XIV. เปลี่ยนภพ


อรุณรุ่งของเช้าวันใหม่เริ่มมาเยือน พยับแดดแทรกซึมเข้ามาแทนที่ความมืดมิดของรัตติกาล นกกระจิบกระพือปีกออกจากรังไปหาอาหาร สรรพชีวิตเริ่มเคลื่อนไหว หลวงพ่อและพระภิกษุสามเณรออกไปบิณฑบาตพักใหญ่แล้ว แม่ชีเดินออกมาจากกุฏิเพื่อปฏิบัติภารกิจดูแลญาติโยมทำอาหารเช้า ฆราวาสที่มาปฏิบัติธรรมในวัดจัดเตรียมอาหารกันอย่างเงียบเชียบ บรรยากาศของวัดเป็นไปตามธรรมเนียมปฏิบัติที่สืบทอดกันมา สงบนิ่งแต่ไม่ซึมเซา เด็กวัดทำงานกันอย่างกระฉับกระเฉงและว่องไว สัมภาระที่ญาติโยมจัดเตรียมมาถูกเปลี่ยนถ่ายใส่ภาชนะของวัดเพื่อเตรียมถวายพระอย่างพิถีพิถันแต่ก็รวดเร็วทันใจ

โยมอุปัฏฐากคนหนึ่งเข้ามาแจ้งเหตุร้ายในคืนที่ผ่านมา เสียงเล่าลือถึงเหตุการณ์ดังกล่าวสร้างบรรยากาศมืดมนปนขวัญพองสยองเกล้าปกคลุมไปทั่วอาณาบริเวณ แม่ชีปลีกตัวออกมานั่งสมาธิรอทำวัตรในศาลา พอใจสงบ ความเจ็บปวดและทุกข์ระทมของดวงวิญญาณผู้ประสบเคราะห์กรรม ก็กลายเป็นคลื่นพลังงานผ่านมากระทบ บาทฐานแห่งความเมตตาดลใจให้แม่ชีวัยชราหวนนึกถึงหญิงสาวที่น่าสงสารคนหนึ่ง อ่อนหวาน อ่อนโยน แต่ลึกๆในใจมีปมที่ปิดกั้นตัวเองแน่นหนา บัดนี้กลายเป็นวิญญาณหลุดจากร่างแต่แล้วยังถูกขังอยู่ในความมืด

‘แม่หนู...ยังไม่ถึงที่ตายนี่...’

แม่ชีกำหนดสมาธิลึกลงไปอีกชั้นเพื่อหาหนทางช่วยเหลือ แต่ก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงประตูอุโบสถขยับเลื่อน เหล่าญาติโยมเข้ามานั่งรอถวายภัตตาหาร ต่างยกมือก้มประนมกราบเมื่อเห็นเจ้าอาวาสเดินเข้ามากราบพระประธาน พระภิกษุและสามเณรกราบพระรัตนตรัยและกราบหลวงพ่อผู้เป็นเจ้าอาวาสก่อนเข้านั่งอาสนะ แม่ชีพนมมือแล้วกราบพระก่อนหันไปตั้งใจกับพิธีสงฆ์ บทสวดมนต์เริ่มต้นเสียงดังกังวาน

กระแสสว่าง สงบ และร่าเริงในธรรมมิได้จำกัดขอบเขตอยู่แต่ในวัด หากแต่แผ่ปกคลุมไปยังมวลหมู่สรรพสัตว์ที่กำลังทุกข์ทน เพียงขอให้เปิดใจรับ...

`•.,¸,.•*¯`•.,¸,.•*

เวลาล่วงผ่านนานเท่าใดไม่รู้ได้ ที่รสานอนซมซุกอยู่ในความมืดมนอนันธการ แสงสว่างตรงทางออกหายไปตั้งแต่แอนี่เดินจากไปแล้วหายลับ หลับตาแล้วลืมตาขึ้นมาครั้งใดก็ตกอยู่ในความมืดอยู่เช่นนั้น หญิงสาวสะอื้นไห้จนน้ำตาเหือดแห้ง เฝ้าแต่เรียกหา

‘พ่อจ๋า...แม่จ๋า’

เวลาไร้ที่พึ่งทุกคนเรียกหาบุพการีเป็นอันดับแรก...แต่ก็ไร้สัญญาณตอบรับ...

