บ้านที่มีความรักและความอบอุ่นคือจินตนาการของคนไทยยามนี้ !
Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2548
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
8 ธันวาคม 2548
 
All Blogs
 
วิเคราะห์โลกด้วยภูมิปัญญาตะวันออก(จบ)




มาติดตามอ่านบทความของอาจารย์เทียนชัย วงศ์ชัยสุวรรณ ตอนจบต่อได้เลยนะครับ

---------------------------------------------------------

วิเคราะห์โลกด้วยภูมิปัญญาตะวันออก (จบ)

โดย ยุค ศรีอาริยะ 5 ธันวาคม 2548 16:40 น.


ศาสตร์ตะวันออกที่ผมนำเสนอ จะอธิบายวิถีประวัติศาสตร์จากการเคลื่อนตัวแบบหยินและหยางเป็นหลัก

ประวัติศาสตร์อารยธรรมของมนุษย์นั้น เริ่มจากวัฒนธรรมชุมชนที่เป็นหยิน เป็นหลัก คือยุคชุมชนโบราณซึ่งวางรากฐานอารยธรรมอยู่ตามลุ่มน้ำต่างๆ

แต่พอระบบโลกก้าวผ่านยุคชุมชนโบราณ สู่ยุคจักรวรรดิการเมืองและศาสนาโบราณ ระบบโลก และวัฒนธรรมโลกก็เคลื่อนเข้าสู่ ช่วงวัฒนธรรมหยาง (ช่วงสงคราม และการใช้ความรุนแรง)

ในยุคระบบโลก (ทุนนิยม และสังคมนิยม) วัฒนธรรมหยางก็ครอบงำ

นักศึกษาคนหนึ่งถามว่า

"เมื่อประวัติศาสตร์เคลื่อนไปเช่นนี้ อะไรคือประวัติศาสตร์อนาคต"

ผมตอบว่า

"ยุคถัดไป คือยุคที่ระบบโลกจะก้าวกลับมาสู่การเข้าใจคุณค่าของวัฒนธรรมหยินอีกครั้งหนึ่ง"

แต่ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาสอนเราว่า ก่อนจะเกิดวัฒนธรรมหยิน วัฒนธรรมหยางมักจะนำเราสู่สภาวะกลียุค

ผมสรุปว่า

ทั้งหมดที่ผมกล่าว คือ การเข้าใจพลวัตประวัติศาสตร์ตามวิถีตะวันออกแบบพลิกไปผันมา จากด้านหนึ่งไปสู่อีกด้านหนึ่ง เช่น "จากเกิด...ไปตาย" และ "ตาย...ไปเกิด" และ "จากหยิน...เป็นหยาง" และ "หยางกลับมาเป็น...หยิน" แต่ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาคือการเคลื่อนตัวแบบขยายตัวเป็นวัฏจักร ที่ขยายตัวกว้างขึ้นไปเรื่อยๆ (จากชุมชน...สู่ระบบโลก) ดังนั้น การเคลื่อนไปมาจึงไม่ได้เป็นการเคลื่อนกลับมาที่เดิม

ที่สำคัญ ประวัติศาสตร์แบบตะวันออก มีกฎ "อนิจจัง" ดำรงอยู่

พูดง่ายๆ ประวัติศาสตร์แบบตะวันออก ไม่สามารถบ่งบอกได้อย่างชัดเจน 100 เปอร์เซ็นต์ว่า อะไรจะเกิดขึ้นในอนาคต เพราะทุกอย่างพลิกผันเกินคาดได้ แต่การเรียนรู้เรื่อง "เวลา" และ "จังหวะ" ก็จะช่วยให้เราเดาทายอนาคตที่ไม่แน่นอนในระดับหนึ่งได้ เช่นกัน

มิติของจิตใจกับการวิวัฒน์ของประวัติศาสตร์

ลูกศิษย์ผมถามว่า

"ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่า ประวัติศาสตร์วิวัฒน์อย่างไร แต่อาจารย์ครับ อะไร หรือใคร คือพลังที่พลิกผันประวัติศาสตร์"

ผมตอบว่า

ถ้าเราอธิบายแบบตะวันตก หัวใจใหญ่ ก็คือ การปฏิวัติทางด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การปฏิวัติด้านการผลิต

