|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
2 กุนซือเศรษฐกิจ อดีตกับปัจจุบันการค้าโลกคนละมุม "สมคิดดัน FTA ศุภชัย ชู WTO
2กุนซือศก.-อดีตกับปัจจุบัน การค้าโลกคนละมุม "สมคิด"ดันFTA-"ศุภชัย"ชูWTO
*หมายเหตุ*...สมาคมนักเรียนเก่าเตรียมอุดมศึกษาในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดเสวนา "เตรียมอุดมฟอรั่ม" ครั้งที่ 1 เรื่อง "ยุทธศาสตร์ไทยในกระแสโลก" โดยมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวปาฐกถาพิเศษก่อนสัมมนาเรื่อง "ยุทธศาสตร์ไทยในกระแสโลก : เลิกวิกฤตเป็นโอกาส" และนายศุภชัย พานิชภักดิ์ เลขาธิการการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (อังค์ถัด) อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวปาฐกถาพิเศษก่อนสัมมนาเรื่อง "ยุทธศาสตร์อุตสาหกรรมหลักของไทยในกระแสโลก" เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน ที่หอประชุมใหญ่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
"สมคิด จาตุศรีพิทักษ์"
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
จากการเดินทางไปร่วมประชุมเอเปคที่เวียดนามในช่วงที่ผ่านมา ได้มีโอกาสพบกับผู้นำของประเทศต่างๆ ทำให้พบว่า ขณะนี้ มีพันธกิจจำนวนมากที่ต้องสะสาง ทั้งในส่วนของการเจรจาเอฟทีเอ (ข้อตกลงเขตการค้าเสรี) ระหว่างไทยกับสหรัฐ ที่คงจะต้องมีการเจรจากันหลายรอบเพื่อให้ได้ผลประโยชน์ด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย และยังต้องมีการชี้แจงข้อมูลให้ประชาชนรับทราบถึงผลประโยชน์ในการเจรจาครั้งนี้ว่า ไทยจะไม่เป็นเพียงประเทศที่ส่งมอบของขวัญล้ำค่าให้กับต่างชาติ
นอกจากนี้ ในส่วนของการเจรจาความร่วมมือทางการค้ากับประเทศญี่ปุ่น ซึ่งขณะนี้ การเจรจาสำเร็จลุล่วงไปแล้วกว่า 99% และทางการญี่ปุ่นก็ต้องการให้มีการลงนามก่อนที่นายจุนอิชิโร โคอิซูมิ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นจะก้าวลงจากตำแหน่ง ในขณะที่รัฐบาลไทยยังอยู่ระหว่างการรักษาการ ซึ่งจะต้องมีการหารือกันภายในว่าจะมีความเหมาะสมมากน้อยเพียงใดที่จะร่วมลงนามในครั้งนี้
นอกจากนี้ ในส่วนของการเจรจาทางการค้า ด้านส่งออกสินค้าผักและผลไม้ไปยังประเทศจีน ไทยก็ควรจะต้องรุกมากกว่านี้ โดยเฉพาะการผลักดันให้ความสำคัญระหว่างไทยกับจีนเป็นมากกว่าแค่ประเทศที่ทำการค้า โดยเฉพาะการส่งตัวแทนเข้าเจรจากับผู้นำมณฑล 11 มณฑลใหญ่ของจีน ซึ่งจะเป็นแรงขับเคลื่อนในการทำธุรกิจการค้าระหว่าง 2 ประเทศ มากกว่าแค่การเจรจากับรัฐบาลส่วนกลาง ซึ่งเป็นผู้ควบคุมนโยบาย
ทั้งนี้ จากการที่ได้เดินทางไปเวียดนาม พบสิ่งที่น่ากังวลใจสำหรับไทย คือ การพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของเวียดนาม เนื่องจากปัจจุบันถือเป็นประเทศที่มีศักยภาพ ทั้งในเรื่องของปัจจัยโครงสร้างพื้นฐาน และความสามารถของคน โดยเฉพาะเรื่องระบบสารสนเทศ
ช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา คงต้องยอมรับว่าภายหลังการก้าวเข้ามาบริหารประเทศของพรรคไทยรักไทย ได้มีการพัฒนาประเทศหลายอย่าง โดยเฉพาะการกู้วิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ให้เข้าสู่สภาพปกติ และมีการต่อยอด โดยเฉพาะการชูภาพลักษณ์ของประเทศให้เป็นประตูแห่งอาเซียนที่จะเปิดให้ต่างประเทศเข้ามาลงทุน ส่งผลให้สภาพเศรษฐกิจของไทยหายใจรดต้นคอประเทศมาเลเซีย
