พฤศจิกายน 2548

 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
25
26
27
28
29
30
 
 
All Blog
สัมภาษณ์นักเขียน (ในดวงใจ) ข้าพเจ้าเอง
เคยไหมค่ะ?
อยาก ...เอามือไปผลัก หอเอนปิซ่าสักครั้งในชีวิต
อยาก ...ดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ดอยอ่างขาง
อยาก ...เขียนหนังสือ

มี ผู้ชายนิ้วกลมๆคนหนึ่งบอกว่า
หรือความจริง เราไม่ควร “อยากไปญี่ปุ่น”
แต่เราควร “ไปญี่ปุ่น”
เราไม่ควร “อยากเขียนหนังสือ”
แต่เราควร “เขียนหนังสือ”

ผู้ชายคนนั้น คือคนนี้ “สราวุธ เฮ้งสวัสดิ์” … ไม่รู้จักหรือคะ!!!? แล้วถ้าบอกว่าเขาคือเจ้าของนามปากกา “นิ้วกลม” ล่ะ

หากคุณเปิดหนังสือ a day คุณจะเห็นนามปากกานี้อยู่ในคอลัมน์ E = iq 2 และนามปากกาเดียวกันนี้บนหนังสือ 2 เล่ม โตเกียวไม่มีขา , กัมพูชาพริบตาเดียว ( จะอ่านเล่มไหนขึ้นก่อน ก็คล้องจองกันทั้งคู่)

จบมาจากคณะสถาปัตย์ จุฬาฯ ออกมาเป็น ก๊อปปี้ไรเตอร์ แล้วมาเป็นนักเขียนได้อย่างไรนั้น เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง ขยับเข้ามาใกล้ๆ ซิค่ะ จะได้อ่านชัดๆ

มาเริ่มงานเขียนหนังสือได้ยังไงค่ะ ?

จริงๆ เริ่มมาจากหนังสือทำมือก่อนครับ คือชอบเขียนอะไรเล่นๆ อยู่แล้วตั้งแต่เด็ก หลังๆ พอเริ่มอ่านหนังสือมากขึ้น ก็เริ่มอยากเขียนบ้าง ก็เขียนเก็บไว้ในคอมพ์อยู่เรื่อยๆ แล้วอยู่มาวันหนึ่งเห็นนิตยสาร a day ออกมา ก็นั่งอ่านอยู่กับเพื่อน แล้วก็คุยกันว่า เราน่าจะทำหนังสือบ้างนะ ก็บ้าๆ บอๆ กัน ตอนนั้นประมาณปี 5 ก็เลยรวมตัวกับเพื่อน 7 คนทำหนังสือทำมือใช้ชื่อว่า “dim” ครับ ย่อมาจาก ‘do it myself’ ล้อเลียน DIY – do it yourself ก็เขียนกันคนละคอลัมน์ ใครอยากเขียนอะไรก็เขียน

แล้วพอดีมีเพื่อนเอาหนังสือเล่มนี้ไปที่ a day แล้วพี่โหน่ง (วงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์) เห็น พี่เค้าว่ามันแปลกดี ก็เรียกเข้าไปนั่งคุยกันเล่นๆ ไปทำความรู้จัก ก็เลยเริ่มรู้จักกับ a day แล้วก็ติดต่อมเรื่อยๆ ต่อมาก็พยายามเอางานเขียนไปให้พี่ๆ เค้าอ่านบ้าง พอมาถึงยุคพี่โจ้ (วชิรา รุธิรกนก) เป็นบ.ก. ก็เอางานไปให้พี่เค้าอ่านบ่อย อ่านไปอ่านมาแล้วพี่เค้าเห็นเราอยากเขียนมากก็เลยชวนให้มาเขียนคอลัมน์ ก็มาเป็น E = iq 2 นี่ล่ะครับ

ชื่อคอลัมน์ เท่ กิ๊บเก๋ขนาดนี้ มีที่มาอย่างไรคะ ?

คือชื่อมันประหลาดใช่มั้ย? (หัวเราะพอน่ารัก) คือจริงๆ แล้วลอกเค้ามาครับ จากเฮดไลน์ของแอดสื่อสิ่งพิมพ์ The Economist เค้าเขียนอย่างนี้เลยครับ เค้าต้องการจะล้อสมการไอน์สไตน์ คือต้องการสื่อว่า “พลังงานของคนเรามันเท่ากับไอคิวยกกำลังสอง” แล้วพอดีมันลงตัวกับคอนเซ็ปต์คอลัมน์ที่วางไว้ คือจะเขียนเกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ ก็ดูลงตัวดี “พลังเท่ากับความคิดสร้างสรรค์ยกกำลังสอง”

แต่ก็ไม่ได้ลอกมาหน้าตาเฉยนะครับ ก็ให้เครดิตเค้าด้วยครับ

รู้สึกว่าทำงานก็อบปี้ไรเตอร์กับงานเขียนต่างกันอย่างไรบ้าง ?

