บ้านที่มีความรักและความอบอุ่นคือจินตนาการของคนไทยยามนี้ !
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2551
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
10 ตุลาคม 2551
 
All Blogs
 
ความขัดแย้งที่ยาวนาน






ผ่านการเคลื่อนไหวทางการเมืองมายาวนาน
สังคมไทยได้เรียนรู้อะไรบ้าง
ประวัติศาสตร์ยังคงทำหน้าที่ของมัน
และยังคงย่ำอยู่บนเส้นทางสายเก่า

วันนี้เหล่าเสรีชนควรจะมีท่าทีอย่างไรต่อสภาพการณ์ของบ้านเมือง
จะสานต่อการเมืองใหม่ที่มีผลต่อคนทุกกลุ่มได้อย่างไร?
ล้วนเป็นโจทย์ที่ท้าทายเป็นอย่างยิ่ง

พันธมิตรไม่ใช่คำตอบทั้งหมดของการเมืองภาคประชาชนวันนี้
มีแต่การลงไปทำงานประสานกับมวลชนอันไพศาลเท่านั้น
ความสงบสุขของสังคมจึงจะคืนมา !!











บล็อกที่แล้ว คลิกที่นี่



บล็อกล่าสุด "CHANGE !" คลิกที่นี่








เพลงล่าสุด

คืนรัง -


ใกล้ตาไกลตีน - คาราวาน


ใกล้ตาไกลตีน - สุรชัย จันทิมาธร - บรรเลงกู่เจิง+ซอจีน--->คลิก

ยิ้มกลางสายฝน - Caravan

เราและเธอ - คาราวาน




เพลง : ใกล้ตาไกลตีน

ศิลปิน : สุรชัย จันทิมาธร




ไกลโอ้ไกลจากโพ้นขอบฟ้า

เราจากมาด้วยการก้าวย่าง

จากกลิ่นฟางรอยยิ้มเจ้าเอย

ใครเล่าเคย...ใครเล่าเคย...พี่น้องเอ๋ยจะเล่าให้ฟัง

ตามทิวเขาที่ยาวเหยียดฟ้า...ตามหมู่ปลาลำธารใสสด

ตามหมู่มดที่ร้างเลิกรัง

ไปจากหลัง...ใจฝากฝัง...ฝากเจ้าไว้ในแผ่นดิน

ดินเคยนอนสะท้อนอุ่นกาย

มองยอดไม้เมื่อยามแรกผลิ

ปริกิ่งรวงเป็นพวงพุ่มใบ

น้ำที่ไหลหลั่งลงจากดอย

ใจเจ้าลอยไปสู่ท้องทุ่ง

มุ่งสู่เมืองเฟื่องฟุ้งแปลกตา

เจ้าเคยยิ้มเคยแย้มเบิกบาน

สนุกสนานท่ามกลางผองเพื่อน

เคยพูดเตือนและสนทนา

เจ้าเคยฝันถึงวันที่ดี

มาบัดนี้มิอาจพบหน้า

ดูใกล้ตาแต่แล้วไกลตีน

แผ่นดินที่หอม...แผ่นดินที่ตรอม...จะกอดเจ้าไว้ยังไออุ่นกัน

รักเจ้าไว้ยังไออุ่นกัน

ฝันและฝันให้ไกลที่สุด

เจ้ามนุษย์เจ้าหวังสิ่งใด


%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%



เพียงลมพัดผ่าน - pongtep

เพียงลมพัดผ่าน

พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ ร้อง



ฉันไม่อยากกล่าวคำว่าอำลา
ฉันใช่มาโอดครวญหรือชวนให้ลุ่มหลง
เพียงลมลมที่ผ่านเลยก็เลยไป
เหมือนน้ำหลากล่องลงไม่คืนหลัง
น้ำก็ยังชุ่มเย็นเป็นสายน้ำ
ไม่เคยขาดไม่ไหลคืนคือความจริง
เราพบกันมีเรื่องราวเล่ากันฟัง
เป็นเหมือนดั่งภาพเขียนที่เสกสรร
บรรยากาศที่ดีและจริงใจ
แม้ไม่มีพยานคำมั่นฤาสัญญา
อย่ารอเวลาให้ล่วงเลยร่างกายจะร่วงโรย
จงโบกโบยโผบินแม้เหน็บหนาว
ใช่ว่าเราจะจากกันนิรันดร์ไป
จงโบกโบยโผบินแม้เหน็บหนาว
ใช่ว่าเรา ... จะจากกันนิรันดร์ไป

............................................


Create Date : 10 ตุลาคม 2551
Last Update : 8 พฤศจิกายน 2551 11:43:50 น. 19 comments
Counter : 1633 Pageviews.

 
สวัสดีค่ะ..

วิถีทางการเมืองจะเป็นอย่างไรนั้น..ไม่ทราบแน่ชัด

แต่อ้อมแอ้มอยากจะให้คนไทยรักกัน..หันหน้าเข้าหากัน

ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เพื่อเมืองไทยที่น่าอยู่ยิ่งๆขึ้นค่ะ

อ้อมแอ้มเรียนเชิญ เลือกรูปที่คิดว่าประทับใจ

คลายเครียดหน่อยได้ไหมค่ะ


zwani.com myspace graphic comments
ขอให้มีความสุขมากๆนะค่ะ


โดย: อ้อมแอ้ม (คนผ่านทางมาเจอ ) วันที่: 10 ตุลาคม 2551 เวลา:8:28:08 น.  

 
เห็นด้วยที่สุดเลยค่ะ..


โดย: ทองหลาง (นิยายฝันหวาน ) วันที่: 10 ตุลาคม 2551 เวลา:9:28:38 น.  

 
เนื่องจากคนส่วนใหญ่ยังเป็นมนุษย์ ปุถุชน
ยังมีมานะทิฐิ ยังมี โลภ โกรธ หลง มาก
ดังนั้นความจริง สถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้
ต้องบอกได้ว่า วิกฤติแล้ว!!!
ดังนั้น การเยียวยาไม่เพียงพอที่จะใช้ได้ เพราะเลือดไหลออกแรงมาก
ต้องหยุด สกัดเลือดที่ไหลออกโดยทันที!! ทันที!!! ก่อน จากกนั้นการเยียวยา
การสร้างความเข้าใจ การสมานฉันท์ จึงจะเกิดขึ้นได้
การปิดแผลสกัดเลือดอันด่วนที่สุดคือ ต้องมีคนถอยก่อน ทันที!
จะรอให้ถอยพร้อมกัน ไม่มีทาง ไม่มีทาง
ถามว่าแล้ว ใครจะถอย ......
คำตอบเป็นที่รู้กัน คือ ใครเป็นพ่อ หรือ ใครเป็นพี่ ?
ผู้นั้นย่อมถอยก่อน นั่นก็คือรัฐบาล
ถามว่ายืดยื้อไว้ทำไม คำอ้างว่าเพื่อรักษาระบบประชาธิปไตย
สุดท้าย อาจจะบานปลายเป็นเหมือนสถานการภาคใต้ ที่ยังไม่สามารถแก้ไขได้เลย
และอาจบอกได้ว่า มันข้ามขั้นวิกฤติไปแล้วด้วย.....
ที่นี่สถานการณ์ แบบนั้นอาจจะนำมาเกิดในเมืองกรุง เมื่อไม่ได้มีการแก้ไขอย่างทันท่วงที และถูกต้อง
เมื่อนั่นความพินาศของชาติจะอุบัติ


โดย: ขงเบ้ง IP: 202.137.141.56 วันที่: 10 ตุลาคม 2551 เวลา:10:20:28 น.  

