'ชิงร้อยชิงล้าน' ความตลกสนุกสนานบนการต่อสู้ทางอุดมการณ์อันแสนเร่าร้อน
ชิงร้อยชิงล้านเป็นรายการเกมโชว์ที่อยู่คู่สังคมไทยมานานมาก ตอนผมเด็ก ๆ ผมรู้สึกว่ารายการนี้เป็นรายการที่นาน ๆ ทีได้ดู เพราะแค่สามทุ่มก็นอนแล้ว
ชิงร้อยชิงล้านนับวันเริ่มเปลี่ยนแปลงฐานะตัวเองจากการเป็นรายการเกมโชว์มาเป็นรายการวาไรตี้เน้นตลกแทน หลายอย่างในรายการเปลี่ยนไป ใครติดตามมาตลอดคงเห็น......
ผมใช้แนวคิด Hegemony มาทำการวิเคราะห์ ทฤษฎีนี้ให้ความสำคัญกับเรื่องของอุดมการณ์ ความคิดพื้นฐานของแนวคิดนี้คือในสังคมจะมีอุดมการณ์หลักคอยครอบไว้ เช่นพวกระบบคิดต่าง ๆ เรื่องการศึกษา การเมือง ฯลฯ
แต่ทว่าอุดมการณ์เหล่านี้ก็ใช่ว่าจะมีคนเห็นด้วยเสมอไป เนื่องจาอุดมการณ์เหล่านี้จะอิงประโยชน์ให้แก่กลุ่มคนที่เป็นชนชั้นนำไม่กี่คน ส่งผลให้เกิดการต่อต้าน และตอบโต้อุดมการณ์หลักเหล่านั้น (Counter Ideoligy)
ในรายการเกมโชว์มีอุดมการณ์หลักที่ครอบอยู่เช่นกัน อุดมการณ์เหล่านี้เผยออกมาในลักษณะของรูปแบบรายการ เช่นรายการต้องมีการเปิดแผ่นป้ายเพื่อโฆษณา ต้องมีพักเบรค การกำหนดเนื้อหารายการต้องเป็นไปตามโฆษณา ดาราเป็นสิ่งสำคัญ ต้องให้ความสำคัญกับดาราที่มาออกรายการ เป็นต้น
แต่ทว่ารายการที่มีเรทติ้งสูงอย่างชิงร้อยชิงล้าน ซึ่งปีกกล้าขาแข็งแล้ว ได้ทำการเปลี่ยนแปลงอุดมการณ์เหล่านั้นซึ่งน้อยรายการจะทำได้ เพราะถ้าหากมีอำนาจในมือไม่พอ ก็มีสิทธิ์หลุดจากผังง่าย ๆ
ประการแรก รายการทุกรายการต้องง้อสปอนเซอร์ สปอนเซอร์เป็นผู้กำหนดเนื้อหาอยู่เบื้องหลัง เราจะเห็นได้ว่ารายการเกมโชว์ (และรายการอื่นๆ) จะต้องมีการตัดโฆษณาอยู่บ่อย ๆ ทั้งนี้เพื่อให้มีการโฆษณาสินค้าออกอากาศ แต่รายการชิงร้อยชิงล้าน กลับมีช่วงของสามช่าที่ยาวต่อกันถึงสามสิบนาทีโดยไม่มีการตัดเบรคโฆษณา แสดงได้ถึงอำนาจในการต่อรองของรายการที่ค่อนข้างสูงมาก
รูปแบบอื่นที่เปลี่ยนแปลงไป จากเดิมรายการเกมโชว์จะให้ความสำคัญกับดารารับเชิญเป็นอย่างมาก ตั้งดาราเป็นจุดขายในแต่ละเทป แต่รายการนี้จุดขายกลับไปอยู่ที่ตลก 3 ช่าแทน ดารารับเชิญเป็นเพียงแค่ส่วนประกอบหนึ่งเท่านั้น คนดูดูแล้วไม่สนใจเท่าไรว่าใครจะมา แต่กลับสนใจว่าวันนี้คุณโหน่งจะโดนแกล้งอย่างไร คุณเท่งกับคุณหม่ำจะชนะการแข่งขันไหม แสดงให้เห็นว่าอุดมการณ์เรื่องความสำคัญของดารารับเชิญถูกพลิกกลับ ดารารับเชิญเป็นเพียงส่วนเติมเต็มหนึ่งเท่านั้น
ประการที่สองคือ เรื่องของตลก ในสังคมไทยในอดีตใครจะเป็นตลกได้นั้นถือว่าเป็นคนเก่งในสังคมทีเดียว แต่พอเกิดกลุ่มตลกคาเฟ่ขึ้น ภาพของอาชีพเต้นกินรำกินเข้ามาแทนที่ ตลกกลายเป็นเพียงความบันเทิงชั่วขณะ ไม่ได้รับการยอมรับมากนักเนื่องจากถูกมองว่าไม่มีความรู้ ไร้ความสามารถ ทำได้แค่เพียงตลกไปวัน ๆ
