"My Blueberry Nights" ... ความเหงากินลึก กับของหวานที่ไม่มีใครกิน
โปรโมตสักนิด ปล่าวประกาศสักหน่อย นอกไปจากการเริงรมย์ Bloggang ตะแร๊ดแต๊ดแต๋ที่ พันทิพ แล้ว ...ตอนนี้ นาย OncE UPoN'-'a MaN คนนี้ มีสถานที่ของคนรักหนังแห่งใหม่มาชวนให้คุณๆไปเถิดเทิงด้วยกันครับ //vreview.yarisme.com Vreview = We review = การรวมบทความรีวิวเกี่ยวกับหนังของแต่ละคน อาทิเช่น อัพเดตรีวิวสั้นๆถึงหนังโรงที่ได้ดูพร้อมคะแนนเพื่อช่วยตัดสินใจ พร้อม link ไปอ่านฉบับเต็มของแต่ละคน หรือ รีวิวเต็มๆตามสไตล์ใครสไตล์มัน ผม OncE UPoN'-'a MaN คนนี้ คือคนหนึ่งที่ได้รับโอกาสมาอยู่ในทีม Vreview นี้อันประกอบไปด้วยสมาชิกอีก 5 คน คือ "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" (คุณหมอเป็นโต้โผใหญ่ในการนี้) , "บลูยอชต์" , "Nanoguy" , "renton_renton" และ "เทพบุตรตบะแตก!!" ...พวกเราทั้ง 6 มีหน้าที่ร่วมกันเป็นหนึ่งเดียว คือ การมาร่วมอัพเดทเปิดประเด็นคุย ให้รีวิวถึงอะไรก็ได้ที่เรียกว่า "หนัง" เพื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ทำให้พวกเราและคุณๆคนรักหนังได้มาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันและกัน ก็ขอเชิญชวนคนรักหนังทุกๆท่าน มาร่วมคุยร่วมแจม ณ ที่บล็อกแห่งนี้กันครับ ...และ Toyota Yaris เจ้าของบล็อก ฝากบอกมาว่า ถ้าเราไปร่วมรวมตัวเป็นกลุ่มเป็นก้อนใหญ่ๆแล้ว เขาจะจัดกิจกรรมดีๆ ให้เราได้มาสนุกกันจริงๆจังๆอีกด้วยนะ "My Blueberry Nights" ...เรื่องราวของความสัมพันธ์อันพันผูก ที่มัดเงื่อนตายเอาไว้กับความเหงา ของตัวละคร 5 คน ที่ต่างก็มีด้านลึก เป็นคนที่มีปัญหาในเรื่องของชีวิตกับความรัก ...แต่ละคนมีวิธีการเลือกที่จะจัดการกับหัวใจของตัวเองอย่างแตกต่าง แต่สุดท้ายก็เหมือนกันที่มักจะทำอะไรไม่ได้ดีไปกว่านั้น"เอลิซาเบธ" ...เพิ่งสูญเสียคนรักของเธอไปให้กับการนอกใจ และลอบมีชู้กับหญิงอื่น ...เธอถูกทรยศให้กับความรักที่เธอวาดหวังเอาไว้ว่าจะสามารถให้ความเชื่อใจกับมันได้ และด้วยความรวดร้าว เจ็บปวดที่ได้รับจากการโดนทรยศชนิดมิอาจลืมลงได้ เธอจึงใช้มันเป็นแรงผลักดันที่จะหนีออกไปจากความจริงเรื่องนี้ให้ไกลที่สุด และวิธีที่เธอเลือกก็คือ การเดินทางไปตามเมืองต่างๆในอเมริกา เพื่อหวังจะผลักไสความเจ็บปวดให้หมดไป ...