เมื่อลุง โรเจอร์ อีเบิร์ต พูดถึงนักวิจารณ์ภาพยนตร์...

ก็ยังขอขี้เกียจใช้สมองซีกซ้ายต่อไป ด้วยการแปลบทความของลุงอีเบิร์ตมาให้อ่านกัน นี้เป็นบทความที่พูดถึงความหมายของคำว่านักวิจารณ์ ลุงแกเองก็มีความเห็นที่น่าสนใจเลยทีเดียว (note to self: ข้าพเจ้าเป็นใคร ไปตัดสินลุงอย่างนั้น!!)... สำหรับใครที่อยากจะอ่านต้นฉบับ ก็กดกันตรงนี้ได้เลยครับ...




นักวิจารณ์นั้นก็เปรียบเสมือนกับขันทีที่อยู่ในฮาเร็ม เขาต้องเห็นกิจกรรมที่ทำกันอยู่ทุกคืน แต่เขาก็ไม่อาจลงมือทำได้ด้วยตัวเอง - Brendan Behan

มีหลายคนที่ไม่รู้ถึงความหมายที่แท้จริงของคำว่า "นักวิจารณ์" ผู้คนมักจะคิดว่ามันหมายถึง "บุคคลที่ชอบวิจารณ์" ซึ่งนั้นก็เป็นลักษณะนิสัยที่ไม่มีใครอยากอยู่ใกล้ มันคืออาชีพที่ดูไร้ความสามารถ นักวิจารณ์เปรียบเสมือนคนที่นิสัยเสีย, ขี้อิจฉาและขมขื่น พวกเขาคิดว่าตัวเองคือคนที่สำคัญที่สุด คิดว่าตัวเองรู้ทุกอย่าง พวกเขาต้องการอยู่เหนือกว่าทุกคน การที่จะเอาใจพวกเขานั้นคือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ พวกเขาไม่เข้าใจถึงรสนิยมของคนทั่วไป พวกเขาฃอบที่จะฉีกทำลายความมุมานะของผู้สร้างหนัง... ถ้าพูดกันแบบตรงๆแล้ว ใครกันหนอที่ให้สิทธิพวกเขาในการแสดงความคิดเห็น? แล้วชีวิตของคนดูหนังจะดีขึ้นไหมถ้าไม่มีพวกเขาอยู่ในโลกใบนี้?

การวิจารณ์คือกิจกรรมที่บ่อนทำลายความคิดสร้างสรรค์ ถ้านักวิจารณ์เลือกที่จะไม่ชอบอะไรก็ตามแล้ว พวกเขาก็จะไม่คิดเป็นอย่างอื่น เพราะว่าพวกเขาได้ตกหลุมรักไปกับทฏษฏีของตัวเองไปแล้ว พวกเขาไม่มีความรู้สึกทางด้านอารมณ์ พวกเขามีกระบวนการทางความคิดที่แน่นอน พวกเขาคิดว่าตัวเองรู้ดีกว่าผู้สร้าง พวกเขามักพูดว่าตัวเองสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างในเรื่องได้ แทนที่จะวิจารณ์ถึงสิ่งที่ผู้สร้างได้เสนอออกมา พวกเขาใช้ศัพท์ยากๆเพื่ออวดภูมิ พวกเขากลัวว่าตัวเองจะถูกเปิดเผยว่าไม่รู้จริงในหลายๆเรื่อง พวกเขาเปรียบเสมือนตัวทากที่คอยเกาะกินเลือดในสิ่งที่เรียกว่า “ศิลปะ”

มีบทความหลายชิ้นที่เขียนออกมาเพื่อปกป้องนักวิจารณ์ ซึ่งปกติแล้วพวกมันก็มาจากตัวพวกเขาเอง แต่ก็มีบางอันที่ดูมีคุณค่า ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือของผู้กำกับ แบร็ด เบิร์ด ที่ถูกซ่อนอยู่ในภาพยนตร์เรื่อง Ratatouille โดยเขาได้มอบคำพูดเหล่านั้นให้กับ Anton Ego ตัวละครหนึ่งในเรื่องที่เป็นนักวิจารณ์อาหาร




"ถ้าเราลองพิจารณาดูดีๆแล้ว การทำงานของนักวิจารณ์นั้นแสนง่ายนัก พวกเราปราศจากความเสี่ยงใดๆ และยังสนุกไปกับอภิสิทธ์ที่ได้รับ จากคนที่เสนอผลงานของตัวเองมาให้เราตัดสิน พวกเราโด่งดังมีชื่อเสียงด้วยคำวิจารณ์ในแง่ลบ ซึ่งเป็นเรื่องที่สนุกในการเขียนและอ่านมากกว่า แต่พวกเรารู้ความจริงอันขมขื่นอยู่แก่ใจดี ว่าผลงานขยะเหล่านั้นแลดูมีความหมายมากกว่าคำวิจารณ์ของพวกเราเสียอีก แต่มันก็มีบางครั้งที่นักวิจารณ์กล้าที่จะเสี่ยงทำอะไรบางอย่าง ซึ่งมันก็นำไปสู่การค้นพบสิ่งใหม่ๆและพยายามที่จะปกป้องมัน เพราะโลกใบนี้ไม่เคยปราณีต่อคนหน้าใหม่ ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถเป็นศิลปินที่โด่งดังได้ แต่ศิลปินที่โด่งดังนั้นสามารถมาได้จากทุกหนทุกแห่ง"

ผมคิดว่าคำพูดของ แอนตั้น ดูใจร้ายเกินไปกับนักวิจารณ์ เขาพูดว่า "ผลงานขยะเหล่านั้นแลดูมีความหมายมากกว่าคำวิจารณ์" เพราะผมคิดว่ามันขึ้นอยู่กับคนดูเท่านั้น ที่จะตัดสินใจว่าสิ่งที่เขาหรือเธอสัมผัสนั้นเป็นขยะหรือไม่ แล้วบทวิจารณ์ล่ะ มันสร้างผลกระทบต่องานชิ้นนั้นๆหรือเปล่า? โดยตามปกติแล้วไม่มีเลย อ้าว แล้วทำไมยังถึงมีนักวิจารณ์อยู่ในโลกล่ะ? ผมขอเป็นตัวแทนนักวิจารณ์ในการตอบคำถามนี้ละกัน คือพวกเราอาจจะรู้สึกสนุกไปกับการเขียนเสียดสี และการสร้างสำนวนโวหารที่ฟังดูแล้วฉลาด พวกเรารู้ดีว่าตัวเองคงไม่ได้เขียนให้กับกลุ่มคนที่แสวงหาสิ่งที่เรียกว่า “ขยะ” หรอก คือบางทีพวกเราอาจจะแค่อยากสร้างความบันเทิง หรือให้คำมั่นสำหรับคนที่คิดจะเลี่ยงไม่ดูมัน