แต่เมื่อรายการชิงร้อยชิงล้านให้ความสำคัญกับสามช่ามากขึ้น (จนทุกวันนี้คือจุดหลักของรายการ) เราจะเห็นได้ว่าภาพของตลกเปลี่ยนไป คุณหม่ำ คุณเท่ง คุณโหน่ง ทำให้เราเห็นว่าตลกมีความสามารถอย่างล้นเหลือ ในการแข่งขันกับผู้ท้าชิงแต่ละเกม คุณหม่ำและคุณเท่งมีความสามารถในการแข่งขันหลาย ๆ อย่างจนทำให้เราต้องทึ่ง จากเดิมที่เรามองว่าตลกก็คือตลกวันยันค่ำ กลายเป็นว่าตลกทุกวันนี้มีความสามารถเหลือเฟือ มุมมองนี้ได้กลับไปสู่อุดมการณ์ดั้งเดิมในอดีตอีกครั้ง หลังจากผู้พลิกกลับมาหลายรอบ จนล่าสุดก็ได้พลิกอุดมการณ์หลักถึงกับว่าตลกเป็นพระเอกได้ หลังจากที่เป็นตัวประกอบอยู่นานแสนนาน (เช่นคุณหม่ำในบอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม และคุณเท่งในหลวงพ่อเท่ง)
ประเด็นสุดท้ายคือในช่วงสามช่า จะมีการนำเอาละคร วรรณคดี นวนิยายต่าง ๆ มาแสดง โดยเป็นการแสดงเพียงยึดแค่โครงเรื่องเดิม (หรือบางทียึดไว้แค่ชื่อตัวแสดงให้พอรู้ว่าเป็นใครก็มี) ทางกลุ่มสามช่า ได้ทำการเอาทุกอย่างมาผสมปนเปกัน บางทีก็เอาเรื่องผู้ชนะสิบทิศมาทำใหม่ เอานวนิยายเรื่องนั้นมาผสมกับเรื่องนี้ มีการตีความตัวละครใหม่ ๆ เป็นต้น
แนวคิดนี้เป็นเรื่องของการรื้นสร้างความหมาย (Deconstruct และ Reconstruct) ง่าย ๆ คือ เหมือนเรามีตึกอยู่แล้วเราไม่พอใจ เราก็รื้อแล้วเราก็สร้างใหม่ตามใจเรา ในที่นี้การรื้อสร้างความหมายคือการรื้อความหมายเดิมแล้วสร้างความหมายใหม่ขึ้นมา เช่น ข้าวกล้อง ในยุคสมัยหนึ่งเราเรียกว่า 'ข้าวแดง' ความหมายของมันคือข้าวที่นักโทษกินกัน แต่พอมาถึงยุคชีวจิต ข้าวนี้กลับถูกรื้อความหมายของข้าวคนคุกมาเป็นข้าวเพื่อสุขภาพแทน (คงเห็นภาพกันนะครับ)
ช่วงละครนี้ได้ทำการรื้อสร้างความหมายใหม่ของละคร เช่น เรื่องบ้านทรายทอง เราจะรู้ว่าคุณหญิงแม่เป็นไง หญิงใหญ่ ชายน้อย ชายกลาง หญิงเล็ก พจมาน เป็นไง แต่สามช่าได้ทำการรื้อแล้วเปลี่ยนมันซะ จากเดิม พจมานจะเป็นหญิงสาวผู้ถูกกลั่นแกล้ง ก็ถูกรื้อความหมายว่าเป็นถูกกลั่นแกล้งเสีย แล้วสร้างว่าเป็นหญิงสาวบึกบึนโดยมีคุณโหน่งมาแสดง เพียงเท่านี้คนดูก็รับรู้่ต่างไปจากของเดิมแล้ว
เราจะเห็นการรื้อสร้างของสามช่าบ่อยมาก เรียกได้ว่าแทบทุกเทปของพวกเขาต้องมีการรื้อของเดิมแล้วสร้างของใหม่ขึ้นมาเสมอ
จะเห็นได้ว่าแค่เพียงความบันเทิงที่เราดูอยู่กันสนุกสนานนนี้ก็มีเรื่องซ้อนอยู่มากมายมิใช่น้อย ต่อไปสื่อบันเทิงก็จะถูกมองใหม่ว่าเป็นสื่อที่แฝงไปด้วยมนต์เสน่หา น่าศึกษายิ่งนัก
มีข้อสงสัยหรือต้องการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ก็โพสต์ไว้ได้เลยนะครับ.......
ร่วมกันวิเคราะห์โดย จอม ดอง เต่ย
Create Date : 27 กรกฎาคม 2548 |
|
9 comments |
Last Update : 14 พฤศจิกายน 2550 11:03:55 น. |
Counter : 2852 Pageviews. |
|
|
|
"We're just two lost souls swimming in a fishbowl year after year" (Wish You Were Here - Pink Floyd)