‘เดินทางปลอดภัย ถ้าเกิดอะไรขึ้นก็ขอให้คุณพระคุ้มครองนะลูก’

คำอำนวยอวยพรของแม่ชีแว่วมาในมโนสำนึก รสาหยุดร้องไห้แล้วพยุงตัวเองขึ้นนั่งอีกครั้งหนึ่ง ในความมืดมนที่ไม่รู้ทิศเหนือใต้ จึงทำได้เพียงหมายใจเอาว่าเบื้องหน้าเป็นพระประธานในวัดที่เธอเข้าไปกราบในเช้าวันเกิดเหตุ เก็บขาในท่านั่งเทพธิดาแล้วประนมมืออย่างเรียบร้อยที่สุด

ดีกว่าเอาแต่ร้องไห้...
ดีกว่าไม่ได้ทำอะไร...

และคงดีแม้นี่จะเป็นการสวดมนต์ครั้งสุดท้าย ก่อนดวงวิญญาณที่ทุกข์ทนดวงหนึ่งจะดับสลาย ก็ขอน้อมถวายดวงวิญญาณนี้ให้กับพระรัตนตรัยอันเป็นที่พึ่ง

อธิษฐานก่อนสวดแล้วก้มลงกราบสามครั้ง พยางค์แรกๆหญิงสาวออกเสียงสั่นเครือ แต่ไม่ช้านานนัก ใจก็รวมเข้าไปอยู่ในความสงบ

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

รสาเริ่มต้นสวดมนต์อย่างคนที่รู้คำแปล

ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น…

บทสวดหลังจากนั้นจึงเป็นบทไตรสรณคมณ์ที่สอดรับกับคำอธิษฐานก่อนสวด

พุทธัง สรณัง คัจฉามิ
...ข้าพเจ้าขอถึงซึ่งพระพุทธเจ้าว่าเป็นสรณะ ที่พึ่ง ที่อาศัย

ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ
...ข้าพเจ้าขอถึงซึ่งพระธรรมเจ้าว่าเป็นสรณะ ที่พึ่ง ที่อาศัย

สังฆัง สรณัง คัจฉามิ
…ข้าพเจ้า ขอถึง ซึ่งพระสงฆเจ้า ว่าเป็นสรณะ ที่พึ่ง ที่อาศัย

ทุติยัมปิ พุทธัง สรณัง คัจฉามิ
...ข้าพเจ้าขอถึงซึ่งพระพุทธเจ้าว่าเป็นสรณะ ที่พึ่ง ที่อาศัย แม้ครั้งที่สอง

ทุติยัมปิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ
...ข้าพเจ้าขอถึงซึ่งพระธรรมเจ้าว่าเป็นสรณะ ที่พึ่ง ที่อาศัย แม้ครั้งที่สอง

ทุติยัมปิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ
...ข้าพเจ้าขอถึงซึ่งพระสงฆเจ้าว่าเป็นสรณะ ที่พึ่ง ที่อาศัย แม้ครั้งที่สอง

ตะติยัมปิ พุทธัง สรณัง คัจฉามิ
...ข้าพเจ้าขอถึงซึ่งพระพุทธเจ้าว่าเป็นสรณะ ที่พึ่ง ที่อาศัย แม้ครั้งที่สาม

ตะติยัมปิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ
...ข้าพเจ้าขอถึงซึ่งพระธรรมเจ้าว่าเป็นสรณะ ที่พึ่ง ที่อาศัย แม้ครั้งที่สาม

ตะติยัมปิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ
...ข้าพเจ้าขอถึงซึ่งพระธรรมเจ้า ว่าเป็นสรณะ ที่พึ่ง ที่อาศัย แม้ครั้งที่สาม

หญิงสาวจรดหว่างคิ้วกับหัวแม่มือแล้วก้มลงกราบครั้งสุดท้ายก่อนยันกายขึ้นมาตั้งตรง ขณะที่หลับตาสวดมนต์อย่างตั้งใจอยู่นั้นไม่อาจรับรู้ความเปลี่ยนแปลงรอบตัว ทันใดนั้นหูพลันได้ยินเสียงสวดประสาน แสงสว่างของอรุณรุ่งทอทาบผ่านม่านตา รสาค่อยๆลืมตาขึ้นแล้วต้องประหลาดใจว่า ห้องขังที่คับแคบและมืดมิดพังพิลาปไปเสียสิ้น บัดนี้เธอมานั่งอยู่ด้านหลังของอุโบสถสงบสะอาด มีพระ แม่ชี และฆราวาสกำลังสวดมนต์บทเดียวกันอยู่อย่างพร้อมเพรียง อุโบสถนี้คุ้นตาด้วยแม่พาเธอมาตั้งแต่เล็กและเป็นสถานที่ทำพิธีให้กับทุกคนในครอบครัวที่จากไป...

ผู้นำสวดตั้งต้นอาราธนาศีล แม่ชีที่นั่งอยู่ด้านหน้าขยับตัวหันหลังมาครั้งหนึ่ง อุบาสิกาชรายิ้มน้อยๆเหมือนจะทักทายและเชื้อเชิญให้ดวงวิญญาณที่เข้ามาใหม่สวดต่อให้เสร็จพิธีเสียก่อน

`•.,¸,.•*¯`•.,¸,.•*


“โยมเชิด รบกวนมานั่งเป็นเพื่อนอาตมาก่อนได้ไหม”

เจ้าอาวาสเรียกขานด้วยน้ำเสียงปรานี เมื่อพระอุปัฏฐากและพระลูกวัดกราบลาไปปฏิบัติภารกิจส่วนตัวของแต่ละรูป เชิดอยู่ช่วยเก็บข้าวของที่โยมนำมาถวายจนเสร็จเรียบร้อยและตั้งใจลากลับ พอดีกับที่แม่ชีวัยชราเข้ามาขอโอกาสพูดคุยกับเจ้าอาวาส พระภิกษุชราคร้านจะเรียกพระอุปัฏฐากกลับมานั่งเฝ้าให้เสียการเสียงานจึงออกปากไหว้วานเชิด

“ขอรับ ได้ครับหลวงพ่อ”

เชิดพนมมือรับคำด้วยรู้วินัยสงฆ์ ว่าพระจะไม่สามารถสนทนาเพียงลำพังกับอิสตรี เว้นแต่มีบุรุษที่สามที่เป็นเพศชายนั่งอยู่ด้วย ตนจึงคลานเข่าเข้าไปนั่งใกล้หลวงพ่อเพื่อเป็นตัวกั้นกลาง

“มีอะไรรึแม่ชีน้อย”

เชิดหันไปมองตามผู้ถูกเรียก หลวงพ่อวัย 60 พรรษา เรียกขานแม่ชีชราอายุราว 50 ปีกว่าๆ เหมือนพี่ชายเรียกน้องสาววัยสิบขวบ แม่ชีเองก็ประนมมือตอบอย่างน่าเอ็นดู

“อิฉันขออนุญาต ขอโอกาสหลวงพ่อเจ้าค่ะ ขอพาคนๆนึงเข้ามาอยู่ด้วยที่วัดนี้เจ้าค่ะ”

“ไหนรึ”
“เอ่อ...”