นอกจากนี้ ยังมุ่งเน้นแก้ปัญหาระบบเศรษฐกิจในประเทศที่อ่อนแอด้วยการเร่งรัดนโยบายการส่งออกสินค้า ในลักษณะของการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า ซึ่งในเร็วๆ นี้คงจะเห็นได้จากตัวเลขจีดีพีในไตรมาสแรกที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จะมีการแถลง ซึ่งจะเป็นตัวเลขที่สูงและน่าพอใจ อย่างไรก็ตาม สำหรับเรื่องการส่งเสริมให้นักธุรกิจมีการพัฒนาระบบการส่งออกสินค้าก็ยังมีอุปสรรคเล็กน้อย เพราะหลายคนยังไม่เข้าใจ จึงทำให้ภาพลักษณ์ประเทศไทยถูกมองว่าเป็นเพียงประเทศผู้รับจ้างผลิตสิ่งของเท่านั้น
ดังนั้น ในช่วงขณะนี้ที่ไทยกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาต่อเนื่อง แต่ก็มีอุปสรรคเกิดขึ้น จนทำให้มีลักษณะเหมือนหยุดการพัฒนา และกำลังจะถอยหลัง ถือเป็นเรื่องที่น่าห่วงและอยากเรียกร้องให้คนไทยหันกลับมามองผลประโยชน์ของชาติ โดยการร่วมแรงร่วมใจขับเคลื่อนประเทศให้ก้าวไปข้างหน้าต่อไป
การก้าวไปข้างหน้าของไทย ควรจะเน้นเรื่องการพัฒนาคน โดยเฉพาะเด็กรุ่นหลังที่จะขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ ซึ่งไม่ควรคำนึงถึงเรื่องความเก่งกาจเพียงอย่างเดียว แต่ควรเน้นปลูกฝังจริยธรรม เพราะน่าจะส่งผลประโยชน์ต่อประเทศชาติมากกว่า
"ศุภชัย พานิชภักดิ์"
เลขาธิการการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (อังค์ถัด)
(อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์)
เศรษฐกิจโลกในปัจจุบันแม้จะมีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลให้มีความสับสนเกิดขึ้นมาก แต่มองว่าแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจโดยรวมยังอยู่ในทิศทางที่ดี สังเกตได้จากในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา การขยายตัวของเศรษฐกิจติดต่อกันในอัตรา 4% ต่อปี เป็นผลจากปัจจัยต่อไปนี้ 1.ประเทศในแถบอาเซียน และมหาอำนาจใหม่ของโลก อาทิ จีน อินเดีย บราซิล เริ่มเข้ามามีบทบาทในการเจรจาในเวทีการค้าโลกมากขึ้น ส่งผลให้ผู้บริโภคมีสินค้าหลากหลายชนิดมาให้เลือกมากขึ้น ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจที่สำคัญของโลก
ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเห็นได้ชัดจากผลกระทบทางด้านราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงมากจากอดีต หากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในอดีตเมื่อ 20 ปีก่อน เศรษฐกิจโลกคงล่มสลายไปแล้ว สินค้าจะมีราคาแพงมาก ดอกเบี้ยจะปรับตัวสูงมาก แต่ปัจจุบันสิ่งเหล่านี้ไม่เกิดขึ้น และในทางตรงกันข้ามประเทศที่เข้ามาร่วมเหล่านี้ยังส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเรื่องสินค้าอุปโภคที่มีราคาสูงขึ้นอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน เช่น ยางพารา และน้ำตาล ซึ่งในส่วนยางพาราก็เป็นผลจากปัจจุบันมีหลายประเทศมีความต้องการใช้สูง ส่วนน้ำตาลก็มีการนำไปผลิตเป็นเอทานอล ก็เป็นสินค้าที่หลายประเทศต้องการสูงมากเช่นกัน