 

เห็นด้วยค่ะ...Peace now


Recados e Imagens - Carnaval - Orkut

Recados, Gifs e Imagens no Glimboo.com



โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 10 ตุลาคม 2551 เวลา:21:18:43 น.  

 
อยากให้เธอเป็นเพื่อนเหมือนที่ฝัน
ร่วมมือกันสรรสร้างทางสายใหม่
อยากให้เป็นเช่นคู่คิดสนิทใจ
มาร่วมทางสร้างชาติไทยให้รุ่งเรือง

"หมีมุ่ยมน"


โดย: หมีมุ่ยมน วันที่: 11 ตุลาคม 2551 เวลา:9:29:13 น.  

 
ตุลาเลือดเดือดแดงกำแหงหาญ แห่งตำนานวีรชนคนแกร่งกล้า
ผู้รักบ้านรักเมืองเรืองศรัทธา น้อมใจลงศึกษาตุลาคม.

- - เยี่ยม ทองน้อย - -






โดย: นกแสงตะวัน IP: 125.26.186.122 วันที่: 12 ตุลาคม 2551 เวลา:12:11:13 น.  

 




35 ปี เหตุการณ์ 14 ตุลา 2516
ขอร่วมไว้อาลัยวีรชน มา ณ โอกาส นี้


โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 13 ตุลาคม 2551 เวลา:22:00:15 น.  

 


ต่อให้


ต่อให้อ่านหนังสือมากมาย
หากอ่านใจตัวเองไม่ออก ก็ไม่มีประโยชน์ .....
ต่อให้มีความรุ้ท่วมหัว
ถ้าไม่รู้ใจตัวเอง ก็ไม่มีความหมาย ......


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 14 ตุลาคม 2551 เวลา:14:51:05 น.  

 


จงปล่อยวางพันธนาการภายนอก
อย่าปลุกเร้าปรุงแต่งจิตภายใน
จงทำจิตของท่านให้เหมือนดั่งกำแพง
เมื่อนั้น ท่านจะดำเนินสู่หนทางที่เรียกว่า มรรควิถี

- พระโพธิธรรม


By putting to rest all external entangling objects,
And not agitating your inner mind,
And making your mind like a wall,
You can enter the Path.

- Bodhidharma

""""""""""""""""""""""""""""""""""""""



อย่าเสาะแสวงหาเขา มิฉะนั้นเขาจะหนีจากท่าน
ขณะนี้ซึ่งฉันอยู่อย่างโดดเดี่ยว
ฉันพบกับเขาในทุกหนแห่ง
เขาจะเป็นสิ่งที่ฉันเป็น

แต่ในทางกลับกัน ฉันไม่ใช่สิ่งที่เขาเป็น
เพียงแค่มีความเข้าใจในแนวทางนี้เท่านั้น
จึงจะสามารถหลอมรวมเป็นหนึ่งกับเขาได้

- ทุงซาน เลียงเชี๊ยะ


Do not seek him anywhere else,
Or he will run away from you?
Now that I go all alone,
I meet him everywhere.
He is even now what I am.
I am even now not what he is.
Only by understanding this way
Can there be a true union with the Self-So.

- Tung-shan Liang-chieh

__________________
.


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 14 ตุลาคม 2551 เวลา:14:56:47 น.  

 
จุดีใจนะ ที่บอกว่าพันธมิตรไม่ใช่ทั้งหมด


เพราะสำหรับจุแล้ว...ไม่มีอะไรเป็นสีดำ หรือขาว


ทุกอย่างขึ้นอยู่กับสถานการณ์ สำนึกของคน และเงื่อนไขอะไรอีกหลายอย่าง


ตอนนี้ คนที่ไม่เลือกข้าง ก็กลายเป็นว่า อึดอัดกับสถานการณ์ตอนนี้เป็นที่สุด


โดย: กระจ้อน วันที่: 28 ตุลาคม 2551 เวลา:8:38:01 น.  

 
ยามดึกสงัดจนรุ่งสาง
กับการจัดบ้านใหม่
และจะพยายามกลับมาบ้านทุก ๆ วัน
และบันทึกทุกความทรงจำและบทเรียนเก็บไว้
เพื่ออ่านและทบทวนบทเรียนไว้สอนใจ
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดอีกในอนาคต...


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 6 พฤศจิกายน 2551 เวลา:4:54:18 น.  

 
คอเพลงเพื่อชีวิตเหมือนกันเลยค่ะ..ชอบฟังและเล่นกีต้าร์มาก..ซาบซึ้งกินใจ..


โดย: นิยายฝันหวาน วันที่: 6 พฤศจิกายน 2551 เวลา:19:22:59 น.  

 


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 7 พฤศจิกายน 2551 เวลา:8:09:13 น.  

 
จากแนวหน้า



เหิมเกริม! ไม่รู้บาปบุญคุณโทษ (บทบรรณาธิการ)



สังคมไทยได้ประจักษ์แจ้งอีกคำรบแล้วว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กำลังพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตนเองรอดพ้นจากการถูกจองจำในตะราง ความพยายามครั้งล่าสุดของเขาคือ ระดมประชาชนผู้บริสุทธิ์ไปกดดัน และขอให้มีการพระราชทานอภัยโทษ พฤติกรรมเช่นนี้ของ พ.ต.ท.ทักษิณ คือ เครื่องบ่งชี้ว่ายอมจำนนในความผิดที่ได้ก่อไว้แล้ว เพราะหากเชื่อมั่นว่า ตนเองไม่ผิด เหตุใดจึงต้องขอพระราชทานอภัยโทษ

แต่ยังมีสิ่งที่ต้องวิเคราะห์ให้ลึกซึ้งยิ่งกว่าก็คือ เหตุใดบุรุษผู้ทระนงตนที่ชื่อทักษิณจึงเลือกใช้วิธีเช่นนี้ การตัดสินใจในรูปแบบนี้มีความสอดคล้องกับคำพูดประจำตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณที่ส่อจาบจ้วงถึงผู้มีบารมีที่อยู่เหนือรัฐธรรมนูญหรือไม่

พ.ต.ท.ทักษิณคงเข้าใจเอาเองว่า ประชาชนยังรักและหลงใหลในตัวของเขาอย่างมิเสื่อมคลาย ยิ่งได้เห็นว่ามีประชาชนจำนวนมากมายจนเกือบเต็มสนามฟุตบอลขนาดใหญ่ ไปรวมตัวกันเมื่อต้นเดือนนี้ก็ยิ่งทำให้ได้ใจ ทั้งที่ลึกๆ แล้วอดีตนายกฯทักษิณรู้ดีว่าอะไร คือ ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการรวมตัวในครั้งนี้ รวมถึงการรวมตัวเพื่อสนับสนุนเขาในทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา

คนไทยสามารถแยกแยะได้เป็นอย่างดีว่า อะไรคือความจริง และอะไรคือมายา เมื่อได้เห็นภาพ พ.ต.ท.ทักษิณพยายามแสดงออกว่า จงรักภักดีและเทิดทูนพระราชวงศ์ และสถาบันพระมหากษัตริย์ และวันนี้คนไทยก็ตระหนักดีแล้วว่า พ.ต.ท.ทักษิณกำลังใช้อำนาจบริสุทธิ์ของมวลชนขอให้มีการพระราชทานอภัยโทษ การกระทำเช่นนี้ถือว่าเหิมเกริมยิ่งนัก