แต่เวลา 300 วัน ที่ผ่านพ้นไปโดยเจ็บปวดน้อยลงเรื่อยๆนั้น ก็มีสิ่งที่เธอได้มากกว่าที่เธอหวังไว้ คือ การได้เรียนรู้เรื่องราวของความรักผ่านมุมมองต่างๆของคนอื่นๆที่เธอได้เดินทางมารู้จัก"เจอเรมี่" ...เขาคือผู้ชายคนหนึ่งที่ยังตั้งความหวังดีๆเอาไว้กับความรักเสมอ แม้ในชีวิตที่ผ่านมาเขาจะต้องเจอกับความผิดหวังก็ตาม ...เขาเคยรักผู้หญิงคนหนึ่ง อย่างซื่อตรงในเวลาที่เธอยังมีรัก แต่เมื่อเธอทิ้งเขาไป เขาก็ไม่ได้หมดอะไรตายอยาก หากก็พร้อมที่จะรอคอยให้สาวเจ้ากลับมาหาเขา ...ตอนที่เธอไป เธอได้ทิ้งกุญแจ เอาไว้พวงหนึ่งกับเขา และเขาก็เลือกจะรอให้เธอกลับมาเอาอยู่ตลอด โดยที่เขาไม่เคยต้องการไปตามหาเธอ เพราะเขาเชื่อในคำสอนของแม่ที่พูดกับเขาว่า "เวลาลูกหลงให้อยู่กับที่ อย่าเดินไปไหน เพราะเดี๋ยวจะหลง" ...หมายความว่า ถ้าเขาเลือกจะเดินไปหาเธอเมื่อไหร่ เขาก็พร้อมจะหลงทางได้เมื่่อนั้น "อาร์นี่" ...ตอนกลางวัน เขาอาจจะเป็นนายตำรวจที่เป็นที่รักของทุกคนของชุมชนเล็กๆในเมืองเมมฟิส ก็จริงอยู่ ...แต่เมื่อตกกลางคืนเมื่อไหร่ เขาก็เลือกที่พร้อมจะเปลี่ยนภาพพจน์กลายมาเป็นชายขี้เหล้าที่วันๆนั่งซึมมะทื่อ หมดหวังไปกับชีวิตที่รวดร้าว เพราะคนรักมาจากกันไปมีชายอื่น... แม้เขาอาจเคยพยายามจะเลิกเหล้ามาหลายครั้งหลายหนแล้ว ด้วยความกลัวที่มันจะทำให้เขาแย่ แต่แล้วด้วยความที่ชีวิตไม่มีอะไรจะมาทำให้เลิกคิดถึงคนรักได้ เขาจึงต้องตั้งหน้าตั้งตาดื่มมันอยู่เรื่อยไป เพราะอย่างน้อยๆ มันก็คลายกังวลให้เขาได้ ...สัญลักษณ์ที่หมายถึงการไม่สามารถเลิกเหล้าได้ มีค่าเท่ากับ ชิปสีขาว(ได้มาจากการไปประชุมกับกลุ่มเลิกเหล้า) ซึ่งอาจจะเคยพยายามย้ำเตือนว่าสิ่งที่เขาทำอยู่มันมีแต่จะหนักขึ้นๆไปเรื่อยๆเท่านั้น แต่สุดท้ายเขาก็กลายมาเป็นราชาแห่งชิปสีขาว ที่ต้องพ่ายใจทุกทีที่เขาต้องไปหยิบมันมาเพิ่มขึ้นๆ เพื่อเตือนใจอย่างไร้ผล "ซู ลินน์" ...เธอคือสาเหตุที่ทำให้ อาร์นี่ ร้าวรานใจ และเธอคือคนๆเดียวที่จะสามารถกำหนดชะตาชีวิตที่ตายทั้งเป็นของ อาร์นี่ ให้อยู่ที่เดิมเพื่อเฝ้ารอเธอกลับมาหาเขา... ซู ลินน์ ได้พร่ำพูดถึงชีวิตของเธอกับความรักที่อาร์นี่มีให้กับเอลิซาเบธรับฟัง ว่าเพราะความคลั่งไคล้ตัวเดียว ที่อาร์นี่มีให้เธอ มันมากเกินไปที่เธอจะทำใจอยู่กับผู้ชายคนนี้ได้ และเธอก็เลือกจะเดินจากชีวิตเขาไปด้วยการวิ่งหนีเมมฟิสไปคบกับชายคนใหม่ที่เมืองอื่นๆ ...