Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2552
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
 
2 กุมภาพันธ์ 2552
 
All Blogs
 
+++++ "Picnic on the Battlefield ตากอากาศกลางสนามรบ" ละครเวทีเสียดสีสุดแอบเสิร์ด +++++

ก่อนจะเขียนบล็อกนี้ผมได้ลองค้นหาเรื่องละครเวทีในอินเตอร์เนทดูโดยเฉพาะในห้องละครเวที ณ พันทิป พบว่าบรรยากาศละครเวทีในกรุงเทพฯ ยังคงคึกคัก มีผลงานจากค่ายเล็กค่ายใหญ่ออกมาให้ได้ชม เป็นได้ว่าละครเวทียังคงมนต์เสน่ห์ให้คนได้ลิ้มลองด้วยลักษณะรูปแบบเฉพาะที่เป็น "สื่อร้อน" คนดูมีส่วนร่วมทางอารมณ์สูงไปกว่างานบันเทิงประเภทอื่น

มาดูเชียงใหม่ เมืองที่ใครโมเมว่าเป็นเมืองหลวงแห่งทีสอง กระแสละครเวที ณ ขณะนี้ก็พอมีให้ชมกันบ้าง แต่ไม่คึกคักเท่าใด โดยมากเป็นละครของนักศึกษา จะมีเป็นของกลุ่มบริษัทก็เพียงแห่งสองแห่ง นับแต่ปีใหม่เป็นต้นมา ผมมีโอกาสได้ชมละครเวทีไปแล้วราวสามเรื่อง โดยทั้งหมดเป็นงานนักศึกษา ซึ่งคุณภาพก็ดีเลวปนกันไป

สี่ห้าวันก่อนได้รับข่าวจากชมรมการแสดง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผ่านทางเวบไฮไฟว์ว่าสุดสัปดาห์นี้จะมีละครเวทีของชมรมเอง จัดขึ้น ณ ลานไอคิโด้ ซึ่งอยู่หลังโรงอาหารกลางของ ม.เชียงใหม่ ซึ่งเรียกติดปากกันว่า อ.มช. ผมเคยไปชมละครเรื่องก่อนหน้านี้ของพวกเขาแล้วรู้สึกประทับใจ ละครครานี้เมื่อทราบข่าวก็รีบโทรไปจองตั๋วทันที

สมาชิกในชมรมส่วนใหญ่เป็นเด็กคณะการสื่อสารมวลชน (พูดง่าย ๆ ก็คือเป็นน้องคณะผม) แต่ก็มีเด็กจากคณะอื่นที่สนใจละครเวทีเข้าร่วมกิจกรรม โดยเป็นทั้งนักแสดง ฝ่ายฉาก เสียง เฮาส์ ถือเป็นนิมิตหมายอันดีที่มีเด็กคณะอื่น ๆ ให้ความสนใจในละครเวทีมากขึ้น

ละครคราวที่แล้วเป็นละครสั้นสิบเรื่องเรียงติดกันภายใต้แก่นเรื่อง "ความรัก" กลับกันกับคราวนี้ที่หยิบยืมเอาบทละครแนวเหนือจริงของศิลปินผู้มากความสามารถชาวสเปน เฟอร์นันโด อาราบัล เรื่อง ปิคนิค ออน เดอะ แบทเทิลฟิลด์ (Picnic on the Battlefield) มาปรับแสดง

อาราบัลเป็นทั้งกวี คนเขียนนิยาย ทำหนังและละครเวทีหลายเรื่อง ได้รับรางวัลมากมาย บทละครเรื่อง Picnic on the Battlefield เขียนขึ้นในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1957 - 1958 แม้จะเป็นพ้นล่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มาแล้ว แต่ความสงบสุขบนโลกก็หาได้แปรผันตรงไม่ ยิ่งสเปนมีการสู้รบกันระหว่างชาวบาสก์และชาวสเปน ยิ่งเป็นแรงบันดาลใจอย่างดีให้อาราบัลสะท้อนความไร้สาระของสงคราม

ในบทสัมภาษณ์ของอาราบัล เขากล่าวว่าละครของเขานั้นเปรียบเหมือน "ฝันร้ายที่ทำให้เกินจริง" ซึ่งปัจจุบันเราเห็นได้ในงานศิลปะประเภทเหนือจริง (Surrealism) ที่ไม่ต้องการเหตุผลในการอธิบายการกระทำเหนือจริง และมักแฝงอารมณ์เสียดสี ยั่วล้อในการกระทำอันเหลวไหลไร้เหตุผลต่าง ๆ

