เรื่องของไอ๊ EPISODE 20
4 ธันวาคม 2559โดย ถามวัต สุทธิพงศ์ กาลครั้งหนึ่งเพิ่งไม่กี่ชั่วโมง ไอ๊มีโอกาสได้ไปที่ห้างสรรพสินค้า CENTRAL WORLD เพื่อชมภาพยนตร์เรื่อง พรจากฟ้า ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่นำรายได้ทูนเกล้าถวายเป็นพระราชกุศลแด่องค์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯขณะที่แม่ของไอ๊และไอ๊กำลังเจรจากับพนักงานขายเพื่อซื้อตั๋วชมภาพยนตร์ ทำให้ไอ๊ทราบว่า ภาพยนตร์ที่ไอ๊กำลังจะเข้าไปชมนั้นกำลังฉายโฆษณา อีกสิบกว่านาทีการแสดงจะเริ่มต้นขึ้น เมื่อสองแม่ลูกรู้ดังนั้นก็รีบชำระเงินแล้วกระวีกระวาดเข้าโรงภาพยนตร์แทบลืมสังขารที่คนหนึ่งก็พิการและอีกคนหนึ่งก็ชราภาพเสียสิ้น เดชะบุญที่เมื่อเข้ามาภายในโรงเจ็ดซึ่งอยู่ประมาณชั้นเก้า เราสองคนยังเข้ามาทันเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมีเก้าอี้อยู่ไหนวะแม่ของไอ๊พึมพำเพียงลำพังท่ามกลางผู้คนที่ต่างก็นั่งประจำที่ของตนเองด้วยอาการสงบ(อย่างว่าล่ะโน้ะ เมื่อภาพยนตร์โฆษณาได้เริ่มต้นฉายแล้ว ไฟตามต่าง ๆ ก็ถูกหรี่แสง ทำให้การที่จะรู้ว่าที่นั่งที่ต้องการมันอยู่ตรงไหนก็เป็นการยากเต็มที)กระทั่งเจ้าหน้าที่ของโรงภาพยนตร์เห็นสองแม่ลูกเง้อะงะจึงเข้ามาปรนนิบัติ ความทุกข์ที่หาที่นั่งไม่พบซึ่งสองแม่ลูกกำลังประสบพลันคลายสลายไปย แต่ก็ไม่ง่ายที่คนตัวใหญ่ ๆ อย่างไอ๊จะเดินผ่านบรรดาผู้คนต่าง ๆ ซึ่งกำลังนั่งรอภาพยนตร์เข้าฉาย ไอ๊ต้องเดินไปกล่าวขอโทษไปตลอดทางเดินที่ไอ๊เดินผ่านภายในแถวนั่งของตัวเอง โชคดีเท่าไหร่ที่พวกเราได้ที่นั่งกลางโรง...ไม่ถึงริมที่นั่งอีกฝั่งหนึ่งซึ่งทำให้คงต้องขอโทษคนอื่นเขาจนปากเปียกปากแฉะระหว่างที่ไอ๊นั่งว่าง ๆ อยู่ เพื่อรอภาพยนตร์เข้าฉาย (ทั้ง ๆ ที่เพลงสรรเสริญพระบารมี ซึ่งฉายแต่พระบรมฉายาลักษณ์ขององค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ์ บดินทรเทพยวรางกูร ได้บรรเลงเสร็จไปได้สักพักแล้ว) ไอ๊ก็กลับมาคิดทบทวนว่า ระหว่างที่ผู้คนทั่วไปที่เข้ามาชมภาพยนตร์ตรงตามเวลากำหนดฉาย