วยให้เห็นรสาที่นอนหมดสติอยู่ด้านใน และออกคำสั่งอย่างจริงจังหลายประการ จามรียืนฟังด้วยสีหน้าที่ม่อยลงแต่ในท้ายที่สุดก็ยิ้มออกมาได้


“ยิ้มอะไรยัยจ๋า”


รสาสะกิดให้รู้สึกตัว ตายจริง นี่เธอเผลอคิดอะไรไปถึงไหนต่อไหน


“คะพี่สา ถึงไหนแล้วนะคะ”
“พี่ถามว่า ถ้าอย่างนั้นเขาก็คงกลับไปดีๆ ไม่มีอะไรแล้วใช่ไหม”


“ค่ะ เอ้อ ไม่ค่ะ”

“ตกลงจะยังไง”


“คือ เขากลับไปดีๆ ค่ะ แต่ก่อนกลับฝากบอกพี่สาประโยคนึง”


“เอ๋?”


“บอกว่า พรุ่งนี้บ่ายโมง เจอกันที่ดรีมเวิลด์ ให้พี่สาไปคนเดียวนะคะ ถ้าพี่สายอมไปเจอเขา แล้วเขาจะยอมทำตามพี่สาทุกอย่างเลย”


“ดรีมเวิลด์?”
รสาทวนคำเสียงสูง


“ค่ะ เขาบอกว่า พี่สาดูท่าทางจะเครียดไปหน่อย น่าจะไปเดินเล่นแถวสวนสนุกบ้าง”


“โอย...”
“โอยอะไรคะพี่สา ปวดตรงไหนหรือเปล่า”


“เปล่า พี่อุทานอย่างกลุ้มใจ ไม่ได้ปวดตรงไหน แล้วเราไม่กลุ้มใจบ้างเลยเหรอ”


แค่มองตาก็รู้ใจ รสาหมายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเช้า จามรีรีบทำหน้ากังวลใจให้เข้ากับเหตุการณ์


“โอ๊ย!! กลุ้มสิคะพี่สา จ๋ากลุ้มใจจะแย่แล้ว ถ้าพี่สาไม่ฟื้นขึ้นมา คงยิ่งแย่เข้าไปใหญ่”


“พอๆ โอเวอร์เกินไป เขาขู่กรรโชกอะไรเราบ้างไหมล่ะ”


“เขาไม่ให้บอกค่ะ แต่เรื่องทุกอย่างจะคลี่คลาย แค่ให้พี่สาไปเจอเขาที่ดรีมเวิร์ลเท่านั้น”


จามรีกำชับเสียงหนักแน่น...ขอร้องล่ะ พี่สาอย่าถามอะไรอีก เดี๋ยวความแตก...


“งั้นเรากลับไปทำงานเถอะ เดี๋ยวพี่ก็จะลุกไปหาอะไรกินแล้วกลับบ้าน”
“แล้วพี่สาจะไปไหมคะ”


จามรีถามด้วยสายตาอ้อนวอน ภารกิจจะเสร็จสิ้นก็ต่อเมื่อพยาบาลรุ่นพี่รับคำเท่านั้น ส่วนรสาตีความไปว่ายัยจ๋าคงกำลังตกอยู่ในภาวะคับขัน อาจถูกข่มขู่หรือถูกถ่ายภาพไป อย่างนี้ไม่เหลืออนาคตแน่ ถ้าภาพพร้อมชื่อและนามสกุลรุ่นน้องจะต้องไปปรากฏในข่าวใหญ่ของหนังสือพิมพ์อีกหลายฉบับ ว่าแต่นัดที่ไหนไม่นัด ตานักข่าวคนนี้ท่าทางจะเพี้ยนเอาการ แต่ก็คงต้องลองดูสักตั้ง


“ไปสิ ไม่ต้องกังวลน่า”


รสาบอกพยาบาลรุ่นน้อง และบอกตัวเองด้วย


`•.,¸,.•*¯`•.,¸,.•*



“พรุ่งนี้คุณวินทร์จะไปดรีมเวิลด์หรือครับ โอ...”


คนขับรถหันมาถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ตามด้วยอาการอมยิ้ม


“มีอะไรเหรอน้าเชิด ผมเห็นนะ ว่าน้าเชิดแอบอมยิ้ม”


“โธ่ ก็ถ้าคุณวินทร์อายุซักสิบขวบแล้วร้องว่าอยากไปเที่ยวสวนสนุก ผมจะรีบพาคุณวินทร์ไปแต่เช้าเลยครับ แต่นี่คุณวินทร์อายุตั้งสามสิบกว่าแล้ว แถมยังจะขับรถไปเองอีก ผมอมยิ้มเพราะแอบคิดว่าทำไมหนอ คุณผู้หญิงถึงได้ปล่อยให้คุณวินทร์เก็บกดมานานขนาดนี้”


คราวนี้นายน้อยของน้าเชิดหัวเราะขึ้นมาบ้าง


“แล้วกัน น้าเชิด ผมไม่ได้เก็บกดนะครับ...ก็แค่ลองหาที่นัดแปลกๆดู...”
“... กับเด็กสาวมัธยมหรือครับ”


เชิดสันนิษฐานตามสถานที่นัดพบ


“ไม่ใช่เลย น้าเชิด เค้าน่าจะอายุประมาณยี่สิบกว่าๆ แล้วล่ะ เป็นพยาบาลสาว ตอนแรกผมมองว่าสวยเลยแอบถ่ายรูป ต่อมาปรากฏว่าดุชะมัด”


“ดุเหมือนคุณผู้หญิงน่ะหรือครับ”


“ฮ่าๆ ประมาณนั้นแหละครับ บางทีเจ้าหล่อนมองผมเหมือนมองเด็กสิบขวบเสียด้วยซ้ำ ชอบทำตัวแก่กว่าวัย แถมเข้าใจผิดว่าผมเป็นนักข่าวแล้วจะมาทำเรื่องฟ้องโรงพยาบาลโน่นนี่นั่น คนอะไรจะเครียดได้ปานนั้น ผมเลยซ้อนแผน บังคับให้ไปสวนสนุกเสียเลย”


คนขับรถมีสมาธิกับการบังคับพวงมาลัย แต่ก็ให้ความสนใจกับเนื้อหาที่กำลังสนทนากับเจ้านายหนุ่ม


"เธอไม่รู้สินะครับ ว่าคุณวินทร์เป็นถึงประธานบริษัท ไม่อย่างนั้นคงไม่กล้าดุคุณวินทร์หรอกครับ"


"อืม แต่เขาเข้าใจผิดเองนะน้าเชิด ไว้เจอกันพรุ่งนี้ก่อน ผมจะบอกความจริงกับเขาเสียที"
"ดีครับ การโกหกถึงจะเป็นเรื่องเล็ก แต่ทำบ่อยเข้าก็ลุกลามจนกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้นะครับ"


"โธ่ น้าเชิดก็มาดุผมอีกคน"
“ครับ ขออภัยขอรับ"
คนขับรถเก่าแก่พูดพลางยิ้มพลาง ไม่ได้รู้สึกผิดจริงจังนัก คนฟังก็มิได้ถือสาแต่ประการใดเช่นกัน


"กลับเข้าประเด็นดีกว่าครับน้าเชิด บอกทางผมมาเสียดีๆ”


“ดรีมเวิลด์น่ะหรือครับ... อยู่แถวๆ รังสิตคลองสามครับ เอาอย่างนี้ดีกว่า คุณวินทร์ไปอยู่เมืองนอกมานาน ผมกลัวจะไม่คุ้นกับถนนเมืองไทย ผมขับรถพาคุณวินทร์ไปถึงรังสิตคลองสองแล้วปล่อยผมลงที่วัดริมคลองแถวนั้น คุณวินทร์จะได้ไม่ต้องขับรถต่อไปไกลมาก ส่วนถ้าคุณวินทร์จะไปต่อที่ไหน หรือจะเรียกให้ผมไปขับรถให้ตรงจุดไหน ผมก็นั่งแท็กซี่ไปรับ ดีไหมครับ”


“ดีครับ สมกับเป็นน้าเชิดจริงๆ รู้ใจผมทุกเรื่อง”
นายน้อยเอนกายพิงเบาะหลังรถอย่างสบายใจ ครู่หนึ่งจึงเปลี่ยนเรื่องไต่ถาม


“ว่าแต่น้าเชิดจะไปวัดไหนฮะ ไม่ใช่ผมไปเที่ยวกลับมา น้าเชิดจะหนีไปบวชเสียแล้ว”
มองผ่านกระจกตรงที่นั่งคนขับ นายน้อยอาจเห็นแววตาของบ่าวฉายแววสงบเย็นล้ำลึกแต่ก็แฝงไว้ด้วยความอาทร


“ยังหรอกครับ รอให้คุณวินทร์ของผมเป็นฝั่งเป็นฝาเสียก่อน”
สดับเสียงจริงจัง วินทร์จึงกลับมานั่งตัวตรงอีกครั้ง


“น้าเชิดพูดจริงๆ รึ”
“ขอรับ”