นักคิดตะวันตกทั่วไปจึงมักแบ่งระบบโลกเป็นยุค เป็นสมัยต่างๆ ตามขั้นตอนการปฏิวัติตามการพัฒนาการดังกล่าว เช่น การแบ่งยุคออกเป็นยุคเกษตรกรรม ยุคอุตสาหกรรม และยุคไฮเทค เป็นต้น

วัฒนธรรมตะวันตกจะเน้นย้ำความสำคัญของพัฒนาการทางด้านความรู้ และการผลิตนักวิทยาศาสตร์ รวมทั้งการเรียนรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์อย่างมาก

แต่ถ้าถามผมว่า "วิถีวัฒนธรรมแบบตะวันตกผิดตรงไหน"

ผมคงตอบว่า "ไม่ผิด ไม่ถูกหรอก แต่เป็นการมองโลกเพียงด้านเดียว หรือมิติเดียว"

พูดอีกอย่างหนึ่ง คือ ไม่เข้าใจว่าการเคลื่อนตัว หรือการพัฒนาของสังคมต้องมีปัจจัยที่หลากหลายประกอบกัน

ทุกครั้งที่เกิดการปฏิวัติ การปฏิวัติจะเกิดขึ้นในทุกๆ ด้านในเวลาเดียวกัน คล้ายกับปรากฏการณ์ การแผ่ หรือการบานของดอกไม้ ซึ่งเป็นไปทุกทิศทุกทาง

และที่สำคัญ ฐานรากของการปฏิวัติอยู่ที่การปฏิวัติทางวัฒนธรรม และภูมิปัญญา ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการพัฒนาการของมนุษย์

นี่คือ การคิดแบบตะวันออก ที่ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาของมนุษย์ หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งว่า มนุษย์ คือผู้สร้างประวัติศาสตร์

ปราชญ์ตะวันออกโบราณจะให้ความสำคัญต่อการพัฒนาบุคคลแบบรอบด้านมากกว่าการให้น้ำหนักเฉพาะในด้านความรู้ทางวิทยาศาสตร์

ศาสตร์ตะวันออกจะเน้นเรื่อง การปฏิวัติในทุกๆ ด้านที่เป็นเหตุปัจจัยร่วม และเป็นเงื่อนไขซึ่งกันและกัน (อิทัปปัจจยตา) ทั้งด้านการสื่อสาร และการเดินทาง เศรษฐกิจ (การปฏิวัติทางการผลิต) ระบบการปกครอง และความเชื่อทางศาสนา รวมทั้ง ด้านศิลปะ และวัฒนธรรม

ในขณะที่ ปราชญ์ตะวันออกจะถือว่า การปฏิวัติทั้งหมดเกี่ยวโดยตรงกับมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ การพัฒนาการในด้านภูมิปัญญาและจิตใจ แนวคิดตะวันตกส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญของเรื่องจิตใจน้อยมาก เพราะถือว่า ความรับรู้ของมนุษย์ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม จิตใจจึงเปลี่ยน คล้ายกับโทรทัศน์ที่รับรู้ และเปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป

ความคิดนี้ มีฐานมาจากปรัชญาที่เรียกว่า วัตถุนิยม

แต่คนในโลกตะวันออกจะให้ความสำคัญของจิตใจมาก เพราะจิตใจจะมีความสามารถพิเศษ ในฐานะเป็นฝ่ายกระทำ เพราะจิตใจมีความสามารถในการปรุงแต่งอย่างสูง (คิดค้น สร้างสรรค์ ดัดแปลง และอภิวัตน์)

ดังนั้น วิวัฒนาการของมนุษยชาติ เกี่ยวเนื่องโดยตรงและแยกไม่ออกจากพลัง หรือความสามารถของ "จิตใจ"

พูดง่ายๆ วิถีตะวันออกมองโลกในมิติของพลัง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วคือ กลุ่มหรือก้อน "พลัง" จึงมีฐานะทั้งเป็นฝ่ายกระทำ และเป็นฝ่ายถูกกระทำ

มองในแง่นี้ "มนุษย์" ไม่ใช่เป็นเพียงกลไกที่รับใช้ระบบสังคม แต่เป็น "ผู้อภิวัตน์" สังคม