กลับมาที่การแสดงของชมรมการละคร มช. สถานที่จัดแสดงนั้นเป็นลานใต้อาคารเปิดกว้าง การแสดงจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับการจัดแสงเท่าได้นัก มีเพียงการใช้แสงของหลอดฟลูออเรสเซนส์ที่ติดอยู่แล้วก็ตัวกำหนดจังหวะการแสดง เมื่อเข้าไปยังหน้างาน มีการจัดโดยอิงเอาสถานการณ์การเกณฑ์ทหารแบบขำ ๆ มาใช้ให้เป็นประโยชน์ ทีมงานทุกคนแต่งชุดทหารแบบลดทอนรายละเอียด เหลือเพียงกางเกงผ้าสีเขียว รองเท้าหนังและผ้าพันคอพอให้รู้ว่าเป็นทหาร ก่อนการแสดงเริ่มมีให้คนดูลุ้น ๆ นิดโดยการให้จับใบดำใบแดง ซึ่งเป็นของที่ระลึกว่าชมวันไหน รอบใด

ผู้ชมในรอบนี้มีไม่มาก ราวสิบกว่าคน มีตั้งแต่คุณปู่ที่พาหลานตัวเล็กมาชมงาน การจัดฉากทำอย่างง่าย ๆ ตามหลักแบบ Impressionism คือลดทอนสิ่งที่เกินจำเป็น ใส่เพียงสิ่งที่ทำให้รู้ว่าฉากนั้นเป็นที่ไหน (อาทิเช่น ฉากในลิเกไทย ที่มีเพียงบังลังก์ก็รู้ได้ว่านี่คือท้องพระโรง) ทีมงานใช้หมอนมาตั้งเ็ป็นบังเกอร์ และโรยใบไม้แห้งทั่วทั้งเวทีขึงล้อมด้วยไฟระยิบที่ใช้แต่งต้นคริสมาส

เรื่องเริ่มต้นเมื่อ ซาโป ทหารเกณฑ์ผู้เหลือรอดเฝ้าค่ายอยู่คนเดียว กำลังรอความตายจากการโดนข้าศึกบอมบ์ แต่แล้วอยู่ดี ๆ พ่อแม่ของซาโปก็เดินทางมาเยี่ยมลูกถึงแนวหน้า พร้อมกับจัดงานปิคนิคขึ้นราวกับว่ามาชมพลุเพลิงก็มิปาน

ระหว่างที่ตาแก่และยายแก่ชวนลูกกินแซนวิชอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวนั้น ก็บังเอิญมีข้าศึกนายหนึ่งหลงเข้ามา ทั้งสามคนก็เลยเอ่ยปากขอให้คุณข้าศึกมาเป็นเชลยเสียดีกว่า

ความเหนือจริงที่มุ่งขับความไร้สาระของสงครามแฝงอยู่ในทุกรายละเอียดของบท ฉากที่เรียกเสียงหัวเราะแบบขื่น ๆ ของผู้ชมได้ดี เช่น ฉากที่พ่อแม่บอกใ้ห้ซาโปจับเชลยมัด ซาโปก็ขออนุญาตและบอกให้ยื่นแขนทั้งสองออกมาเพื่อจะได้มัดง่าย ๆ ทว่าซาโปมัดแรงเกินไปจนข้าศึกบ่น ตัวพ่อเลยทำการสั่งสอนมารยาทแก่ซาโปว่าต้องให้เกียรติเชลย โดยการมัดเบา ๆ แถมยังมีการถามว่าอีกว่ามัดแบบนี้เจ็บหรือเปล่า

เมื่อมัดเสร็จ ทั้งสามคนก็ทำการถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก ในท่าให้เชลยนอนแล้วซาโปเหยียบท้องเชลย ถ่ายไปรูปสองรูปเจ้าตัวเชลยบ่นว่าไม่อยากให้ถ่ายเลย กลัวว่าคู่หมั้นจะเห็น ทั้งสามก็เลยต้้องยอมเพราะสงสาร