คนไทยทุกคนไม่ว่าจะสวมเสื้อสีเหลือง หรือสีแดง หรือสีใดๆ ก็ตาม ต่างรักและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์เหนือสิ่งอื่นใด สาเหตุที่เทิดทูนไว้เหนือทุกสิ่งก็เพราะประจักษ์แจ้งในคุณงามความดีของพระมหากษัตริย์ไทย และซาบซึ้งดีว่าสถาบันนี้คือ เครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของคนไทยให้ผูกรวมกันไว้ คนไทยรู้ดีว่าพระมหากษัตริย์ของเขา ทรงรักและห่วงใยพสกนิกรอย่างที่สุด

พ.ต.ท.ทักษิณเองก็รู้ดีว่าคนไทยรักและเทิดทูนพระเจ้าอยู่หัว และรู้ด้วยว่าคนไทย สังคมไทยและประเทศไทยไม่มีวันดำรงอยู่ได้โดยไร้สถาบันสูงสุดนี้ คนไทยผูกพันแนบแน่นกับสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยใจและจิตวิญญาณ ดังนั้นจึงเป็นไปมิได้ที่คนไทยจะอยู่ได้โดยไร้ใจและไร้วิญญาณ

เมื่อย้อนกลับไปพิจารณาจดหมายฉบับล่าสุดของ พ.ต.ท.ทักษิณที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษจะพบว่า มีข้อความหนึ่งปรากฏในลักษณะว่า ตนเองถูกชนชั้นสูงว่าร้ายใส่ความ และพบด้วยว่ามีข้อความในทำนอง ถูกชนชั้นสูงอิจฉาเพราะเกรงว่าประชาชนจะให้ความนิยมตนเองมากกว่า!

คนไทยรู้ดีว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีความเป็นมาอย่างไร ได้กระทำการอันให้กับบ้านเมืองบ้าง และต้องย้ำว่าคนไทยรู้ซึ้งเป็นอย่างดีว่า พ.ต.ท.ทักษิณร่ำรวยจนล้นฟ้าเพราะเหตุผลกลใด

ขอย้ำอีกครั้งว่า คนไทยมิได้อิจฉาคนที่ร่ำรวยเพราะความสุจริตและพร้อมให้อภัยคนที่โกงบ้านกินเมืองหากเขาผู้นั้นสำนึกผิดแล้วคืนของกลางให้แผ่นดิน แต่โปรดจำใส่หัวไว้ว่า คนไทยไม่นิยมผู้เหิมเกริม หลงลืมตน แยกแยะไม่ออกว่าอะไรคือบาป บุญ คุณ โทษ ขอให้ทบทวนให้ดีว่าจุดจบของคนจำพวกนี้คืออะไร



โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 7 พฤศจิกายน 2551 เวลา:8:16:40 น.  

 
ขออนุญาตหนึ่งวันนะครับ
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านข้อความข้างบน

จริง ๆ ไม่อยากพูดเรื่องการเมืองในช่วงนี้
แต่ตอนนี้เหลืออดครับ

อยากให้บ้านเมืองสงบครับ
ระหว่างคน ๆ เดียวกับความขัดแย้งของผู้คนในบ้านเมือง

อยากให้คุณทักษิณเสียสละเถิดครับ
ก่อนที่บ้านเมืองจะแตกแยกไปมากกว่านี้


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 7 พฤศจิกายน 2551 เวลา:8:20:20 น.  

 
วันที่ 07 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11199 มติชนรายวัน


สร้างความหวังให้กับชาติ อีกบทบาทสื่อมวลชนไทย

โดย จอม เพชรประดับ



บนผืนแผ่นดินไทยในเวลานี้ หลายคนอาจจะพบเห็นรอยปริแยก แตกขั้วกันอย่างมากมาย มีสัญลักษณ์ที่แบ่งพวกแบ่งฝ่ายกันอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง ผ่านการตอกย้ำของสื่อมวลชนทุกแขนงอยู่ทุกเวลา กลายเป็นบทสรุปที่อยู่ในใจของคนไทยทุกคนเวลานี้ว่า ไม่มีทางที่ทุกฝ่ายจะยอมกลับมาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เหมือนที่เคยเป็นมาในอดีตได้อีกแล้ว

แต่ทำไม (โดยเฉพาะสื่อมวลชน) ไม่มีใครสังเกตเลยหรือว่า ในท่ามกลางรอยปริแยกของสังคมที่แตกขั้วกันอย่างสุดกู่อยู่เวลานี้ เรายังมีสิ่งที่เป็น "อันหนึ่งอันเดียวกัน" อยู่มากมายเต็มแผ่นดิน

อันดับแรกสุด พวกเราทุกคนต่างก็มีความหวังอันเดียวกัน ที่จะเห็นบ้านเมืองเป็นปึกแผ่น กลับมาสงบสุข ร่มเย็น และมั่นคงเหมือนเดิม

เราคือคนในครอบครัวเดียวกัน

เราเป็นพี่น้องที่คลานตามกันมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน

เรามีเลือดสีเดียวกัน

เรามีอุดมการณ์แห่งความเป็นคนไทยเหมือนกัน

เราพูดภาษาเดียวกัน

เรากินข้าวเหมือนกัน

เรามีวัฒนธรรมเดียวกัน ฯลฯ

แค่นี่ยังไม่มากพออีกหรือ ที่จะทำให้คนไทยทุกคนเห็นแสงแห่งความหวังว่า แผ่นดินผืนนี้จะกลับสู่ความสงบร่มเย็นเหมือนเดิมได้ในไม่ช้า

ส่วนจะเนิ่นช้า หรือจะรวดเร็วปานใด ก็ขึ้นอยู่กับคนไทยทุกคนที่จิตใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังว่า จะช่วยกันคนละไม้คนละมือได้อย่างไรบ้าง

ในฐานะที่เป็นคนไทยคนหนึ่ง และเป็นคนในอาชีพสื่อสารมวลชน และได้รับผลกระทบจากความขัดแย้ง แตกแยกในแผ่นดินนี้ ขอยืนยันว่า ไม่เคยสิ้นหวัง หรือหมดกำลังใจ กับการถือกำเนิดเป็นคนไทย ที่ได้อาศัยอยู่บนผืนแผ่นดินอันประเสริฐผืนนี้

(ลองไปใช้ชีวิตอยู่ในต่างประเทศสักพัก จะสำนึกได้ทันทีเลยว่า แผ่นดินไทยประเสริฐจริงและยิ่งใหญ่กว่าแผ่นดินผืนใดในโลก)

สิ่งที่อยากเรียกร้องจากเพื่อนพ้องน้องพี่ในวงการสื่อสารมวลชนด้วยกันคือ ถึงเวลาแล้ว ที่พวกเราต้องน้อมรับคำวิพากษ์วิจารณ์ที่ว่า พวกเราเป็นส่วนหนึ่งของวิกฤตชาติที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในเวลานี้

