ล่องแม่น้ำสามสี : Part III (จบ)
ความเดิมตอนที่แล้ว
อันชื่อทริปว่า "ล่องแม่น้ำสามสี" นั้น เรือคุณแม่ในฐานะเจ้าของโปรแกรมนี้ ได้บอกเล่าว่า
ประเทศไทยเป็นประเทศเสรี เปิดรับและให้ความสำคัญแก่ทุกศาสนา การเข้ามาตั้งรกรากของชาวต่างชาติในไทย ปรากฏขึ้นก่อนกรุงเทพมหานครฯ ร่องรอยอารยธรรม และสิ่งปลูกสร้างโบราณ ยังคงอยู่ ณ ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำสามสี เป็นขื่อเปรียบเทียบของการหล่อหลอม 3 วัฒนธรรม พุทธ คริสต์ อิสลาม ที่ไหลมารวมกันที่แม่น้ำเจ้าพระยา
และเราก็ได้เที่ยวชมศาสนสถานของอิสลามและพุทธไปแล้ว ตอนนี้เรากลับมาลงเรืออีกครั้งเพื่อล่องไปยัจุดหมายสุดท้าย แล้วเมฆฝนดำทะมึนก็เริ่มตั้งเค้ามาให้เห็น
อย่าไปสนใจฝนเลย ...สนใจอาหารว่างที่พนักงานนำมาเสริฟดีกว่า
มากับเรือคุณแม่ไม่ต้องกลัวอด ขึ้น-ลงเรือแต่ละที มีเครื่องดื่มและของว่างเสริฟตลอดเส้นทาง เห็นขนมหน้าตาแบบนี้ก็น่าจะเดาได้แล้วว่า จุดหมายต่อไปคือที่ไหน
ใช่แล้ว เรือมาจอดเทียบท่าให้เข้าขึ้นที่ท่าเรือวัดซางตาครูส ชุมชนกุฏีจิน พื้นที่เก่าแก่ที่นักเรียนเก่าศึกษานารีอย่างเราต้องรู้จักคุ้นเคย แต่ที่จริง ก็คุ้นเคยแต่ว่า มองจากอาคารเรียนแล้วเห็นชุมชน เห็นโบสถ์ แต่มารู้จักจริงจังก็ตอนที่เดินเที่ยวทางวัฒนธรรมนั่นแหละ
วัดซางตาครู้สหลังที่ 3 นี้ได้รับอิทธิพลสถาปัตยกรรมแบบเรเนสซองส์ แบบนีโอ-คลาสสิคและเป็นอาคารก่ออิฐฉาบปูน มีผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าวางตัวในแนวขวางหันหน้าไปทางทิศเหนือ ออกสู่แม่น้ำเจ้าพระยา สิ่งที่น่าสนใจคือการประดับตกแต่งลวดลายปูนปั้นประดับหรือบานประตูหน้าต่างที่ทำเป็นรูปไม้กางเขน ตามชื่อของวัด นอกจากจะคงความหมายที่สำคัญแล้วยังช่วยเพิ่มความงดงามให้กับตัวอาคารยิ่งขึ้น ทำให้โบสถ์ซางตาครู้สเป็น อาคารสถาปัตย์ในคริสต์ศาสนาที่สวยงามแห่งหนึ่งในประเทศไทย
ในหนังสือประวัติศาสตร์พระศาสนาคริสตจักรคาทอลิกประเทศไทย ได้กล่าวว่าคุณพ่อแปร์โรเป็นผู้ออกแบบ ท่านเป็นผู้มีความรู้ทางด้านสถาปัตยกรรมอย่างยิ่ง และได้ออกแบบวัดต่างๆ หลายวัด หอระฆังวัดคอนเซ็ปชัญ, ซึ่งวัดซางตาครู้สเป็นงานชิ้นสุดท้ายของคุณพ่อก่อนที่จะเสียชีวิต แต่จากหนังสือชีวประวัติของคุณพ่อกูเลียมโม และการสอบถามผู้อาวุโสในหมู่บ้าน กล่าวตรงกันว่า วัดหลังนี้คุณพ่อกูเลียลโมเป็นผู้ออกแบบเอง