แม่ชีอึกอัก ด้วยเห็นเชิดเป็นคนนอก ได้แต่ก้มหน้าและเสมองไปทางขวา รสาอยู่ข้างแม่ชี ก้มลงกราบแล้วประนมมือมองเจ้าอาวาส น้ำตายังคลอตา

“เอาล่ะ ไม่ต้องบอก อาตมาเห็นแล้วล่ะ น่าสงสารเหมือนกันนะ แม่หนูนี่”

เชิดหันไปมองหาบ้าง ก็เห็นแต่ความว่างเปล่า เข้าใจว่าอาจจะเป็นลูกหลานของแม่ชีที่นั่งรออยู่ด้านนอก พอหันกลับไปดูหลวงพ่อเพื่อจะกวาดสายตาตามว่าท่านมองไปทางทิศไหน หลวงพ่อก็หลับตานิ่ง...นาน ก่อนจะลืมตาแล้วถอนหายใจ

“ปล่อยไว้นานไม่ได้นะ ตอนวิญญาณออกจากร่าง โทสะจากความกลัวกับความเจ็บปวดของร่างกายมันแรงมาก จิตเลยไปสร้างกรงขังตัวเองขึ้นมา ถ้าอยู่เฉยๆ สักพักจิตก็จะกลับเข้าไปอยู่ในภพนั้นอีก”

“ถ้าปล่อยไว้นานๆ จะเป็นอย่างไรหรือเจ้าคะ”
แม่ชีถามแทนให้

“จะมองหาแสงสว่าง แล้วไปเกิดใหม่ในร่างอื่นแทน”

รสารีบส่ายหน้า จะไปเกิดใหม่ได้อย่างไร แล้วใครจะดูแลแม่ ฝ่ายเชิดเริ่มเกาหัวแกรก พยายามปะติดปะต่อเรื่องราวจากบทสนทนา ค้นหาด้วยตาไม่ได้ก็คงต้องใช้จินตนาการ

“ชีน้อย เอาเป็นว่าอาตมาอนุญาตให้เอามาดูแลสักพักนึงก่อน แม่หนูมันไม่มีร่าง จะให้ทำสมาธิก็ลำบาก เหลือแต่จิตก็ให้ดูที่จิต ให้มันมีสติมีกำลังขึ้นมาค่อยหาทางเข้าร่าง พอไหวไหม”

รสายังส่ายหน้า แต่แม่ชีรับคำและเริ่มกราบลาแล้ว ฝ่ายหลวงพ่อก็หันไปหาโยมเชิด

“อย่าสงสัยไปเลยเชิด ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง ภาวนาไป”
“ขอรับ”

ชายชราก็รับคำหลวงพ่ออย่างว่าง่าย และเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับการปฏิบัติอื่นๆ แม่ชีกราบลาเป็นคำรบสาม รสาต้องรีบไหว้ตามประหลกๆ แล้วคลานเข่าตามแม่ชีออกมาด้านนอกศาลา

หญิงสาวยกมือบังแสงอาทิตย์จ้าที่สาดส่องเข้ามา ก็ยิ่งเห็นแขนและมือตัวเองพร่าเลือนลงไปอีก...

`•.,¸,.•*¯`•.,¸,.•*

ฟ้าใสรับแก้วน้ำจากผู้ช่วยพยาบาลที่นำยามาให้ หญิงสาวในชุดผู้ป่วยลุกขึ้นนั่งได้แล้ว แพทย์จึงสั่งให้เปลี่ยนจากยาฉีดมาเป็นยารับประทาน ฟ้าใสจิบน้ำลงไปอึกหนึ่ง เหลือบตามองเม็ดยาสีเหลืองแล้วส่ายหน้า

“เม็ดนี้ใช่ไดเมน* หรือเปล่า”
“ใช่ค่ะพี่สา”

“เอาไปทิ้งไป”

ฟ้าใสขัดเคืองใจอย่างไรบอกไม่ถูก

“เอ๋ ทำไมล่ะคะ”
“ก็ฉัน เอ่อ พี่ไม่ได้เวียนหัวแล้ว แล้วตอนนี้ก็ยังไม่อยากทานยาที่มันง่วง”

