พราวตะวัน...โรมานซ์สตอรี่
Group Blog
 
 
กุมภาพันธ์ 2554
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728 
 
9 กุมภาพันธ์ 2554
 
All Blogs
 
ด มิ ศ ร า ย อ ด รั ก บ ท ที่ 1

“ตายุรึ...เข้ามาหาย่าหน่อยซิ”

คนที่เพิ่งก้าวเข้าไปในเรือนไทยหลังเล็กชะงักฝีเท้าเล็กน้อยก่อนจะหันไปยังต้นเสียง ภาพที่เห็นคือร่างผอมของย่าดวงดาวนั่งถักครอสติชอยู่บนเก้าอี้หวาย ส่วนข้างๆนั้นคือชายหนุ่มร่างสูงกำยำผิวคล้ำ ตรงข้ามกับเขาอย่าสิ้นเชิง


“อ้าว...ไอ้วี มาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ?” ชฎายุถามพลางทรุดนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับอีกฝ่าย เขาจัดได้ว่าเป็นชายรูปร่างสูง หากก็ผอมบาง ดูเจ้าสำอางค์ อีกทั้งผิวอันขาวจัดยังช่วยขับให้วงหน้าเรียวแลดูละม้ายหญิงสาวมากกว่าชายชาตรี ผิดกับคนที่นั่งหลังตรง อกผึ่งผายอยู่ฝั่งตรงข้ามนัก

ชนวีร์นั้นจัดได้ว่าเป็นชายหนุ่มร่างใหญ่บึกบึนสมดั่งชายชาติอาชาไนย ผิวที่ค่อนข้างคล้ำขับให้รูปหน้าไข่ดูดุดันมากขึ้น กอปรกับดวงตาลึกคมปลาบสีดำสนิทคู่นั้นแล้ว ชฎายุอดคิดไม่ได้ว่าลูกพี่ลูกน้องของเขาคนนี้ช่างเต็มไปด้วยเสน่ห์แห่งบุรุษเพศมากมายกว่าหลายเท่า

“มาได้พักใหญ่แล้ว มาธุระที่กรุงเทพนิดหน่อย เลยแวะมา” เสียงของเขาห้าวกระด้าง ค่อนข้างห้วน “ว่าแต่...นายไม่อยากไปพักผ่อนที่ไร่เราบ้างหรือ เห็นทำงานหนักมาเกือบปีไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหนเลยนี่หว่า”

“อันที่จริง งานที่โรงแรมก็ไม่มีอะไรแล้ว ไปพักผ่อนซะบ้างก็ดีนะตายุ” คำแนะนำของหญิงสูงวัยชวนให้เขาครุ่นคิด ก่อนจะยอมรับว่าตัวเองนั้นมุงานหนักติดต่อกันหลายเดือนจนเหนื่อยล้า และไม่ได้พักผ่อนเลยแม้แต่น้อย ที่สำคัญตอนนี้โรงแรมของเขาก็กำลังไปได้สวยไม่น่ามีอะไรต้องห่วง คำชวนของชนวีร์จึงกลายเป็นสิ่งที่เขาสนใจไม่น้อย

“คุยกันไปเถอะนะ ย่าจะเข้าไปดูในครัวหน่อย”ย่าดวงดาวลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆโดยมีชฎายุช่วยประคอง เขาประคองท่านไปถึงห้องครัวก่อนจะกลับมาหาผู้เป็นเพื่อน

“ฉันว่าจะรอสะสางงานทางนี้อีกสักนิดแล้วฉันจะไป แล้วนายจะกลับไร่วันนี้เลยรึไง” คนถูกถามสั่นศีรษะก่อนจะโปรยยิ้มบางๆ

“ยังไม่กลับหรอก ว่าจะอยู่เที่ยวกรุงเทพสักพัก ไม่ได้มาตั้งนาน ที่สำคัญ...” คนตัวโตโน้มตัวมาข้างหน้า จ้องมองอีกฝ่ายเขม็ง “อยากมาดูหน้าว่าที่เจ้าสาวของไอ้ธิปหน่อย”