แต่ แอนตั้น พูดอะไรบางอย่างที่ผมเห็นด้วย เขาพูดถึง "การค้นพบสิ่งใหม่ๆและพยายามที่จะปกป้องมัน" ซึ่งคำว่า "ใหม่" นั้น ผมไม่ได้หมายถึงสิ่งที่แปลกออกไป ถึงแม้ว่าเราจะโชคดีที่ค้นพบกับสิ่งนั้น ผมรู้สึกโชคดีที่ตัวเองได้รีวิวหนังเรื่องแรกของผู้กำกับเหล่านี้ ทั้ง Martin Scorsese, Mike Leigh, และ Gregory Nava พวกเขาได้สร้างสรรค์งานของตัวเองขึ้นมา และนักวิจารณ์ก็ออกมาปกป้อง, ตีพิมพ์บทความ และให้กำลังใจพวกเขา นั้นแหละคือสิ่งที่มีคุณค่าสำหรับผม แต่ผมเองก็ไม่ใช่คนที่มีพรสวรรค์อะไร สิ่งที่ผมทำก็คือนั่งดูสิ่งที่ปรากฎอยู่เบื้องหน้า และอธิบายถึงสิ่งที่ตัวเองกำลังรู้สึกเท่านั้น




ผมเชื่อว่าการเป็นนักวิจารณ์ที่ดีก็เหมือนกับการเป็นอาจารย์ เขาอาจจะไม่รู้คำตอบที่แท้จริง แต่เขาก็สามารถให้ตัวอย่างหรือคำแนะนำ เพื่อนำไปสู่กระบวนการหาคำตอบด้วยตัวของคุณเอง เขาสามารถสังเกตุเห็นถึงหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้น อธิบายมันออกมา จัดมันลงสู่ตัวหนังสือ และตั้งข้อสังเกตุว่ามันประสบผลสำเร็จหรือล้มเหลว เขาชักชวนให้คุณไปหาหนังคลาสสิคมาดู เพื่อขยายขอบเขตของการรับรู้ขึ้นไปสู่อีกระดับ เขาสามารถยกตัวอย่างได้ว่า หนังหลายๆเรื่องส่งผลกระทบต่อชีวิตคนอย่างไร มันเป็นสิ่งที่ช่วยฟื้นฟูรักษา หรือเป็นบ่อเกิดของความพินาศ เขาสามารถปกป้องผลงานเหล่านั้น และเน้นย้ำให้เห็นถึงความสำคัญของเนื้อหา ให้กับคนดูที่เข้ามาในโรงและคิดเพียงแค่ "อยากสนุกและผ่อนคลาย" เขาสามารถให้ข้อแนะนำได้ว่า คุณจะมีความสุขในชีวิตมากกว่านี้ ถ้าตัดสินดูภาพยนตร์เรื่องอื่น และพวกเรามีเวลาที่จำกัดในการอยู่ในโลกใบนี้ บางทีบทความของนักวิจารณ์อาจช่วยคุณใช้เวลาให้มีความหมายมากกว่าเดิม

แต่อย่าคิดว่าผมจะทึกทักว่าตัวเองเป็นนักวิจารณ์คนนั้น เพราะผมแค่เล่าถึงสิ่งที่ตัวเองปรารถนาที่จะทำมาตลอด ผมได้เรียนรู้สิ่งต่างๆมากมายจากนักวิจารณ์คนอื่น และคำว่านักวิจารณ์คนอื่นนั้น ก็หมายถึงทุกๆคนที่ให้ความรู้ที่น่าสนใจเกี่ยวกับหนังเรื่องนั้น ถ้ารายการ Siskel & Ebert & Roeper ของผมมีประโยชน์ในทางใดสักทาง นั้นก็คือมันช่วยให้เด็กหลายๆคน รู้ว่าตัวเองก็สามารถให้ความคิดเห็นต่อสิ่งที่เกิดขึ้นบนจอภาพยนตร์ได้

เมื่อตอนที่ลูกสาวทั้งสองคนของ Gene Siskel ยังเด็ก เขาพาพวกเธอไปดูภาพยนตร์อนิเมชั่นเรื่องหนึ่ง เมื่อหนังจบแล้วเขาก็ถามลูกตัวเองทั้งสองว่าคิดอย่างไร ลูกคนหนึ่งบอกกับ จีน ว่า "หนูไม่ชอบเลยค่ะพ่อ" ได้ยินดังนั้น เขาจึงตอบกลับไปว่า "ที่รัก ลูกเพิ่งทำให้พ่อเป็นคนที่ภูมิใจในตัวลูกที่สุดในโลก"




 

Create Date : 07 มกราคม 2552
32 comments
Last Update : 7 มกราคม 2552 19:12:46 น.
Counter : 1785 Pageviews.

 

แอบมาอ่านครับ

 

โดย: McMurphy 7 มกราคม 2552 19:22:04 น.  

 

ยังเป็นพีอาร์ให้กับ Los Campesinos! อย่างไม่หยุดหย่อน 555+ ถ้าใครว่างและยังไม่ได้อ่านเอนทรี้ที่แล้ว ที่มีบทสัมภาษณ์นักร้องนำของวง รวมถึงการแนะนำอัลบั้มล่าสุดของพวกเขาในรอบปีเดียวอีกด้วยน่ะ
v
v
กดชั้นเซ่!!

 

โดย: BloodyMonday 7 มกราคม 2552 19:41:58 น.  

 

นี่ขนาดไม่ได้ใช้สมองซีกซ้ายนะเนี่ย....


