|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
|
|
|
|
|
|
|
+++++ "Picnic on the Battlefield ตากอากาศกลางสนามรบ" ละครเวทีเสียดสีสุดแอบเสิร์ด +++++
ก่อนจะเขียนบล็อกนี้ผมได้ลองค้นหาเรื่องละครเวทีในอินเตอร์เนทดูโดยเฉพาะในห้องละครเวที ณ พันทิป พบว่าบรรยากาศละครเวทีในกรุงเทพฯ ยังคงคึกคัก มีผลงานจากค่ายเล็กค่ายใหญ่ออกมาให้ได้ชม เป็นได้ว่าละครเวทียังคงมนต์เสน่ห์ให้คนได้ลิ้มลองด้วยลักษณะรูปแบบเฉพาะที่เป็น "สื่อร้อน" คนดูมีส่วนร่วมทางอารมณ์สูงไปกว่างานบันเทิงประเภทอื่น
มาดูเชียงใหม่ เมืองที่ใครโมเมว่าเป็นเมืองหลวงแห่งทีสอง กระแสละครเวที ณ ขณะนี้ก็พอมีให้ชมกันบ้าง แต่ไม่คึกคักเท่าใด โดยมากเป็นละครของนักศึกษา จะมีเป็นของกลุ่มบริษัทก็เพียงแห่งสองแห่ง นับแต่ปีใหม่เป็นต้นมา ผมมีโอกาสได้ชมละครเวทีไปแล้วราวสามเรื่อง โดยทั้งหมดเป็นงานนักศึกษา ซึ่งคุณภาพก็ดีเลวปนกันไป
สี่ห้าวันก่อนได้รับข่าวจากชมรมการแสดง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผ่านทางเวบไฮไฟว์ว่าสุดสัปดาห์นี้จะมีละครเวทีของชมรมเอง จัดขึ้น ณ ลานไอคิโด้ ซึ่งอยู่หลังโรงอาหารกลางของ ม.เชียงใหม่ ซึ่งเรียกติดปากกันว่า อ.มช. ผมเคยไปชมละครเรื่องก่อนหน้านี้ของพวกเขาแล้วรู้สึกประทับใจ ละครครานี้เมื่อทราบข่าวก็รีบโทรไปจองตั๋วทันที
สมาชิกในชมรมส่วนใหญ่เป็นเด็กคณะการสื่อสารมวลชน (พูดง่าย ๆ ก็คือเป็นน้องคณะผม) แต่ก็มีเด็กจากคณะอื่นที่สนใจละครเวทีเข้าร่วมกิจกรรม โดยเป็นทั้งนักแสดง ฝ่ายฉาก เสียง เฮาส์ ถือเป็นนิมิตหมายอันดีที่มีเด็กคณะอื่น ๆ ให้ความสนใจในละครเวทีมากขึ้น
ละครคราวที่แล้วเป็นละครสั้นสิบเรื่องเรียงติดกันภายใต้แก่นเรื่อง "ความรัก" กลับกันกับคราวนี้ที่หยิบยืมเอาบทละครแนวเหนือจริงของศิลปินผู้มากความสามารถชาวสเปน เฟอร์นันโด อาราบัล เรื่อง ปิคนิค ออน เดอะ แบทเทิลฟิลด์ (Picnic on the Battlefield) มาปรับแสดง
อาราบัลเป็นทั้งกวี คนเขียนนิยาย ทำหนังและละครเวทีหลายเรื่อง ได้รับรางวัลมากมาย บทละครเรื่อง Picnic on the Battlefield เขียนขึ้นในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1957 - 1958 แม้จะเป็นพ้นล่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มาแล้ว แต่ความสงบสุขบนโลกก็หาได้แปรผันตรงไม่ ยิ่งสเปนมีการสู้รบกันระหว่างชาวบาสก์และชาวสเปน ยิ่งเป็นแรงบันดาลใจอย่างดีให้อาราบัลสะท้อนความไร้สาระของสงคราม
ในบทสัมภาษณ์ของอาราบัล เขากล่าวว่าละครของเขานั้นเปรียบเหมือน "ฝันร้ายที่ทำให้เกินจริง" ซึ่งปัจจุบันเราเห็นได้ในงานศิลปะประเภทเหนือจริง (Surrealism) ที่ไม่ต้องการเหตุผลในการอธิบายการกระทำเหนือจริง และมักแฝงอารมณ์เสียดสี ยั่วล้อในการกระทำอันเหลวไหลไร้เหตุผลต่าง ๆ