“หา! ว่าที่เจ้าสาว!” ชฎายุตะโกนก้องอย่างตกใจ และไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ชนาธิปน้องชายแท้ๆของชนวีร์นั้นจะตัดสินใจแต่งงานทั้งที่มันเคยประกาศต่อหน้าเขาและพี่ชายของมันว่า จะไม่มีวันแต่งงานเด็ดขาด

‘ไม่มีวัน!! จำไว้เลยนะ พี่วี พี่ยุ ชาตินี้ธิปไม่แต่งแน่ ผู้หญิงน่ะน่าเบื่อ จู้จี้ขี้บ่นก็เท่านั้น แถมชอบมาทำเป็นเจ้าเข้าเจ้าของเราด้วย เซ็งฉิบ!!’

นั่นคือคำพูดของชนาธิปเมื่อปีที่แล้ว และมันก็ทำให้เขาแน่ใจได้ว่ามันไม่มีวันลงหลักปักฐานกับผู้หญิงคนไหนด้วยการคบสาวๆไม่เลือกหน้า บ้างคบได้ไม่ถึงอาทิตย์ก็บอกเลิกแล้วหาคนใหม่ บ้างก็คบกันแค่สองวัน แล้วก็เลิก ชีวิตของมันลอยไปลอยมา กลายเป็นเพลย์บอยตัวฉกาจไปเสียแล้ว
“ไม่น่าเชื่อ...มันคิดยังไงของมัน”

“มันไม่ได้คิดหรอก แต่โดนพ่อจับให้แต่งน่ะซิ”

“อ้าว....เป็นความคิดของลุงกนกนี่เอง” ลุงกนกที่พูดถึงคือพี่ชายของพ่อของชฎายุ เขาหนีออกจากบ้านไปใช้ชีวิตตามลำพังเพียงเพราะถูกพ่อแม่ซึ่งก็คือปู่ย่าของเขาบังคับให้แต่งงานกับหญิงสาวคนหนึ่งที่เขาไม่เคยเห็นหน้าค่าตาและไม่ได้รัก ที่สำคัญเขามีคนรักอยู่แล้วและเธอคนนั้นกำลังตั้งครรภ์
ลุงกนกเลือกที่จะต่อสู้ด้วยลำแข้งของตัวเอง จากที่ไม่มีเงินติดตัวสักบาทเขามุมานะทำงานหาเงินเลี้ยงภรรยาจนกระทั่งชนวีร์คลอดออกมา ตอนนั้นฐานะทางการเงินยังถึงขั้นที่เรียกได้ว่ากัดก้อนเกลือกิน และเหมือนโชคชะตาจะใจร้ายเมื่อส่งเด็กคนหนึ่งมาให้ท่านเลี้ยงอีกคน ซึ่งก็คือชนาธิปนั่นเอง

ความลำบากทำให้ภรรยาของลุงกนกทนไม่ไหว เลือกที่จะตัดขาดกับเขาแล้วหนีไปทิ้งให้เขาเลี้ยงดูลูกชายสองคนเพียงลำพัง หากเขาก็กัดฟันสู้ เก็บหอมรอมริดจากเป็นคนงานระดับล่าง ได้เลื่อนขึ้นมาเป็นหัวหน้าคนงาน ผู้จัดการ และสุดท้ายเขาเก็บเงินมากพอจนสามารถซื้อที่ของตัวเองแล้วสร้างไร่ดวงดาวขึ้นมา...นั่นคืออนุสรณ์ที่แสดงให้เห็นว่าเขาสำนึกผิดกับการกระทำของตัวเองเพียงใดด้วยการตั้งชื่อไร่องุ่นแห่งนั้นให้เหมือนกับชื่อแม่ของเขา
และบัดนี้ไร่ดวงดาวก็โด่งดังขึ้นชื่อ จนใครต่อใครต่างรู้จัก ผลแห่งความขยันและความสำนึกผิดทำให้ปู่และย่าของเขายอมให้อภัย จากการที่บอกตัดขาดความเป็นลูกกับลุงกนกไปแล้วก็กลับยอมรับเขาอีกครั้ง ตอนนั้นชฎายุอายุสิบสี่ปี เท่ากับชนวีร์พอดิบพอดี วันนั้นลุงกนกกลับมาที่บ้านตันตนกุล เข้ามากราบแทบเท้าบุพการีทั้งสองแล้วพร่ำขอโทษด้วยน้ำตา