สำหรับผู้มีความรู้น้อยอย่างเรา คิดว่า ยังไงไอ้การวิจารณ์ ไม่ว่าจะเป็นศิลปะแขนงไหน มันก็ยังคงจะต้องมีต่อไปเรื่อยๆ นะ และจะต้องดีขึ้นเรื่อยๆ ด้วย คำว่าดีขึ้น หมายถึงว่า สังคมเราคงจะมีนักวิจารณ์รุ่นใหม่ๆ ที่มีความรู้ และประสบการณ์ มีวิจารณญาณและมีความสามารถในการตีความ และที่สำคัญ คือมีความเป็นกลาง หรือถ้าจะมีอคติ ก็เป็นอคติที่มีมารยาท

เราว่านักวิจารณ์เป็นส่วนสำคัญของการพัฒนาในทุกๆเรื่อง ทุกๆ วงการนะ ก็จริงว่า คนเราทุกคนมันก็มีสัญชาติญาณความเป็นนักวิจารณ์อยู่ในตัวกันอยู่แล้ว แต่เสียงของทุกคนมันดังหนักเบาไม่เท่ากัน นักวิจารณ์ก็เป็นแค่ตัวแทนของเสียงพวกนั้น เป็นคนที่ได้สิทธิ์ถือโทรโข่งออกไปพูดหน้าห้องแทนทุกๆ คนต่างหาก

เพียงแต่่ว่า ไอ้คนที่ออกมาพูดเสียงดังเนี่ย มันมีความคิดที่ถูกต้อง ใช้ได้ และเป็นเสียงที่สะท้อนข้อเท็จจริงได้หรือเปล่า... ก็เท่านั้นแหละ


เพิ่งได้อ่านบทความเล็กๆ ในหนังสือ "ศิลปะแขนงที่เจ็ด" ของอาจารย์บุญรักษ์ แล้วรู้สึกว่าเข้าบรรยากาศกับที่บล็อกคุณพี่ BdMd ก็เลยเอามาแชร์กันค่ะ ^^

นักวิจารณ์ เวอร์นอน ยัง เขาพูดถึงคำว่า "นักวิจารณ์" เอาไว้ว่า

"การวิจารณ์คือวิธีการอธิบายถึงประสบการณ์ทางอารมณ์ (ที่นักวิจารณ์) ได้เคยผ่านมาแล้ว ภารกิจของการวิจารณ์ก็คือการตีความให้ไกลที่สุดเท่าที่จะกระทำได้ นอกไปจากนี้ หน้าที่ของนักวิจารณ์ยังรวมไปถึงการคอยให้ความดูแลแก่ภาพยนตร์ที่ถูกละเลย ก่อนที่มันจะหดหายไปอย่างเงียบเชียบในความมืดมนของค่ำคืนนั้นด้วย..."

 

โดย: ยิ่งยง นั่งยองยอง 7 มกราคม 2552 21:09:11 น.  

 

หวัดดีจ้ะ

มาเชิญ (แหม ต้องให้มาเชิญเชียวนะ) จขบ. (และผู้สนใจ) ให้ไปร่วมกันเสนอรายชื่อผู้เข้าชิงเฉลิมไทยอวอร์ด ครั้งที่ 6

เสียเวลานิดนึงนะ.. เอาเป็นว่า ขอแล้วกัน.. แหม ไหนๆ ก็คนเล่นโต๊ะเฉลิมไทยคนนึงเหมือนกัน

(ไม่จำเป็นต้องส่งมาทุกสาขาก็ได้)

//www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A7388148/A7388148.html

(ปีนี้ ฉันอุตส่าห์ทุ่มทุน รวบรวมรายชื่อมาให้เชียวนะ)

 

โดย: จูริง 8 มกราคม 2552 5:02:45 น.  

 

เฮ้ย ชอบมากเลย
ขอบคุณมากๆ ที่แปลให้อ่านกัน

เราชอบนักวิจารณ์และประโยคที่แกพูดในตอนท้ายๆ จากหนังแรตตาตูอี้มาก ๆ ถึงแม้นว่ามันจะออกแนวสุนทรพจน์มากๆ แต่ก็ชอบมากๆ

มาอ่านงานแปลนี่ยิ่งชอบใหญ่

ป.ล.ชอบการเปรียบเปรยว่านักวิจารณ์คือขันทีด้วย อารมณ์ขันร้ายจริงๆ

ว่าแล้วก็ไปกดโหวตสาขาหนังให้เลย

 

โดย: grappa 8 มกราคม 2552 10:12:07 น.  

 



ขอบใจหลายที่แปลมาให้อ่านจ้า

นักวิจารณ์ อาจจะตกอยู่ในสถานะที่บางคนยกตัวอย่างว่าเหมือนผจก.ทีมฟุตบอลที่ วางแผน สั่ง และ ด่า และดีแต่ปาก ไมไม่ลงไปเตะเองให้รู้แล้วรู้รอดฟะ...

เราว่ามันก็คนละศาสตร์กันนะ

แต่เราเองเขียนถึงหนังเรื่องไหนๆ (แบบยาวๆ) ก็มักจะมาจากการอยากค้นหาว่า ผกก.และคนเขียนบทต้องการจะเล่าอะไร...That's all...

ปล. ชอบพัลลากราฟสุดท้ายของคห. 3 ที่คุณยิ่งยง นั่งยองยอง ยกมาอย่างยิ่ง โดยเฉพาะสองประโยคสุดท้าย...โดนใจ

 

โดย: renton_renton 8 มกราคม 2552 11:04:54 น.  

 

หวานขมเป็นเรื่องสั้น 13 เรื่องจาก 13 บทเพลง (แน่นอนว่าของบอย-ป๊อด) ผมดูแล้วชอบอยู่ประมาณ 5 - 6 เรื่อง นอกนั้นก็เอ่อ... (ได้แต่ดีใจที่มันเป็นเรื่องสั้น)

ได้แผ่น JVCD มาแล้วล่ะ แต่เท่าที่เช็ครู้สึกจะเป็นซับนรก (แล้วตูจะดูรู้เรื่องมั๊ยเนี่ย...) ไว้หาเวลาดูได้แล้วจะเข้ามาคุยด้วยอีกทีนะครับ (นี่ก็เป็นประโยชน์ของนักวิจารณ์นะ ไม่งั้นผมคงไม่คิดจะดูหนังเรื่องนี้หรอก)

 

โดย: แฟนผมฯ IP: 202.134.119.218 8 มกราคม 2552 11:51:55 น.  