ความคิดแตกแยกแบ่งขั้ว ที่เกิดขึ้นอยู่ในสังคมของเรา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพวกเราเอง ที่ไม่ได้คิดค้น หาวิธีการทำหน้าที่อย่างเต็มกำลังและจริงจัง เพื่อป้องกันปัญหาไม่ให้เกิดขึ้น ทั้งๆ ที่พวกเราเป็นบุคคลกลุ่มแรกที่วิเคราะห์ได้ว่าปัญหาใดจะกลายเป็นวิกฤตที่ร้ายแรงของชาติในอนาคต

แต่ด้วยการทำหน้าที่อย่างที่เคยเป็นมา คิดมองปัญหา หรือประเด็นข่าวอย่างเป็นปกติ ตามธรรมเนียมปฏิบัติเดิมๆ อย่างที่เคยเป็นมา จึงไม่ได้คิดนึกให้ลึกซึ้งลงไปว่า สถานการณ์ความขัดแย้ง แตกแยกที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองของเราเวลานี้ผิดปกติ และซับซ้อนเสียยิ่งกว่าในยุคใดสมัยใด

(เหมือนเช่นที่สื่อมวลชนไม่สามารถแสดงบทบาทหลักในการคลี่คลายสถานการณ์เพื่อดับไฟแห่งสงครามใน 3 จังหวัดภาคใต้ได้)

ข่าวแตกแยก ขัดแย้งกัน ทะเลาะเบาะแว้งกัน ยังเป็นข่าวที่มักจะได้รับการถูกนำเสนอขึ้นสู่หน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ และแตกประเด็นคำถามที่ดูเหมือนจะยั่วยุ ให้ความขัดแย้งนั้นยังคงอยู่และดำเนินต่อไป เพื่อจะได้ดึงความสนใจของคนดู และเพื่อจะได้ขายข่าวได้ในวันถัดไป

ไม่แตกต่างไปจากสื่อโทรทัศน์ สื่อที่ทรงอิทธิพลทางความคิดของคนในสังคมมากที่สุด ที่มักจะเพิ่มเติมเสริมแต่งเข้าไปด้วยท่วงทำนอง และลีลาเฉพาะตัวของพิธีกร เพื่อจะให้ข่าวนั้นมีรสชาติ ดึงคนดู สร้างเรตติ้งให้กับตัวเอง และขายรายการให้ได้มากที่สุด

ยังไม่รวมถึงอารมณ์ร่วมของคนทำสื่อเอง ที่อาจจะเอาตัวเองเข้าไปเกี่ยวพัน กับแนวความคิด หรือหลักการที่อาจจะสอดคล้องต้องกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และโดยไม่ตั้งใจก็เอาความรู้สึกร่วมเหล่านั้นหลุดรอดเข้าไปอยู่ในรูปลักษณ์ของการนำเสนอข่าว หรือผสมเข้าไปกับข้อเท็จจริงที่นำเสนอสู่สาธารณชน

นักวิชาการสื่อสารมวลชน หรือแม้แต่มีผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองหลายคนบอกเรียกร้องกับสื่อมวลชนว่า สถานการณ์ของบ้านเมืองยามนี้ ถึงเวลาแล้วที่นักข่าวหรือสื่อมวลชนจะต้องเลือกข้าง คือเลือกที่จะยืนอยู่ข้าง ความถูกต้อง ไม่ควรยึดมั่นในหลักการของความเป็นกลางอีกต่อไป

แต่ความถูกต้องที่ว่า จะพิจารณาจากมุมใดกันเล่าถึงจะเป็นความถูกต้องอย่างจริงแท้

เพราะต่างฝ่ายต่างก็ยึดความถูกต้องในจุดยืนของตัวเอง และเป็นความถูกต้องที่พูดได้ไม่เต็มปากว่า ไม่ใช่ความถูกต้องอันเป็นสิ่งที่สังคมเราต้องการที่จะให้เกิดขึ้น

เมื่อไม่อาจจะสรุปได้ว่า ฝ่ายใดถูกหรือผิดอย่างชัดเจน ทางออกของคนทำสื่อก็คือ หันมาใช้หลักของความเป็นธรรม ให้มากขึ้นซึ่งน่าจะเป็นทางออกได้ โดยการเปิดพื้นที่ และให้เวลากับความคิดเห็นที่แตกต่าง ความคิดที่ขัดแย้งอย่างให้เกิดความสมดุล และเป็นธรรมให้มากที่สุด ขจัดความรู้สึกร่วม หรือจุดยืนร่วมเฉพาะตัวออกไป

ในทุกวินาทีของการทำงาน รวมทั้งพิธีกร หรือนักข่าวเองต้องระมัดระวังตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าคำถาม ท่วงทำนอง และลีลา รวมทั้งรูปแบบการนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่ใส่เข้าไปในข้อเท็จจริงนั้น จะคงรักษาความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นกับทุกฝ่ายหรือไม่

แต่เนื่องเพราะสถานการณ์ความแตกแยกทางความคิดที่รุนแรงอย่างอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในสังคมไทย หน้าที่ของสื่อมวลชนจึงไม่เพียงคิดแค่การนำเสนอข้อเท็จจริงอย่างสมดุลเท่านั้น แต่ต้องมีเป้าหมายแห่งสำนึกของคนทำข่าวด้วยว่า การนำเสนอข่าวความแตกแยกขัดแย้งแต่ละครั้งนั้น จะต้องเป็นไปเพื่อร่วมกันหาทางออกให้ประเทศชาติอยู่รอดปลอดภัยเป็นสำคัญ

เป้าหมายที่อยู่ในใจของคนทำข่าว จะต้องไม่ไปกำหนดระยะเวลา ว่าจะต้องบรรลุผลวันใด ปีใด หรือเดือนไหน เพราะไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นการกำหนดธง หรือทิศทางข่าวตามความต้องการของคนทำข่าวเอง ต้องปล่อยให้แต่ละฝ่ายตกผลึกและเห็นพ้องต้องกันว่าพร้อมที่จะหันหน้าเข้าหากันเมื่อใด

และเมื่อเวลานั้นมาถึง ก็จะเรียกได้ว่าเป้าหมายที่วางไว้ในใจบรรลุผล

แต่สิ่งที่น่าเป็นกังวล และน่าเห็นใจอย่างยิ่ง สำหรับสื่อมวลชน โดยเฉพาะในวงการโทรทัศน์ อย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า พื้นที่ หรือเวลาของสถานีโทรทัศน์ส่วนใหญ่นั้นเป็นไปเพื่อธุรกิจ ผลประโยชน์ และการยึดครองของผู้มีอำนาจ ทั้งอำนาจทุน อำนาจการบริหารจากฝ่ายการเมือง เฉพาะอย่างยิ่ง การทำสงครามเพื่อแย่งชิงประชาชน อย่างที่เป็นอยู่เวลานี้ การยึดพื้นที่สื่อโทรทัศน์ได้มากที่สุด ก็เท่ากับว่ามีอาวุธอันทรงพลานุภาพอยู่ในมือ

คนทำสื่อตัวเล็กๆ ในวงการโทรทัศน์ ที่ต้องการจะช่วยหาทางออกให้ประเทศผ่านพ้นจากการปกคลุมของเมฆหมอกแห่งความเลวร้าย จึงตกอยู่ในฐานะที่ต้องทำงานอย่างยากลำบาก และต้องอดทนอย่างยิ่ง