ต่างคนละขั้วโลกเลยครับ เพราะงานเขียนจะเป็นตัวเราที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะเนื้อหาที่ต้องการสื่อสาร หรือรูปแบบที่เลือกใช้ ทุกสิ่งทุกอย่างเรากำหนด แต่งานโฆษณาก็จะมีโจทย์มาให้ทำ มีสารที่ต้องการให้สื่อมาแล้วเรียบร้อย คนที่กำหนดสารก็ไม่ใช่เรา จะเป็นฝ่ายการตลาดหรือฝ่ายใดๆ ของสินค้าก็แล้วแต่ หน้าที่ของเราคือ ทำอย่างไรเพื่อจะส่งสารของเขาออกไปให้ได้น่าสนใจที่สุด ตอบง่ายๆ คือ ทำโฆษณาเหมือนนักเล่าเรื่องของคนอื่น แต่เขียนหนังสือ เหมือนนักเล่าเรื่องจากตัวเอง หากจะมีสิ่งที่เหมือนกันบ้าง ก็น่าจะเป็น ความสุขที่ได้เล่าเรื่องครับ

แล้วตอนนี้มีงานเขียนอะไร อยู่ที่ไหนบ้างคะ ?
ในอะเดย์ เขียนอยู่ 2 คอลัมน์ 2 นามปากกา (คอลัมน์ “ณ” และ “สิ่งที่น่าสนใจ”) แล้วก็อีกที่ ส่งต้นฉบับไปแล้ว แต่หนังสือเค้ายังไม่ออก จะเป็นหนังสือท่องเที่ยวน่ะครับ

แล้วสำหรับงานเขียนรวมเล่ม ทราบมาว่าก่อนจะเป็น “โตเกียวไม่มีขา” ก็เคยออกหนังสือ แต่เป็นร่วมเล่มกับนักเขียนหลายๆ คน ชื่อ “หิมะกัดส้ม ผมลิขิต” เล่าที่มาของเล่มนี้ให้ฟังซิคะ?

ก็ทั้งงงทั้งดีใจครับ พอดีว่าคุณ Um ที่เคยเขียนเรื่อง “โต๊ะควาย” (เป็นเรื่องราวของเด็กนิเทศฯ เคยลงในอะเดย์เหมือนกัน) เขาได้อ่านคอลัมน์ของเราในอะเดย์ ก็ชอบ เลยชวน พอดีตอนนั้นเค้าอยู่ในกองเวิร์คพอยต์ด้วย แล้วทางเวิร์คพอยต์มีไอเดียจะร่วมเล่มนักเขียนหน้าใหม่ เค้าใช้คำว่า “คลื่นลูกเล็ก” น่ะครับ ก็เลยมีโอกาสได้ไปรวมเล่มกับเค้าด้วย ดีใจครับ มีแต่คนเก่งๆ ทั้งนั้นเลย

**มีการคุยกันหลังไมค์ถึงได้รู้ว่า เพิ่งได้รวมเล่ม แรงบันดาลใจจาก...ไอน์สไตน์ ที่สำนักพิมพ์มติชนด้วย”**

เข้ามาโครงการ เล่มแรกในชีวิตของนักเขียนหน้าใหม่ THE FIRST HANDได้อย่างไรคะ ?

คือโครงการ THE FIRST HAND เค้ามีนักเขียนที่คัดสรรมาแล้วเรียบร้อยแล้ว 6 คน จริงๆ เค้าปิดโครงการแรกไปแล้วล่ะครับ พอดีว่าได้ลองส่งต้นฉบับไปให้พี่โหน่งอ่าน เขาอ่านแล้วก็ว่าสนุกดี ให้เขียนมาให้จบ ก็เลยลงมือเขียนต่อจนจบและพอดีว่าเขียนจบก่อนที่ THE FIRST HAND 6 เล่มนั้นจะออก เลยได้เข้าร่วมโครงการกับเค้าด้วย

ดูเหมือนหนทางมาทำหนังสือไม่ค่อยสมบุกสมบันเท่าไหร่เนอะ?

ไม่รู้จะพูดยังไง เราไม่แน่ใจ .... จะว่าเกณฑ์ไม่เหมือนกันก็ไม่แน่ใจ คือเกณฑ์การพิจารณาสำหรับหนังสือบทบันทึก สารคดีมันอาจจะค่อนข้างง่ายกว่ารวมเรื่องสั้น, นวนิยาย หรือบทกวี ข้อมูลมี ความสนุกพอไหว มุมมองประมาณนี้ก็น่าจะโอเค ภาษาไม่ได้น่ารังเกียจจนเกินไป ก็อาจได้รับการอนุญาตให้พิมพ์ ซึ่งจริงๆ แล้วเรื่องนี้ ต้องถามสำนักพิมพ์น่าจะถูกต้องกว่าเนอะ

อืม...สิ่งที่ทำให้มันง่ายขึ้นอาจเพราะมันไปอยู่ในที่ที่ถูกที่ควรมั้ง ถ้าเอาไปเสนอให้สำนักพิมพ์อื่น ที่ใม่ใช่บุคลิกนี้เค้าก็อาจจะไม่สนใจ แต่กับ a day บุคลิกและนิสัยของหนังสือเล่มนี้ใกล้เคียงกันมาก เค้าเข้าใจบุคลิกแบบนี้ วิธีคิดแบบนี้ ก็เลยราบรื่น ถ้าไปยื่นที่อื่น แล้วสมบุกสมบันก็ไม่รู้จะเป็นยังไงเหมือนกัน ยังไม่เคยนึกภาพนั้น

หนังสือเล่มแรกมีที่มาอย่างไร ?