2.หลังจากผ่านพ้นช่วงวิกฤตเมื่อปี 2540 ซึ่งส่งผลให้อุตสาหกรรมหลายประเภทล่มสลายไป โดยเฉพาะด้านไอที ธนาคารกลางของประเทศหลายแห่งได้มีการอัดฉีดเงินเพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับระบบเศรษฐกิจของโลก ส่างผลให้อัตราดอกเบี้ยปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตาม แม้ว่าแนวโน้มเศรษฐกิจของโลกยังดีอยู่ แต่เป็นเรื่องธรรมดาที่ว่าสิ่งที่ดีมักย่อมมีอันตรายแอบแฝงโดยเฉพาะหากเกิดความไม่สมดุลทางการค้าระหว่างประเทศ เห็นได้จากปัจจุบันที่สหรัฐเริ่มขาดดุลการค้าเพิ่มมากขึ้นกว่า 9 แสนล้านเหรียญสหรัฐ และมีแนวโน้มจะสูงขึ้นไปอีก
สัญญาณที่เป็นตัวชี้ให้เห็นประเด็นเหล่านี้ก็เกิดขึ้นจากปัจจัยดังนี้ 1.แนวโน้มที่เกี่ยวกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เริ่มชะลอตัว 2.ธนาคารกลางของประเทศต่างๆ เริ่มพยายามสอนให้คนรู้จักการออมเงินมากขึ้น จึงมีการชะลอตัวในเรื่องการอัดฉีดเงิน อาจจะส่งผลทำให้การเปลี่ยนแปลงด้านดอกเบี้ยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 3.แนวโน้มการเจรจา โดยเฉพาะที่เป็นสาระสำคัญของประเทศกำลังพัฒนา อาทิ สินค้าเกษตร อุตสาหกรรมแปรรูป และภาคบริการ อาจจะมีการชะลอตัวลง และ 4.นโยบายของประเทศมหาอำนาจและองค์กรระหว่างประเทศต่างๆ ในการดูแลประเทศด้อยพัฒนาในลักษณะพิเศษ จะมีแนวโน้มชะลอตัวลง ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศด้อยพัฒนาสะดุด และส่งผลกระทบไปถึงเศรษฐกิจโลกด้วย
อย่างไรก็ตาม ในส่วนการเจรจาการค้าระหว่างประเทศที่ขณะนี้เริ่มมีการพูดถึงเอฟทีเอ (ข้อตกลงเขตการค้าเสรี) ซึ่งเป็นการเจรจาแบบทวิภาคีก็เป็นสิ่งที่ต้องระวัง เนื่องจากล่าสุดธนาคารโลกและองค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ) ก็สำรวจข้อมูลพบว่าประเทศที่มีขนาดเล็กหากมีการเจรจาเอฟทีเอกับประเทศมหาอำนาจก็อาจไม่ได้รับประโยชน์เท่าที่ควร เพราะการเจรจาลักษณะนี้หากจะได้รับประโยชน์สูงสุดควรเป็นประเทศที่มีศักยภาพใกล้เคียงกัน ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่ผู้บริหารประเทศต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษ และโดยส่วนตัวเชื่อว่าการเจรจาแบบพหุภาคีน่าจะเป็นแนวทางที่ดีมากกว่า
ในส่วนของไทยที่เกี่ยวกับการเจรจาเอฟทีเอ อยากจะฝากไว้ว่าต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ที่อาจต้องสูญเสียไป ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในการรักษาพยาบาล สิทธิด้านแรงงาน เพราะการเจรจาอาจมีการสร้างเงื่อนไขบางประการที่ทำให้ไทยเสียประโยชน์
จากประสบการณ์ที่เคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการองค์การการค้าโลก ระบบเศรษฐกิจที่น่าจะมีความเหมาะสมสำหรับประเทศที่ด้อยพัฒนาน่าจะเป็นประเด็นเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริของพระสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งขณะนี้สหประชาชาติ (ยูเอ็น) กำลังเตรียมการนำเรื่องเข้าที่ประชุมก่อนที่จะทำเป็นหนังสือและมีการนำตัวอย่างแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงไปเผยแพร่ให้กับประเทศที่สนใจได้เข้ามาศึกษา เพราะระบบการค้าในโลกยุคนี้สาระสำคัญไม่ได้อยู่ที่จะต้องแข่งขันอย่างเอาเป็นเอาตาย เพราะการค้าถือเป็นเพียงช่องทางหนึ่งในการพัฒนาประเทศให้เกิดผลตอบแทนที่ดี