กลับมาที่การแสดงของชมรมการละคร มช. สถานที่จัดแสดงนั้นเป็นลานใต้อาคารเปิดกว้าง การแสดงจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับการจัดแสงเท่าได้นัก มีเพียงการใช้แสงของหลอดฟลูออเรสเซนส์ที่ติดอยู่แล้วก็ตัวกำหนดจังหวะการแสดง เมื่อเข้าไปยังหน้างาน มีการจัดโดยอิงเอาสถานการณ์การเกณฑ์ทหารแบบขำ ๆ มาใช้ให้เป็นประโยชน์ ทีมงานทุกคนแต่งชุดทหารแบบลดทอนรายละเอียด เหลือเพียงกางเกงผ้าสีเขียว รองเท้าหนังและผ้าพันคอพอให้รู้ว่าเป็นทหาร ก่อนการแสดงเริ่มมีให้คนดูลุ้น ๆ นิดโดยการให้จับใบดำใบแดง ซึ่งเป็นของที่ระลึกว่าชมวันไหน รอบใด
ผู้ชมในรอบนี้มีไม่มาก ราวสิบกว่าคน มีตั้งแต่คุณปู่ที่พาหลานตัวเล็กมาชมงาน การจัดฉากทำอย่างง่าย ๆ ตามหลักแบบ Impressionism คือลดทอนสิ่งที่เกินจำเป็น ใส่เพียงสิ่งที่ทำให้รู้ว่าฉากนั้นเป็นที่ไหน (อาทิเช่น ฉากในลิเกไทย ที่มีเพียงบังลังก์ก็รู้ได้ว่านี่คือท้องพระโรง) ทีมงานใช้หมอนมาตั้งเ็ป็นบังเกอร์ และโรยใบไม้แห้งทั่วทั้งเวทีขึงล้อมด้วยไฟระยิบที่ใช้แต่งต้นคริสมาส
เรื่องเริ่มต้นเมื่อ ซาโป ทหารเกณฑ์ผู้เหลือรอดเฝ้าค่ายอยู่คนเดียว กำลังรอความตายจากการโดนข้าศึกบอมบ์ แต่แล้วอยู่ดี ๆ พ่อแม่ของซาโปก็เดินทางมาเยี่ยมลูกถึงแนวหน้า พร้อมกับจัดงานปิคนิคขึ้นราวกับว่ามาชมพลุเพลิงก็มิปาน
ระหว่างที่ตาแก่และยายแก่ชวนลูกกินแซนวิชอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวนั้น ก็บังเอิญมีข้าศึกนายหนึ่งหลงเข้ามา ทั้งสามคนก็เลยเอ่ยปากขอให้คุณข้าศึกมาเป็นเชลยเสียดีกว่า
ความเหนือจริงที่มุ่งขับความไร้สาระของสงครามแฝงอยู่ในทุกรายละเอียดของบท ฉากที่เรียกเสียงหัวเราะแบบขื่น ๆ ของผู้ชมได้ดี เช่น ฉากที่พ่อแม่บอกใ้ห้ซาโปจับเชลยมัด ซาโปก็ขออนุญาตและบอกให้ยื่นแขนทั้งสองออกมาเพื่อจะได้มัดง่าย ๆ ทว่าซาโปมัดแรงเกินไปจนข้าศึกบ่น ตัวพ่อเลยทำการสั่งสอนมารยาทแก่ซาโปว่าต้องให้เกียรติเชลย โดยการมัดเบา ๆ แถมยังมีการถามว่าอีกว่ามัดแบบนี้เจ็บหรือเปล่า
เมื่อมัดเสร็จ ทั้งสามคนก็ทำการถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก ในท่าให้เชลยนอนแล้วซาโปเหยียบท้องเชลย ถ่ายไปรูปสองรูปเจ้าตัวเชลยบ่นว่าไม่อยากให้ถ่ายเลย กลัวว่าคู่หมั้นจะเห็น ทั้งสามก็เลยต้้องยอมเพราะสงสาร
นี่คือตัวอย่างของความแอบเสิร์ดในละครเรื่องนี้ ซึ่งพฤติกรรมแบบไร้สาระแบบนี้ยังมีอีกเยอะ จนกระทั่งระหว่างที่ทั้งสี่คนกำลังกินแซนวิชและเหล่าอย่างอร่อยนั้น ก็พลันเกิดการบอมบ์ขึ้น (ซาโปกับเชลยหนีหัวซุกหัวซุนในบังเกอร์ แต่สองตายายกลับกางร่มนั่งดูเครื่องบินโปรยระเบิดโดยเห็นเป็นเรื่องสนุกสนาน) หลังจากนั้นมีบุรุษพยาบาลสองคนวิ่งเข้ามาเพื่อค้นหาศพผู้เสียชีวิต แถมยังบ่นอีกว่าทำงานมาตั้งนานยังไม่เคยแบกศพเลยสักครั้ง
ทั้งสี่คนเลยช่วยกันหาศพกันเป็นการใหญ่ พอหาไม่เจอ ตัวพ่อก็บ่นกับลูกชายว่าตั้งใจหาหรือยัง มันต้องมีสิคนตายอ่ะ พอหาแล้วหาอีกไม่เจอ ก็เลยบอกว่าถ้าเจอเมื่อไหร่จะเก็บศพไว้ให้ จะได้มีผลงานกับเขาบ้าง เอากับเขาสิ!