อันนี้ไม่ได้รู้เรื่องโครงการอะไรกับเค้าเลย แต่ความฝันอยากเขียนหนังสือมีมานานแล้ว ก็ไม่ได้วางแผนอะไรมาก ตอนที่ไปญี่ปุ่นก็ไม่คิดว่าจะเอามาเขียน แต่ก็บันทึกระหว่างทางเอาไว้เรื่อยๆ พอยิ่งเที่ยวยิ่งเดินทาง ก็ยิ่งเจอสิ่งที่เห็นว่ามันแปลกดี มันสนุกและประทับใจจนอยากจะเล่าให้คนอื่นฟัง จนกระทั่งพอจบทริป รู้สึกว่าเวลา 9 วันสำหรับเรามันมหัศจรรย์พอสมควร(สำหรับคนอื่นก็อัศจรรย์จ้า..) ก็เลยลองมานั่งเรียบเรียงมันดู ทีแรกมันเริ่มมาจากความสนุก สนุกมาก สนุกจนอดที่ละเล่าต่อไม่ได้

อ้อ...แล้วมันมีอีกความรู้สึกหนึ่ง คือก่อนเดินทางไปโตเกียว ตอนนั้นมันมีหนังสือเดินทางไปญี่ปุ่นไม่มากเหมือนตอนนี้ นอกจาก Lonely Planet แล้ว แทบไม่มีหนังสือไปญี่ปุ่นแบบที่เราต้องการ ก็เลยรู้สึกว่ามันน่าจะมีหนังสือแบบที่พอจะเป็นเพื่อนที่แนะนำเพื่อนด้วยกัน ว่าจะไปญี่ปุ่นควรเตรียมตัวอย่างไรดี มีที่ไหนน่าไปบ้าง แล้วพอดีเราไปมาแบบไม่แพงด้วยเลยอยากแนะนำ เพราะเข้าใจคนที่อยากไป คงเหมือนเรา คงกลัวแพงเหมือนกัน อยากบอกเค้าว่า เฮ้ย! มันไปแบบไม่แพงก็ได้นะ นี่ไงเราไปมาแล้ว

อยากรู้จังว่าการไปเที่ยวแบบเที่ยวอย่างเดียวกับเที่ยวแบบที่ต้องเอากลับมาเขียนนี่ บรรยากาศการเที่ยวต่างกันไหม ?

ถ้าทริปแรกไม่ได้คิดครับ แต่พอกัมพูชานี่คิดคร่าวๆ ว่า ถ้าเจออะไรน่าสนใจพอ มีความคิดเห็นอะไรที่ไปเจอมามากพอก็จะบันทึกเอาไว้

แต่ถ้าถามถึงตอนเริ่ม ไม่ต่างกันนะ เริ่มต้นเราเริ่มจากสภาพความจริง ข้อจำกัดต่างๆ เราลางานได้กี่วัน อยากไปไหน เราไม่ได้มองแบบการตลาดอยู่แล้วว่าไปไหนที่คนเค้าสนใจ เขียนแล้วขายได้ แล้วค่อยไป เราไม่ได้ตั้งโจทย์ที่จะเที่ยวไว้แบบนั้น เที่ยวก็คือเที่ยวครับ หากเจออะไรดีๆ แล้ว ค่อยเอามาเขียน

หากจะมีเพิ่มเติมอีกนิดนึงก็คือ เวลาไปเที่ยวแล้วอยากกลับมาเขียนหนังสือ มันชวนให้เราสังเกตสิ่งต่างๆ มากขึ้น


ทำไมเล่มที่สอง “กัมพูชาพริบตาเดียว” ก็ออกแนวสารคดีท่องเที่ยวอีกแล้ว หรือแอบคิดว่าเพราะเล่มแรกขายได้หรือเปล่าค่ะ ?

คือถ้าจะตอบว่าเพราะกระแสตอบรับมันดีก็คงเกี่ยวด้วย แต่มันไม่เกี่ยวกับเรื่องเพราะขายดี แต่เพราะรู้สึกดีมากกว่า เฮ้ย! เราเขียนแล้วมีคนอ่านสิ่งที่เราพูดไป และเรายังมีเรื่องที่จะบอกอีก ยังสนุกที่จะเขียนออกไป มันก็น่าลองเขียนดู

จริงๆ ก่อนไปเขมร มีต้นฉบับที่เขียนค้างไว้เหมือนกันนะ คือหลังจากไปโตเกียวก็ได้ไปเนปาลมาครับ เป็นทริปที่สนุกมากๆ และเขียนค้างไว้ แต่ไปเขมรนี่เวลาน้อยมากแค่ 3 วัน แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นสำหรับเรา เราว่ามันเยอะ และพอดีกลับมาแล้วอารมณ์มันได้มาก อัดอั้นอยากเขียนอยากเล่า อาจเพราะเราอยู่ที่นู่นคนเดียวด้วย ไม่ได้พูดกับใครยาวๆ เลย ก็ใช้เวลาประมาณอาทิตย์เดียวสำหรับร่างแรก มันเป็นอารมณ์อยากเขียน เลยเป็นทริปหลังแต่เขียนเสร็จก่อน ก็คือตอบว่า เขียนเพราะสนุกเพราะมีเรื่องที่อยากเล่าหลังจากกลับมาจากการเดินทางคนเดียว และมันเป็นคนละบรรยากาศกับที่โตเกียวเลย ถึงจะเป็นเรื่องเดินทางเหมือนกัน แต่มันก็มีหลายอย่างที่ไม่เหมือนกันครับ

แล้วจะเขียนแนวอื่นๆด้วยไหม ?