นี่คือตัวอย่างของความแอบเสิร์ดในละครเรื่องนี้ ซึ่งพฤติกรรมแบบไร้สาระแบบนี้ยังมีอีกเยอะ จนกระทั่งระหว่างที่ทั้งสี่คนกำลังกินแซนวิชและเหล่าอย่างอร่อยนั้น ก็พลันเกิดการบอมบ์ขึ้น (ซาโปกับเชลยหนีหัวซุกหัวซุนในบังเกอร์ แต่สองตายายกลับกางร่มนั่งดูเครื่องบินโปรยระเบิดโดยเห็นเป็นเรื่องสนุกสนาน) หลังจากนั้นมีบุรุษพยาบาลสองคนวิ่งเข้ามาเพื่อค้นหาศพผู้เสียชีวิต แถมยังบ่นอีกว่าทำงานมาตั้งนานยังไม่เคยแบกศพเลยสักครั้ง

ทั้งสี่คนเลยช่วยกันหาศพกันเป็นการใหญ่ พอหาไม่เจอ ตัวพ่อก็บ่นกับลูกชายว่าตั้งใจหาหรือยัง มันต้องมีสิคนตายอ่ะ พอหาแล้วหาอีกไม่เจอ ก็เลยบอกว่าถ้าเจอเมื่อไหร่จะเก็บศพไว้ให้ จะได้มีผลงานกับเขาบ้าง เอากับเขาสิ!

ต้องยอมรับว่าละครของชมรมการแสดงเรื่องนี้เลือกบทมาได้ดี แถมยังเข้ากับบริบทสังคม ณ ขณะนี้อย่างยิ่ง หลาย ๆ มุกมีการปรับให้เข้ากับเมืองไทยโดยเฉพาะเรื่องเสื้อแดงและเสื้อเหลือง บทที่ดีอยู่แล้วทำให้การแสดงลื่นไหลจนเมื่อตอนจบ ผมรู้สึกทันทีว่าละครสั้นจัง ยังดูไม่เต็มอิ่มเลย ทั้งนี้เพราะละครดูสนุกและมีมุกให้หัวเราะอย่างตลกร้ายตลอดทั้งเรื่อง

แต่ิสิ่งที่ต้องปรับปรุงอีกนิดคือแอคติ้งของนักแสดง โดยเฉพาะนักแสดงสองคนที่เป็นทหารทั้งซาโปและเชลยเอง ซึ่งยังเล่นแข็ง ๆ (บางครั้งเหมือนกำลังต่อบทกันเฉย ๆ ) ซึ่งหากนักแสดงแสดงได้ถึงความกังวลในแววตาและไ่ม่เข้าใจพฤติกรรมคนเป็นพ่อแม่ที่เหมือนไม่เข้าใจเลยว่าสงครามเป็นเช่นไร

เมื่อดูจบผมคุยกับเพื่อนที่ไปดูด้วยถึงประเด็นความไร้สาระของสงคราม รวมถึงความประทับใจที่ได้รับ ถือเป็นละครที่ดีที่สุดเท่าที่ได้ดูมาในรอบปีนี้ ซึ่งโดยมากก็เป็นงานนักศึกษา ซึ่งทำกันละครกันเป็นค่านิยม ทำเอาเท่แต่เรื่องบท แอคติ้ง การจัดแสง เสียง ฯลฯ อย่าให้พูดเลย เดี๋ยวจะเสียกำลัีงใจ

ภารกิจสำคัญต่อไปของชมรมการแสดงที่อยากฝากไว้ (รวมถึงนักศึกษาในทุก ๆ สถาบันที่นิยมทำละคร) คือการผลิตบทที่มีคุณภาพ อันเป็นเรื่องที่ยากมากแต่ก็ต้องใส่ใน หากสามารถแสดงละครด้วยบทอันยอดเยี่ยมแถมเขียนด้วยตนเอง คงน่าภูมิใจไม่น้อย

นี่เป็นเพียงปฐมบทของชมรมการแสดง มช. ในยุคเจเนเรชั่นใหม่เท่านั้น คงต้องรอดูผลงานของพวกเขาเหล่านี้ต่อไปว่าจะเป็นอย่างไรกันบ้าง และหากผมได้ชมจะนำมาเล่าสู่กันฟังต่อไป







Create Date : 02 กุมภาพันธ์ 2552
Last Update : 2 กุมภาพันธ์ 2552 10:06:11 น. 19 comments
Counter : 5992 Pageviews.