พอถึงตอนนี้ ผมได้เล่าเรื่องว่า

ครั้งหนึ่ง ผมต้องไปออกรายการโทรทัศน์ และต้องพูดวิจารณ์เรื่องการศึกษาของไทยในปัจจุบัน ที่มองเฉพาะเรื่อง "สมอง" หรือการพัฒนาการของสมอง กับ "ปัญญา" หรือความรู้เป็นหลัก

ผมกล่าวว่า

เราลืมศาสตร์พุทธ เรื่อง หู ตา จมูก ลิ้น กาย และใจ (จิตใจ)

หรือพูดแบบพุทธ ตาก็สำคัญ จมูกก็สำคัญ กายก็สำคัญ เพราะทุกอย่างเกี่ยวพันกับใจ และการพัฒนาการของสมอง ทั้งนั้น

ปัจจุบัน เราไปให้ความสำคัญของสมอง และคอมพิวเตอร์มาก จนทำให้เด็กไทยที่ขยัน ชอบเล่นเครื่องคอมส์ กลายเป็นคนสายตาสั้นกันไปหมด

หูก็แย่ เพราะเด็กๆ ไทยใช้เวลาอยู่กับโทรศัพท์ทั้งกลางวัน และกลางคืน

เรื่อง "ร่างกาย" เด็กไทยจะให้ความสำคัญน้อยมาก เพราะต้องแข่งกันเป็นที่หนึ่ง ก็ต้องอ่านๆ เรียนๆ และเรียนๆ ทุกวัน ไม่มีวันหยุด วันพัก

เครียด ก็กิน หรือไม่ก็ดื่มเหล้า และเสพยาเสพติด

กายจึงถูกทำลาย

เราไม่เคยคิดว่า "สมอง" แยกไม่ได้จากการมีกายที่แข็งแรง และมีหู ตา จมูก ลิ้น และใจ ที่มีประสิทธิภาพ และงดงาม

และที่สำคัญ วิถีวัฒนธรรมตะวันตก จะถือว่า ความรู้มาก่อน






แต่คนตะวันออกจะถือว่า ต้องสร้างคน ให้เป็นคนดี ที่ใจงาม ก่อน และในเวลาเดียวกันต้องมีความรู้ และฉลาดด้วย

ดังนั้น ศาสตร์ตะวันออก จะเน้นการประสานความเป็นคนดี (หยิน) และ ความฉลาดหรือ (หยาง) ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน

โดยถือว่า หยินเป็นหลัก หยางเป็นรอง

กล่าวอีกอย่างหนึ่ง คือ ใจกับสมองต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน แยกกันไม่ได้ การเป็นคนดีอยู่ที่การพัฒนาด้านจิตใจ และการเป็นคนฉลาดอยู่ที่การพัฒนาสมอง

นักศึกษาคนหนึ่งถามผมว่า

"จิตใจ คือ อะไร"

ผมตอบว่า

ปัจจุบัน นักคิดตะวันตกจำนวนมากเริ่มเห็นจุดอ่อนของวิถีคิดแบบตะวันตก และได้หันกลับมาสนใจ และพัฒนาทางด้านจิตใจกันอย่างมาก เพราะเริ่มรู้ว่า ใจ เท่านั้น คือ ที่มาของ "ความสุข"

ผมมองหน้านักศึกษาที่ถาม และบอกว่า

"ผมคงตอบชัดๆ ว่า ใจ หรือ จิตใจ คืออะไร ไม่ได้ แต่คงบอกได้ว่า สมอง คือกลไกแห่งการจำและการคิดได้ รู้แต่เพียงว่า จิตใจ คือส่วนที่กว้างกว่า และควบคุมเหนือสมอง"

ศาสนาพุทธจะสอนว่า

เราต้องใจดี มีเมตตา ใจกว้าง และใจงาม สภาวะใจแบบนี้จะนำมาซึ่งการคิดสร้างสรรค์ และความสุข เพราะเราจะไม่ติดยึด เป็นกลาง รู้จักยืดหยุ่น ปรับเปลี่ยนแก้ไข ตลอดเวลา

ใจงามจะทำให้เราเข้าถึงความงามของสิ่งต่างๆ ของธรรมชาติ และสิ่งรอบตัว เราจะคิดอะไร และมองโลกในด้านที่ดีเสมอ และจะช่วยให้เรารู้จัก "พลัง" ที่ซ่อนอยู่ภายในของกายเราในการคิดค้นและสร้างสรรค์โลกนี้ให้สวยงาม