อุตส่าห์ตื่นมาพร้อมร่างกายสมประกอบแล้ว ร่างนี้ต้องเป็นของฉันคนเดียวเท่านั้น ฟ้าใสนึกอยู่ในใจโดยไม่ปริปากเอ่ย

“แต่…”
ผู้ช่วยพยาบาลยังลังเล ฟ้าใสถอนใจแรง

“อือๆ วางไว้แล้วไปไหนก็ไปปะ”
“ค่ะพี่”

ผู้ช่วยพยาบาลถอยหลังจากไปอย่างว่าง่าย

“เดี๋ยว”

ฟ้าใสเรียกไม่มีหางเสียง แต่ผู้ช่วยพยาบาลคนเดิมก็หันกลับมาด้วยความเต็มใจ

"พี่เปลี่ยนใจล่ะ มานี่ก่อน"
“ค่ะ พี่สามีอะไรให้ครีมช่วยอีกไหมคะ”

“เปลี่ยนน้ำให้หน่อยสิ พี่อยากดื่มน้ำเย็น”

น้ำเสียงและท่าทีนั้นกึ่งอ้อนและแฝงคำสั่ง ... ท่าทางไม่เหมือนพี่รสาที่คุ้นตาเลยสักนิด

‘อารมณ์คนป่วยน่า...พอหายแล้วก็กลายเป็นพี่สาคนเดิมนั่นแหละ’

ครีมบอกตัวเองในใจ

“ค่ะพี่”

ผู้ช่วยพยาบาลสาวรับแก้วน้ำใบเก่าไปเททิ้งที่อ่างแล้วเปิดตู้เย็นเพื่อรินน้ำเย็นแก้วใหม่ไปวางข้างเตียง คนป่วยรับไปจิบแล้วถามต่อ

"นี่พี่สลบไปกี่วัน"

"สามวันค่ะพี่สา วันแรกพี่สาเสียเลือดมาก แล้วเลือดกรุ๊ปเดียวกับพี่สาก็หายากมาก โชคดีที่พี่สาเคยบริจาคเลือดตัวเองเอาไว้และยังมีเก็บอยู่ในธนาคารเลือด มีหมอไตรคอยดูแลการผ่าตัดและเย็บแผลให้พี่สาทั้งวันทั้งคืนเลยค่ะ"

"หมอไตร...?"

"ค่ะ เธอคงจะรู้สึกผิดมากนะคะ ที่ เอ่อ... ขับรถชนพี่สา"
"อ้อ..."

หญิงสาวพยักหน้าเฉยๆ ประกายตาวับวาวแต่ไม่ออกความเห็นใดๆ

"ถึงค่ารักษาจะเบิกได้ตามสิทธิพนักงาน แต่ค่าใช้จ่ายส่วนเกินก็มากเอาการอยู่นะคะ คุณหมอไตรรับผิดชอบให้ทั้งหมด และยังจ้างพยาบาลคอยดูแลคุณแม่ของพี่สาให้ด้วย"

"มันก็ต้องเป็นอย่างนั้น"

คนพูดเบ้ปากและยักไหล่ ครีมเอียงคอมองอย่างสงสัย นี่ก็คำพูดและอากัปกิริยาของรสาที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน

"แล้วพี่สา... จะแจ้งความหรือเรียกค่าทำขวัญอะไรเพิ่มอีกไหมคะ"
เหมือนคนถูกถามจะจับสายตาสงสัยของเธอได้ หญิงสาวหัวเราะรื่น

"ไม่หรอกน่า โธ่..."