 
โห ละคร ม.ช.เก๋มาก
พี่จำได้ว่าเคยมีหนังสือบทละคร "ตากอากาศกลางสนามรบ" แหล่ะ ดอง
แต่หาไม่เจอเสียแล้ว หนังสือมันเก่ามากๆ

บทละครโคตรจะเอ็กซิสตอง


โดย: grappa 1 กุมภาพันธ์ 2552 14:59:08 น.


โดย: I will see U in the next life. วันที่: 2 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:10:07:31 น.  

 
กิ๊บๆ
ย่อมาจากกิ๊บเก๋ จ้าดอง


โดย: grappa วันที่: 2 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:22:21:59 น.  

 
หนังของอาราบัลก็ออกแนวเซอร์ๆ เหวอๆ ครับ


ปีที่แล้วคนกรุงเทพฯอย่างผมดูละครเวทีแค่ 3 เรื่องเอง
โดยส่วนตัวผมชอบละครที่สร้างจากบทละครต่างประเทศเจ๋งๆ แบบนี้
มากกว่าละครที่เขียนขึ้นใหม่


โดย: แค่เพียงรู้สึกสุขใจ วันที่: 2 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:23:13:43 น.  

 
อยากดูจัง

ได้ดูละครเวทีของ นศ. หลายๆ ที่ แล้วรู้สึกว่า เอ้อ เด็กสมัยีน้เก่งกันจังนะ

อย่างไรก็ดี ... ก็มีละครของบางคณะบางสถาบัน ที่ไปดูกี่ที ก็ได้แต่ส่ายหน้าในความดักดานบางอย่าง ที่สำคัญมันเป็นละครที่คนนิยมดู 555


โดย: merveillesxx วันที่: 3 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:0:53:55 น.  

 
- พี่แ็ป็ด

อ่อ แบบนี้นี่เอง

- คุณพล

คือผมอยากให้คนไทยพัฒนามากขึ้นด้วยการพัฒนาบทของตนเองขึ้นมา ซึ่งผมคิดว่าเป็นขั้นตอนที่ยากที่สุดในการทำละครครับ

- ต่อ

คณะ ป.โท เราเปล่า


โดย: I will see U in the next life. วันที่: 3 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:17:29:18 น.  

 
+ ขอบคุณจารย์ดองที่ยังจำกันได้ และแวะไปเยี่ยมเยียนผมถึงบล็อกนะขอรับ

+ ละครเวที สมัยก่อนผมจะเคยชินกับละครถาปัตย์ จุฬา เพราะมีเพื่อนคนนึงชอบลากไปดูเป็นเพื่อนมัน (แต่เด๋วนี้ เพื่อนคนนี้ไปบวชแล้ว ยังไม่สึกเลย ตั้งแต่นั้นมาผมก็เลยไม่ค่อยได้ดูละครเวทีสักเท่าไหร่ (เวลาจะจองตั๋วไปดูคนเดียว มันรู้สึกแหม่งๆ ไม่เหมือนหนังโรง ที่ผมดูคนเดียวจนชินซะแล้ว) เรื่องล่าสุดก็เป็นเรื่องที่น้องเมอร์ฯ แนะนำไว้ในบล็อก ไปดูที่สถาบันปรีดีฯ ซ.ทองหล่อ (ผมเคยรีวิวลงบล็อกตัวเองไปแล้วด้วย) ซึ่งเค้าก็เล่นกันได้สุดยอดจริงๆ มีกันแค่ 3 คน แต่สร้างสรรค์พล็อตและสีหน้าท่าทางน้ำเสียงกันออกมาได้มากมายขนาดนั้น ผมล่ะนับถือเลยอ่ะครับ คนเล่นละครเวทีเก่งๆ เนี่ย

+ ก็หวังว่าจารย์ดองคงจะได้เสพเรื่องอื่นอีกในเร็ววันนี้นะครับ


โดย: บลูยอชท์ วันที่: 5 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:0:34:09 น.  

 
สมัยผมยังไม่มีละครเวทีให้ดูเลยครับ หรือว่าผมไม่ได้ไปเปิดหูเปิดตาก็ไม่รู้

ยินดีที่ได้รู้จักลูกช้างด้วยกันนะครับ จะห่างกันกี่รุ่นๆก็เลือดสีม่วงเหมือนกัน จริงมั้ยครับ


โดย: JohnV วันที่: 6 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:18:29:51 น.  