ผมได้กล่าวอย่างสรุปว่า

คนในโลกตะวันออก จะถือว่า "หัวใจ" ในการศึกษาและเรียนรู้ ก็คือ การสร้างเยาวชนให้เป็นคนดี รักการเรียนรู้ มีเมตตา มีค่านิยมที่ประหยัด ขยัน หมั่นเพียร ไม่เสพเหล้า ยา และไม่คบคนชั่วเป็นมิตร

ในขณะเดียวกัน ปราชญ์ตะวันออกก็ให้ความสำคัญของ "สมอง" และ "ความรู้" แต่คนที่มีใจที่ดี และงามเท่านั้น จึงจะเป็นคนที่ใช้ปัญญาและความรู้เพื่อสังคมได้อย่างเหมาะสม

บทสรุป

ก่อนจบ ผมกล่าวว่า

"นี่ ผมคุยจนเพลิน จนลืมตอบคำถามแรกที่พวกคุณถามว่า ทำไมผมจึงหันมาสนใจศึกษาเรื่องภูมิปัญญาตะวันออก"

ผมขอตอบว่า

คงหลายปัจจัย เรื่องหลัก คือ ผมไปใช้ชีวิตศึกษาอยู่ที่อเมริกาหลายปี

เรามักจะรู้ "ค่า" ความเป็นตะวันออก เมื่อเราออกจากโลกแห่งตะวันออก

ผมเริ่มรู้ว่า อาหารไทยอร่อยที่สุด เมื่อผมต้องไปกินอาหารฝรั่งทุกวัน

วันหนึ่ง ผมไม่สบาย และล้มป่วย กินเวลากว่า 6 เดือน เป็นไวรัสลงตับชนิดพิเศษ ทั้งแบบบี และเอ ในขณะเดียวกันก็ปรากฏก้อนเนื้อก้อนใหญ่ เกิดขึ้นตรงข้างหลัง

การล้มป่วยครั้งนี้ ผมพบว่า ไม่มียาตะวันตกชนิดไหน รักษาไวรัสได้ ส่วนเรื่องก้อนเนื้อ ผมไม่กล้าไปตรวจ เพราะกลัวว่าจะเป็นมะเร็ง

ผมจึงหันมาหาศาสตร์การแพทย์แบบตะวันออก ผมเริ่มรักษาตัวเองด้วยการนั่งสมาธิ และรักษาสุขภาพกาย (ด้วยการฝึกชี่กง) ไปในเวลาเดียวกัน

จากวันนั้น จนถึงวันนี้ ผมไม่เคยล้มป่วยด้วยโรคไวรัสลงตับอีกเลย และก้อนเนื้อก็ยุบหายไป เหลือเพียงเป็นไตเล็กๆ แข็งๆ เท่านั้น

หลังจากนั้น ผมจึงหันมาศึกษาศาสตร์ตะวันออก

ผมเล่าให้นักศึกษาฟังต่อว่า

วันก่อน ผมเจอหนังสือเล่มหนึ่งเขียนโดยแพทย์ชาวญี่ปุ่นชื่อ โอฮาชิ ที่เดินทางไปใช้ชีวิตเป็นแพทย์ทางเลือกอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ท่านก็คงไม่ต่างจากผมที่เป็นคนตะวันออกเช่นเดียวกัน แต่ท่านเป็นผู้เจนจบในศาสตร์ตะวันออก ท่านจึงสามารถบ่งบอกถึงความแตกต่างได้ค่อนข้างชัดกว่าผม

ท่านเล่าถึงประสบการณ์การรักษาโรค และความต่างระหว่าง "วิถีความเชื่อ" ของคนตะวันตก และตะวันออกได้อย่างดี

ท่านบอกว่า คนในวิถีคิดแบบตะวันออก จะเริ่มมองโลกจากภาพรวม และจากภายใน (Holistic and Intuitive Thinking) ส่วนผู้คนในโลกตะวันตกจะคิดอย่างแยกแยะ เฉพาะส่วน และด้วยเหตุและผล (Segmentalized and Rational Ones)