 



My Bloody Valentine 3D

คิดอยู่ว่าถ้าตัวเองได้ดูในรูปแบบสามมิติ มันก็คงจะเป็นประสบการณ์ที่หฤหรรษ์กันสุดเหวี่ยง ไม่ว่าจะเป็นเลือดที่ออกมาจากกลางกระหม่อมหยั่งกับสปริงเกอร์, ลูกตาซ้ายที่กระเด็นติดแว่นตา, กรามส่วนล่างของมนุษย์ที่ถูกเหวี่ยงข้ามหัวคนดู และฉากร่วมเพศ+โป๊ (สามมิติ) ที่กินเวลากว่า 5 นาที! (ซึ่งคงหนีไม่พ้นคมกรรไกรจากท่านผู้ทรงคุณวุฒิกลุ่มนั้น) แม้ MBV 3D จะไม่ถูกสร้างมาเพื่อปฏิวัติหนังเชือดสยอง ให้กลับมาเจิดจรัสเหมือนครั้งเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว แต่ถ้าเรามองถึงการหยิบเอาพล็อตเก่าสนิมขึ้น มาผสมผสานกับการใช้เทคโนโลยีสามมิติอันล่าสุด ที่ใช้ใน Journey 3D เป็นเรื่องแรกแล้ว MBV 3D ถือว่าเป็นการต่อยอดที่ไม่เสียราคาเลยจริงๆ...

 

โดย: BloodyMonday 8 มกราคม 2552 16:27:44 น.  

 

อา... อยากดูฉาก 5 นาทีนั้นอ้ะ

คุณไปเขียนอะไรที่บล็อคคุณอออ.อ้ะ โคตรฮาเลย (อ่านยากกว่าเขียนภาษาอังกฤษจริงๆอีก) ผมล่ะชอบเวลาคุณทำอะไรเฮี้ยนๆแบบนี้จริงๆ

 

โดย: แฟนผมตัวดำ 8 มกราคม 2552 22:55:03 น.  

 

ลุงแกยังคารมร้ายกาจไม่เบา 55+

อยากดู 5 นาทีนั้นด้วยคน
กรี๊ด

 

โดย: nanoguy IP: 125.24.120.41 9 มกราคม 2552 2:46:33 น.  

 

ขอบคุณที่แปลมาให้อ่านครับ


มีหนังที่ผมชอบหลายเรื่อง ที่อีเบิร์ต ไม่ค่อยชอบ

อ่อ สวัสดีปีใหม่ย้อนหลังครับ


 

โดย: navagan 9 มกราคม 2552 3:12:18 น.  

 

My Bloody Valentine 3D !!

เคยดู 3D แค่แบบเรื่องราวธรรมดาๆพาไปนอกโลกข้ามภูเขาอะไรอย่างนั้น

แต่แบบลูกตากระเด็น
ชิ้นส่วนมนุษย์ถูกเหวี่ยงข้ามหัว
และเด็ดดดวงที่ห้านาทีนั้น... มันต้องเป็นอะไรที่น่าสนใจมั่กๆแน่ๆเรยยย

 

โดย: renton live in middle of nowhere :: IP: 125.26.132.198 9 มกราคม 2552 10:41:16 น.  

 



Outlander


Braveheart + Predator = Outlander ?!
นวนิยายวิทยาศาสตร์ + ไวกิ้ง + เอเลี่ยน = Outlander ?!?!

Outlander อาจมีชะตากรรมเหมือนกับเรื่องอื่นๆในยุคปัจจุบัน ซึ่งถูกนำเอาไปเปรียบเทียบกับโปรเจ็คมหากาพย์ชิ้นหนึ่งที่เรียกตัวเองว่า The Lord of the Rings อันเป็นเหมือนเสาหลักค้ำจุนหนังในแนวนี้ ซึ่งมาตรฐานระดับ AAA ของมันนั้น อาจจะดูไกลเกินเอื้อมของผู้กำกับคนอื่นๆ (ที่ยังเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาอยู่) ในความพยายามที่จะเจริญรอยตาม

ยิ่งเราได้รับรู้ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นมากเท่าใด ก็จะยิ่งรู้สึกว่าตัวเองกำลังนั่งดูหนังเรื่องนั้นของ ปีเตอร์ แจ็คสัน เพียงแต่มันเหมือนกับเป็นเวอร์ชั่นที่ถูกสร้างมาเพื่อฉายทางทีวีเท่านั้น (แต่ก็ไม่ได้ย่ำแย่ถึงขนาด In the Name of the King ของผู้กำกับสุดระห่ำ อูเว่ โบล หรอกน่ะ) อย่างไรก็ตาม การผสมผสานระหว่างโลกโบราณกับโลกอนาคตลงไปในเนื้อเรื่อง ก็กลมกลืนไม่มีรอบต่ออย่างน่าประหลาดใจ ทั้งนี้ทั้งนั้นคงต้องยกประโยชน์ให้กับทีมงานสร้าง ที่ตัดสินใจเล่านิทานปรัมปราเรื่องนี้ แบบที่ไม่เน้นถึงเรื่องความแตกต่างระหว่างเผ่าพันธ์ของพระเอกและชนเผ่าไวกิ้ง อีกทั้งยังให้สำคัญและเอาใจใส่ในรายละเอียด ทั้งลักษณะทางกายภาพและลักษณะนิสัยของสัตว์ประหลาดที่ชื่อ มัวร์เวน ซึ่งสุดท้ายแล้วมันก็น่าจดจำไม่แพ้สัตว์ประหลาดชื่อดังจากมันสมองของ สแตน วินสตัน และ เอช อาร์ ไกเกอร์ เลยทีเดียว