แนวอื่นก็อยากเขียนเหมือนกัน แต่อาจเพราะบทบันทึกค่อนข้างง่ายกว่าเรื่องแต่งสำหรับเรา ก็เลยเขียนเสร็จก่อน ถ้าเป็นเรื่องสั้นหรือนวนิยายมันต้องมีพล็อตเรื่อง มีการสร้างตัวละคร ฉาก การผูกโยง ก็เขียนอยู่บ้างครับ เก็บๆ ไว้ ยังใหม่ ยังอยู่ในช่วงฝึกหัด จริงๆ ถ้าดูตัวเองเทียบกับคนอื่นแล้วยังใหม่มาก ค่อยๆ หัดไปครับ


อ้อ! จริงๆ แล้ว ในคอลัมน์ E=iq2 ก็เป็นการเขียนอีกหลากหลายแนวเลย อันนั้นก็ทดลองสุดๆ ไปเลยน่ะครับบางคนที่เคยอ่านคอลัมน์ พอมาอ่าน “โตเกียวไม่มีขา” ก็ตกใจ บอกกับเราว่า ไม่คิดว่าจะเขียนหนังสือที่อ่านรู้เรื่องเป็นกะเค้าด้วย


หนังสือคุณ คุณคิดว่าต่างจากสารคดีท่องเที่ยวเรื่องอื่นอย่างไรค่ะ ?

จริงๆ ตอนเขียนไม่รู้สึกต่างเลยครับ เพราะอ่านหนังสือท่องเที่ยวไม่มาก แต่ความตั้งใจอันนึงที่คิดเอาไว้คืออยากเขียนหนังสือที่เราอยากอ่าน เพราะวันที่เราจะหยิบหนังสือเดินทางจะไปญี่ปุ่น เราหาอย่างที่อยากอ่านไม่ได้เลย มันจะมีแบบที่ใช้เงินเยอะ ซึ่งเราก็พึ่งพาไม่ได้ อย่างที่สอง ภาษาที่ใช้มันอยู่คนละวัย มันยังไงล่ะ มันคนละพวกกัน อย่างแบบนี้ถ้ามีก็จะซื้อเลย เพราะเฮ้ย! พูดจากันรู้เรื่อง นายคิดใกล้เคียงกับเรามากเลย ไม่ได้ล้ำลึกแต่เป็นแบบเข้าใจกัน อ่านแล้วตามง่ายกว่า ไม่ใช่ข้อมูลแข็งๆ

แต่พอเสร็จออกมาแล้วฟังจากที่คนอื่นพูด ก็รู้สึกว่ามันมีข้อต่างอยู่เหมือนกัน คือจริงๆ มันเป็นการไปเที่ยว แบบวัยรุ่นคลุกฝุ่นอยู่พอสมควร เรื่องที่เลือกมาเขียนเราก็ไม่ได้ตัดการไปดูหนังโป๊ หรือไปเที่ยวในที่แผลงๆ ออก เพื่อจะพาไปดูวัดอย่างเดียว คืออยากให้มันครบทุกด้านของเมือง ไม่ใช่เขียนถึงแต่ที่สวยงาม มีคนอ่านบางคนบอกว่า รู้สึกเหมือนเดินแบกเป้ไปด้วยกันเลย ก็รู้สึกดีนะ อยากให้เค้าได้อารมณ์เหมือนเรา

สำหรับเล่มแรกของคุณต้องมีบ้างล่ะเรื่องเสียงตอบรับ มีเสียงไหนไหมที่รู้สึกไม่ชอบ แบบว่าไม่สร้างสรรค์เท่าไหร่ ?

มีอันหนึ่งแอบไปอ่านเจอ เขาใช้คำว่าหนังสือเล่มนี้นรกมาก เพราะชวนให้คนไปนอนข้างถนน คือถ้านักเดินทางทุกคนทำแบบนี้จะเป็นภาระของชาติเขาขนาดไหน? แต่เรารู้สึกว่ามันเป็นแค่ทางออกหนึ่ง คิดว่าคนมีหัวที่จะคิดได้เขาจะหาทางของเขาเอง คือ แก่นของมันอยู่ที่ว่า เฮ้ย... ที่ที่คุณอยากจะไปคุณต้องหาทางไปของคุณเอง ไม่จำเป็นต้องถูกก็ได้ หรือถ้าจะไปแบบถูกๆ คุณจะทำไงก็ได้ในวิธีของคุณเอง ไม่จำเป็นต้องนอนถนเหมือนกัน แต่ถ้าอยากไป ก็ต้องไป หากมัวแต่มานั่งบ่นว่าจะไปจะไป ก็คงไม่ได้ไปซักที