ท่านเสริมอีกว่า คนตะวันออกทั่วไปจะแสดงออกถึงความเป็นมนุษย์ที่อ่อนโยน และชอบศิลปะที่นุ่มนวล ส่วนคนตะวันตกมักจะค่อนข้างเป็นนักเทคนิค

ในขณะที่ คนตะวันออกจะถือว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของสังคม แยกจากกันไม่ได้ แต่คนตะวันตกมักจะมองโลกแบบปัจเจกชน

ท่านกล่าวว่า แม้แต่ "วิถีคิดในเชิงการแพทย์" ก็ต่างกัน

ความเชื่อการแพทย์แบบตะวันตก คือ การทำสงครามกับ "เชื้อโรค" แต่ตะวันออกกลับไม่มีคำว่า "เชื้อโรค" แต่คือการปรับดุลระหว่างหยาง และหยิน

หมอตะวันออกต้องเข้าใจ และให้ "ค่า" ความสัมพันธ์ระหว่างหมอกับคนไข้ จนก่อความเป็นหนึ่งเดียวกันขึ้นมา

ก่อนอื่น "ใจ"หมอ ต้อง "ว่าง" เพื่ออ่านและเข้าใจ "ใจ" ของคนไข้

การรักษา ก็คือ การพลิกฟื้นพลังภายใน ที่อยู่ภายในคนไข้เอง

ท่านเสนอภาพว่า หมอตะวันตก มองโลกแบบแยกส่วน การมีสุขภาพดี กับคนป่วย เป็น 2 เรื่อง ที่แยกออกจากกัน

ส่วนหมอตะวันออก จะบอกว่า

"การป่วยนำมาซึ่งการมีสุขภาพดี และสุขภาพดีก็นำมาซึ่งการเจ็บป่วย

ทั้งหมดล้วนพลิกไป ผันมา"

ดังนั้น จึงไม่มีคำว่า "คนป่วย" ในวิถีแห่งตะวันออก เพราะคนป่วยก็คือคนมีสุขภาพดี และคนดีก็คือคนป่วย

ผู้อ่านก็คงมึนๆ หน่อย

แพทย์ท่านนี้ สรุปว่า คนในวิถีตะวันออกจะมองโลกแบบ Paradox หรือ พลิกผัน ไม่ตายตัว ไม่เป็นอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียว เพราะในหยินก็มีหยาง ในหยางก็มีหยิน

ทั้งหมดที่กล่าวคือ บทสรุปของวิถีวัฒนธรรมตะวันออกของหมอคนหนึ่งจากโลกตะวันออก ที่ต้องไปใช้ชีวิตในโลกตะวันตก

จนถึงวันนี้ นักวิชาการตะวันตกเริ่มหันมาเรียน "ค่า" แห่งภูมิปัญญาตะวันออก อีกครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่อง "ใจ" เพราะคนในโลกตะวันตกเริ่มรู้ความจำกัดของวัฒนธรรมแบบวัตถุนิยม และบริโภคนิยม

นักคิดตะวันตกหลายท่านเดินทางมาเรียนรากแห่งวัฒนธรรมตะวันออก บนดินแดนที่เคยเป็นแหล่งกำเนิดวัฒนธรรมตะวันออก เราเองเป็นคนที่เกิดมาจากโลกตะวันออก น่าจะหันกลับมาสนใจ "ค่า" แห่งภูมิปัญญาตะวันออก กันบ้าง

แปลกแต่ก็จริง ใกล้เกลือ คนก็จะกินด่าง "ออก" ก็อยากจะพลิกเป็น "ตก" ในขณะที่ "ตก" กลับอยากพลิกเป็น "ออก"

ไม่ว่า โลกจะพลิกผันอย่างไร คงไม่ผิดที่จะสรุปว่า

"ดวงอาทิตย์ที่งดงาม จะเริ่มทอแสงบนฟากฟ้า และปรากฏขึ้นทางทิศตะวันออกเสมอ"

วิถีแห่งบูรพาจึงไม่มีวันตาย

===============================

พบกับบทความ "ลูกแกะหลงทาง" ของอาจารย์สุวินัย ภรณวลัย ได้ที่กลุ่มบลอก การเมือง-สังคม ครับ





น้ำตกทีลอซูภาพล่าสุด ดูแล้วหายเหนื่อยไหม?