แม้ว่าในความคิดของผู้สร้างหนังเกือบทุกคน ชื่อของ จิม คาวีเซล อาจจะไม่ใช่ตัวเลือกแรกในวงการสำหรับบทแอ็คชั่นฮีโร่ แต่เมื่อใดที่บทภาพยนตร์เปิดโอกาสให้เขาใช้เวลาเล่าถึงภูมิหลัง เขาก็ทำได้อย่างไม่มีที่ติ (ฉากแฟล็ชแบ็คบนดาวเคราะห์ของ มัวร์เวน ถือว่าเป็นฉากที่ทำให้ผู้เขียนตื่นเต้นที่สุดฉากหนึ่ง) ในขณะเดียวกัน แม้ว่าฉากแอ๊กชั่นบางฉากจะดูเหมือนถูกเรียงร้อยเข้าด้วยกันอย่างลวกๆ (เหมือนกับว่าคนตัดต่อเกิดเป็นลมบ้าหมูขณะทำหน้าที่) โดยเฉพาะฉากที่ต้องสู้กับหมีภูเขา ที่ตัดต่อฉุบฉับจนไม่รู้ว่า ใครฟันใครแทงใครกัดใครกันแน่ อย่างไรก็ดี ในฉากที่กลุ่มของพระเอกล่อให้ มัวร์เวน เข้ามาติดกับดักในค่ายนั้น ต้องยอมรับว่าทำได้อลังการไม่แพ้หนังบล็อคบัสเตอร์เลย

คงไม่ผิดที่จะบอกว่า Outlander คือภาพยนตร์ที่มีคอนเซ็ปต์เกรดบีและโปรดักชั่นเกรดบีบวก แต่โดยรวมแล้ว มันสามารถทำให้เกิดผู้ชมรู้สึกสนุกเกินมาตรฐานของหนังได้อย่างน่าแปลกใจอยู่เหมือนกัน

*Outlander เข้าฉายวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2009
*My Bloody Valentine 3D เข้าฉายวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2009

 

โดย: BloodyMonday 9 มกราคม 2552 17:18:10 น.  

 

+ โดยส่วนตัว ผมไม่ถึงกับอยากจะเรียกตัวเองว่าเป็น 'นักวิจารณ์' (ถึงแม้จะมีโอกาสได้เขียนที่เว็บยาริสหรอกนะครับ) แค่เป็นความเห็นของคนดูคนหนึ่งที่ได้มีโอกาสดูหนังเป็นปริมาณที่มากประมาณนึง และอีกบางส่วนก็เป็นหนังที่คนส่วนนึง (ส่วนใหญ่) ไม่ได้สนใจ แล้วก็เลยเอามาเขียนให้อ่านกันในมุมมองของตัวเอง ... แต่ถึงยังไง อย่างที่ว่าว่าผมก็ต้องพยายามค้นคว้าข้อมูลของหนังเรื่องนั้นให้เยอะที่สุด ก่อนที่จะแทรกมุมมองของผมเองที่มีต่อหนังเรื่องนั้นลงไปเช่นกัน เพราะถ้าเขียนแค่ ชอบ, ไม่ชอบ เพราะอะไร แบบนั้น ใครๆ ก็เขียนได้อ่า ... สรุปว่าผมจะพยายามทำหน้าที่ในบทบาทที่เป็นอยู่นี้ และที่ผมรักต่อไปให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ครับผม

+ ผมชอบลุงแอนตัน อีโก้ใน แรทฯ นะ เป็นคาแรคเตอร์ที่ปั้นออกมาได้โดดเด่นและเจ๋งดีอ่า

+ คุณ BdMd ก็จัดว่าเป็นนักวิจารณ์ที่มุมมองที่เจ๋งอีกคนนึงในบล็อกที่ผมนับถือนะครับ ทั้งในเรื่องหนังและเรื่องเพลง ต้องเรียกว่า "มีรสนิยมที่เชื่อถือได้" มังครับ อุๆ

+ ชอบ quote ในย่อหน้าสุดท้ายของคุณยิ่งยงฯ #3 ด้วยคน และขอบคุณท่านอื่นๆ ที่มาช่วยเติมเต็มเนื้อหาในหน้านี้ของคุณ Bd Md ด้วยครับ อ่านแล้วได้ความคิดดีๆ อีกจมเลยอ่า

 

โดย: บลูยอชท์ 9 มกราคม 2552 18:40:59 น.  

 


ไม่รู้นะ..เราดีใจและภูมิใจนะที่มีคุณBloodyฯเป็นเพื่อนคนเก่งที่คุ้นเคย+จริงใจ จาก Bloggang
แม้ว่าจะไม่ได้ จิ๊ จ๊ะ กันบ่อยนัก
+++++++++++++++++++++++++
วันนี้อยู่โยงเฝ้าคุณตาคุณยายที่บ้าน
อยากพาหลานตัวน้อยไปเที่ยววันเด็กเหมือนกัน
แต่แบ่งภาคไม่ได้ อิ อิ
สุขสันต์วันเด็กค่ะ
+++++++++++++++++++++++++
แต่ก่อนจะชอบไปดูหนังการ์ตูนฟรีที่"โรงหนังฮอลิวูด
ถนนเพชรบุรี.."
คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...

 

โดย: เริงฤดีนะ 10 มกราคม 2552 11:55:48 น.  

 

ได้ดูตอนต้นของ Slumdog ไปนิดหนึงแล้วครับ น่าดูมากๆ เดี๋ยวจะไว้ดูต่อๆ ^^

 

โดย: McMurphy 10 มกราคม 2552 18:52:18 น.  

 

ผมกำลังจะเขียนวิจารณ์ส่งหนังสืออยู่เลย 555+
อ่านเข้าไปเลยสับสนว่าผมควรจะเขียนแบบไม่ออกความเห็นอะไรมากดีไหม
แล้วจะเขียนแบบไม่แสดงออกว่าเรารู้อะไรบางเรื่องดีไหม นี่เราเล่นสำนวนมากไปไหม
เราอวดฉลาดเกินไปหรือเปล่า...หรือว่าตัวหนังสือของเราไปทำร้ายใครบางคนที่ตั้งใจทำหนังไหมนะ

ที่จริงผมชอบตอนนักวิจารณ์ในหนังแร็ตทาทูอี้มากเลย ดูครั้งแรกมันแบบ...นะ
การใช้ถ้อยคำปรามาสคนอื่นนั้นอาจจะมีในงานวิจารณ์...
แต่ถ้อยคำที่พยายามปกป้องสิ่งที่คนเขียนเห็นว่าควรรักษา...ก็มีอยู่จริงๆเช่นกัน

