สัญญวิทยา (2) ตอนนักคิดที่รัก
มาถึงนักคิดในสายสัญญวิทยาที่ดัง ๆ กันนะครับ ผมแบ่งเป็นสองกลุ่มละกันคือกลุ่มบุกเบิกและกลุ่มที่มาสานต่อ
กลุ่มบุกเบิกนี้ได้แก่ F. de. Saussure อ่านง่าย ๆ ว่า (โซซู) และ C.Pierce คนแรกนี้เป็นชาวสวิสคนหลังที่เป็นมะกัน
โซซูนี้แกมีแนวคิดเบื้องต้น(ดูเหมือน)ง่าย ๆ ครับ คือเขาบอกว่าของแต่อย่างเนี๊ยะ มันมีสถานะสองอย่างคือ เป็นตัวหมาย (Signifier) หรือแทนว่า S (เอสใหญ่) และตัวหมายถึง (Signified)หรือแทนว่า s (เอสเล็ก)
ตัวหมายนี้ก็คือสิ่งต่าง ๆ ที่มีอยู่ในโลกแหละไม่ว่าจะเป็นหนังสือ สมุด ดินสอ กิริยาท่าทางต่าง ๆ แต่ตัวหมายถึงคือความหมายที่เราให้ไว้กับสิ่ง ๆ นั้น เช่น แหวนวงหนึ่งที่มีอยู่ทั่วไป (Signifier) แต่เมื่อไปอยู่ในนิ้วนางของเจ้าสาว (Signified) แหวนวงนั้นก็ถูกให้ความหมายว่าเป็นแหวนที่ผูกความรักของซึ่งกันและกัน
ในแต่ละสังคม ก็ให้ความหมายของสิ่งเดียวกันแตกต่างกันไป ใครเคยดู Mr.Bean The Movie คงจำได้ว่าตาบีนที่รักไปเที่ยวแจกนิ้วกลางตามถนนที่อเมริกา เพราะนึกว่านิ้วกลางนั้นแปลว่าสวัสดี ที่ไหนได้นิ้วกลางมันเป็นคำด่าอย่างที่เรา ๆ ท่าน ๆ รู้
เรื่องต่อมาที่โซซูสนใจคือเรื่องวัฐจักรของสัญญะ (Life cycle of life) ชีวิตคนเรายังมีเกิดแก่เจ็บตายได้ แล้วนับอะไรกับภาษาที่เราพูดกันอยู่ โซซูแกสนใจว่าความหมายของสัญญะเนี๊ยะมันมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ยกตัวอย่าง พ่อแม่พี่น้องรู้จักคำว่าลงแขกไหม เดิมลงแขกนี้หมายความว่าการไปช่วยกันเก็บเกี่ยวข้าวในทุ่งนา (เด็กกรุงเทพคงนึกภาพไม่ออก) แต่ทุกวันนี้ลงแขกเปี๋ยนไป๋ กลายเป็นเรื่องของการรุมโทรมข่มขืนไปได้ เห็นม่ะว่าความหมายของคำต่าง ๆ มันเปลี่ยนไปเสมอ
อย่างที่กล่าวไว้ในตอนที่ 1 ว่า สัญญวิทยาเริ่มแรกเป็นวิชาที่ศึกษาในสาขาภาษาศาสตร์ โซซูเป็นคนแรก ๆ ที่เริ่มศึกษาอะไรที่มากกว่าภาษา เอาง่าย ๆ คือทุกอย่างแกศึกษาหมดเลย แกบอกว่าทุกอย่างมันมีความหมาย ดังนั้นศึกษาได้ทุกสิ่ง อึสักก้อนวางอยู่มันก็มีความหมายอยู่ (น่าสนใจ ๆ)
มาที่คนต่อไปคือ คุณตา Pierce คุณตาท่านเป็นพวกนักปราชญ์ที่ใช้ภาษาในงานสวยงาม คุณตาก็ให้คำนิยามคำว่า Sign ไว้ว่า
“Sign is something which stands to somebody for something in same respect”
เพียร์ซ ยังแบ่งสัญญะออกเป็นสามรูปแบบ คือ icon index symbol แต่ละอันก็มีข้อแตกต่างคือ icon ไอ้เจ้าตัวหมายกับตัวหมายถึงความหมายไม่ต่างกันเท่าไร เช่น รูปปั้น ดูปุ๊บเดียวก็รู้เลยว่ารูปปั้นนี้เป็นใคร หรือรูปถ่ายต่าง ๆ เราเห็นแล้วก็รู้เลยว่าเป็นรูปใคร
ส่วน index ของจริงกับความหมายต่างกันขึ้นมาหน่อย เช่นไปเที่ยวป่าแล้วเห็นกองไฟที่มอดแล้ว ไอ้เจ้ากองไฟที่มอดแล้วนี้คือตัวหมาย ซึ่งคนที่เข้ามาก็จะเข้าใจได้ทันทีเลยว่าเคยมีคนมาพักอยู่ตรงนี้ก่อนหน้านี้ (เป็นตัวหมายถึง)
สุดท้ายคือ Symbol ของจริงกับความหมายต่างกันลิบลับ ก็เป็นพวกสัญลักษณ์ต่าง ๆ ที่เราใช้กัน ถ้าสังคมนั้นรู้จัก symbol มาก ๆ ก็จะสามารถร่น icon มาเป็น symbol ได้
ส่วนนักคิดใหม่ ๆ ก็เช่น Roland Barthes ผู้สนใจเรื่องของมายาคติ เขาบอกว่าความหมายต่าง ๆ ที่ถูกสร้างขึ้นได้กลายไปเป็นมายาคติ มายาคติก็คือความเชื่อครับ ความเชื่อที่เราคิดกันจนไปว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติ เช่น เรื่องของความขาว โฆษณาซักผ้าจะทำให้เห็นว่าผ้าในขาวมาก ๆ เราก็เลยคิดว่าไอ้ความขาวที่เห็นในโฆษณานั้นคือความขาวจริง ๆ ตามธรรมชาติ ซึ่งจริง ๆ แล้วเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าความขาวตามธรรมชาตินั้นเป็นไง
อีกคนคือ Umberto Eco ก็สนใจเรื่องของเนื้อหาของสารในบริบทต่าง ๆ สารอันเดียวกันนี้เมื่ออยู่ในบริบทที่ต่างกันไปความหมายก็เปลี่ยน เช่นในเรื่องเทวดาท่าจะบ๊องส์ ขวดโค้กสำหรับคนขาวแล้วก็คือขยะที่หมดประโยชน์ แต่สำหรับชนเผ่าของนิเชา ขวดโค้กคือสิ่งที่พระเจ้าประทานลงมาจากฟ้า เห็นไหมครับสิ่งเดียวกันพอเปลี่ยนที่ ความหมายต่าง ๆ มันก็เปลี่ยน
เรื่องนักคิดเอากันอ้วกแตกแค่นี้ก่อน ตอนที่สามจะเป็นแนวคิดเบื้องต้นเกี่ยวกับสัญญวิทยาครับ
Create Date : 18 มิถุนายน 2548 |
|
3 comments |
Last Update : 18 มิถุนายน 2548 12:38:08 น. |
Counter : 1884 Pageviews. |
|
|
|
ชอบโรลองค์ บาส์ท ไหม