มีเพื่อนและพี่น้องที่หวังดี ทั้งในวงการและนอกวงการโทรทัศน์หลายคนแนะนำว่า ในยามที่บ้านเมืองแตกแยกอย่างรุนแรง และการต่อสู้ทางการเมืองดุเดือดเช่นนี้ น่าที่จะหันไปทำรายการอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองเสียบ้าง เช่น ข่าวอาชญากรรม ประเด็นปัญหาสังคมอื่นๆ หรือแม้แต่ข่าวบันเทิง เพื่อจะได้มีลมหายใจ มีที่ยืนอยู่ต่อไปได้อย่างปลอดภัย

แต่ผู้เขียนก็ไม่อยากที่จะหลอกตัวเอง และไม่อยากหลอกสังคมอีกทางหนึ่งด้วยว่า บ้านเมืองของเราไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วง แม้ว่าจะผลิกผันตัวเองไปทำข่าวอาชญากรรม ทำข่าวเชิงสังคม หรือข่าวเศรษฐกิจ หรือแม้แต่ข่าวบันเทิง

แต่ตราบใดที่วิกฤตทางการเมืองอันเป็นปัญหาใหญ่ของชาติไม่ถูกปลดล็อคออกไป แล้วจะหวังได้อย่างไรว่าปัญหาอื่นๆ ของสังคมไทยจะได้รับการแก้ไขได้

ดังนั้น ในสถานการณ์ที่บ้านเมืองเจอวิกฤตยิ่งกว่าวิกฤตเช่นนี้ เจ้าของสื่อ ผู้บริหารสื่อหรือแม้แต่นักสื่อสารมวลชนเอง จะต้องไม่ปัดความรับผิดชอบในการร่วมกันหาทางแก้วิกฤตชาติ

เพราะนี่คือความรับผิดชอบอย่างสำคัญของสื่อสารมวลชนที่ไม่อาจจะหลบเลี่ยงได้

คนทำสื่อโทรทัศน์ที่คิดฝันว่า จะทำหน้าที่เป็นส่วนหนึ่งในการร่วมกันหาทางออกให้กับวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นกับชาติบ้านเมือง แต่สุดท้ายแล้ว...เกิดอะไรขึ้นกับพวกเราเหล่านั้น...

ในที่นี่จะไม่พูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง

แต่เชื่อว่าปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับผู้เขียน ได้เคยเกิดขึ้นมาแล้วกับคนทำข่าวโทรทัศน์หลายต่อหลายคนในอดีต และกำลังเกิดขึ้นอยู่กับคนข่าวโทรทัศน์อีกจำนวนไม่น้อยที่กำลังปฏิบัติงานอยู่ในเวลานี้...

อย่างไรก็ตาม เพราะทุกชีวิตจะต้องดำรงอยู่ และดำเนินต่อไปบนเส้นทางแห่งความหวัง

ความคิดและความหวังของผู้เขียนจึงยังมั่นคงเสมอ...

อย่างน้อยก็ยังภูมิใจที่เป็นคนที่โชคดีที่สุดคนหนึ่ง ในจำนวนกว่าหลายร้อยล้านคนบนโลกใบนี้ ที่ได้ถือกำเนิดและมีลมหายใจอยู่บนผืนแผ่นดินไทย

แผ่นดินที่ประเสริฐสุดผืนนี้


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 7 พฤศจิกายน 2551 เวลา:8:32:28 น.  

 
คุณจอมเขียนได้ดีครับ
เห็นด้วยครับ

เหตุการณ์แบบสามจังหวัดชายแดนภาคใต้อาจมาเกิดในใจกลางมหานคร
ถ้าจัดการความขัดแย้งของคนในชาติไม่ดี
การที่เราปล่อยให้นักการเมืองจัดการเรื่องราวใด ๆ
โดยไม่เห็นหัวฝ่ายตุลาการ
ที่อาจเป็นปราการด่านสุดท้ายที่เหลืออยู่ในสังคมไทย
แล้วอะไรจะเกิดขึ้นกับบ้านเมืองก็เป็นเรื่องที่สุดจะคาดเดา
เมื่อการทะเลาะกันอย่างอารยะไม่มีการฟังกัน
มีแตการใช้อำนาจแบบเถื่อน ๆ เข้าฟาดฟันประชาชนผู้บริสุทธิ์

สุดท้ายเราคงได้เห็น "สงครามกลางเมือง"เกิดขึ้น
จากน้ำมือของนักการเมืองที่ไม่มีสำนึกของความรักชาติหลงเหลืออยู่


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 7 พฤศจิกายน 2551 เวลา:8:51:25 น.  

 
เปลวสีเงิน

จริงหรือ"ทักษิณต้านรัฐประหาร"?

7 พฤศจิกายน 2551 กองบรรณาธิการ

เมื่อวานอ่าน "ผู้จัดการ" เขานำคำสัมภาษณ์ "นายเกษม จาติกวณิช" มาลงภายใต้หัวข้อเรื่องว่า "ซูเปอร์เคเลือกข้างพันธมิตรหนุนกำจัดคนโกงแผ่นดิน"

มีอยู่ตอนหนึ่งตรงกับเรื่องที่ผมสงสัยมานานแล้ว ก็เลยอยากหยิบมาพูดคุยกันดู

ประเด็นที่ผมสงสัยอยู่ในใจมาตลอด ก็ดังความในประโยคว่า:-

"คตส.ทำงานหนักเร่งรีบจัดการทุจริต มีผลงานโดดเด่น ทำหน้าที่สืบสวน สอบสวน รวบรวมพยานหลักฐานส่งให้ถึงมือศาล หากไม่มี คตส.ก็ไม่มีพยานหลักฐานต่างๆ มาประกอบการพิจารณาคดีของศาล

บางคนอาจจะบอกว่า คตส.ทำงานช้า แต่ช้าดีกว่าปล่อยให้หลุดหมด เหมือนสมัย รสช.ที่เอาผิดใครก็ไม่ได้ ยึดทรัพย์ก็ไม่ได้

ตอนนี้สงสัยแต่ว่า ทำไมคดีเกี่ยวกับ "สนามบินสุวรรณภูมิ" ที่มีอยู่มากมาย ถึงไม่ส่งขึ้นศาลเลยแม้แต่คดีเดียว ทั้งที่มีคนทำผิด ที่รู้ว่ามีคนทำผิดเพราะมีคนมาเล่าให้ฟัง แล้วเมื่อไหร่คนที่ทำผิดจะได้รับการลงโทษ?"

ตรงนี้แหละครับ คือคดี "สนามบินสุวรรณภูมิ" ทั้งหมด ผมก็อยากถามคณะกรรมการ คตส.มานานแล้วว่า ทำไมมันเงียบหายไปหมด และไม่เงียบหายเฉยๆ สังเกตว่าเป็นการเงียบหาย

"คล้ายจงใจซุกให้เงียบ"?

ตอนนี้ คตส.หมดสภาพไปแล้ว คดีที่ค้างคาก็มาอยู่ที่ ป.ป.ช. แต่เมื่อไหร่จะถึงคิวที่ ป.ป.ช.หยิบขึ้นมาพิจารณากันเสียทีก็ไม่ทราบ หรือว่า "เรียบร้อย" กันไปแล้วจริงๆ!?

มิน่าล่ะ เมื่อวันที่นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ไปขึ้นศาลคดีหวยบนดิน จึงเห็นอ้วนท้วนสมบูรณ์ดี หายเจ็บ-หายไข้ดังปลิดทิ้ง คตส.ท่านไหนที่เป็นเจ้าของคดีทุจริตสุวรรณภูมิ มีคำอธิบายไหมครับ?