ในนามส่วนตัว ขอเรียนอย่างจริงใจว่าทุกวันนี้แม้จะต้องไปทำงานอยู่ในที่ห่างไกลประเทศไทย แต่หากมีโอกาสก็ยังคิดเสมอในเรื่องของการที่จะสร้างประโยชน์ให้กับประเทศของเราเพื่อจะได้รับการยกย่องในเวทีการค้าโลก
|
|
|
|
|
|
Create Date : 04 มิถุนายน 2549 |
Last Update : 5 มิถุนายน 2549 16:17:01 น. |
|
12 comments
|
Counter : 642 Pageviews. |
|
|
|
โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 4 มิถุนายน 2549 เวลา:10:36:52 น. |
|
|
|
โดย: โสมรัศมี วันที่: 4 มิถุนายน 2549 เวลา:12:26:17 น. |
|
|
|
โดย: Malee30 วันที่: 4 มิถุนายน 2549 เวลา:13:27:09 น. |
|
|
|
โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 5 มิถุนายน 2549 เวลา:9:50:33 น. |
|
|
|
โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 5 มิถุนายน 2549 เวลา:9:53:39 น. |
|
|
|
โดย: ช่างนำชัย IP: 124.120.186.42 วันที่: 5 มิถุนายน 2549 เวลา:10:31:17 น. |
|
|
|
โดย: รักดี วันที่: 5 มิถุนายน 2549 เวลา:13:07:01 น. |
|
|
|
โดย: run to me วันที่: 5 มิถุนายน 2549 เวลา:13:53:43 น. |
|
|
|
โดย: ป้ามด วันที่: 5 มิถุนายน 2549 เวลา:15:38:40 น. |
|
|
|
|
|
|
|
ห่วงเอฟทีเอ "ศุภชัย"ชี้ไทยต้องศก.พอเพียง
ยูเอ็นเตรียมนำเข้าที่ประชุม เผยแพร่แนวคิดไปทั่วโลก "สมคิด-โกร่ง"ยังดันทวิภาคี
"ศุภชัย พานิชภักดิ์"โชว์วิสัยทัศน์ แนะเศรษฐกิจพอเพียงเหมาะสำหรับไทยที่สุด เผยยูเอ็นเตรียมนำเข้าที่ประชุมเพื่อเผยแพร่ เตือนเจรจาเอฟทีเอระวังเสียสิทธิประโยชน์ด้านการรักษาพยาบาลและแรงงาน
เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน สมาคมนักเรียนเก่าเตรียมอุดมศึกษาในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้จัดเสวนาเตรียมอุดมฟอรั่ม ครั้งที่ 1 เรื่องยุทธศาสตร์ไทยในกระแสโลก โดยรายได้จากการสัมมนาจะนำขึ้นทูลเกล้าฯพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวโรกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวปาฐกถาพิเศษว่า จากการเดินทางไปร่วมประชุมกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิค (เอเปค) ที่เวียดนาม ได้มีโอกาสพบกับผู้นำของประเทศต่างๆ ทำให้พบว่า ขณะนี้มีพันธกิจจำนวนมากที่ต้องสะสาง ทั้งในส่วนของการเจรจาเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ระหว่างไทยกับสหรัฐ ที่คงจะต้องมีการเจรจากันหลายรอบเพื่อให้ได้ผลประโยชน์ด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย และยังต้องมีการชี้แจงข้อมูลให้ประชาชนรับทราบถึงผลประโยชน์ในการเจรจาครั้งนี้ว่า ไทยจะไม่เป็นเพียงประเทศที่ส่งมอบของขวัญล้ำค่าให้กับต่างชาติ
นายสมคิดกล่าวว่า ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา หลังจากพรรคไทยรักไทยเข้าบริหารประเทศ ได้มีการพัฒนาประเทศหลายอย่าง โดยเฉพาะการกู้วิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ให้เข้าสู่สภาพปกติ และมีการต่อยอด โดยเฉพาะการชูภาพลักษณ์ของประเทศให้เป็นประตูแห่งอาเซียนที่จะเปิดให้ต่างประเทศเข้ามาลงทุน ส่งผลให้สภาพเศรษฐกิจของไทยมีลักษณะหายใจรดต้นคอประเทศมาเลเซีย อย่างไรก็ตาม ปัญหาการเมืองที่เกิดขึ้นทำให้ไทยเหมือนหยุดการพัฒนาและกำลังจะถอยหลัง ถือเป็นเรื่องที่น่าห่วงและอยากเรียกร้องให้คนไทยหันกลับมามองผลประโยชน์ของชาติ โดยการร่วมแรงร่วมใจขับเคลื่อนประเทศให้ก้าวไปข้างหน้าต่อไป