Create Date : 08 ธันวาคม 2548
Last Update : 9 ธันวาคม 2548 8:28:54 น. 11 comments
Counter : 884 Pageviews.

 
ขยันจังเลยค่ะ อดนอนมายังอัพบล็อคได้ยาวๆ อย่างนี้ ถึงได้มึนหัวน่ะสิคะ

พักผ่อนบ้างนะคะ อากาศเย็นๆแล้ว เดี๋ยวจะไม่สบายค่ะ


โดย: Black Tulip วันที่: 8 ธันวาคม 2548 เวลา:12:51:52 น.  

 
เยี่ยมครับ

วิถีเอเซียกำลังเริ่มหมุนกลับจากที่ถูกละเลย (จนเกือบไร้ค่าในสายตาฝรั่ง) มาเป็นกระแสที่ร้อนแรงแล้วครับ


โดย: I will see U in the next life. วันที่: 8 ธันวาคม 2548 เวลา:14:23:08 น.  

 
หายมึนรึยังคะ


โดย: Black Tulip วันที่: 8 ธันวาคม 2548 เวลา:15:41:54 น.  

 
มาทักทายค่ะ โบว์ยังไม่ได้อ่านรายละเอียดนะคะ
เพิ่งฟื้นไข้ เด๋วจะมึนต่อไปอีก ^^'


...


โดย: ขอบคุณที่รักกัน (blueberry_cpie ) วันที่: 8 ธันวาคม 2548 เวลา:16:31:35 น.  

 
สวัสดีครับคุณจุ๊บ

หายมึนแล้วนะครับ แต่ว่าพรุ่งนี้จะไปต่ออีกแล้ว ยังไงก็จะมีเรื่องมาเล่าพร้อมรูปสวย ๆ นะครับ คงไปช่วงบ่ายครับ

ขอบคุณนะครับ


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 8 ธันวาคม 2548 เวลา:16:46:47 น.  

 
เข้ามาทักทายคุณคนเดินดิน
มีความสุขกับข้าวมื้อเย็นนะคะ


โดย: อินทรีทองคำ วันที่: 8 ธันวาคม 2548 เวลา:17:12:28 น.  

 
การอธิบายความเป็นไปในวิถีชีวิต ต้องใช้รากเหง้าทางวัฒนธรรมของพื้นถิ่นอธิบายค่ะ

หากใช้ทฤษฎีที่แตกต่าง ย่อมไม่สามารถหามูลเหตุที่แท้จริงได้


โดย: ju (กระจ้อน ) วันที่: 8 ธันวาคม 2548 เวลา:17:46:40 น.  

 
Image Hosted by ImageShack.us


โดย: erol วันที่: 8 ธันวาคม 2548 เวลา:19:43:55 น.  

 
สวัสดีตอนเช้าค่ะ
หายเหนื่อยรึยังคะ ^^



...


โดย: ขอบคุณที่รักกัน (blueberry_cpie ) วันที่: 9 ธันวาคม 2548 เวลา:9:31:18 น.  

 
น้ำตกสวยจังค่ะ

แต่ที่ทีลอซู ยังอยู่ในความทรงจำที่โหดร้ายเสมอ
น้ำตกสวย แต่มีอันตรายซ่อนตัวอยู่
เพียงแค่ให้ระวัง อย่าประมาทกับชีวิต

มีความสุขกับการทำงานและการเดินทางนะคะ


โดย: Black Tulip วันที่: 9 ธันวาคม 2548 เวลา:9:56:57 น.  

 
ดาวคิดว่า ภาพบางภาพ เรื่องบางเรื่อง อาจผ่านเข้ามา
แล้วผ่านไป สำหรับหลายๆ คน แต่ของพี่ คงไม่ใช่อย่างนั้น

มันจุดประกาย ความคิด สร้างความต่อเนื่องของความฝัน
และ ของศรัทธาได้ ...ชื่นชมค่ะ


โดย: ประกายดาว วันที่: 9 ธันวาคม 2548 เวลา:11:16:32 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

คนเดินดินฯ
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]








ปณิธาน

การเดินทางของชีวิตของทุกผู้คน
ทุกคนต่างต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต
แต่จะมีสักกี่คนที่จะก้าวไปถึง
เมื่อเราก้าวถึงจุดนั้น
ขออย่าลืมการแบ่งปันและเจือจาน
แก่ผู้ด้อยโอกาสในสังคม