แต่สุดท้ายเธอก็ไม่สามารถหนีความจริงนี้ไป และไม่รอดพ้นที่จะกลับมาตายรัง เพื่อต้องมาพบหน้าผู้ชายที่เธอทิ้้งไปอยู่เสมอ "เลสลีย์" ...สาวซ่านักพนันมือโปร ที่เก่งกาจในการอ่านใจผู้อื่นอยู่เสมอ แต่ก็เหมือนคนทั่วๆไปที่เรื่องของดวงไม่เคยเข้าใครออกใคร และเธอก็มักจะเสียที ในช่วงเวลาที่เธอโกหกคนได้ไม่เนียน ...จนเมื่อครั้งหนึ่งเธอได้ขอที่จะเดิมพันรถสุดที่รัก กับเงินทองที่เอลิซาเบธเก็บสะสมไว้หวังจะเอาไปซื้อรถ ดวงก็เข้ามาหนุนเอลิซาเบธให้ได้รถคันงามสุดหรูมาใช้ฟรีๆ โดยที่ได้เลสลีย์ มาเป็นเพื่อนร่วมทางที่ขอติดรถไปเท็กซัส เพื่อขอตังค์พ่อมาถอนทุนคืน ...แต่ด้วยความที่เธอเคยหนีพ่อมาโดยไม่รับฟังเสียงทัดทานใดๆ เธอจึงไม่กล้าสู้หน้า และเลือกที่จะโกหกตัวเองว่าพ่อสบายดี เมื่อทางโรงพยาบาลติดต่อให้มาดูใจโดยด่วน เพียงเพราะเธอเชื่อในการอ่านใจว่านี่จะเป็นอีกครั้่งที่พ่อใช้ลูกไม้เก่ามาหลอกล่อให้เธอตายใจกลับมาหาชายแก่ที่เธอทอดทื้งไปคนนี้ 5 คน กับ 5 วิธี ที่เลือกจะทำให้ตัวเอง ไม่มีปัญหากับเรื่องของความรัก ล้วนแต่มีความพ้องต้องกันในกลไกปกป้องตัวเองโดยทั้งนั้น ... เอลิซาเบธ ...เลือกจะ..เดินทางไกล เพื่อปกป้องตัวเองจากการ..อยู่ใกล้กับภาพบาดตาบาดใจของอดีตคนรัก เจอเรมี่ ...เลือกจะ..อยู่กับที่ ทำร้านคาเฟ่ไปเรื่อยๆ ทุกวี่ทุกวัน เพื่อปกป้องตัวเองจากการ...ที่อาจจะหลงทาง แล้วไม่มีวันได้พบคนรักของเขาอีกเลย อาร์นี่ ...เลือกจะ..ดื่มเหล้า เพื่อปกป้องตัวเองจากการ..ถอนความเศร้า คอยกังวลที่ครุ่นคิดถึงผู้หญิงคนเดียวที่เขารักเป็นที่สุด ซู ลินน์ ...เลือกจะ..มีกิ๊ก หนีไปอยู่ที่อื่น เพื่อปกป้องตัวเองจากการ..ต้องทนอยู่กับความจริงที่เธอหมดรักผู้ชายคนแรกในชีวิตไปแล้ว เลสลีย์ ...เลือกจะ..โกหกตัวเองในทุกเรื่องของพ่อ เพื่อปกป้องตัวเองจากการ..