แต่ต้องมารับชมภาพยนตร์โฆษณาซึ่งกินระยะเวลาร่วมยี่สิบนาที พวกเขาคงไม่มีความสุขสักเท่าไหร่ไอ๊เคยได้ยินใครบางคนเข้ามาบ่นดัง ๆ ให้ไอ๊ฟัง (ทั้ง ๆ ที่ไอ๊ก็ไม่ใช่ผู้ประกอบการโรงภาพยนตร์เสียหน่อย) ว่าโรงภาพยนตร์นี่ก็แปลกพิลึก บางทีคนเข้าชมเต็มโรง ยังประโคมโฆษณายาวยืด พี่ล่ะไม่ชอบเลยนะไอ๊แล้วตอนนั้นหรอ ไอ๊ก็ได้แต่ค้านพี่เขาไปเบา ๆ ว่าพี่รู้ได้ไงว่าคนเต็มโรง ทั้ง ๆ ที่พี่ก็มองไม่เห็น อีกอย่าง ถึงคนเต็มโรง แต่โรงภาพยนตร์เขาก็ต้องอยู่ได้ด้วยโฆษณา ก็ทน ๆ ดูกันไปเถอะแต่มันก็เกินไปป้ะ ยาวเสียขนาดนั้น หลับได้งีบนึงเลยนะนั่นก็อดแย้งไม่ได้ตามพื้นนิสัยที่เห็นอะไรของคนอื่นเป็นไม่ดีเสียหมดจนมาบัดนี้ ไอ๊ประสบกับตัวเองแล้วว่า การที่ไม่ได้รู้รอบฉายมาก่อนแล้วต้องรีบเข้าโรงภาพยนตร์เมื่อรู้ว่ารอบฉายที่ว่างเพิ่งผ่านมาได้ไม่กี่นาทีมันมีความหมายแค่ไหน ถ้าพลาดรอบนี้ไปก็หมายความว่า แม่ของไอ๊และไอ๊ก็จะต้องรอรอบฉายไปอีกอย่างน้อยก็ชั่วโมงเศษซึ่งดูเหมือนเสียเวลาไปเปล่าประโยชน์ นิทานเรื่องนี้จึงได้สอนให้ไอ๊ตระหนักว่า การจะวิภากษ์วิจารณ์เหตุการณ์ใดควรจะนึกไปให้ถึง อีกด้าน ของผู้มีส่วนร่วมได้เสียไปกับเราด้วยจงอย่าเพียงคิดแต่ประโยชน์ส่วนตน หรือประโยชน์เพียงในฝั่งของตนเท่านั้น เพราะแต่ละคนที่ต่างก็ทั้งได้และเสียประโยชน์ล้วนมีเหตุผลของตนเองทั้งสิ้นเช่นกรณีการเข้าชมภาพยนตร์...สำหรับคนที่เข้ามาเร็ว พวกเขาอาจมีเหตุผลต่างกัน ได้แก่ รีบมาจองที่นั่งที่เห็นได้ชัดที่สุด ไม่มีอะไรทำแล้ว หรือแม้แต่แค่ตั้งใจมาดูภาพยนตร์โฆษณาด้วย เป็นอาทิส่วนคนที่เข้ามาชมภาพยนตร์สาย พวกเขาอาจมีเหตุผลนานัปการ ได้แก่ รถติด ไม่วางแผนการเดินทาง หรือไม่ทราบรอบฉาย เป็นอาทิ...เราจึงไม่สามารถตัดสินใครที่การกระทำของพวกเขาได้เท่ากับเหตุผลซึ่งเราไม่สามารถมีทางรับรู้ด้วยได้เลย ครั้งหนึ่ง ไอ๊เคยได้ยินกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่ไอ๊ต้องไปร่วมงานกับพวกเขาด้วยพูดนินทาทีมงานด้วยกันทำนองว่าแม่งช้า! กับอีแค่ตั้งกล้องแล้วเรียกพวกเราไปถ่ายเลยมันจะยากอะไรนักหนาก็มันช้าที่นักร้องหลักไง...