เราจะเติบโตและก้าวไปข้างหน้าพร้อม ๆ กัน
เพื่อสร้างสรรค์สังคมใหม่ที่ดีงาม

เพื่อให้อนุชนคนรุ่นหลัง
ได้ใช้ชีวิตของเขา
ตามศักยภาพและความตั้งใจของเขา
ตราบเท่าที่เขาต้องการ







เดินไปสู่ความใฝ่ฝัน


ชีวิตหนึ่งร่วงหล่นไปตามกาลเวลา
คลื่นลูกใหม่ไล่หลังคลื่นลูกเก่า
นั่นคือวัฏจักรของชีวิตที่ดำเนินไป

เยาว์เธอรู้บ้างไหม
ว่าประชาราษฎรนั้นทุกข์ยากเพียงใด
เสี้ยวหนึ่งของชีวิตที่เหลืออยู่
เธอเคยมีความใฝ่ฝันที่แสนงามบ้างไหม

สักวันฉันหวังว่าเธอจะเดินไปตามทางสายนี้
ที่อาจดูเงียบเหงาและโดดเดี่ยว
แต่ภายใต้ฟ้าเดียวกัน
ฉันก็ยังมีความหวัง
ว่าผู้คนในประเทศนี้
จะตื่นขึ้นมา
เพื่อทวงสิทธิ์ของพวกเขา
ที่ถูกย่ำยีมาช้านาน
และฉันหวังว่าเธอจะเดินเคียงคู่ไปกับพวกเขา

เพื่อสานความใฝ่ฝันนั้นให้เป็นความจริง
สัญญาได้ไหม
สัญญาได้ไหม
เยาว์ที่รักของฉัน


***********



ขอมีเพียงเธอเป็นกำลังใจ




ทอดสายตามองออกไปยังทิวทัศน์ข้างหน้า
แลเห็นต้นหญ้าโบกไสว
เห็นดอกซากุระบานอยู่เต็มดอย
ความงามที่อยู่ข้างหน้า
เป็นสิ่งที่ฉันจะเก็บมันไว้
ยามที่จิตใจอ่อนล้า...

ชีวิตยามนี้แม้ผ่านมาหลายโมงยาม
แต่จิตใจข้างในยังคงดูหงอยเหงา
หลายครั้งอยากมีเพื่อนคุย
หลายครั้งอยากมีคนปรับทุกข์
และหลายครั้งต้องนั่งร้องไห้คนเดียว

รางวัลสำหรับชีวิตที่ผ่านมา
มันคืออะไรเคยถามตัวเองบ่อย ๆ
ความสำเร็จ...เงินตรา...เกียรติยศชื่อเสียง
มันใช่สิ่งที่เราต้องการหรือเปล่า
ถึงจุดหนึ่งชีวิตต้องการอะไรอีกมากไปกว่านี้

หลายชีวิตยังคงดิ้นรนต่อสู้
เพื่อปากท้องและครอบครัว
มันเป็นความจริงของชีวิตมนุษย์
ที่ต้องดำรงชีพเพื่อความอยู่รอด
มีทั้งพ่ายแพ้ มีทั้งชนะ
แต่ชีวิตต่างต้องดำเนินไป
ตามวิถีทางของแต่ละคน

ลืมความทุกข์ ลืมความหลังที่เจ็บปวด
มองออกไปข้างหน้า
ค้นให้พบตัวตนของตนเองอีกครั้ง
แล้วกลับไปสู้ใหม่
การเริ่มต้นของชีวิตจะต้องดำเนินต่อไป
จะต้องดำเนินต่อไป

ตราบจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต....




@@@@@@@@@@@




การเดินทางของความรัก

...ฉันเดินไปด้วยหัวใจที่ว่างเปล่า
สมองได้คิดใคร่ครวญ
ความรักในหลายครั้งที่ผ่านมา
ทำไมจึงจบลงอย่างรวดเร็ว

ฉันเดินไปด้วยสมองอันปลอดโปร่ง
ความรักทำให้ฉันเข้าใจโลก
และมนุษย์มากขึ้น
และรู้ว่าความแตกต่าง
ระหว่างความรักกับความหลงเป็นอย่างไร?