ก็มีอีกประเด็นหนึ่งจากคำของซูเปอร์ K ที่สะกิดใจผม คือเรื่องการรัฐประหาร รสช.เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๓๔ โดยมีพลเอกสุนทร คงสมพงษ์ หรือ "บิ๊กจ๊อด" เป็นหัวหน้าใหญ่

ผมได้ยินรัฐประหาร รสช.ก็นึกถึงพวกบริวารทักษิณ นายวีระ มุสิกพงศ์ บ้าง นายจาตุรนต์ ฉายแสง บ้าง นายจตุพร นายณัฐวุฒิ บ้าง คงหาอะไรมาอ้างในการตั้ง "กองกำลังทักษิณ" ให้เนียนไม่ได้

ก็เลยอ้าง "ต่อต้านรัฐประหาร"!

กระทั่งนายเหนือหัวพวกเขาเอง จะเขียนแถลงการณ์ จะโฟนอิน ก็เอากะพวกขี้ข้าไปด้วย วางตัวเป็นเทพ เกลียดการส้องเสพกับอำนาจรัฐประหาร

ที่โบราณว่า "งาช้างย่อมไม่งอกจากปากสุนัข" ท่านเปรียบเทียบไว้เห็นภาพจริงๆ อย่างวีระ-จาตุรนต์ ประกาศเป็นผู้ต่อต้านรัฐประหาร นั่นก็คงเพราะไม่รู้กำพืดแท้จริงของนาย ปล่อนเขาไปเถอะ

แต่สำหรับทักษิณ การด่าระบบรัฐประหารว่าเป็นการทำลายประชาธิปไตย เป็นระบบชั่วช้า-เลวทราม เป็นการทำลายคนดีๆ อย่างเขานั้น ใครไม่รู้ก็คงนึกว่าทักษิณเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยจริงๆ

แต่แท้จริงแล้ว ที่เป็นผู้เป็นคน ตั้งตัว-ตั้งตน จนเป็นเศรษฐีแสนล้านได้ทุกวันนี้ ก็ไม่เพราะทักษิณ "หิ้วรองเท้า-เกาไข่" ให้บิ๊ก รสช.ที่ทำรัฐประหารในวันนั้นดอกหรือ?

"ดาวเทียมไทยคม" น่ะ ได้มาจากไหน?

ไม่เพราะ ผัว-ทักษิณ, เมีย-พจมาน ไปคลานกราบ "หัวหน้ารัฐประหารใหญ่" นามว่าพลเอกสุนทร คงสมพงษ์ จนได้สัมปทานมาดอกหรือ?

"ถ้าไม่มีพี่ชายผมคนนี้ ก็ไม่มีวันนี้"

จำได้มั้ย ใครเอ่ย..ตัวสั่นประจบ ส่งสายตาเหมือนลูกหมาสำนึกในคุณน้ำข้าว กล่าวกับหัวหน้ารัฐประหารใหญ่ "พลเอกสุนทร คงสมพงษ์" ในวันส่งดาวเทียมไทยคมขึ้นสู่อวกาศที่เฟรนช์เกียนา เมื่อ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๓๖ โน้น

เป็นไง..รู้อย่างนี้แล้วหายซ่านที่จะยกเรื่อง "ต้านรัฐประหาร" ขึ้นมา หลอกลวง-ปลุกระดมคนเสื้อแดงหรือยัง?

เจ้านายทักษิณน่ะ มันแค่นักฉวยโอกาสประชาธิปไตย หลังฉากที่แท้จริง ฝังรากอยู่กับระบบรัฐประหาร คลานกราบยก "บิ๊กจ๊อด" เป็นพี่ชาย เป็นพี่น้องกันมาแต่ชาติไหนก็ไม่ทราบ ทราบแต่ว่า....

"โครงการดาวเทียมสื่อสารเริ่มมาแต่ปี ๒๕๒๖ และเริ่มดำเนินการในปี ๒๕๒๘ โดยมีบริษัทเอกชนเสนอตัวมาหลายราย แต่ไม่สามารถทำข้อตกลงให้เป็นที่พอใจทั้ง ๒ ฝ่าย กระทั่งปี ๒๕๓๓ จึงมีการประกาศเชิญชวนอีกครั้ง ผลปรากฏว่าบริษัท ชินวัตรคอมพิวเตอร์ แอนด์คอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด ได้ชัยชนะเหนือคู่แข่ง โดยมีการลงนามในสัญญาเมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๓๔ ในยุคที่ รสช.เรืองอำนาจ หลังก่อรัฐประหาร ๗ เดือน"

ถ้าไม่เชื่อว่า "ทักษิณ" เป็นตัวเป็นตนขึ้นมาได้เพราะเป็นเห็บเกาะไข่ระบบรัฐประหาร ไอ้พวกบริวารที่เห่า "ต่อต้านรัฐประหาร" แทนนาย ก็ลองไปถาม เสธ.อ้วน "พลเอกสัมพันธ์ บุญญานันต์" อดีตรัฐมนตรีกลาโหม ในรัฐบาลทักษิณปี ๒๕๔๗ ดูก็ได้

เพราะเสธ.อ้วน คือนายทหารผู้เป็น "เงาบิ๊กจ๊อด" ในยุคนั้น ก่อนจะตายบิ๊กจ๊อดยังให้เป็นผู้จัดการมรดกร่วมในนามของน้องยุ้ย "อัมพาพันธ์ ธเนศเดชสุนทร" ผู้สานตำนานรักชายเสื้อคับจนโลกร้อนฉ่า

ทักษิณจะดีก็ตรงนี้แหละ ใครเคยช่วยเขา ถึงคราวเขาก็ช่วยตอบ พลเอกสัมพันธ์ช่วยให้ "พ่อค้าทักษิณ" เข้าถึงตัวประธาน รสช.จ๊อด จนได้นับญาติเป็นพี่-เป็นน้องท้องไม่ติดกัน โดยมีสัมปทานดาวเทียมเป็นสักขีพยาน

ต่อมา-ทักษิณไม่ลืมคุณ ยังยกเก้าอี้รัฐมนตรีสมนาคุณให้กับเสธ.อ้วน!

ผมเคยอ่านเว็บไซต์ในส่วนสัมพันธ์ระหว่าง "หัวหน้ารัฐประหารจ๊อด" กับ "พ่อค้าทักษิณ" เสียดายที่เขาไม่ระบุชื่อว่าใครเขียนไว้ แต่สรุป "ประวัติศาสตร์สันถวะ" ระหว่าง ๒ คนนี้ไว้ดีมาก ต้องขออนุญาตนำ "ส่วนหนึ่ง" มาขยายต่อ ดังนี้

...ในยุคของพลเอกชาติชาย ชุณหะวัน เป็นนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณต้องการได้สัมปทานธุรกิจทางด้านการสื่อสาร พ.ต.ท.ทักษิณจึงไปนั่งเฝ้า ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ในขณะนั้น

ด้วยความที่รักเพื่อน...