'เป็นพระคุณเสียด้วยซ้ำ'
ฟ้าใสนึกในใจแต่ไม่ได้พูดออกมา

"มันเป็นอุบัติเหตุน่ะ พี่เข้าใจ"
นี่เป็นไร น้ำเสียงนุ่มนวล อบอุ่น และอ่อนโยนตามแบบฉบับของรสา

"เราก็ไปพักเถอะ คงเหนื่อยเหมือนกันสิ ขอบใจนะที่คอยดูแลตอนพี่ยังไม่ฟื้น"
พี่สาวคนดีกลับมาแล้ว ครีมยิ้มอย่างปลื้มใจ

"ค่ะ"

"แต่เดี๋ยวพี่วานอะไรหน่อยได้ไหม"

"ค่ะ พี่สาบอกมาเลย ครีมยินดีทำให้ค่ะ"

"นี่ห้องวีไอพีใช่ไหม พี่อยากใช้อินเตอร์เน็ตหาอะไรบางอย่าง เราช่วยยืมโน้ตบุ๊คที่เชื่อมสัญญาณอินเตอร์เน็ตได้มาให้พี่ทีสิ"

"ได้ค่ะพี่สา เดี๋ยวครีมบอกฝ่ายไอทีให้นะคะ"

"อื้ม ขอบใจนะ"

ฟ้าใสโปรยยิ้มหวาน เพียงไม่นานอุปกรณ์ที่ต้องการก็มาถึง สิ่งที่เธอต้องการหาคือข้อมูลสถานที่ทำงาน รายชื่อผู้บริหาร และเนื้องานต่างๆที่รสาเคยทำมาก่อนหน้า ฟ้าใสต้องเรียกมันขึ้นมาเพื่อสวมบทบาทพี่สาวฝาแฝดของตนอย่างไม่ให้มีผิดตกบกพร่อง
หญิงสาวงีบหลับบ้างแต่ก็รีบตื่นเป็นระยะ ทุกครั้งที่ตื่นมาต้องรีบสำรวจแขนขาว่ายังอยู่ครบ ทำอยู่ซ้ำๆจนกระทั่งมั่นใจว่าร่างนี้ไม่ใช่ของใครอื่น ในยามพักผ่อนอย่างสบายใจก็หวนนึกไปถึงรสาตอนที่ถูกรถชนจนกลับเข้าร่างไม่ได้ ป่านนี้จะอยู่ในสภาพไหน ถึงจะนึกสลดปนสังเวชใจอยู่บ้าง แต่ก็ช่างซิ! อย่างดีก็หมดเคราะห์หมดกรรมไป ไว้สบโอกาสจะทำบุญกรวดน้ำให้

แต่อย่าหวังว่าจะได้กลับมาในร่างนี้อีก!


`•.,¸,.•*¯`•.,¸,.•*


“เอ้า มาทางนี้สิมา”


แม่ชีกวักมือเรียกตรงใต้ต้นมณฑาริมกุฏิ มณฑาต้นนี้มีลำต้นไม่ใหญ่ไม่เล็กแต่แผ่กิ่งก้านและใบปกคลุมค่อนข้างครึ้ม ร่มเงามีแสงแดดส่องลอดลงมาตามซอกใบ รสาเดินตามเข้าไปหลบในร่มเงาไม้นั้นจึงเห็นว่าแม่ชีถือแก้วน้ำมาด้วยแก้วหนึ่ง นางย่อตัวลงนั่งแล้วพึมพำ กล่าวคำบาลีกังวานแว่ว

“..อิทังเม..ญาตินัง โหตุ สุขิตาโหนตุ ญาตะโย...”