แต่เราไม่ได้โกรธหรอกนะ ก็เข้าใจได้ อ้อ! แล้วก็มีบางคนบอกว่าอุตส่าห์ประหยัดแทบตาย ดันเอาเงินไปดูหนังโป๊หมดเลย มันก็ใช่ในมุมของเขา แต่ผมว่าทุกที่มันก็น่าสนใจทั้งนั้น ไปให้ถึงเดี๋ยวมันก็มีอะไรของมันออกมาเอง ห้องฉายหนังโป๊ก็คงมีอะไรมั่งล่ะ

เคยคิดจะส่งงานเข้าประกวดบ้างรึเปล่า ?
“โตเกียวไม่มีขา” ก็ส่งประกวดเซเว่นบุ๊คอะวอร์ดครับ คิดว่ามีเวทีก็ลองส่งดู ไม่มีอะไรเสียหายอยู่แล้ว คิดว่าเหมือนได้เอาหนังสือของเราไปให้คนที่มีหลักมีเกณฑ์แบบหนึ่งอ่านดูว่า เค้าจะเห็นเป็นไงบ้าง แต่ก็ไม่ซีเรียสอะไรครับ แค่ได้ยินคนอ่านคนนึงพูดถึงหนังสือของเราก็เป็นรางวัลแล้ว

แล้วเสียงตอบรับจากคนอ่าน “โตเกียวไม่มีขา” เป็นอย่างไรบ้างคะ ?

เกินของเกินของเกินคาดครับ เพราะตอนแรกไม่คิดว่าจะขายได้เลย กังวลกันจริงๆ ว่าจะขายไม่ได้ เพราะทำเสร็จแล้วมันหนามาก a book ก็กังวล ตอนแรกกะว่าจะมีหน้าสี แต่พอเห็นว่าหนามาก ก็เลยคุยกับพี่โหน่งว่ามันต้องแพงแน่ๆ ถามดูว่าเท่าไหร่ ถ้ามีหน้าสีมันก็เกือบ 200 ถึงขั้นจะใช้กระดาษปรู๊ฟเลยนะ จะได้ถูกลงบ้างแต่พี่โหน่งว่าอย่าเลย มันจะดูไม่ดี ก็สรุปว่าไม่เอาหน้าสี ขาว-ดำล้วนไปเลย ก็เลยได้ที่ 170

คือกะไว้เองว่าอยากให้หนังสือราคาแค่ 120 อย่างตัวเองนี่ ถ้าเฉียด 200 ก็ตัดสินใจนานนะ หยิบมาดูปกก็ โอเคสวย แต่พอไม่มีหน้าสี ภาพมันไม่ค่อยสวยไง ไม่มีอะไรดึงดูดใจ นักเขียนเป็นใครก็ไม่รู้ ใครวะ “นิ้วกลม”?ทำหนังสือท่องเที่ยวแล้วรูปไม่สวยมันก็ลุ้นยากอยู่ แต่พอออกมาแล้วมันพอขายได้ก็ถือว่าเกินคาดไปมากเพราะเราไม่กล้าคิดว่าจะขายได้เลย ยังขอบคุณพี่โหน่งในใจ ที่อุตส่าห์พิมพ์ให้เรา ทั้งที่เสี่ยงเจ๊งมากๆ (หัวเราะ)

ชอบเที่ยวด้วย ไม่คิดจะเขียนคอลัมน์ท่องเที่ยวหรือคะ ?

คือข้อมูลในตัวเองไม่เยอะขนาดนั้น แต่ถ้าไปแล้วกลับมาเขียนเป็นสกู๊ปนี่อยากทำ แบบคุณรอน แรมทาง ,เสี้ยวจันทร์ แรมไพร เขาไปมาเยอะ ข้อมูลเพียบ เค้าหยิบมาใช้ได้เรื่อยๆ เราคงต้องสั่งสมก่อนน่ะครับ

กัมพูชาพริบตาเดียวกับโตเกียวไม่มีขา ต่างกันเป็นพิเศษในด้านไหนคะ?

มันต่างกัน ในหลายๆ แง่เลยครับอย่างจุดเริ่มต้นเขียน ประเด็นในการเล่าก็ไม่เหมือนกัน ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ไปยาก ใช้เงินเยอะ สำหรับเรา“โตเกียวไม่มีขา” เป็นหนังสือของความฝัน เดินทางมาถึงหน้าสุดท้ายก็คือได้ไปแล้ว จบไปหนึ่งฝัน