ที่เธอเคยทำแต่เรื่องเลวร้ายกับพ่อของเธอมาโดยตลอด แต่ถึงพวกเขาต่างก็พยายามปกป้องตัวเองสักเพียงไหน สุดท้ายแล้วสิ่งที่พวกเขาได้กลับมา ก็มักจะเป็นสิ่งที่เรียกว่า 'ความเหงา' เรื่องของความเหงาในหนังเรื่องนี้ มันก็คล้ายๆกับกรณีที่ พายบลูเบอรี่ ในร้านของเจอเรมี่ มักจะไม่มีใครกิน หรือถ้ากินก็ไม่เคยหมด... ถ้าจะมองว่ามันผิดที่มันไม่น่ากิน ไม่น่าอร่อย ก็อาจจะเป็นเรื่องถูกที่คนนอกเขาคิดกัน แต่ตัว เจอเรมี่ กลับเลือกจะมองในแง่ดีว่า "มันไม่ผิดหรอกที่ไม่มีใครกิน เพียงแต่คนเขามักจะเลือกอย่างอื่นทานกัน" ด้วยความที่คนอื่นมักจะเลือกอย่างอื่นทานไปจนหมดแทบทุกอย่าง แล้วทิ้งไว้ให้พายบลูเบอรี่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว ...ก็คงจะเป็นดังที่เจอเรมี่มองมันในแง่ดีว่า เรื่องของความเหงา ไม่ใช่เราที่ผิด แต่เป็นเรื่องของรอบข้างที่เป็นตัวกำหนดให้เราต้องอยู่อย่างเหงา และถึงต่อให้เราเรียกร้องให้มีใครมาสนใจซะขนาดไหน มันก็ไม่อาจจะทำให้เราเลิกเหงาได้ ...คือ ถ้ามองในมุมของบลูเบอรี่พาย ต่อให้เจอเรมี่จะพยายามโปรโมตว่าพายที่ร้านนี้อร่อยอย่างมากมายเพียงใด แต่สุดท้ายถ้าของมันไม่ใช่ มันก็ไม่สามารถทำให้คนมาใส่ใจได้ในที่สุด ฉะนั้นแล้ว ไม่มีใครผิดที่เกิดมาเหงา และย่อมไม่อาจจะมีวิธีการใดให้เราเลิกเหงาได้อย่างถาวร ...แต่ถ้าเราเลือกจะใช้ชีวิตที่อยู่กับความเหงาให้หมดไปกับอะไรก็ได้ที่มันเรียกว่าดี แล้วทำให้มันสุดๆจนเกิดความคุ้มค่า มันย่อมจะดีกว่าการทำอะไรก็เซฟเอาไว้ ปกป้องตัวเองให้ไม่ข้องเกี่ยว ที่ถึงจะพยายามมากเท่าไหร่ แต่สุดท้ายก็ไม่อาจหลีกปัญหาที่ตัวเองมีส่วนก่อไว้ได้เลย ทั้งยิ่งเหงาก็จะยิ่งทุกข์มากกว่าเดิมเพียงเท่านั้น เอลิซาเบธ อาจเคยพยายามเดินทางไกลหนีจากแดนศิวิไลซ์ในนิวยอร์คไป เพียงหวังจะลืมความทุกข์เรื่องรักร้าวระบม ...แต่เมื่อสุดท้าย เธอได้หมดเวลา 300 วันไปกับสถานที่ต่างถิ่นอันห่างไกลตลอด 5000 ไมล์ แล้วก็เวียนกลับมาสู่ที่เก่าดังเดิม ...เธอก็พบว่า การหนีอาจจะไม่ใช่เรื่องดีที่เธอควรทำก็จริง แต่ถ้าในทางตรงข้าม มันจะกลับมาเกิดประโยชน์ในมุมมองความรักของเธอถึงเพียงนี้ ก็ต้องนับว่าคุ้มค่าแล้ว ที่เธอเคยได้ทุ่มเท และเลือกจะทำมันไปจนสุดๆขนาดนี้"My Blueberry Nights" ... นับว่าเป็นหนังเรื่องแรกที่ ผู้กำกับฝีมือเจ๋ง น่าภูมิใจของชาวเอเชีย อย่าง "หว่องกาไว" ได้โกอินเตอร์กันอย่างเต็มตัว... ก่อนหน้านี้ เขาอาจจะเคยส่งหนังดีๆมากมายหลายหลาก มาส่งประกวดให้เป็นที่ประจักษ์ของคอหนังอินดี้กลุ่มเล็กๆจะๆตาแล้ว แต่ในฐานะของคนทำหนังฮอลลีวู้ด นี่ก็คงจะเป็นเรื่องที่จะทำให้เขากลายเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางมากไปกว่าเก่าในกลุ่มที่ใหญ่ขึ้น ถ้ามองในมุมของคนเอเชียด้วยกันอย่างเดียว ...