"การก้าวไปข้างหน้าของไทย ควรจะเน้นเรื่องการพัฒนาคน โดยเฉพาะเด็กรุ่นหลังที่จะขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ ซึ่งไม่ควรคำนึงถึงเรื่องความเก่งกาจเพียงอย่างเดียว แต่ควรเน้นปลูกฝังจริยธรรม เพราะน่าจะส่งผลประโยชน์ต่อประเทศชาติมากกว่า" นายสมคิดกล่าว
นายศุภชัย พานิชภักดิ์ เลขาธิการการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (อังค์ถัด) กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกในปัจจุบันแม้จะมีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลให้มีความสับสนเกิดขึ้นมาก แต่มองว่าแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจโดยรวมยังอยู่ในทิศทางที่ดี เนื่องจากประเทศมหาอำนาจใหม่ของโลก เช่น จีน อินเดีย เข้ามามีบทบาทในการเจรจาในเวทีการค้าโลกมากขึ้น
นายศุภชัยกล่าวว่า แม้แนวโน้มเศรษฐกิจโลกจะยังดีอยู่ แต่ก็ย่อมมีอันตรายแฝงอยู่ด้วย โดยเฉพาะหากเกิดความไม่สมดุลทางการค้าระหว่างประเทศ โดยเห็นได้จากสัญญาณต่างๆ เช่น นโยบายของประเทศมหาอำนาจและองค์กรระหว่างประเทศต่างๆ ในการดูแลประเทศด้อยพัฒนาในลักษณะพิเศษ จะมีแนวโน้มชะลอตัวลง ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศด้อยพัฒนาสะดุด และส่งผลกระทบไปถึงเศรษฐกิจโลกด้วย โดยในส่วนการเจรจาการค้าระหว่างประเทศที่ขณะนี้เริ่มมีการพูดถึงการเจรจาเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ซึ่งเป็นการเจรจาแบบทวิภาคีก็เป็นสิ่งที่ต้องระวัง เนื่องจาก ล่าสุดธนาคารโลกและองค์การการค้าโลก ก็สำรวจข้อมูลพบว่าประเทศที่มีขนาดเล็กหากมีการเจรจาเอฟทีเอกับประเทศมหาอำนาจก็อาจไม่ได้รับประโยชน์เท่าที่ควร ดังนั้น ผู้บริหารประเทศต่างๆ ต้องระวังเป็นพิเศษ
"โดยส่วนตัวเชื่อว่าการเจรจาแบบพหุภาคีน่าจะเป็นแนวทางที่ดีมากกว่า ในส่วนของไทยที่เกี่ยวกับการเจรจาเอฟทีเอ อยากจะฝากไว้ว่าต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ที่อาจต้องสูญเสียไป ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในการรักษาพยาบาล รวมถึงสิทธิด้านแรงงาน" นายศุภชัยกล่าว
นายศุภชัยกล่าวว่า จากประสบการณ์ที่เคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการองค์การการค้าโลก ระบบเศรษฐกิจที่น่าจะมีความเหมาะสมสำหรับประเทศที่ด้อยพัฒนา น่าจะเป็นเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริของพระสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งขณะนี้องค์การสหประชาชาติกำลังเตรียมการนำเรื่องเข้าที่ประชุมก่อนที่จะทำเป็นหนังสือและมีการนำตัวอย่างแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงไปเผยแพร่ให้กับประเทศที่สนใจได้เข้ามาศึกษา" นายศุภชัยกล่าว (อ่านรายละเอียดหน้า 2)