ร.ต.อ.เฉลิมก็วิ่งเต้นเอาสัมปทานให้โดยไม่มีการประมูล แต่ภายหลัง ทั้งสองเกิดความขัดแย้งในเรื่องสัมปทานขึ้น พ.ต.ท.ทักษิณรู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก เนื่องจาก ร.ต.อ.เฉลิมไปให้สัมปทานกับคู่แข่ง

แต่ระหว่างที่จะกำลังดำเนินการให้สัมปทานนั้น จปร.รุ่น ๕ ออกมาขู่ เป็นเหตุให้พลเอกชาติชายถึงกับต้องเรียกนายมนตรี พงษ์พานิช มาหารือ เพื่อเปิดสัมปทานโทรศัพท์ขั้นพื้นฐานให้กับพลเอกอิสระพงศ์ หนุนภักดี ที่มีความสนิทสนมกับ ซี.พี. เนื่องจากต้องการลดความขัดแย้งกับ จปร.รุ่น ๕

แต่เหตุการณ์สำคัญทางการเมืองที่พัฒนาต่อมาคือ การที่พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ได้ไปปราศรัยที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ว่าด้วยเรื่องฉ้อราษฎร์บังหลวง ร.ต.อ.เฉลิมได้ออกมาตอบโต้ จนผลสุดท้าย พลเอกชวลิตได้ลาออกจากตำแหน่งทางการเมือง ทำให้เกิดช่องว่างทางการเมืองขึ้น

พลเอกชาติชายได้ควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมด้วย และต่อมาได้เชิญหัวหน้าพรรคปวงชนชาวไทย "พลเอกอาทิตย์ กำลังเอก" มาดำรงตำแหน่งรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง

ความสัมพันธ์ระหว่างนายทหารแห่งกองทัพบก จปร.รุ่น ๕ และรัฐบาลตึงเครียดขึ้นทันที การพบปะรับประทานอาหารเช้าในวันพุธเป็นประจำระหว่างนายทหารและนายกรัฐมนตรีเริ่มขาดตอน สะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดยิ่งขึ้น

ฟางเส้นสุดท้ายบนหลังอูฐ คือการที่พลเอกชาติชาย ตัดสินใจแต่งตั้งพลเอกอาทิตย์ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยกลาโหม โดยอ้างว่าเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระของตน

ในวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๔ พลเอกชาติชาย และพลเอกอาทิตย์ มีกำหนดการเดินทางด้วยเครื่องบินเพื่อไปเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่เชียงใหม่

แต่ก็กลายเป็นกับดักตกอับที่สนามบินกองทัพอากาศ โดยเป็นการปฏิวัติของคณะปฏิวัติที่เรียกตนเองว่า "คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.)" โดยมีพลเอกสุนทร คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นหัวหน้าคณะ รสช. พลเอกสุจินดา คราประยูร ผู้บัญชาการทหารบก เป็นรองหัวหน้าคณะ

พล.อ.อ.เกษตร โรจนนิล ผู้บัญชาการทหารอากาศ พล.ร.อ.ประพัฒน์ กฤษณจันทร์ ผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นรองหัวหน้าคณะ และมีพลเอกอิสระพงศ์ หนุนภักดี รองผู้บัญชาการทหารบก เป็นเลขานุการ

ส่วน พ.ต.ท.ทักษิณ ก็วิ่งไปเกาะพลเอกสุนทร คงสมพงษ์ โดยมีหน้าห้องที่ชื่อ "พลเอกสัมพันธ์ บุญญานันต์" ที่มาได้ดีในยุค พ.ต.ท.ทักษิณ

ทักษิณกลายเป็นผู้ผูกตัวเองเกาะไว้กับ "เผด็จการทหาร รสช." ถึงได้เติบใหญ่ ร่ำรวยมาถึงทุกวันนี้.

ครับ..ย้อนไปถึง รสช.ก็ครึ้มดีเหมือนกัน เพราะช่วงนั้นผมเป็น "หัวหน้าข่าว" หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งอยู่ และเรื่องโทรศัพท์พื้นฐาน ๓ ล้านเลขหมายนั้น เบื้องหลังการ "แอบ" เปิดซองดูราคาคู่แข่ง

สนุ้ก..สนุก..แต่ผมไม่เล่า เจอเจ้าตัวถามเค้าดูเอง!

ผมเองซึ่งไม่รู้อีโหน่อีเหน่ จู่ๆ ยังมีบิ๊กรายหนึ่งโทร.มาสั่งการว่า "เจ้านายต้องการพบ" นึกว่าเรื่องอะไร ไปถึง-โยนเอกสารมาให้ปึกเบ้อเร่อ เรื่อง ๓ ล้านเลขหมาย บอกว่า

"เอ้า..ช่วยเอาไปอ่านดูหน่อย"!?

ที่หยิบเรื่องเก่าขึ้นมาระลึกชาติ ก็ต้องการชี้ให้เห็นว่า โดยเนื้อแท้แล้ว ทักษิณไม่ใช่เป็นคนเทิดทูนประชาธิปไตย ต่อต้านเผด็จการรัฐประหาร อย่างที่ตัวเองและสมุนยกเป็นทองปิดหน้าผาก เพื่อหลอกผู้คนให้เข้าใจผิดสวมเสื้อแดงมาเป็นกองกำลัง หนุนหลังให้แล้วก็เบ่งกล้ามในสนามราชมังคลาฯ ไปถึงสถาบันเบื้องสูง ก็ให้ "รู้ทัน" สันดานทักษิณกันเอาไว้..เน้อ.

ลิ้งค์ที่เกี่ยวข้อง

“เปลว สีเงิน” ถลกหน้ากาก “แม้ว” ที่แท้แค่ “เห็บเกาะไข่เผด็จการ รสช.” คลิก


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 7 พฤศจิกายน 2551 เวลา:12:55:53 น.  

 

สวัสดีตอนเช้าของ เนเธอร์แลนด์ นะจ้า




อยากบอกเธอว่าห่วงใยเสมอเธอรู้ไหม
ความห่างไกล..ไม่อาจกั้นความคิดถัง
ระยะทางไม่อาจกั้นกลางความรู้สึก
ความคิดถึง ห่วงใยที่ฉัน..มีให้เธอ



ขอให้มีความสุขในช่วงวันหยุดพักผ่อนนะจ้า



มีแต่เพลงโปรดทั้งนั้นเลยอะจ้า


โดย: จอมแก่นแสนซน วันที่: 8 พฤศจิกายน 2551 เวลา:12:54:17 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

คนเดินดินฯ
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]








ปณิธาน

การเดินทางของชีวิตของทุกผู้คน
ทุกคนต่างต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต
แต่จะมีสักกี่คนที่จะก้าวไปถึง
เมื่อเราก้าวถึงจุดนั้น
ขออย่าลืมการแบ่งปันและเจือจาน
แก่ผู้ด้อยโอกาสในสังคม

เราจะเติบโตและก้าวไปข้างหน้าพร้อม ๆ กัน
เพื่อสร้างสรรค์สังคมใหม่ที่ดีงาม

เพื่อให้อนุชนคนรุ่นหลัง
ได้ใช้ชีวิตของเขา
ตามศักยภาพและความตั้งใจของเขา
ตราบเท่าที่เขาต้องการ







เดินไปสู่ความใฝ่ฝัน


ชีวิตหนึ่งร่วงหล่นไปตามกาลเวลา
คลื่นลูกใหม่ไล่หลังคลื่นลูกเก่า
นั่นคือวัฏจักรของชีวิตที่ดำเนินไป

เยาว์เธอรู้บ้างไหม
ว่าประชาราษฎรนั้นทุกข์ยากเพียงใด
เสี้ยวหนึ่งของชีวิตที่เหลืออยู่
เธอเคยมีความใฝ่ฝันที่แสนงามบ้างไหม