ก็ต้องยอมรับว่า ชื่อของ หว่องกาไว ต้องอยู่ในระดับที่จะเป็นที่นึกถึงของคอหนังอันดับต้นๆของทวีปนี้ ไม่ต่างไปกับ จางอวี้โหมว , อัง ลี หรือ จอห์น วู ...แต่สิ่งหนึ่งที่เฮียหว่องจะมีลักษณะความเด่นที่จะโดดออกมาต่างจากผู้กำกับอันดับต้นๆในกลุ่มนี้ ก็คือ ความถนัดในการสร้างหนังสเกลเล็ก ที่ค่อยๆสร้างความละมุึมละม่อมทางอารมณ์ และปล่อยให้บาดลึกด้วยเรื่องราวที่ไม่ผลีผลาม หากก็กินใจได้อย่างลึกล้ำ โดยเฉพาะ ประเด็นของความเหงา ที่เป็นตัวการ ให้เขาได้รับฉายา 'เจ้าพ่อหนังเหง้า..เหงา' ถึงจะเห็นผมพูดเชียร์เฮียหว่อง กันเสียอย่างนี้ ก็ยังไม่ได้หมายความว่า ผมเทิดทูนหนังของเขา และสมัครรักใคร่เป็นแฟน (นั่นคือสิ่งที่ได้ไปเก็บเอามาจำจากคำคนอื่นล้วนๆ)...หากความจริงแท้ ถ้าผมจะบอกว่ารู้จักเขาผ่าน "ป๋าเบิร์ด-ธงไชย" ก็คงไม่ผิดอะไรหรอกนะ (ถ้ายังจำกันได้...ซูเปอร์สตาร์ของเราคนนี้เคยได้มีบทบาทเป็นตัวประกอบออกฉากในหนัง "2046" กับระยะเวลา 3 วินาที ที่คนไทยคุ้มค่าจะไปดู..รึเปล่า!!?) แต่เมื่อผมได้ดูหนังโกฮอลลีวู้ดเรื่องแรกของเขา เรื่องนี้แล้วนี่เอง ผมก็ไม่จำเป็นจะต้องไปรู้จักเฮียหว่องมาจากใครคนอื่นอีกต่อไป... และผมก็ได้เห็นกับตาแล้วว่า ความเหงาบาดลึกที่เฮียหว่อง เชี่ยวชาญนั้นเป็นอย่างไรแม้ตัวเรื่องราวของ My Blueberry Nights อาจจะเน้นย้ำเรื่องความเหงา เป็นอีกประเด็นใหญ่ในหนัง แต่ในห้วงความรู้สึกส่วนตัว ก็น่าให้คิดว่ามันคงมีสัดส่วนความเข้มข้นที่น้อยลงกว่าหนังเรื่องก่อนๆของเขา เพราะรู้สึกว่ามันล่องลอยอย่างปล่อยผ่าน มากกว่าจะขยี้อย่างชัดเจน ...แต่ถึงกระนั้นแล้ว วิธีที่เฮียหว่อง เลือกก็ย่อมส่งผลดีต่อคนดู ที่ได้ค่อยๆปล่อยอารมณ์ให้เลื่อนลอยอย่างช้าๆ ไปกับเรื่องราวที่ไม่เน้นความรุนแรงของการซัดอัดคนดูเอาให้จุกกันดื้อๆ การนำเสนอเรื่องราว โดยเปิดทางให้คนแสดงด้นกันได้เอง ก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่ เฮียหว่อง จะได้รับการพูดถึงอยู่ตลอด... และหนังเรื่องแรกของเขา ที่ผมได้ดูนี้ ก็ให้เกิดรู้สึกอยู่ตลอดว่า มันก็มีเสน่ห์อะไรบางอย่าง ที่ถึงเราไม่อาจจะมองออกว่าตรงไหนบทกำหนด ตรงไหนด้นสด แต่กระนั้นมันก็สามารถยึดคนดูให้ติดตรึงอยู่กับบทสนทนา ตรงหน้าได้ีอยู่ ให้เชื่อในความเก่งกาจทั้งตัวคนกำกับ อีกทั้งเหล่าดาราที่เกิดอารมณ์ร่วมในคาแรกเตอร์ที่เขาได้รับมาเป็นก็ด้วย แล้วยิ่งหนัง ได้ระดับฝีมือฉกาจอย่าง "จู๊ด ลอว์" , "ราเชล ไวส์" , "เดวิด สแตรทเทิร์น" , "นาตาลี พอร์ตแมน" มาร่วมกันขึ้นจออย่างนี้ด้วย ...ความมีคุณภาพของพวกเขา เมื่อมาอยู่ในมือผู้กำกับคุณภาพ จึงเป็นอะไรที่ออกมาดูดี ...แม้บางคนอาจจะไม่ได้ถึงกับโชว์พาวสุดๆ อย่างเต็มฟอร์ม แต่ก็ล้วนมาสวมเป็นคาแรกเตอร์ที่ให้ความรู้สึกน่าพอใจกันแทบทั้งนั้น แล้วนี่ยังต้องรวมไปถึง อีกหนึ่งนักแสดงหน้าคุ้นๆ ที่แม้เพิ่งจะมีผลงานหนังเป็นเรื่องแรก ก็สามารถโชว์เด่นได้น่าจดจำซะแล้วอย่าง "นอร่า โจนส์" ...ก่อนหน้าว่าร้องเพลงเพราะจับใจ พอได้มาเป็นใครที่ไม่คุ้นตา ก็ยังเล่นได้อินจับจิต ...ก็ถือว่ามีดวงดีนำโชคเสียจริงๆที่ได้ถูกตาต้องใจ เฮียหว่อง ซะขนาดนี้และด้วยการกำกับระดับอ๋อง บวกกับการแสดงที่เข้าถึงบทของดาราดังทั้ง 5 ...ก็มีผลลัพธ์ออกมาเป็นค่ามากพอจะทำให้ผมเกิดความรู้สึกที่เอ่อล้นไปด้วยความซาบซึ้งอันกินลึก ก่อให้เกิดน้ำตาหลั่งไหลลงมาไม่ขาดระยะไปนานนัก มันจะคลอเบ้าพรั่งพรูไปพร้อมฉากและเรื่องราวแสนเศร้าที่แต่ละตัวละครได้มาพบเจอในชีวิต ...มันอาจไม่ใช่ความรู้สึกที่ทรมานอะไรนักหนา แต่มันก็เป็นเรื่องที่ยากจะหักห้ามไม่ให้เห็นใจในชะตากรรมของพวกเขาได้ แต่ถึงจะซาบซิ้ง อิ่มอกอิ่มใจ มากมายถึงกับอยากร้องไห้เป็นเพื่อนเหล่าตัวละครไปด้วยแล้ว... ก็ยังไม่อาจจะห้ามความรู้สึกเสียดายที่มีต่อ ความสมบูรณ์แบบ ที่ไม่ได้ให้มาครบในจุดมุ่งหมายของอารมณ์ค้างคากับตัวหนัง ...เพราะเท่าที่เป็นอยู่นั้น ดูเหมือนว่าหนังจะใส่ใจกับการเล่าเรื่อง และบทไดอะล็อก มากกว่า การทำให้บุคคลที่สามอย่างคนดูรู้สึกเกิดความใกล้ชิดกับตัวละครเหล่านี้ โดยไม่ต้องมีหน้าจอสี่เหลื่ยมเบื้องหน้ามากั้นขวาง ...ซึ่งถ้าเฮียหว่อง สามารถยึดคนดูให้ตามติดการเดินทางของเอลิซาเบธไปด้วยกัน พร้อมติดใจเรียนรู้ไปกับเรื่องของเธอ ที่ยังน่าจะใส่เรื่องของปมประเด็นความลึกซึ้งในรายละเอียดของแต่ละตัวละครมากกว่านี้ได้อีก ...