เห็นแค่นั้นคนเป็นพ่อเป็นแม่ก็ใจอ่อนยวบ ท่าทีปั้นปึ่งเย็นชาหายไปโดยพลัน
‘สำนึกผิดได้ก็ดีแล้ว ขอแค่อย่าทำผิดแบบนั้นอีกก็พอ พ่อไม่ได้ติดใจเอาความหรือโกรธอะไรลุกอีกแล้วล่ะ’ นั่นคือคำพูดของปู่ของชฎายุ ท่านยอมรับลูกชาย ก่อนจะจากไปอย่างเงียบๆด้วยโรคหัวใจหลังจากนั้นเพียงสองปี ย่าดวงดาวจึงย้ายออกมาจากบ้านหลังใหญ่มาอยู่บ้านเรือนไทยหลังนี้เพราะต้องการความสงบ ทิ้งให้เขาอยู่กับพ่อแม่เพียงสามคนในบ้านหลังใหญ่ราวกับวัง

“กนกมันคงกลัวว่าลูกจะเป็นแบบมันน่ะซิ...” ย่าดวงดาววางครอสติชในมือลง ก่อนจะเอ่ยยิ้มๆ“มันน่ะกลัวว่าลูกชายของมันจะไปตกลงปลงใจกับผู้หญิงที่เห็นแก่เงินอย่าง...” แล้วนางก็นิ่งไปก้มหน้าถักครอสติชต่อ ขณะที่ชนวีร์เป็นฝ่ายตอบแทนด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง

“เหมือนแม่ของผม....ผู้หญิงคนนั้น...ไม่น่าเชื่อว่าจะทิ้งลูกทิ้งผัวได้ลงคอ!”
บรรยากาศภายในห้องรับแขกชักตึงเครียดจนชฎายุขยับกายอย่างอึดอัด พลางกลอกตาคิดหาทางเปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อให้พ้นสภาพเคร่งเครียดในตอนนี้
“แล้ว...แล้วไอ้ธิปมันว่าไงล่ะ?”

“มันจะว่าไง ก็โวยวายบ้านแทบแตก”
“ว่าแล้ว...” ชนวีร์พยักหน้ารับรู้

“ตอนนี้มันถูกจับตามองตลอดเวลา พ่อน่ะไม่ยอมให้ออกจากบ้านไปเที่ยวกับใครที่ไหนอีก มันก็เลยให้ฉันมาเจรจากับทางฝ่ายผู้หญิงแทนมัน”

“แล้วเธอคนนั้นเป็นใครกัน...ทำไมลุงกนกถึงรู้จักเธอได้” ชนวีร์นิ่งไปครู่ใหญ่ก่อนจะเล่าเหตุการณ์ที่เขาได้รับรู้มาจากพ่อของตัวเองเมื่อเดือนที่แล้วให้ชฎายุฟัง

“พ่อฉันบังเอิญประสบอุบัติเหตุ รถยางแตกแล้วชนกับต้นไม้ข้างทาง พ่อหัวฟาดพวงมาลัยบาดเจ็บพอสมควร แล้วผู้หญิงคนนั้นก็ผ่านมาเห็นจึงได้ช่วยไว้ เธอบอกพ่อว่ามาเยี่ยมญาติกับน้องสาว พ่อฉันก็ซักทันทีว่าบ้านอยู่ที่ไหนจึงได้รู้ว่าญาติของเธอทำไร่ส้มอยู่ข้างๆไร่ของดวงดาวเรานั่นเอง ความถูกชะตาทำให้พ่อตัดสินใจขอเบอร์โทรฯและโทรฯไปหาพ่อแม่ของเธอ พูดคุยตกลงใจกัน จนกระทั่งเมื่อสองอาทิตย์ที่แล้วพ่อก็มาประกาศกลางโต๊ะอาหารว่าจะให้ไอ้ธิปแต่งงาน เท่านั้นละ มันก็โวยวาย ปฏิเสธเสียงแข็ง แต่มันก็ทำอะไรไม่ได้มากนักหรอก เพราะมันออกจะกลัวพ่ออยู่บ้าง”