แต่เขมรมันไม่ใช่เรื่องฝันแล้ว แต่เป็นการเดินทางคนเดียว ทำให้ได้คิดได้คุยกับตัวเองมากขึ้น รู้สึกหดหู่กับซากปราสาทที่พังหมดแล้ว ทั้งที่มันเคยยิ่งใหญ่มาก่อน ประเด็นที่ได้กลับมา เลยรู้สึกว่า ชีวิตเรามันแค่พริบตาเดียวเอง การสร้างสิ่งก่อสร้างใหญ่โตอะไรถาวร อาจจะไม่ใช่สิ่งจำเป็นก็ได้ และคนระหว่างทางที่ไปเจอมาตลอดทาง ก็ชวนให้รู้สึกว่า เราอยู่คนเดียวไม่ได้หรอก และคนระหว่างทางในชีวิตเรานี่สำคัญมาก เราน่าจะดูแลกันให้ดี
ข้อต่างอีกอันที่ชัดเจนคือ การไปคนเดียวกับการไปกับเพื่อน ไปคนเดียวนี่เกือบลืมคำว่าเที่ยวไปเลย ที่มีคนบอกว่า นักเดินทางกับนักท่องเที่ยวต่างกัน บางคนก็ปฏิเสธว่าเหมือนกันล่ะวะ นักเดินทางก็ไปเที่ยวเหมือนกัน แต่พอได้ลองไปเดินทางคนเดียวมันไม่สนุกเหมือนไปเที่ยวกับเพื่อน แต่มันได้อะไรอย่างอื่นที่ไม่จำเป็นต้องสนุกแต่มันรู้สึกดีเข้ามาแทน ก็มีเวลาได้คุยกับชาวบ้าน ได้คุยกับตัวเอง ทำให้ได้บรรยากาศต่างกันมาก โตเกียวฯ เป็นอะไรที่ไปดิ เฮ้ย! สนุกนะเว้ย! แต่เขมรจะชวนคนมาคิดไปเดินไปมากกว่า ท่วงทำนองและบรรยากาศก็จะต่างกันไป

สะดุดกับชื่อหนังสือทั้ง 2 เล่ม คุณมีเจตนาตั้งชื่อเรื่องให้คล้องจองกันหรือเปล่าคะ ?

(หัวเราะ)คือจะอ่าน “โตเกียวไม่มีขา กัมพูชาพริบตาเดียว” หรือจะอ่าน “กัมพูชาพริบตาเดียว โตเกียวไม่มีขา” ก็ยังคล้องอยู่ ไม่ได้ตั้งใจให้คล้อง แต่คิดสนุกกับตัวเองเล่นๆ ว่าเป็นอวัยวะคงน่าจะสนุกดี จริงๆ คิดชื่อเนปาลไว้ก่อนไปเขมรแล้ว “เนปาลประมาณสะดือ” ก็เลยคิดว่าพอเป็นกัมพูชาก็น่าเป็นอวัยวะกับเขาด้วย

แบบนี้ต้นปีหน้าคงได้กระโดนขึ้นรถไฟไปเนปาลกับคุณซิคะ ?

ต้นปีหน้า น่าจะเป็นร่วมคอลัมน์ E = iq 2 ก่อนครับ ให้ได้พบกับวิธีเขียนอีกแบบหนึ่งบ้าง เนปาลก็เขียนเสร็จแล้วล่ะ อาจจะเกลาอีกสักหน่อย

ยังมีประเทศไหนที่อยากไปมากๆ อีกบ้างคะ ?

อยากไปมากๆ เราอยากไปเยอะ อืม ... มากๆ เลยจริงๆ ไม่มีนะ แต่ถ้าอยากไปก็อยากไปอิตาลี พอดีเรียนประวัติศาสตร์ศิลปะมานิดๆ หน่อยๆ ก็อยากไปเห็นสิ่งต่างๆ เหล่านั้น อยากไปกรีกอยากเห็นเสาน่ะครับ อยากไปดู เสา (หัวเราะ) วิหาร อยากดูอารยธรรมความเป็นมา อียิปต์ก็อยากไป ประเทศแปลกๆ แถบแอฟริกา อเมริกาใต้ก็อยากไปครับ

เคยคิดอยากจะเที่ยวแบบปั่นจักรยานไหม ?

อ่าน “หลังอาน” ของพี่บินหลาแล้ว ก็สนุกดีเหมือนกัน แต่ปั่นจักรยานคงต้องปั่นในประเทศ ตอนนี้ขอไปเห็นที่อื่นก่อนก็ดีครับ พยายามเก็บที่ที่ไปยากก่อนในเวลาที่มีแรง ที่ง่ายๆ สบายๆ ไว้แก่ๆค่อยเก็บครับ

แล้วเที่ยวในประเทศบ่อยไหมคะ ?

เที่ยวในไทยน้อยครับ แปลกนะ คือเอาจริงๆ เวลาไปเที่ยวก็ไม่ได้ตัดสินใจอะไรปุบปับ แต่พอเป็นเมืองนอก มันชวนให้ตัดสินใจง่าย พอมีวันหยุดยาวนิดหนึ่งมันต้องเวลานี้แล้วล่ะ ถ้าไม่ใช่เวลานี้ก็ไม่ได้แล้ว

พอดีว่าชีวิตประจำวันมันอาจจะค่อนข้างเป็นพนักแบบออฟฟิศ ทำให้มีตารางที่แน่นอนในการดำเนินชีวิตปกติ อยู่เหมือนกัน การไปเที่ยวทำให้ได้ออกไปเจออะไรเยอะๆ ได้เห็นอะไรใหม่ๆ อย่างอื่นบ้าง

เหมือนที่คุณ ‘รงค์ วงษ์สวรรค์ พูดไว้ “การเดินทางเป็นสายตาของนักเขียน”

ถ้าในอนาคตยังอยากเขียนหนังสืออยู่ ก็ต้องสะสมวัตถุดิบ หาเวลาไปดูดมา

ถ้างานเขียนไปได้ดี คิดจะออกมาเป็นนักเขียนเต็มตัวเลยรึเปล่า ?