คนขับรับคำหนักแน่น ชายหนุ่มยิ้มพร้อมแววตาฉงน เดือนปีล่วงผ่าน อาจทำให้หลายสิ่งเปลี่ยนไป แต่ความเปลี่ยนแปลงที่น่าฉงนของคนขับรถเก่าแก่ที่บิดาเป็นผู้ชุบเลี้ยง คือจากชายฉกรรจ์ท่าทางขึงขัง ไม่พูดไม่จา กลายเป็นชายสูงวัยที่อ่อนน้อม มีชีวิตชีวา และเป็นธรรมชาติมากขึ้น ผู้เป็นบ่าวเหมือนจะรู้ว่านายมีข้อสงสัย จึงอธิบายให้โดยไม่ต้องไต่ถาม

“ตั้งแต่คุณวินทร์ไปเรียนเมืองนอก ผมก็มีเวลาว่างมากขึ้น มีอยู่วันหนึ่ง มีเทศกาลงานบุญอะไรสักอย่าง ผมไปเดินเล่นที่สนามหลวงแล้วได้ซีดีธรรมะมาแผ่นหนึ่ง เอาไว้เปิดฟังระหว่างขับรถไปรับนายผู้หญิง ฟังซ้ำๆ อยู่แผ่นเดียวอย่างนั้นแหละครับ หัวจิตหัวใจมันก็เริ่มเห็นความจริงของชีวิตมากขึ้น อยากเข้าวัดเข้าวาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา”

“มิน่าล่ะ คุณแม่ถึงได้บ่น ว่าน้าเชิดชอบชวนเข้าวัด คุณแม่ฉิวน่าดูเลย คงคิดว่าน้าเชิดหาว่าคุณแม่แก่ลงทุกวัน สมควรเข้าวัดเข้าวา ที่แท้เป็นเพราะน้าเชิดซึ้งถึงรสพระธรรมและอยากชักชวนคุณแม่เข้าวัดเองต่างหาก”

“ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ตอนส่งผมลงวัดที่คลองสอง คุณวินทร์จะลองแวะเข้าไปกราบพระด้วยกันก่อนไหมล่ะครับ”

คนถามเชิญชวนโดยมิได้บังคับ นายน้อยจึงขานรับอย่างอารมณ์ดี


“เอาสิน้าเชิด ผมว่าก็เข้าทีดีเหมือนกัน”


`•.,¸,.•*¯`•.,¸,.•*



บรรยากาศภายในวัดดูร่มรื่น ยิ่งเดินลึกเข้าไปด้านหลังก็เหมือนผู้เดินผลุบหายเข้าไปในอีกมิติหนึ่ง เสียงรถราที่วิ่งผ่านถนนหน้าวัดเริ่มเบาลง มีเสียงนกร้องจากบนต้นไม้ที่ขึ้นอยู่รกครึ้ม รสาเดินเลียบไปตามแนวกำแพงที่ทาสีเหลืองยาว ปรากฏช่องโพรงเรียงเป็นตับ บางช่องเป็นโพรงโล่ง บางช่องถูกปูนโบกทับ เพื่อบรรจุอัฐิหรือกระดูกผู้ตายอยู่ภายใน บางช่องมีแผ่นกระเบื้องสลักชื่อและรูปถ่ายผู้ตายปิดทับ หญิงสาวเดินไปสักพักก็ทรุดตัวลงนั่งที่มุมหนึ่ง พนมมืออธิษฐานในใจก่อนวางช่อดอกไม้ไว้บนแท่นหน้าช่องของกำแพงนั้น

เบื้องหน้าของหญิงสาวเป็นรูปของผู้ตายที่ปิดบนแผ่นกระเบื้อง หน้าตาหญิงสาวในรูปนั้นละม้ายคล้ายคลึงกับผู้มาวางดอกไม้ไม่มีผิดเพี้ยน รสามองดูรูปนั้นคล้ายมองภาพในกระจก บังเกิดความรู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมาแวบหนึ่งคล้ายมีเงาสะท้อนจากแววตาในรูปส่งยิ้มทักทาย หญิงสาวรีบถอนสายตาจากรูป จึงพบว่าอนัลยานีเองก็นั่งพนมมืออยู่ข้างๆ

“อะ แอนี่หรอกเหรอ...”

“ฮื่อ... พี่สาอยากให้เป็นใครล่ะคะ”


“จะเป็นใครก็ไม่อยากเจอทั้งนั้นแหละ นี่ในวัดนะ ยังตามมาได้อีก”
รสาบ่นอุบ

“ทำไมจะไม่ได้ล่ะคะ ในวัดนี่แหละ วิญญาณเต็มไปหมด พี่สาอยากเห็นไหมล่ะ มา...”