อีกฝ่ายที่ปากเปราะก็เพาะเชื้อไฟให้กระพือรู้ไหมว่าพวกนักร้องยังวอร์มเสียงกันอยู่เลย แม่งไม่วอร์มกันมาจากบ้านวะนี่นี่! เมื่อกี๊ไปขี้มา แอบได้ยินมาว่านักร้องจำเนื้อเพลงไม่ได้เถอะ...พวกนี้ก็ว่ากันไปเรื่อย เพราะไอ๊มารู้ตอนหลังว่า ที่ทีมงานตั้งกล้องช้าเพราะฝ่ายสถานที่ยังไม่สามารถเคลียร์กับเจ้าของสถานที่ให้ลงตัวได้ (แม้วินาทีที่กำลังจะถ่ายทำ) ส่วนนักร้องที่ต้องมาวอร์มเสียงก็เพื่อมาเทียบคีย์การร้องและเล่นให้ตรงกัน (สืบทราบมาอีกว่าแต่ละคนไปซ้อมมาคนละคีย์) และเนื่องจากการทิ้งช่วงการบันทึก BACKING TRACK กับช่วงที่ต้องถ่ายภาพยนตร์ประกอบก็นานจนนักร้องจำเนื้อไม่ได้ก็เท่านั้นเอง (สงสัยไหมครับว่าไอ๊กำลังพูดถึงการทำงานอะไร!) บางที เมื่อไอ๊นึกย้อนถึงเรื่องตัวเอง ก็มีหลาย ๆ เหตุการณ์ในยามที่ไอ๊ยังเป็นเด็ก ไอ๊ก็เคยไม่เข้าใจผู้ใหญ่ หรือแม้แต่พี่ชายซึ่งอายุห่างกันไม่เกินสองปี เช่น การนอนดึกตื่นสายของพี่ชายตัวเอง ไอ๊เคยคิดตามประสาเด็กผู้ตื่นเช้าว่า ทำไมต้องให้พ่อพร่ำปลุกพร่ำบ่นด้วยวะ (คงรำคาญน่ะครับ) แล้วเมื่อไอ๊โตขึ้นมาเท่ากับอายุพี่ชายในยามนั้น ไอ๊ก็รู้แล้วว่า ไหนจะการทำงานส่งครูอาจารย์หลายอย่าง ไหนจะต้องอ่านหนังสือ บางครั้งมันก็จำเป็นต้องนอนดึกแล้วตื่นสาย (ใครล่ะจะอยากนอนดึกตื่นเช้าครับ)นอกจากนี้ คำถามที่ไอ๊เคยถามผู้ใหญ่ว่าทำไมคนถึงทะเลาะกันแล้วผู้ใหญ่ในวันนั้นไม่สามารถตอบได้ เมื่อไอ๊กลายเป็นผู้ใหญ่แล้วมีเด็ก ๆ ต่างถามด้วยความไม่เข้าใจในสถานการณ์ไอ๊ก็ไม่สามารถตอบให้ได้ดีไปกว่าผู้ใหญ่ในวันวานเช่นกัน และไอ๊ก็คิดซึ่งคงไม่แตกต่างจากผู้ใหญ่เมื่อวันวานคิดว่า เด็กไม่ควรจะรู้เรื่องราวแย่ ๆ ของผู้ใหญ่เลย...คงไม่มีอะไรจะบอกทั้งกับผู้ใหญ่และเด็กว่า มันเป็นเช่นนั้นเอง อย่าได้คิดไปพยายามเข้าใจอะไรเลย...ปวดหัว
ห้องสมุด สุขภาพ การดูแลสุขภาพ อาหารเพื่อสุขภาพ ออกกำลังกาย สุขภาพผู้หญิง สุขภาพผู้ชาย สุขภาพจิต โรคและการป้องกัน สมุนไพรไทย ผู้หญิง ศัลยกรรม ความสวยความงาม แม่ตั้งครรภ์ ทารกแรกเกิด เด็ก ครอบครัว ความเชื่อ คนโบราณ