ยังไม่คิดถึงขั้นนั้น แต่ถ้าเกิด แหม ..อุดมคติมันก็อยากเป็นนะครับ อย่างเห็นรูปพี่ชาติ กอบจิตติ อยู่ท่ามกลางแมกไม้ทีไรมันก็ดูรื่นรมย์ดีพิลึก

แต่ก็มีคนเคยบอกว่า “ความฝันปล่อยให้มันเป็นความฝันน่ะดีแล้ว อย่าเอามันมาทำเป็นความจริง เป็นชีวิต” เหมือนกับว่า ถ้าต้องเขียนหนังสือทุกวันทั้งวันมันอาจไม่สนุก รึก็ไม่แน่อาจสนุกก็ได้นะ แต่ก็ยังไม่เชื่อว่าตัวเองจะโชคดีได้มีวันนั้นหรอก (ยิ้ม)

อ้อ! มีคนเคยบอกอีกว่า “ความฝันเป็นเรื่องแปลก พอเราไปถึงมันก็ไม่อยู่แล้ว”

แล้วต้นฉบับที่ว่าส่งไปหนังสือท่องเที่ยว ที่ยังไม่ออกนั้น เป็นงานเขียนแนวไหนคะ ?

เป็นเรื่องสั้น แต่เป็น เรื่องสั้นปนเรื่องจริง พอดีว่ามันอยู่ในหนังสือท่องเที่ยวเลยจะเป็นคอลัมน์ที่พูดถึงสถานที่เที่ยว แต่ไม่ได้พูดว่าดีเด่อะไร ผมจะพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสถานที่นั้น มันเลยออกมาเป็นรูปแบบว่า เราสร้างเหตุการณ์หนึ่งขึ้นมาในสถานที่นั้น

อย่างเรื่องแรกที่เขียนไปคือ ผู้ชายคนหนึ่งเดินทางไปญี่ปุ่นเป็นครั้งที่ 2 เพื่อไปข้ามถนนที่ชิบูย่า คือไปเพื่อข้ามถนนโดยเฉพาะ เขาชื่นชอบการข้ามถนนที่ชิบูย่ามาก แล้วก็ได้ไปสะดุดตาผู้หญิงคนหนึ่ง ที่มาข้ามถนนที่นี่ตรงเวลาทุกวัน เขาก็เลยยืนรอที่จะข้ามถนนพร้อมผู้หญิงคนนี้ไปด้วยกันโดยที่ไม่เคยทักกันเลย วันแล้ววันเล่า จนกระทั่งวันหนึ่ง เขาไปเปิดเจอหน้าของเธอในหนังสือโลนลี่แพลนเน็ทของเขา ผู้หญิงในรูปดูเด็กกว่าเธอ แต่บางอย่างบอกว่าเป็นคนคนเดียวกัน หลังจากนั้นเลยพยายามทำความรู้จัก แต่ปรากฏว่า วันรุ่งขึ้นเธอไม่มาแล้ว แต่ผู้ชายคนนั้นก็ยังคงรออยู่สี่แยกชิบูย่า มันไปลิงค์กับสถานที่ตรงนั้น ก็คือ สถานีรถไฟชิบูย่าจะมีอนุสาวรีย์หมาที่เคยมายืนรอเจ้าของที่นี่ 10 ปี จนมันตาย...ซึ่งผู้หญิงคนนั้นผมก็ไปเจอมาจริงๆ

ถ้าได้เขียนในคอลัมน์นี้ต่อไปเรื่อยๆ คิดว่านี่คืออีกแนวที่จะเขียน คือเอาสถานที่จริงฉากจริงมาปนกับจินตนาการที่ใส่เข้าไป ตั้งชื่อคอลัมน์ไว้ว่า “จริงตนาการ” ครับ

สำหรับงานเขียนเล่มแรก “โตเกียวไม่มีขา” มีตรงไหนไหมที่กลับมาอ่านแล้วรู้สึกไม่ชอบ ?

ไม่ถึงกับไม่ชอบ แต่มีความไม่มั่นใจมากกว่า และกลัวอย่างหนึ่ง คือมันค่อนข้างเป็นหนังสือท่องเที่ยวที่มีความคิดส่วนตัวเยอะ ไม่แน่ใจว่าคนที่เขาหยิบไป เพื่ออ่านเรื่องญี่ปุ่นแล้วจะรำคาญหรือเปล่า คือมันจะคิดอะไรของมันนักหนา จุดนั้นคือสิ่งที่กังวลที่สุด แต่ปรากฏว่าก็กลายเป็นหลายคนโอเคกับตรงนี้

จริงๆ เวลากลับมาอ่านจะรู้สึกอีกแบบหนึ่ง ในบางบทบางตอน ภาษามันน่าจะสวยงามได้กว่านี้หรือเปล่า

พอเขียนเขมรจบกลับมาค้นพบว่า ตอนโตเกียวมันสดมาก แทบเป็นการร่างต้นฉบับที่แทบไม่มีการเกลาเลย ห้วนไปอีกแบบหนึ่ง ดีเหมือนกัน ไม่ใช่ไม่ชอบ รู้สึกในอีกแบบหนึ่งดี

เล่มที่สองจะเกลามากขึ้น ?