ชอบคำว่าใหม่ที่บอกว่าไม่ใช่คำว่าแตกต่าง
คือบางครั้งคำว่า “ใหม่” อาจจะหมายถึง “คนใหม่ในวงการ” ที่เพิ่งเกิด เพิ่งได้ลอง และไม่ควรที่จะถูกย่ำยีจนหมดกำลังใจเร็วเกินไปนัก
ถ้อยคำของนักวิจารณ์อาจจะมีไว้ช่วยคุณเซฟเวลาอย่างที่บทความว่า
แต่มันก็มีส่วนช่วยให้กำลังใจคนใหม่ๆที่พร้อมจะสร้างอนาคตให้กับศิลปะด้วยเช่นกัน

หากคำติด่านั้นทำลาย...คำชื่นชมเยินยอก็คือการร่วมสร้างสรรค์เช่นเดียวกัน

ผมเองก็ไม่ใช่นักวิจารณ์เต็มตัวอะไร แต่ด้วยความที่เคยได้สวมบทเป็นนักวิจารณ์ชั่วครั้งชั่วคราวมาบ้าง
มุมมองของผมที่มีต่อนิยมของคำว่านักวิจารณ์นั้นก็เลยออกแนวประมาณว่า

“บางทีพวกนักวิจารณ์(บางคนนะ)อาจจะเป็นขันที...ที่อยากจะเห็นทุกๆคนในฮาเร็มได้ขึ้นสวรรค์ทุกค่ำคืนครับ” ^^

 

โดย: ชุดนอน(ทำไมวันนี้มันล็อกอินไม่ได้อ้ะ!) IP: 124.121.184.173 10 มกราคม 2552 20:03:57 น.  

 

เข้ามาตอบเรื่องดาราเอวีชาย

ถ้าได้ถ่ายกับน้องอ้อยหรือมิยาบิ เลี้ยงราเม็งผมชามเดียวผมก็ว่าคุ้มแล้วครับ 5555

รึเราจะไปรับจ็อบที่นั่นกันดีครับ หุๆๆ

 

โดย: แฟนผมฯ IP: 202.134.119.218 12 มกราคม 2552 12:40:02 น.  

 


Yo-yo. Feelin better? Don't feel down too long na. Ya mood will stick on the floor and can't lift up no longer. *grin*

 

โดย: ang ang ah IP: 202.176.89.115 12 มกราคม 2552 17:17:49 น.  

 




ผลรางวัลลูกโลกทองคำ ครั้งที่ 66 ที่ช่อง 7 สี TV เพื่อคุณ ถ่ายทอดสด
เมื่อเช้า 12 มค.2552...เราเผอิญได้ดู..ดีจัง

 

โดย: เริงฤดีนะ 12 มกราคม 2552 19:04:34 น.  

 

อยากโดดงานดูออสการ์เหมือนกัน...

แต่ผลลูกโลกทองคำก็สมใจดี ผมเชียร์ลุงมิคกี้ รูก (ถึงแม้จะยังไม่ได้ดู The Wrestler) เพราะอ่านเจอเรื่องที่แกอยู่คนเดียวกับหมาแก่ๆ แถมแกยังกล่าวตอนขึ้นไปรับรางวัลอีกด้วยว่าขอบคุณหมาตัวนั้นที่ไม่เคยทิ้งแกในวันที่แกตกอับ (ซี๊ดดดด แสบได้ใจจริงๆลุง)

ตอนนี้อยากดู The Reader กับ Slumdog Millioniare

อ้อ ส่วนเรื่องราเม็ง ผมกะจะกินเอาแรงน่ะครับ (เจอน้องอ้อยกับมิยาบิ ไม่กินอะไรเลยเดี๋ยวได้ตายกันพอดี 555++)

 

โดย: แฟนผมฯ IP: 202.134.119.218 13 มกราคม 2552 8:50:48 น.  

 

^
^
เราว่าราเม็งชามเดียว คงไม่พอหรอกมั้งนาย อาจต้องแกล้มด้วยหอยนางรมสดอีกจานใหญ่ๆ ฮ่าๆๆ

 

โดย: บลูยอชท์ 13 มกราคม 2552 10:52:56 น.  

 

เกี่ยวกับเรื่องตัวสำรอง(ทางความรัก)ที่คุณวางประเด็นไว้ที่บ้านผม
อันที่จริงแล้วพวกเราก็ไม่มีอะไรเป็นหลักประกันหรอกครับว่าพวกเราจะทำได้ดีกว่า

หากแต่สิ่งเดียวที่เรายืนยันว่าเราอาจจะทำได้ดีกว่าก็คือ...
การที่เราเห็นความสำคัญกับการเป็นตัวจริงมากกว่าเขาคนก่อน
ดังนั้นหากผู้จัดการ(หญิงสาว)ให้โอกาสเราได้ลงสนาม
พวกเราก็พร้อมจะวิ่งแบบลืมตาย ไม่ห่วงหล่อคอยวางมาดเป็นซุเปอร์สตาร์ และทุ่มเทอย่างเต็มที่

จริงอยู่ที่เราอาจจะเลี้ยงบอลไม่เก่งเท่าขา ส่งบอลไม่ได้ขนาดเท้าช่างทอง
วิ่งไม่เร็วติดจรวด อ่านเกมไม่ขาดสะบั่นจับทางคู่แข่งได้ แต่เราก็พร้อมที่จะพยายามทันทีที่ได้รับโอกาส...

ผมชักสับสนแล้ว...นี่เราคุยเรื่องฟุตบอลกันอยู่ใช่ไหม งั้นผมรองเชลซีครึ่งลูก 555+

ปล
ผลประกาศรางวัลลูกโลกทองคำออกมาแล้ว มีอันไหนโดนใจหรือขัดใจบ้างไหมครับ
ปีนี้ค่อนข้างตรงโผและไม่ขัดใจกองเชียร์ถึงขนาดต้องก่อให้เกิดข้อพิพาษ์นะผมว่า

 

โดย: ขอรบกวนทั้งชุดนอน 13 มกราคม 2552 11:41:32 น.  