ชนวีร์ถอนใจยาว พยักเพยิดกับอีกฝ่าย

“เรื่องมันก็เป็นแบบนี้แหละ” ดวงตาเรียวสีดำสนิทวาววับเป็นประกายอย่างที่คนมองรู้ดีว่านั่นหมายถึงความไม่พอใจ “ที่จริงพ่อก็ไม่น่าจะเชื่อใจหรือหลงรักผู้หญิงคนนั้นได้ง่ายขนาดนี้ บางทีนะ...บางทีฉันก็คิดว่าผู้หญิงคนนั้นอาจจะมีแผนมาตีสนิทกับพ่อฉันก็ได้”

“บ้าน่า ไอ้วี! เธอจะทำลงไปเพื่อจุดประสงค์อะไรวะ?!”

“ก็...” อีกฝ่ายยักไหล่เมื่อไม่สามารถหาคำตอบได้ทันท่วงที “อาจจะหวังสมบัติของพ่อฉันก็ได้ ”

“ญาติเธอก็มีรีสอร์ทอยู่แถวนั้น ไม่ใช่คนสิ้นไม้ไร้ตอกอะไรนี่หว่า” ชฎายุค้านเบาๆด้วยรู้ดีว่าญาติของเขานั้นกำลังพาลพาโลเพราะฝังใจจากการทรยศหักหลังของผู้เป็นแม่ตั้งแต่วัยเยาว์ “นายอย่ามองใครในแง่ร้ายนักซิวะ”

“ไม่รู้ล่ะ ฉันว่าเธอคนนั้นไม่บริสุทธิ์ใจในการมาตีสนิทกับพ่อฉัน มันรวดเร็วเกินกว่าที่ฉันจะเชื่อว่าเธอคนนั้นและครอบครัวของเธอจะไม่มีแผนการอะไรในใจ”

“ฉันยังสงสัยว่ะ...สงสัยว่าทำไมไม่ให้เธอแต่งงานกับนาย”

“พ่อกลัวไอ้ธิปมันจะเลือกคนผิดเพราะมันเล่นคบผู้หญิงมากหน้าหลายตาเหลือเกิน ส่วนฉัน...นายก็รู้นี่ ว่าฉันไม่เคยคบใคร” ชนวีร์พยักหน้า พลางต่อคำอีกฝ่ายในใจ...ไม่ใช่แค่ไม่คบ แต่ถึงขั้นไม่ไว้ใจผู้หญิงคนไหนเลยต่างหาก!

“นายเคยเห็นหน้าเธอหรือยัง?” คนถูกถามสั่นศีรษะ ก่อนจะลุกขึ้นยืน
“นายว่างใช่ไหม?” พอเห็นว่าอีกฝ่ายพยักหน้า เขาจึงเดินเข้าไปหาดึงแขนของชฎายุให้ลุกขึ้นยืน

“ไปดูหน้าผุ้หญิงคนนั้นกับฉันตอนนี้เลย”

“เฮ้ย...เอาจริงหรือวะ”

“เออ...จะไปถามให้รู้เรื่องว่ามีจุดประสงค์อะไรกันแน่ที่ยอมแต่งงานกับผู้ชายที่ไม่เคยเห็นหน้าได้ง่ายดายขนาดนั้น” คนตัวสูงถูกคนตัวโตลากให้เดินตามออกไป พร้อมกับเสียงห้ามปราม

“ใจเย็นๆโว้ยไอ้วี! นายอย่าไปหาเรื่องเธอเลย เชื่อฉันเถอะ...เธอไม่ได้มีแผนการอะไรทั้งนั้นแหละน่า”

“นายรู้จักเธอรึไง ถึงได้ออกมากางปีกปกป้องแทนแบบนี้”

“เปล่านะเว้ย!” ชฎายุสะบัดแขนจนหลุด เมื่อเดินมาถึงรถกระบะคันใหญ่ของชนวีร์ “ฉันแค่พูดไปตามความรู้สึกนึกคิด นายมันมีอคติเห็นอะไรเป็นต้องคิดมั่วซั่วไปหมดซิน่า!”