ทันใดนั้น เหมือนน้ำค้างจากปลายใบรูปหอกของต้นมณฑาร่วงพรมลงสู่พื้นดิน น้ำค้างนี้คล้ายฝนโปรยปรายลงมาแล้วไม่ทะลุผ่านร่างของเธอเหมือนวัตถุอื่นๆ หญิงสาวเอามือรองแล้วกรอกใส่ปากดื่ม ชื่นใจที่สุด ข้ามคืนพ้นวันเหมือนนานข้ามปี อาการกระหายน้ำทำให้หมดความอาย รสาเอื้อมคว้าใบไม้ที่ยังมีน้ำค้างติดตรงปลายใบ อ้าปากรอน้ำค้างไหลรวมกันแล้วเทเข้าปาก พอหยดน้ำนั้นตกลงคอ วิญญาณหิวโซไม่ปล่อยให้น้ำค้างหยดน้ำผ่านหลอดอาหารลงไปง่ายๆ เธอค่อยๆกลืนลงคออย่างจะให้อณูของน้ำแทรกซึมให้ถึงทุกส่วนของร่างกาย แล้วมองหาใบไม้ใบใหม่

แม่ชีหันไปมองอาการนั้นอย่างเวทนา ก่อนจะคว้ากะละมังที่รองน้ำไว้ล้างเท้าริมกุฏิเทราดลงต้นไม้ วิญญาณสาวเหมือนโดนสาดน้ำเข้าไปเต็มหน้า ออกอาการสำลัก ผมเปียกโชก

“แค่ก...”

รสาลูบหน้าและผมเผ้า พอโดนน้ำทั้งกะละมังเทราดค่อยรับรู้ถึงอาการหนาวเหน็บ วิญญาณสาวห่อไหล่ตัวสั่น

“ยังไม่ใช่เปรต อย่าเพิ่งทำตัวเป็นเปรตแย่งส่วนบุญ”
วิญญาณสาวสะอึก แม่ชีค่อยผ่อนเสียง เอ่ยเรียบเจือเมตตา

“จะแย่งของคนอื่นทำไม ผลบุญที่ตัวเองทำมาก็เป็นกุศลให้หายหิวได้ทั้งชาติ”
รสายังนิ่งงัน ไม่เข้าใจ แม่ชีชรานิ่งนึกแล้วเอ่ยขึ้นมาใหม่

“มโนปุพพังคมา ธัมมา มโนมยา มโนเสฏฐา เคยได้ยินไหม”

“ไม่เคยค่ะ แปลว่าอะไรคะ”

หญิงสาวส่ายหน้า ตอบตามความจริงแล้วถามเสียงค่อย

“แปลว่าใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ทุกสิ่งสำเร็จด้วยใจ ในบรรดาสิ่งต่างๆที่มีอยู่ในโลกนี้ พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ว่าไม่มีอะไรจะสำคัญเท่ากับใจ ถ้าวางใจผิด คิดว่าตัวเองอับจนหมดหนทาง กลายเป็นวิญญาณเร่ร่อน ก็ไม่ต่างจากเปรต จากเดรัจฉาน แต่ถ้าคิดถึงผลบุญที่หนุนนำ จะกลายเป็นนางฟ้านางสวรรค์ก็ง่ายนิดเดียว”

รสาพยักหน้า ฟังแล้วเหมือนจะเข้าใจอะไรมากขึ้น

“ไม่มีกายให้อาศัย ทำไมถึงยังหิว เพราะรู้สึกว่าไม่อิ่มใช่ไหม อิ่มทิพย์เป็นอย่างไร ให้ลองนึกถึงข้าวของที่เคยใส่บาตรทำบุญดูซิ”

รสาฟังคำชี้แนะแล้วนึกถึงอาหารคาวหวานที่ทำมาถวายพระเมื่อหลายวันก่อน นึกถึงอาหารที่หุงหาใส่ตู้กับข้าวไว้ให้แม่ อาการอ่อนระโหยโรยแรงค่อยหมดไป เหมือนมีเรี่ยวแรงและกำลังในการเดินเหินได้อีกครั้งหนึ่ง ไม่แต่เพียงเท่านั้น ปีติที่บังเกิดจากการฟังธรรม ยังให้เกิดแสงสว่างเรืองรองอยู่รอบกาย เสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวมใส่และเนื้อตัวในเวลานี้ ก็กลับมาดูสะอาดสะอ้านขึ้น