 

แง่ง! ลืมบอกไปว่าไปดู Yes Man มาแล้ว
นางเอกน่าร๊ากมากกกกกกกกกกกกกกกก 555+

ดูแล้วคิดถึงบล็อกนี้เลย ว่างๆเขียนถึงบ้างนะครับ
ถึงแม้หนังจะเน้นตลกจนกลับแก่นประเด็นของเนื้อหาไปซะเยอะ
แถมดำเนินเรื่องตามสูตรสำเร็จชนิดตัวตายสุดๆ
แต่โดยรวมๆแล้วก็ถือว่าเป็นหนังที่น่าจดใจอีกเรื่องเลยทีเดียว

 

โดย: ขอรบกวนทั้งชุดนอน 13 มกราคม 2552 11:43:45 น.  

 

ที่อยากดู The Reader ก็ไม่ได้มีนัยยะอะไรหรอกครับ พอดีผมเป็นคนรักการอ่าน เลยอยากดูฉาก "อ่านหนังสือ" เป็นพิเศษเท่านั้นเอง หุๆๆ

ถ้าจะคุยเรื่องเอวีต่ออีก มันจะดูหมกมุ่นเกินไปมั๊ยเนี่ย 5555

 

โดย: แฟนผมฯ IP: 202.134.119.218 14 มกราคม 2552 8:28:11 น.  

 

^
^
เท่าที่รู้มา นางเอกจะเป็นผู้หญิงประเภทบิวด์อารมณ์ (X) ด้วยการอ่านหนังสือ คือให้พระเอก (ตอนเด็ก) อ่านออกเสียงดังๆ แล้วก็ดึ่งดึ๊งกันไปด้วย มิใช่ฤาฮับเพื่อน อิๆ ... เธอช่างรสนิยมวิจิตรพิสดารเจงๆ (แถมยังชอบกินเดะอีกต่างหาก)

 

โดย: บลูยอชท์ 14 มกราคม 2552 9:58:42 น.  

 

^
^ อ๊ากกกก ไม่ใช่จ้า
ถ้าจะบอกมันจะเปิดเผยส่วนสำคัญของหนังและหนังสือเลยนะ
แต่มันมีเหตุผลที่ทำไมนางเอกต้องให้พระเอกอ่่านหนังสือให้ฟัง
( หนังสือเล่มนี้เป็นเล่มโปรดของเ รา )

ป.ล ดองบล็อกเหมือนกันเล้ย

 

โดย: grappa 14 มกราคม 2552 16:16:09 น.  

 

เพิ่งเห็นรูปเฮดบล็อก
คิตาโน

 

โดย: grappa 14 มกราคม 2552 16:17:12 น.  

 

The Reader หนังสือล้ำลึกจริงๆครับ เคยอ่านแล้ว

 

โดย: McMurphy IP: 125.24.47.105 15 มกราคม 2552 22:16:18 น.  

 

เพิ่งกลับมาจากดวงจันทร์อ่ะ

ว่าแต่ จขบ.ไปทัวร์ดาวเสาร์แล้วเป็นไงมั่ง จวนกลับรึยัง ฮื้ออออออออ...

 

โดย: renton_renton 16 มกราคม 2552 7:30:30 น.  

 

รับทราบ ขอรับ ... พี่แป๊ด ... ด้วยความเคารพ เพราะผมก็ยังไม่เคยอ่านหนังสือเรื่องนี้เช่นกัน เลยได้แต่จำขี้ปาก (ผิดๆ) ของเค้ามาพูด ... เด๋วจะรอรับชมจุดเฉลยที่พี่ว่าไว้ ในหนังเลยละกันนะครับผม แหะๆ

+ หน้านี้แช่นานเนาะครับ มาแซวๆ กิๆ

 

โดย: บลูยอชท์ 17 มกราคม 2552 0:42:16 น.  

 

หนาววุ้ย
อยากกอดคน
55+

 

โดย: nanoguy IP: 125.24.146.58 17 มกราคม 2552 2:06:42 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


BloodyMonday
Location :
Imaginationland, Valley of Bliss China

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]






-= M & M in Nutshell =-


Gentlemen Broncos (2009)


You could have brain tumor by watching this contaminated turd. Nothing in Gentlemen Broncos pays off, it’s incoherent mess, and chock-full of incredibly annoying characters. You will not only loath this movie, but it also makes you want to punch someone who responsible for this abomination in the face.

BloodyMonday Rating:



Fantastic Mr. Fox (2009)


Imagine if Akira got Live-Action treatment by... say Alfonso Cuarón, you know how awesome it might be? That’s what happened to "Fantastic Mr. Fox". Wes Anderson's auteur perfectly captured the quirkiness and blissful tone of the material. Its stop-motion technique might be a little crude and... somewhat unsophisticated, but that's the charm of it. You’ll feel like pop-up book unveiled before your eyes. This is an exceptional animation of the year.

BloodyMonday Rating:



Planet 51 (2009)


ถ้าถามว่าสนุกไหม? ก็โอเค ทุกอย่างถอดแบบมาจาก Shrek มุขที่อ้างอิงวัฒนธรรมป็อป ตัวละครสมทบที่น่าสนใจกว่าตัวเอก กราฟฟิคที่สอบผ่านฉลุย (ถ้าไม่ไปวัดกับพิกซาร์) แต่ถ้าถามว่าต้องดูไหม? ..... เอาเป็นว่าเวลาชั่วโมงครึ่ง ทำอะไรที่มีประโยชน์กว่านี้ได้เยอะแยะ

BloodyMonday Rating:



It's Complicated (2009)


รู้สึกสนุกกับการได้เห็นป้าเมอรีล เข้าโหมดแอ๊บเด็ก (อีกแล้ว) ในขณะเดียวกัน อเล็กซ์ บอลด์วิน และ จอห์น ครากินสกี้ ก็ขโมยซีนได้ตลอด แต่มันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหนังยาว 2 ชั่วโมงมีเรื่องให้เล่าแค่ 15 นาที... It's Complicated อาจเหมือนคนกินไวอากร้าแล้วเข้านอน คึกตลอดคืนแต่มันจะมีประโยชน์อะไร?

BloodyMonday Rating:



Up in the Air (2009)


Up in the Air is a blockbuster movie for people who think blockbuster movies are dumb, as it chock full of brilliantly written dialogue, and acting showcase for three talented actors (especially star-making turn by Anna Kendrick). But in the end, there's little to love, not so much story to chew on (plus disappointing third act), and no real connection to the meaning of human interaction as it intended to be.