“ไม่รู้โว้ย! ฉันไม่สนอะไรทั้งนั้นแหละ ยังไงวันนี้ก็ต้องคุยกับฝ่ายนั้นให้รู้เรื่อง!”

ชนวีร์ประกาศออกมาอย่างดุดัน และชฎายุก็รู้ว่าไม่อาจขัดขวางได้ จึงจำใจต้องกระโดดขึ้นรถตามขึ้นไปด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะไปก่อนเรื่องวุ่นวายที่บ้านว่าที่เจ้าสาวของชนาธิป

...คนอย่างชนวีร์นั้น เขารู้ดีว่าหากต้องการทำอะไรแล้ว เขาก็จะมุ่งมั่นกับสิ่งนั้นโดยไม่ฟังคำทัดทานของใคร... ครั้งนี้ก็เช่นกัน อารมณ์ของชนวีร์กำลังปะทุ นี่คงเก็บกดมาตั้งแต่อยู่ที่ไร่ มาระเบิดเอาก็ต้อนเขาซักถามกระมัง ชฎายุมองเสี้ยงหน้าญาติสนิทด้วยแววตาเป็นกังวลเพราะเห็นเมฆหมอกดำทะมึนส่อเค้ามาแต่ไกล

...งานนี้ไม่ใครก็ใครคงตายกันไปข้างหนึ่งกระมัง...



บ้านอัตรคุปต์ต้อนรับแขกแปลกหน้าเป็นอย่างดี ร่างเล็กของเด็กรับใช้เดินนำสองหนุ่มเข้ามาในห้องโถงใหญ่ที่ประดับประดาด้วยแชนเดอเลียขนาดใหญ่ ตรงกลางคือบันไดไม้ทอดยาวสู่ชั้นสองของตัวบ้าน

เด็กคนนั้นนำพาทั้งสองให้เลี้ยวขวาผ่านประตูกระจกเข้าไปในห้องรับแขกขนาดใหญ่

“จะให้เรียนว่าใครมาพบคะ?”

“บอกเธอว่า...เป็นพี่ชายของชนาธิป” ชนวีร์ตอบเสียงห้วน ค่อนข้างกระด้าง พร้อมกับหย่อนกายนั่งลงบนโซฟาหนัง รอจนเด็กรับใช้คนนั้นเดินจากไปจึงเปรยกับคนที่นั่งอยู่ข้างๆด้วยน้ำเสียงเยาะหยัน
“อยากรู้นักว่าจะสวยสักเท่าไหร่กันเชียว”

ยังไม่ทันที่ชฎายุจะเอ่ยอะไร คนที่ถูกพาดพิงถึงก็สาวเท้าเข้ามา พร้อมกับร้อยยิ้มบางๆ ไม่ถึงกับเป็นมิตร แต่ก็ไม่ถึงกับเกลียดเช่นเดียวกัน

“กำลังพูดถึงฉันอยู่หรือคะ?”