“นั่นล่ะ ต่อไปจะได้ไม่ต้องไปหาเศษหาเลยจากส่วนบุญของคนอื่นอีก ทีนี้ก็ อาศัยอยู่ในต้นมณฑานี้ไปพลาง ได้ยินเสียงทำวัตรก็ลุกมาทำวัตรสวดมนต์ แม่ชีนั่งสมาธิเดินจงกรมเสร็จจะมาสอนเจริญสติ ทำกรรมฐาน เข้าใจไหม”

รสามองต้นมณฑาแล้วเบ้ปากแต่ไม่กล้าอุทธรณ์

“แม่ชีก็ปลูกต้นไม้ไว้ไม่มาก มณฑานี้ถือว่าใกล้กุฏิที่สุด ที่เหลือก็ต้นกล้วยตานีหลังวัด จะลองไปดูไหม”

“มะ ไม่ค่ะ”

แม่ชีชราผู้นี้ เมื่ออยู่ใกล้ เธอสัมผัสได้ถึงความเมตตาหนึ่ง ความใจร้ายเหมือนครูไหวอีกหนึ่ง หญิงสาวก้มหน้ารับคำโดยดุษฎี แม่ชีก็ให้การบ้านก่อนทิ้งเธอเอาไว้ใต้ต้นไม้แล้วขึ้นกุฏิไปโดยไม่เปิดโอกาสให้ซักถามต่อ

“ดูจิตดูใจตัวเองไปนะ”
“ขะ... ค่ะ”

รสารับคำอย่างไม่เข้าใจนัก ได้แต่ก้มหน้ารับ เวลานี้เธอไม่ต่างจากลูกหมาที่แม่ชีชราลากขึ้นมาจากน้ำ สิ่งที่ได้รับการเมตตาเกื้อหนุนเจือจุนให้นั้น ดีกว่ากรงขังที่เธอตื่นมาพบครั้งแรกไม่รู้กี่ร้อยกี่พันเท่า ใจหนึ่งประหวัดคิดถึงเหตุการณ์ก่อนวิญญาณจะหลุดออกจากร่าง ความมืดดำก็เข้ามาครอบงำจิตใจใหม่ รสาสลัดความคิดนั้นทิ้งไป เธอไม่อยากกลับเข้าไปในกรงขังอีก

หญิงสาวตัดใจเอนหลังพิงต้นมณฑารอให้ถึงเวลาทำวัตรเย็น เฝ้าวนเวียนค้นคว้าหา ‘จิต’ หรือ ‘ใจ’ ที่แม่ชีสั่งให้ดูอยู่ตั้งแต่หลังเพลจนเย็นย่ำ...



Create Date : 31 สิงหาคม 2554
Last Update : 9 กันยายน 2554 12:30:32 น. 4 comments
Counter : 721 Pageviews.

 
นอกจากได้ความบรรเทิงได้ความรู้ทางพุทธศาสนา ขอบคุณค่ะ


โดย: knan IP: 223.204.43.116 วันที่: 10 กันยายน 2554 เวลา:13:15:46 น.  

 
อืมม์
แปลกๆดีครับ บล็อก
เหมือนกระทู้ลอยอยู่กลางอากาศ
ส่วนประกอบอื่นๆ หายหมดเลยครับ


โดย: GTW IP: 58.8.120.173 วันที่: 2 ตุลาคม 2554 เวลา:6:04:40 น.  

 
กลับมามีส่วนประกอบแล้วค่ะ ^___^'


โดย: รุริกะ วันที่: 4 ตุลาคม 2554 เวลา:16:13:50 น.  

 
กำลังสนุกค่ะ (เข้าทางชอบแนวนี้พอดี)ขอบคุณค่ะ


โดย: cat__a IP: 115.87.116.98 วันที่: 23 สิงหาคม 2555 เวลา:15:11:17 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รุริกะ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




users online
pageviews
Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2554
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
31 สิงหาคม 2554
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add รุริกะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.