BloodyMonday Rating:



I Love You, Beth Cooper (2009)


Cliché-ridden plot about a bunch of annoying characters get together in one idiotic circumstance, "I Love You, Beth Cooper" is shameless exploitation & biggest insult to 80s teen flicks. It's like memorizing magic trick from internet, hoping to perform like David Copperfield. Neither sense of wonder nor magic flare happens here. Only good thing is, it makes me wanna cleanse my soul with genuine 80s teen movie night marathon.

BloodyMonday Rating:



Everybody's Fine (2009)


Meh. The movie serious lack of originality & characters development. Only Robert De Niro comes out fine in this schmaltzy, "Lifetime" movie-of-the-week plot.

BloodyMonday Rating:



Paper Heart (2009)


Twee delight... That's only two words I can think of right now.

BloodyMonday Rating:



Adam (2009)


A perfect companion to Mary & Max (one of the best animation of 2009), Adam is star-crossed love story (pun intended) between Adam, Asperger's Syndrome bearer, and Beth, free spirit woman. The picture wouldn’t be this intimate without stunning performance by Hugh Dancy. On the other hand, the lack of depth on why Beth would love someone like Adam, preventing me from wholeheartedly embraces her choice in the end (which is nice & perfect but requires a leap of faith). Otherwise, this is touching romantic film, which putting its feet firmly on the ground, making the world full of hope and seems nicer place to live.

BloodyMonday Rating:



The Invention of Lying (2009)


Expected to be like “Click” or “Yes Man”, where high-concept plot turned into endless gags, with moral lesson (forcefully) shoving down your throat. But "The Invention of Lying" is thinking man’s film. The whole concept is not seeing how first lying man exploits the ability. But it's about him finding the way not to lie, in order to find genuine happiness. Great stuff.

BloodyMonday Rating:



Give ‘Em Hell Malone (2009)


This is one damn frustrating experience. It’s like watching an infant trying to stand up and walk. They would take a few steps then fall their asses. In fact, kiddie film like “Bugsy Malone” has done better job paying a tribute to film noir than this borefest.

BloodyMonday Rating:



Zombieland (2009)


ถ้าอังกฤษมีหนังซอมบี้ฮาแตกอย่าง Shaun of the Dead แล้ว ทำไมอเมริกาจะมีบ้างไม่ได้... Zombieland คือการผสมผสานระหว่างบรรดาหนังซอมบี้เก่าๆ เข้ากับทัศนคติของคนสร้างที่อาจดูหนังแนวนี้มากเกินความจำเป็น จนสามารถสร้างหนังซอมบี้ที่เข้าใจสิ่งที่ตัวเองเป็น และเล่นสนุกไปกับกฏพื้นฐานของซอมบี้ได้อย่างเต็มที่ ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องยกความดีให้สี่นักแสดงนำ โดยเฉพาะ วู้ดดี้ ฮาเรลสัน (เขาเกิดมาเพื่อบทนี้) ที่ช่วยกันสร้างมนต์เสน่ห์ ให้กับการเดินทางในโลกไร้มนุษย์ได้อย่างเต็มที่

ถึงแม้พลังงานที่ขับเคลื่อนจะมาหมดเอาดื้อๆในองค์สุดท้าย เมื่อฉากใหญ่ในสวนสนุกถูกทำขึ้นเพื่อแสดงฉากการฆ่าซอมบี้เด็ดๆ (ซึ่งไม่ใช่จุดเด่นสำหรับเรื่องนี้เลย) แต่โดยรวมแล้วมันก็ไม่ใช่ข้อแก้ตัว ที่บรรดาแฟนซอมบี้จะมาพลาดหนังเรื่องนี้... อ้อ แล้วหนังยังมีดารารับเชิญสุดเซอร์ไพรซ์ ที่สร้างเสียงฮาที่สุดในเรื่องได้จากประโยคสุดท้ายอีกด้วย

BloodyMonday Rating:



Frequently Asked Questions About Time Travel (2009)


เมื่อเพื่อนสามคนก๊งเบียร์กันในผับแล้วเจอสาวฮ็อต (แอนนา ฟาริส) ที่อ้างว่ามาจากอนาคตจนเกิดรอยแยกของเวลา ทำให้ทั้งสามต้องท่องไปทั้งโลกในอนาคตและอดีตจนวุ่นวาย...

หนังมีไอเดียกิ๊บเก๋ ทำออกมาได้สนุกสนานสไตล์ซิตคอมอังกฤษ โดยเฉพาะการนำกฏเหล็กต่างๆจากหนังที่เกี่ยวกับการท่องเวลา (ดูเหมือนว่า Back to the Future จะเป็นแรงบรรดาลใจหลัก) มาปู้ยี้ปู้ยำอย่างเมามัน ถึงแม้ว่าตลอดเวลาการรับชมจะให้ความรู้สึก เหมือนตัวเองกำลังดูซีรี่ย์ทางโทรทัศน์ แต่มันก็คือตอนที่ฮาที่สุดของซีซั่น แถมเอฟเฟ็คที่ใช้ก็มีคุณภาพจนคาดไม่ถึง

BloodyMonday Rating:



Looking for Eric (2009)


มีความรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มองโลกในแง่ดีเกินบรรยากาศโดยรวม จริงอยู่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ลงเอยด้วยดีในตอนสุดท้ายนั้น สามารถสร้างความสุขและรอยยิ้มให้กับคนดู แต่จากสถานการณ์ในเรื่องและบริบทที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ มันยากที่จะทำใจเชื่อในสิ่งที่เห็น โดยเฉพาะพล็อตรองเกี่ยวกับปืน ซึ่งถ้าถูกตัดออกไปและหนังยังดำเนินเรื่องอย่างที่เป็นอยู่ Looking for Eric ก็น่าจะเป็นหนังฟีลกู้ดที่อบอุ่นที่สุดเรื่องหนึ่งของปีเลยทีเดียว

BloodyMonday Rating:


~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
Group Blog
 
<<
มกราคม 2552
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
7 มกราคม 2552
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add BloodyMonday's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.