นายวีรพงษ์ รามางกูร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แอ๊ดวานซ์อะโกร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กระแสโลกกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง เช่น ทิศทางการค้าโลก เกิดภาวะกระแสการไหลของเงินทุนไปในที่มีผลตอบแทนสูงพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี และการผลิต นอกจากนี้ยังเกิดกระแสกดดันการค้าเสรี โดยต้องยอมรับว่าปัจจุบันการเจรจาในระดับพหุภาคียากขึ้น หรือเรียกได้ว่ามาถึงทางตัน เห็นจากการเจรจาการค้าในรอบโดฮาขององค์การการค้าโลกที่ผ่านมาพูดถึงแต่ด้านสังคม ทั้งที่รัฐมนตรีที่ไปร่วมประชุมเป็นรัฐมนตรีด้านการค้า ดังนั้น แนวโนมจึงจะมีการเจรจาในระดับทวิภาคีมากขึ้น เรื่องนี้เป็นสิ่งที่หนีไม่ได้ คงต้องเกิดขึ้นแน่นอน
"ดังนั้น เราต้องติดตามวิเคราะห์ดูว่าไทยจะทำอย่างไร จะได้รับผลกระทบและเกิดความเสียหายหรือไม่ หากไม่ทำกับสหรัฐ และควรเตรียมความพร้อมอย่างไร อย่างไรก็ตาม ที่พูดมาไม่ใช่สรุปว่าจะต้องทำ เพียงแต่ชี้ให้เห็นว่าควรจะปรับตัวอย่างไรจึงพลิกวิกฤตเป็นโอกาสได้" นายวีรพงษ์กล่าว
นายวรากรณ์ สามโกเศศ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ กล่าวว่า ปัจจุบันมีปัจจัยที่กำลังเปลี่ยนแปลงและส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมาก คือ ราคาวัตถุดิบ ราคาน้ำมัน และอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในช่วงขาขึ้น ส่งผลให้เกิดปัญหาสินค้าราคาแพง มีการคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันในช่วง 3 ปีจากนี้จะไม่ลดลง ปัญหาคือประเทศไทยจะมีนโยบายการปรับดอกเบี้ยอย่างไรเพราะปัจจุบันอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับ 6% แต่อัตราดอกเบี้ยอยู่เพียง 4% ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยแท้จริงเป็นลบ ประชาชนมีการบริโภคมากกว่าที่ควรจะเป็น ส่งผลให้เงินไหลออกนอกประเทศมากกว่าเงินไหลเข้า
"ปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นขณะนี้และน่ากังวลมากคือเรื่องดอกเบี้ย โดยธนาคารแห่งประเทศไทยพยายามปรับอัตราดอกเบี้ยเพื่อรักษาเสถียรภาพ ขณะที่นายทนง พิทยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังไม่เห็นด้วยเพราะจะทำให้เกิดปัญหาทางเศรษฐกิจที่กำลังมีปัญหาอยู่แล้ว ซึ่งในที่สุดไม่รู้ว่าจะตกลงกันได้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม โดยส่วนตัวเห็นว่าควรปรับอัตราดอกเบี้ยเพื่อไม่ให้เกิดการใช้จ่ายเกินตัว"นายวรากรณ์กล่าว
นายวรากรณ์กล่าวว่า นอกจากนี้เห็นว่าควรมีการใช้ดัชนีชี้วัดตัวอื่นมาคำนวณความเป็นอยู่ของประชาชนมากขึ้นแทนการใช้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศหรือจีดีพีเพียงตัวเดียว เพราะไม่ได้สะท้อนความเป็นจริงเท่าที่ควร เช่น มีการคำนวณเฉพาะรายได้ที่ถูกต้องตามกฎหมายและมีการซื้อขายในตลาดเท่านั้น ทั้งที่หากรวมรายได้ตัวอื่นๆ ตัวเลขจีดีพีจะสูงขึ้นมาก อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ได้มีความพยายามจะดำเนินการอยู่ โดยดัชนีที่มีความเป็นไปได้คือดัชนีชี้วัดความสุขของประชาชนหรือที่เรียกว่าจีเอ็นเอช (Gross National Happiness) ปัจจุบัน ไทยให้ความสำคัญกับตัวเลขทางเศรษฐกิจมากเกินไป จนละเลยด้านสังคมและการศึกษา ทั้งที่เป็นเรื่องสำคัญ แต่ก็ไม่ควรโทษรัฐบาลเพียงฝ่ายเดียว ต้องโทษคนทั้งประเทศที่ไม่ได้ทำอะไรเพื่อพัฒนาการศึกษา