สักวันฉันหวังว่าเธอจะเดินไปตามทางสายนี้
ที่อาจดูเงียบเหงาและโดดเดี่ยว
แต่ภายใต้ฟ้าเดียวกัน
ฉันก็ยังมีความหวัง
ว่าผู้คนในประเทศนี้
จะตื่นขึ้นมา
เพื่อทวงสิทธิ์ของพวกเขา
ที่ถูกย่ำยีมาช้านาน
และฉันหวังว่าเธอจะเดินเคียงคู่ไปกับพวกเขา

เพื่อสานความใฝ่ฝันนั้นให้เป็นความจริง
สัญญาได้ไหม
สัญญาได้ไหม
เยาว์ที่รักของฉัน


***********



ขอมีเพียงเธอเป็นกำลังใจ




ทอดสายตามองออกไปยังทิวทัศน์ข้างหน้า
แลเห็นต้นหญ้าโบกไสว
เห็นดอกซากุระบานอยู่เต็มดอย
ความงามที่อยู่ข้างหน้า
เป็นสิ่งที่ฉันจะเก็บมันไว้
ยามที่จิตใจอ่อนล้า...

ชีวิตยามนี้แม้ผ่านมาหลายโมงยาม
แต่จิตใจข้างในยังคงดูหงอยเหงา
หลายครั้งอยากมีเพื่อนคุย
หลายครั้งอยากมีคนปรับทุกข์
และหลายครั้งต้องนั่งร้องไห้คนเดียว

รางวัลสำหรับชีวิตที่ผ่านมา
มันคืออะไรเคยถามตัวเองบ่อย ๆ
ความสำเร็จ...เงินตรา...เกียรติยศชื่อเสียง
มันใช่สิ่งที่เราต้องการหรือเปล่า
ถึงจุดหนึ่งชีวิตต้องการอะไรอีกมากไปกว่านี้

หลายชีวิตยังคงดิ้นรนต่อสู้
เพื่อปากท้องและครอบครัว
มันเป็นความจริงของชีวิตมนุษย์
ที่ต้องดำรงชีพเพื่อความอยู่รอด
มีทั้งพ่ายแพ้ มีทั้งชนะ
แต่ชีวิตต่างต้องดำเนินไป
ตามวิถีทางของแต่ละคน

ลืมความทุกข์ ลืมความหลังที่เจ็บปวด
มองออกไปข้างหน้า
ค้นให้พบตัวตนของตนเองอีกครั้ง
แล้วกลับไปสู้ใหม่
การเริ่มต้นของชีวิตจะต้องดำเนินต่อไป
จะต้องดำเนินต่อไป

ตราบจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต....




@@@@@@@@@@@




การเดินทางของความรัก

...ฉันเดินไปด้วยหัวใจที่ว่างเปล่า
สมองได้คิดใคร่ครวญ
ความรักในหลายครั้งที่ผ่านมา
ทำไมจึงจบลงอย่างรวดเร็ว

ฉันเดินไปด้วยสมองอันปลอดโปร่ง
ความรักทำให้ฉันเข้าใจโลก
และมนุษย์มากขึ้น
และรู้ว่าความแตกต่าง
ระหว่างความรักกับความหลงเป็นอย่างไร?

ฉันเดินไปด้วยดวงตาที่มุ่งมั่น
บทเรียนของรักในครั้งที่ผ่าน ๆ มา
มันย้ำเตือนอยู่เสมอว่า
อย่ารีบร้อนที่จะรัก
แต่จงปล่อยให้ความสัมพันธ์
ค่อย ๆ พัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป
เรียนรู้และทำเข้าใจกันให้มากที่สุด

ก่อนที่จะเริ่มบทต่อไปของความรัก...




*******************



จุดไฟแห่งศรัทธาและความมุ่งมั่น

เข้มแข็งกับอ่อนแอ
สับสนหรือมุ่งมั่น
จะยอมแพ้หรือลุกขึ้นท้าทาย
กับชีวตที่เหลืออยู่
ทุกสิ่งล้วนอยู่ที่ใจเราจะกำหนด

ไม่ใช่เพราะอิสระเสรี
ที่เราต้องการหรอกหรือ?
ที่มันจะนำทางชีวิต
ในห้วงเวลาต่อไป
ให้เราก้าวทะยานไป
สู่วันพรุ่งที่สดใส

มีแต่เพียงคนที่รู้จักตนเองอย่างดีพอเท่านั้น
จะสามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้
เมื่อผ่านการสรุปบทเรียน
จากปัญหาต่าง ๆ ที่ประสบ
เราก็จะมีความจัดเจนกับชีวิตมากขึ้น
และการเผชิญกับอุปสรรคต่าง ๆ
ในอนาคตก็จะเป็นเพียงปัญหาที่เล็กน้อยสำหรับเรา
ในการที่จะก้าวผ่านไป



ด้วยศรัทธาและความมุ่งมั่นที่มีอยู่ในใจ
ที่จะต้องย้ำเตือนตัวเองอยู่เสมอ
หนทางในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ
ย่อมอยู่ไม่ไกลห่างอย่างแน่นอน

*********************



ก้าวย่างที่มั่นคง

บนทางเดินแคบ ๆ ที่เหลืออยู่
หากขาดความมั่นใจที่จะก้าวเดินต่อไป
ชีวิตก็คงหยุดนิ่งและรอวันตาย
แม้ทางข้างหน้าจะดูพร่ามัว
และไม่รู้ซึ่งอนาคต
แต่สิ่งที่ดีที่สุดในปัจจุบัน
คือก้าวย่างไปอย่างมั่นคง
และมองไปข้างหน้าอย่าเหลียวหลัง
เก็บรับบทเรียนในอดีต
เพื่อจะได้ระมัดระวังไม่ให้ผิดพลาดอีกในอนาคต

"""""""""""""""""""""""""""""""""



ใช้สามัญสำนึกทำงาน

ไม่มีแผนงานที่สวยหรู
ไม่มีปฏิบัติการใดที่สมบูรณ์แบบ
ในยามนี้มีเพียงการทำงานด้วยการทุ่มเท
ลงลึกในรายละเอียดเท่านั้น
จึงจะสามารถคลี่คลายปัญหาของงานลงได้
บางครั้งโจทย์ที่เจออาจยากและซับซ้อน
แต่เมื่อลงไปคลุกคลีอย่างแท้จริง
โจทย์เหล่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

""""""""""""""""""""""""""""""""



เรียบ ๆ ง่าย ๆ


อย่ามองสิ่งต่าง ๆ ด้วยแว่นสีที่ซับซ้อน
เพราะในโลกนี้มีเพียงสิ่งสามัญที่เรียบง่าย
สำหรับคนที่สงบนิ่งเพียงพอเท่านั้น
จึงจะแก้โจทย์และปัญหาต่าง ๆ
ด้วยกลวิธีที่เรียบ ๆ ง่าย ๆ
ไม่ซับซ้อนและตรงจุดได้อย่างเพียงพอ

""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""

ใจถึงใจ

บนหนทางไปสู่ความสำเร็จ
บนหนทางของการสร้างสรรค์สิ่งใหม่
มีเพียงคนที่เข้าใจในสภาพจิตใจของคนทำงานเท่านั้น
จึงจะสามารถนำทีมงานไปสู่เป้าหมายได้
อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน








Friends' blogs
[Add คนเดินดินฯ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.