ก็น่าจะทำให้ผมคิดภาพสมมติว่าได้เข้าไปนั่งอยู่ในสถานที่เดียวกับฉากที่เห็นในหนังโดยสนิทใจมากกว่านี้ "My Blueberry Nights" ...งานโกอินเตอร์ โดย หว่องกาไว กับหนังเรื่องแรกของเขาในโลกอินดี้ที่กว้างขวางขึ้นกว่าเก่า ...นี่ต้องถือเป็นนิมิตรหมายอันดีมากๆที่ทำให้คนในวงการหนังที่ใหญ่กว่า จะได้ดูหนังจากฝีมืออันเยี่ยมยุทธ์ของอีกหนึ่งความน่าภูมิใจแห่งเอเชียคนนี้ และได้ประจักษ์ว่า ความเป็นตะวันออก ก็สามารถกลืนขนบตะวันตกได้โดยง่ายดาย (ไม่ใช่เรื่องจำเป็นใดๆเลยที่ตะวันตก จะต้องนำเอาความเป็นตะวันออกมาปู้ยี่ปู้ยำจนเสียของ อย่างเช่นที่ในวันนี้ Shutter ของไทยเรา กำลังเป็นเหยื่อของฮอลลีวู้ดอย่างน่าสงสารในตัวต้นฉบับ) สำหรับใครที่อยากดูหนังที่ให้อารมณ์เรียบง่าย แต่ให้ความอิ่มอกอิ่มใจ ...หรือว่าจะเป็นแฟนของเฮียหว่องมาแต่ไหนแต่ไรก็ตามแต่ ...ไม่ควรพลาดครับ ขอแนะนำ ...ครับเกรด A- ... { }"สามารถติดตามบทสรุป การให้คะแนน และบทวิจารณ์ของภาพยนตร์เรื่องนี้เพิ่มเติม หรือบทวิจารณ์ภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ พร้อมความเห็นของเพื่อนร่วมบล็อคที่รักการดูหนังได้ที่ //vreview.yarisme.com พร้อมลุ้นรับบัตร Major M Cash มูลค่า 500 บาท จำนวน 8 ใบ ทุกเดือน" ส่วนที่เป็นฟอนท์สี เขียว -แดง เพิ่มเข้ามา... ซึ่งที่เน้นนั้นจะเป็นที่ผมพูดถึง ส่วน ดูดี(เขียว) -ดูด้อย(แดง) ของหนังแต่ละเรื่องครับ ...สำหรับบางคนที่ยังไม่ได้ดูหนัง แล้วอยากจะรู้ว่าหนังมีอะไรดีอะไรด้อยบ้าง ก็อ่านเอาจากที่ผมทำไฮไลท์ไว้ก็ได้เลยครับ ตามแต่สะดวกละกันขอเชิญทุกท่านเสนอความคิดเห็นกัน... 1 Comment ของคุณ คือ 1 Happy ของเจ้าของบล็อก ขอบคุณมากครับ
Create Date : 25 มีนาคม 2551
3 comments
Last Update : 25 มีนาคม 2551 2:15:51 น.
Counter : 4085 Pageviews.
ชื่อเรื่องความหมายมันลึกซึ้งดี เมื่อเทียบกับพายบลูเบอรี่ ก็ว่ากันไปด้วยค่ำคืนแบบบลูเบอรี่ๆ ที่ชั้นก็เป็นของชั้นแบบนี้แหละ ไม่ได้แย่ไม่ได้เลว ก็แค่ไม่มีใครเอา 555555
ทำให้หนังเรื่องนี้อยู่ในสถานะ "บันทึกไดอารี่ของเอลิซาเบธ" ไปโดยปริยาย (เออ พอคิดแบบนี้แล้ว หนังมันดูดีขึ้นนิดนึงแฮะ 55+)
ส่วนอย่างอื่น ยังยืนยันเหมือนเดิม กร๊าก