อนัลยานียื่นแขนเหยียดยาวอย่างเชื้อเชิญ รสาจินตนาการไม่ถูกว่าถ้าจับมือน้อยๆนี้แล้วเห็นบรรดาวิญญาณที่มีอยู่เต็มไปหมดอย่างที่คู่สนทนาพูดถึง คงจะหาทางหนีทีไล่ลำบาก เพราะเวลานี้ก็ถอยร่นจนมาติดกำแพงแล้ว

“ไม่เอาดีกว่า พี่ไม่ได้อยากรู้อยากเห็นขนาดนั้นนะ”
“ฮิฮิ”
เด็กสาวเห็นท่าทางตื่นๆของรสาแล้วยิ้มขัน

“ว่าแต่พวกเขาเป็นวิญญาณที่มาจากไหนกันล่ะ วนเวียนอยู่ในนี้ หรือมาจากที่อื่น”
รสาขยับตัวลุกขึ้นเดินออกจากกำแพงไปยังศาลาเล็กๆ ที่จัดไว้ให้ญาติโยมรอถวายภัตตาหารพระ ระหว่างเดินก็สื่อสารกับร่างล่องหนไปในใจ

“วนเวียนอยู่ในนี้ก็เยอะค่ะ พวกที่ญาติเอากระดูกมาฝากไว้ ให้วิญญาณเขาได้ฟังธรรมในวัดระหว่างที่รอไปผุดไปเกิด บ้างก็ไปเกิดเป็นเทวดาแล้วหาที่ฟังธรรมไม่ได้ ก็จำแลงกายลงมาทำบุญบ้าง ฟังธรรมบ้าง โน่นนี่นั่น”


“แปลว่าวิญญาณที่อยู่ในวัดก็เป็นวิญญาณดีๆทั้งนั้นสินะ”


“ฮืม ก็ไม่เชิงหรอกค่ะ เหมือนคนเรานี่แหละ คนที่เข้าวัดบางทีก็ไม่ใช่คนดีเสมอไป อย่างบางทีมีกุฏิร้างๆ วิญญาณฉวยโอกาสก็พากันไปนอนกลิ้งอยู่ตามกุฏิ พอมีพระเณรเถรชีเข้าไปอยู่ ถ้าใจไม่แข็งพอก็โดนวิญญาณพวกนี้หลอกให้ตกใจกลัวแผ่นแน่บกันอยู่บ่อยๆ”


“แปลกดีเหมือนกันนะ อันที่จริง อย่างวิญญาณของแอนี่ที่พี่เห็น ก็เป็นสสารที่ลอยไปลอยมาไม่ใช่เหรอ ไม่เห็นต้องมาแย่งที่อยู่กับคนเลย”

“วิญญาณบางพวก ก็ยังไม่ทิ้งนิสัยคนนี่คะ ยังอยากเป็นคน ยังอยากอยู่แบบคนอยู่”
“แอนี่ล่ะ ยังไม่อยากกลับร่างตัวเองอีกหรือ”


วกกลับมาคำถามแทงใจ เด็กสาวส่ายหน้า


“อยากไปเที่ยวดรีมเวิลด์กับพี่สาในร่างนี้ก่อน”
ฟังคำตอบนี้แล้วรสาถึงกับถอนหายใจ “เฮ้อ...”
แต่แล้วก็ใจอ่อน


“ก็ได้”

“ฮิฮิ ก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วนี่นา พี่สาสัญญาแล้วนี่”
อนัลยานียิ้มภูมิใจ

“แต่รออีกสักพักนะ พี่จะเข้าไปกราบพระและไปหาแม่ชีเสียหน่อย แอนี่ไปด้วยกันไหม”

คราวนี้เด็กสาวย่นจมูก

“ไม่เอาล่ะ แอนี่ไปรอข้างนอกก็ได้ แต่พี่รสาห้ามเบี้ยวนะ อีกครึ่งชั่วโมง ดรีมเวิลด์จะเปิดแล้ว”


“โธ่… เข้าประตูทีหลังชาวบ้านบ้างก็ได้ นัดตั้งบ่ายโมง”
“นั่นล่ะ แต่ถ้าไม่เตือนเสียก่อน พี่สาจะคุยกับแม่ชีนานเกินไป อย่าลืมว่าเค้ารออยู่นะ”


“อื้ม”

รสาพยักหน้ายิ้มให้ก่อนที่ร่างของอนัลยานีจะหายแวบไปโผล่หน้าประตูวัด เป็นเวลาเดียวกับที่รถซีดานขนาดกลางคันหนึ่งแล่นสวนเข้าไปจอดที่ลานจอดรถ



Create Date : 06 สิงหาคม 2554
Last Update : 6 สิงหาคม 2554 11:41:24 น. 1 comments
Counter : 615 Pageviews.

 








สวัสดีคาบ เข้ามาเยี่มชม มาทักทายกัน แวะไปทักทายกันบ้างนะคาบ


โดย: 2hackbestforyou วันที่: 6 สิงหาคม 2554 เวลา:11:49:41 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รุริกะ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




users online
pageviews
Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2554
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
6 สิงหาคม 2554
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add รุริกะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.