ต้องยอมรับว่าละครของชมรมการแสดงเรื่องนี้เลือกบทมาได้ดี แถมยังเข้ากับบริบทสังคม ณ ขณะนี้อย่างยิ่ง หลาย ๆ มุกมีการปรับให้เข้ากับเมืองไทยโดยเฉพาะเรื่องเสื้อแดงและเสื้อเหลือง บทที่ดีอยู่แล้วทำให้การแสดงลื่นไหลจนเมื่อตอนจบ ผมรู้สึกทันทีว่าละครสั้นจัง ยังดูไม่เต็มอิ่มเลย ทั้งนี้เพราะละครดูสนุกและมีมุกให้หัวเราะอย่างตลกร้ายตลอดทั้งเรื่อง
แต่ิสิ่งที่ต้องปรับปรุงอีกนิดคือแอคติ้งของนักแสดง โดยเฉพาะนักแสดงสองคนที่เป็นทหารทั้งซาโปและเชลยเอง ซึ่งยังเล่นแข็ง ๆ (บางครั้งเหมือนกำลังต่อบทกันเฉย ๆ ) ซึ่งหากนักแสดงแสดงได้ถึงความกังวลในแววตาและไ่ม่เข้าใจพฤติกรรมคนเป็นพ่อแม่ที่เหมือนไม่เข้าใจเลยว่าสงครามเป็นเช่นไร
เมื่อดูจบผมคุยกับเพื่อนที่ไปดูด้วยถึงประเด็นความไร้สาระของสงคราม รวมถึงความประทับใจที่ได้รับ ถือเป็นละครที่ดีที่สุดเท่าที่ได้ดูมาในรอบปีนี้ ซึ่งโดยมากก็เป็นงานนักศึกษา ซึ่งทำกันละครกันเป็นค่านิยม ทำเอาเท่แต่เรื่องบท แอคติ้ง การจัดแสง เสียง ฯลฯ อย่าให้พูดเลย เดี๋ยวจะเสียกำลัีงใจ
ภารกิจสำคัญต่อไปของชมรมการแสดงที่อยากฝากไว้ (รวมถึงนักศึกษาในทุก ๆ สถาบันที่นิยมทำละคร) คือการผลิตบทที่มีคุณภาพ อันเป็นเรื่องที่ยากมากแต่ก็ต้องใส่ใน หากสามารถแสดงละครด้วยบทอันยอดเยี่ยมแถมเขียนด้วยตนเอง คงน่าภูมิใจไม่น้อย
นี่เป็นเพียงปฐมบทของชมรมการแสดง มช. ในยุคเจเนเรชั่นใหม่เท่านั้น คงต้องรอดูผลงานของพวกเขาเหล่านี้ต่อไปว่าจะเป็นอย่างไรกันบ้าง และหากผมได้ชมจะนำมาเล่าสู่กันฟังต่อไป
Create Date : 02 กุมภาพันธ์ 2552 |
Last Update : 2 กุมภาพันธ์ 2552 10:06:11 น. |
|
19 comments
|
Counter : 5992 Pageviews. |
|
|
|
โดย: grappa วันที่: 2 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:22:21:59 น. |
|
|
|
โดย: บลูยอชท์ วันที่: 5 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:0:34:09 น. |
|
|
|
โดย: JohnV วันที่: 6 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:18:29:51 น. |
|
|
|
โดย: เด็กม.ปลาย (Onlineza ) วันที่: 7 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:23:11:50 น. |
|
|
|
โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:21:53:53 น. |
|
|
|
โดย: cottonbook วันที่: 9 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:15:27:06 น. |
|
|
|
โดย: joblovenuk วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:10:22:33 น. |
|
|
|
โดย: ฟ้าดิน วันที่: 14 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:16:08:02 น. |
|
|
|
โดย: perfect blue วันที่: 16 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:13:51:47 น. |
|
|
|
โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 20 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:7:15:02 น. |
|
|
|
โดย: kajui IP: 202.28.27.3 วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:2:48:59 น. |
|
|
|
โดย: พี่หมี (Bkkbear ) วันที่: 1 มีนาคม 2552 เวลา:1:14:37 น. |
|
|
|
|
|
|
I will see U in the next life.
|
|
|
|
|
|
พี่จำได้ว่าเคยมีหนังสือบทละคร "ตากอากาศกลางสนามรบ" แหล่ะ ดอง
แต่หาไม่เจอเสียแล้ว หนังสือมันเก่ามากๆ
บทละครโคตรจะเอ็กซิสตอง
โดย: grappa 1 กุมภาพันธ์ 2552 14:59:08 น.