อาจเป็นไปได้ที่คุณพ่อกูเลียลโมคงจะได้ปรึกษาหารือกับคุณพ่อแปร์โรเรื่องการสร้างวัดหลังใหม่นี้ด้วย ซึ่งคุณพ่อแปร์โรได้เคยเป็นเจ้าอาวาสวัดซางตาครู้สมาก่อน ทั้งนี้อาจจะได้มีสถาปนิกชาวอิตาเลียน เป็นผู้ตรวจอบบอีกชั้นหนึ่งด้วย ส่วนช่างก่อสร้างเป็นช่างชาวจีน โดยมีคุณพ่อกูเลียลโมเป็นผู้ควบคุมการก่อสร้างเอง วัดซางตาครู้สหลังปัจจุบัน มีการบูรณะในปี ค.ศ.1996 ตามแนวทางการอนุรักษ์ เพื่อสงวนรักษาอาคารสถาปัตยกรรมที่ทรงคุณค่านี้ให้คงอยู่ตลอดไป |
ณ ที่แห่งนี้ พวกเรานั่งฟังเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลโบสถ์หลังนี้ เล่าถึงประวัติ ในแง่มุมการก่อสร้าง สถาปัตยกรรม พร้อมๆ กับชมความงดงามของงานประติมากรรมและกระจกสี อย่างจุใจ เนื่องจาก ภายนอกนั้น ฝนลงหนักมาก ก็เลยไปไหนต่อไม่ได้
และก็เช่นเดียวกับเรื่องราวของเทพเจ้าจีน ภาพประดับที่เป็นงานกระจกสีและงานประติมากรรมทั้งหลายนั้น อิงเรื่องราวจากพระคัมภีร์เก่า เรื่องประวัติพระเยซูและนักบุญต่างๆ เยอะค่ะ ซึ่งหากเราจะรู้ให้รู้เรื่อง ดูให้สนุก และดูให้เข้าใจ เราคงต้องหาหนังสือมาอ่านประกอบอีกตามเคย
พอฝนเริ่มซาลง วิทยากรประจำทริปก็พาออกจากโบสถ์ เดินไปในชุมชนกุฎีจีน ไปดูบ้านที่ทำ "ขนมฝรั่งกุฏีจีน"
บ้านที่เราได้เข้าชมครั้งนี้ คนละบ้านกันที่เคยมาชมในทริปก่อนหน้า เราก็เลยสรุปเอาเองว่า ตอนนี้คงมีแค่ 2 บ้านนี้นั่นแหละ ที่ทำขนมฝรั่งส่งออกไปขายที่ต่างๆ เพิ่งได้เห็นวิธีอบขนมชัดๆ ก็เลยถ่ายภาพเก็บมาด้วย จากนั้นก็ไปรุมซื้อขนมกลับไปเป็นของฝากคนทางบ้านเหมือนเพื่อนร่วมทริปท่านอื่นๆ
และแล้วเวลาก็ล่วงเลยมาถึงมื้อเย็น กลับไปลงเรือคุณแม่ ซึ่งปรับการจัดโต๊ะ ตั้งไลน์บุฟเฟต์ มีอาหารเย็นเพียบอีกเช่นเคย และอาหารพิเศษในทริปล่องแม่น้ำสามสี ก็คือ ข้าวหมกไก่ และโรตีแกงเขียวหวานไก่ เราก็นั่งกินกันไปเรื่อยๆ ไม่ต้องไปสนใจวิว เพราะฝนยังตกอยู่ ไม่รู้เป็นไง ถ้าเรามาร่วมทริปกับเรือคุณแม่ทีไร ต้องเจอฝนตกหนักช่วงกินข้าวขากลับทุกที ก็ดี ทำให้เรามีสมาธิกับการกินไปตลอดเส้นทาง จนกระทั่งเทียบท่าส่งนักท่องเที่ยวที่ท่าเรือริเวอร์ซิตี้ เป็นอันจบทริปที่อุดมไปด้วยความรู้อัดเต็มสมอง พร้อมๆ กับอาหารเครื่องดื่มอัดเต็มท้อง กลับบ้านโดยสวัสดิภาพไปตามๆ กัน
Create Date : 05 สิงหาคม 2555 |
|
3 comments |
Last Update : 5 สิงหาคม 2555 19:02:23 น. |
Counter : 3533 Pageviews. |
|
|
|
ชักเริ่มสนใจ...^^