 
ดีจังได้ดูละคร ม.ช. ด้วยอ่ะ

เท่าที่อ่านดู ดูท่าทางละครจะดีมากๆเลยนะครับ

เสียดายเหมือนกันที่ไม่มีโอกาสได้ดู

หุหุ


โดย: เด็กม.ปลาย (Onlineza ) วันที่: 7 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:23:11:50 น.  

 
เอา Oscar มาฝาก 1 ตัวค่ะ



โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:21:53:53 น.  

 
ขอบคุณที่มาเล่าให้ฟังค่ะ

ชีวิตไม่ค่อยได่ดูละครเวทีเท่าไร

ยิ่งละครของนิสิต นักศึกษาแทบไม่มีโอกาสเลย



โดย: cottonbook วันที่: 9 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:15:27:06 น.  

 
โอ ไม่ได้ดูละครเวทีนานมาก ตั้งแต่สมัยยังเรียนอยู่โน่นเลย เด๋วนี้ไม่มีปัญญาไปตีตั๋วดูละครเวทีแบบมืออาชีพอ่ะ มันแพงเหลือเกิน


โดย: joblovenuk วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:10:22:33 น.  

 
เคยมีโอกาสเกือบได้ดูแล้ว มีคนจะเลี้ยง
เสียดายถึงตอนนี้ทำไมไม่ไป บัตรตั้งสองพัน หุหุ


โดย: printcess of the moon วันที่: 13 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:9:26:57 น.  

 
น่าสนใจมากครับ

คราวหลัง ท่ามีกิจกรรมดีๆ ก็บอกกันได้นะครับ


โดย: ฟ้าดิน วันที่: 14 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:16:08:02 น.  

 
ไม่ค่อยได้ดูละครเวทีเลยค่ะ


โดย: renton_renton วันที่: 15 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:1:14:37 น.  

 
ชอบดูละครเวทีนะคะ แต่เชียงใหม่นี่มันไกลเกินไป


โดย: perfect blue วันที่: 16 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:13:51:47 น.  

 
แนวนี้น่าดู เพราะผมพูดกง ๆ ว่า เบื่อละครเวทีไทยเต็มที มันวนอยู่ไม่กี่อย่าง เรื่องที่ท่านนำเสนอน่าสนมากครับ แต่เอ่อ... ไปสะกิดให้เขามาเปิดวิกที่กรุงเทพหน่อยจะได้ไหมครับ

เนื้อเรื่องน่าสนใจ อยากเห็นมุมมองการจัดจัง


โดย: พยัคฆ์ร้ายแห่งคลองบางหลวง วันที่: 17 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:6:41:57 น.  

 
- - - "Symphony X" Live in Bangkok - - - / Friday February 20, 2008 / Pridi Panomyong Hall Thonglor



Symphony X is an American heavy metal band from New Jersey founded in 1994 by guitarist Michael Romeo. Their 1997 album The Divine Wings of Tragedy and their 2000 release V: The New Mythology Suite have given the band considerable attention within the progressive metal community. Musically, Symphony X is often compared to a great progressive metal band, Dream Theater. They play in complex timings and odd meters while incorporating elements of symphonic metal and more traditional heavy metal into their sound. Their music also contains strong neo-classical elements reminiscent of Yngwie Malmsteen, Cacophony, Randy Rhoads, and other neo-classical metal artists.


โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 20 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:7:15:02 น.  

 
ขอบคุณค่ะพี่ดองสำหรับคำแนะนำติชม
แล้วจะขยันทำออกมาเยอะ ๆ นะคะ : )


โดย: kajui IP: 202.28.27.3 วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:2:48:59 น.  

 
เรื่องนี้ดูจะยอดนิยมสำหรับละครมหาลัย

แนวหลุดโลกเนี่ย ถ้าทำไม่ถึงก็ดึงคนดูไว้ไม่อยู่...

ไม่ค่อยได้มีโอกาสดูงานของเด็กยุคนี้เท่าไร...

เด็ก ม.กรุงเทพชวนไปดูชิคาโก้ภาคไทย นึกไม่ออกจิงๆ ว่ามันจะออกหัวออกก้อยยังไง


โดย: พี่หมี (Bkkbear ) วันที่: 1 มีนาคม 2552 เวลา:1:14:37 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

I will see U in the next life.
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




Friends' blogs
[Add I will see U in the next life.'s blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.