เรือนร่างระหงยืนกอดอกทอดสายตามองสองหนุ่มตรงหน้าด้วยแววตาไม่สะทกสะท้าน เรียวขายาวที่โผล่พ้นกระโปรงสีฟ้าสั้นครึ่งขาอ่อน บวกกับท่าทางอันแสนมั่นใจในตัวเองทำให้สายตาของชายทั้งสองเผลอมองอย่างชื่นชม

“พวกคุณมีธุระอะไรกับฉันหรือคะ?” น้ำเสียงที่ลอดผ่านเรียวปากอิ่มสีสด พร้อมกับดวงตากลมโตจับจ้องมาอย่างคาดคั้นทำให้ชนวีร์รู้สึกตัว
ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ประกายตาแวววาวแปรเปลี่ยนเป็นไม่พอใจอย่างรุนแรง

“สวัสดีครับ คุณเขมิกา ผมชนวีร์ แล้วนี่...ชฎายุ ลูกพี่ลูกน้องผมเองครับ”
ชฎายุรีบลุกขึ้นยืนส่งยิ้มทรงเสน่ห์ไปให้เธอ ดวงตาของเขาพราวระยับ บอกชัดว่าถูกตาต้องใจสาวสวยตรงหน้าเป็นหนักหนา

“ผมต้องการคุยกับคุณเรื่องนายธิป” ร่างระหงเลิกคิ้วน้อยๆ ก่อนจะสาวเท้าเข้ามานั่งบนโซฟาโดยไม่ลืมผายมือเชื้อเชิญให้แขกนั่งตาม
“คุณชนาธิปน่ะหรือคะ?”

“ใช่...เรื่องของคุณกับนายธิปนั่นแหละ” แล้วชนวีร์ก็ถามอย่างตรงไปตรงมา ตรงประเด็นไม่อ้อมค้อมตามนิสัยที่มีมาแต่เดิม “คุณคิดยังไงถึงได้ตกลงใจแต่งงานกับน้องผมง่ายดายนัก”คนถูกถามเลิกคิ้วอีกครั้ง ราวกับต้องการกวนประสาทคนที่ทำหน้าตาบึ้งตึงเหมือนกินรังแตนเข้าไปสักร้อยอัน

“แล้วคุณมีปัญหาอะไรล่ะคะ ฉันจะตกลงเร็วหรือไม่เร็ว มันก็เป็นสิทธิ์ของฉันนี่”ชนวีร์มองหญิงสาวตรงหน้านิ่งนาน...ไม่ใช่เพราะความประทับใจแต่เป็นเพราะความโมโห

รูปหน้าไข่รับกับจมูกโด่ง และเรียวปากบางสดใสที่ระบายยิ้มน้อยๆทำให้เขมิกาคงความงดงามไว้ทุกกระเบียดนิ้ว จะดีมากถ้าเธอจะไม่มองหน้าเขาด้วยแววตาท้าทายเช่นอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้

“มันเป็นสิทธิ์ของคุณ ใช่...แต่ผมแค่สงสัย คุณจะรับใครเป็นสามีโดยที่ไม่รู้จักมักคุ้นหรือสนิทสนมกันเลยได้ยังไง?”

เขมิกาไม่ตอบแต่กลับลุกขึ้นยืน โปรยยิ้มหวานหากดวงตามีแววพิฆาตมาดร้าย

“ฉันมีเหตุผลของฉัน...คุณอย่ามายุ่งเรื่องนี้เลยค่ะ ยังไงๆฉันก็ต้องทำตามที่ตกลงกับคุณลุงกนกไว้”

“แต่ผมไม่ยอม!! ผมไม่ยอมให้ผู้หญิงใจง่ายอย่างคุณมาแต่งกับน้องชายผมแน่” คนตัวโตเกรี้ยวกราดเข้าใส่อย่างไม่ไว้หน้า จนชฎายุที่นั่งฟังอยู่เงียบๆเป็นนานสองนานต้องยกมือจับไหล่อีกฝ่ายไว้ด้วยกลัวใจเหลือเกินว่าชนวีร์จะกระโจนเข้าไปทำร้ายร่างกายของเขมิกา

“จะยอมหรือไม่ยอม คุณก็ทำอะไรไม่ได้หรอกค่ะ” หญิงสาวกระตุกยิ้ม เปลี่ยนสายตาไม่พอใจจากชนวีร์เป็นประกายตาหวาน เต็มไปด้วยความเป็นมิตรส่งให้แก่ชฎายุที่ยิ้มรับอย่างเต็มใจ

“ฉันขอตัวก่อนนะคะ คุณ...”