ฉันเดินไปด้วยดวงตาที่มุ่งมั่น
บทเรียนของรักในครั้งที่ผ่าน ๆ มา
มันย้ำเตือนอยู่เสมอว่า
อย่ารีบร้อนที่จะรัก
แต่จงปล่อยให้ความสัมพันธ์
ค่อย ๆ พัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป
เรียนรู้และทำเข้าใจกันให้มากที่สุด

ก่อนที่จะเริ่มบทต่อไปของความรัก...




*******************



จุดไฟแห่งศรัทธาและความมุ่งมั่น

เข้มแข็งกับอ่อนแอ
สับสนหรือมุ่งมั่น
จะยอมแพ้หรือลุกขึ้นท้าทาย
กับชีวตที่เหลืออยู่
ทุกสิ่งล้วนอยู่ที่ใจเราจะกำหนด

ไม่ใช่เพราะอิสระเสรี
ที่เราต้องการหรอกหรือ?
ที่มันจะนำทางชีวิต
ในห้วงเวลาต่อไป
ให้เราก้าวทะยานไป
สู่วันพรุ่งที่สดใส

มีแต่เพียงคนที่รู้จักตนเองอย่างดีพอเท่านั้น
จะสามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้
เมื่อผ่านการสรุปบทเรียน
จากปัญหาต่าง ๆ ที่ประสบ
เราก็จะมีความจัดเจนกับชีวิตมากขึ้น
และการเผชิญกับอุปสรรคต่าง ๆ
ในอนาคตก็จะเป็นเพียงปัญหาที่เล็กน้อยสำหรับเรา
ในการที่จะก้าวผ่านไป



ด้วยศรัทธาและความมุ่งมั่นที่มีอยู่ในใจ
ที่จะต้องย้ำเตือนตัวเองอยู่เสมอ
หนทางในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ
ย่อมอยู่ไม่ไกลห่างอย่างแน่นอน

*********************



ก้าวย่างที่มั่นคง

บนทางเดินแคบ ๆ ที่เหลืออยู่
หากขาดความมั่นใจที่จะก้าวเดินต่อไป
ชีวิตก็คงหยุดนิ่งและรอวันตาย
แม้ทางข้างหน้าจะดูพร่ามัว
และไม่รู้ซึ่งอนาคต
แต่สิ่งที่ดีที่สุดในปัจจุบัน
คือก้าวย่างไปอย่างมั่นคง
และมองไปข้างหน้าอย่าเหลียวหลัง
เก็บรับบทเรียนในอดีต
เพื่อจะได้ระมัดระวังไม่ให้ผิดพลาดอีกในอนาคต

"""""""""""""""""""""""""""""""""



ใช้สามัญสำนึกทำงาน

ไม่มีแผนงานที่สวยหรู
ไม่มีปฏิบัติการใดที่สมบูรณ์แบบ
ในยามนี้มีเพียงการทำงานด้วยการทุ่มเท
ลงลึกในรายละเอียดเท่านั้น
จึงจะสามารถคลี่คลายปัญหาของงานลงได้
บางครั้งโจทย์ที่เจออาจยากและซับซ้อน
แต่เมื่อลงไปคลุกคลีอย่างแท้จริง
โจทย์เหล่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

""""""""""""""""""""""""""""""""



เรียบ ๆ ง่าย ๆ


อย่ามองสิ่งต่าง ๆ ด้วยแว่นสีที่ซับซ้อน
เพราะในโลกนี้มีเพียงสิ่งสามัญที่เรียบง่าย
สำหรับคนที่สงบนิ่งเพียงพอเท่านั้น
จึงจะแก้โจทย์และปัญหาต่าง ๆ
ด้วยกลวิธีที่เรียบ ๆ ง่าย ๆ
ไม่ซับซ้อนและตรงจุดได้อย่างเพียงพอ

""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""

ใจถึงใจ

บนหนทางไปสู่ความสำเร็จ
บนหนทางของการสร้างสรรค์สิ่งใหม่
มีเพียงคนที่เข้าใจในสภาพจิตใจของคนทำงานเท่านั้น
จึงจะสามารถนำทีมงานไปสู่เป้าหมายได้
อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน








Friends' blogs
[Add คนเดินดินฯ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.