“ชฎายุครับ” ชายหนุ่มรีบตอบทันควัน จนคนที่ยืนอยู่ข้างๆหันขวับมามอง
“ค่ะ คุณชฎายุ...หวังว่าเราคงได้พบกันอีกครั้งนะคะ”

“แน่นอนครับ” แล้วเขมิกาก็หันหลังเดินจากไปทิ้งให้ชนวีร์ตะโกนโหวกเหวกร้องเรียก ร่ำๆจะกระโจนเข้าไปจับตัวเธอไว้ ยังดีที่ชฎายุใช้สองมือรั้งตัวไว้ได้ทัน

“เฮ้ย! ใจเย็นน่า ไอ้วี”
“ฉันไม่ไว้ใจผู้หญิงคนนี้ว่ะ ดูเหมือนจะมีอะไรลับลมคมใน ฉันว่าเธอคิดไม่ซื่อแน่ๆ!!”

ชฎายุเห็นท่าไม่ได้การต้องรีบดุนหลังเจ้าลุกพี่ลูกน้องตัวดีออกจากห้องรับแขก ทั้งฉุดกระชากลากถูออกมายืนอยู่หน้าบ้าน
“พูดเบาๆหน่อยซิวะ”

“ทำไมวะ พูดดังแล้วมันหนักหัวนายรึไง!”

“ก็เออน่ะสิ!!” ชฎายุตะโกนใส่หน้า ก่อนจะจับตัวอีกผ่ายไว้แล้วดันให้เข้าไปนั่งในรถ

“นายชักจะพาลมากเกินไปแล้วว่ะไอ้วี ไปสงบสติอารมณ์ที่บ้านก่อนเถอะวะ” ว่าพลางก็รีบอ้อมตัวรถเข้ามานั่งด้านคนขับ สตาร์ทรถและขับออกไปอย่างรวดเร็วด้วยกลัวว่าชนวีร์จะบ้าบิ่นไปเกินกว่านี้

“คอยดูนะ ไอ้ยุ พรุ่งนี้ฉันจะมาอีก มาทุกวันจนกว่าจะได้คำตอบ”

“เฮ้ย รบกวนเขาเปล่าๆ ฉันดูๆแล้วคุณเขมิกาคงไม่เลิกล้มความตั้งใจง่ายๆ หรอก”ชนวีร์ไม่ตอบ แต่กลับยกมือลูบปลายคางสากๆของตนเองแทน




Create Date : 09 กุมภาพันธ์ 2554
Last Update : 9 กุมภาพันธ์ 2554 23:07:45 น. 1 comments
Counter : 164 Pageviews.

 
แค่ตอนแรกก้อน่าติดตามแล้ว ตามต่อๆ


โดย: keepwalkinggirl IP: 71.183.83.81 วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:1:50:26 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

runsita
Location :
พิษณุโลก Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ขอสงวนสิทธิ์ใด ๆ ตามกฎหมาย ในการทำคัดลอก เผยแพร่ ดัดแปลง ส่วนหนึ่งส่วนใด หรือทั้งหมดของนิยาย เรื่องสั้น ในบล็อคแห่งนี้ โดยไม่ได้รับอนุญาต และ หากผู้ใดกระทำการคัดลอกหรือนำไปโพสในเวปอื่น ๆ หรือบล็อค โดยมิได้รับอนุญาตมีโทษปรับตั้งแต่ 20,000 บาท ถึง 200,000 บาท หรือ หากนำเรื่องไปเสนอต่อสำนักพิมพ์ ถือเป็นการเสนอขาย มีโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือนถึง 4 ปี หรือปรับตั้งแต่ 100,000 บาท ถึง 800,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ตามมาตรา 69 แห่ง พ.ร.บ.กฏหมายลิขสิทธิ์

หลังไมค์
เมลล์ถึงพราวตะวัน
ออนไลน์
ผู้เยี่ยมชมทั้งหมด

อยากอ่านนิยายแนวไหนมากที่สุด

View Results
Create a Poll


Friends' blogs
[Add runsita's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.