กัมพูชาฯ มันจะสลักเสลามากขึ้น แบบโตเกียวจะคล้ายบันทึก แต่เขมรจะเอนไปทางนวนิยายมากกว่า อาจเป็นเพราะว่า มีความตั้งใจอย่างหนึ่ง อยากสร้างบรรยากาศด้วย อยากมีจังหวะการเล่าอีกแบบ ไปเที่ยวแบบว้าเหว่นี่จะเป็นยังไง ก็เลยสร้างบรรยากาศนั้นขึ้นมา ภาษาก็พาไปในทางนั้นด้วย มีการประดิษฐ์มากขึ้นอีกนิดหนึ่ง แต่ไม่ถึงกับดัดจริต(หัวเราะ)

ส่วนเรื่องความคิดอ่าน ก็ต้องยอมรับว่าคนเราในช่วงอายุเดิม ยังไม่ได้ไปเจออะไรใหม่ใส่เข้าไปในตัวเอง มันคงยังไม่คมคายขึ้นมากมาย ไม่ได้ลึกซึ้งเข้าใจโลกต่างจากเล่มแรกมากนัก แต่ว่ามันก็เป็นอีกมุมในการมองอีกสถานที่หนึ่งมากกว่า บางที เวลาเราได้เดินทางไปต่างสถานที่ เราก็จะได้อะไรที่แตกต่างกันกลับมา และเรื่องความคิดกับอายุเนี่ยะ เราเพิ่งคิดได้เมื่อไม่กี่วันนี้เองว่า ความคิดในช่วงอายุไหนมันก็มีมุมที่น่าสนใจของมัน และที่สำคัญ เราจะย้อนเวลากลับมาคิดแบบนี้อีกก็ไม่ได้แล้วด้วย

มีอีกอย่างหนึ่งที่อยากพูดถึงคือ ทำไมเขียนเรื่องเที่ยวแล้วต้องเขียนเรื่องความคิดด้วย พอดีมีพี่ที่รู้จักคนนึง เขาบอกกับเราแล้วรู้สึกว่ามันใช่เลย เขาบอกว่า “อ่านหนังสือเราแล้ว รู้อยู่แล้วว่าความคิดนี้มันอยู่ในหัวไอ้คนคนนี้มาตลอด แต่พอไปเจอเรื่องระหว่างทาง มันเลยได้ขุดความคิดนี้ขึ้นมาในตอนนั้น” เลยรู้สึกว่า มันไม่ใช่แค่เราเอง แต่ถ้าคนเราได้มีเวลามานั่งคิดก็คงดี ความคิดมันมีอยู่แล้วแต่มันไม่ถูกดึงออกมา เวลาได้นั่งเขียนเรื่องที่ไปเที่ยวมา ก็เหมือนได้มาคิดทวนกับตัวเองอีกที ได้เรียบเรียงความคิด ทำให้เราได้เข้าใจความคิดในสถานการณ์นั้น เข้าใจทริปนั้นที่จบไป แล้วก็เข้าใจตัวเองมากขึ้น รู้สึกดีนะ


เร็วๆ นี้วางแผนจะกระโดดขึ้นรถไฟไปไหนค่ะ ?

วันนั้นดูสารคดีช่อง 9 เรื่อง “หนึ่งร้อยหนึ่งสิ่งที่ควรทำก่อนตาย” แต่มันจะเป็นอเมริกามากเลยนะ มีอยู่ 2 ข้อ ใน 101 ข้อ หนึ่ง คือ เค้านท์ดาวน์ที่ไทม์สแควร์ และก็คริสมาสต์ที่นิวยอร์ก คือมันอยู่ที่นิวยอร์กทั้งคู่เลยไง รู้สึกว่าไปทีเดียว หักไป 2 อย่างเลย แล้วพอดีมีเพื่อนอยู่ที่นู่นด้วยเลย เออ.. น่าไปเที่ยว

คิดว่าจะเอากลับมาเขียนด้วยไหมค่ะ ?

ยังไม่คิดว่าจะเขียนครับ แต่คิดว่ามีอะไรน่าสนใจเหมือนกัน เมืองมันน่าสนนะ ช่วงเวลาที่ไปก็น่าสนใจ เอามาเก็บเป็นวัตถุดิบได้ครับ

ชวนคุยเรื่องทั่วๆไปกับการเขียนหนังสือเสียหน่อย เป็นอย่างไรบ้างคะตอนนี้ ?

ได้คุยกะพี่โจ้ (วชิรา) บ่อยเรื่องเขียนหนังสือ ปรับทุกข์กันบ้าง แบ่งปันความคิดกันบ้าง อย่างที่เพิ่งคุยกับพี่เขาไปเรื่องหนึ่งว่า บางทีหนังสือเล่มแรกของคนๆ หนึ่งมันอาจเป็นเล่มที่ดีที่สุดก็ได้ เพราะว่ากว่าที่คนๆ หนึ่งจะมาเขียนหนังสือ สมมุติเขาเริ่มเขียนตอนอายุ 30 ปี เป็นเรื่องแรก เท่ากับคุณได้เก็บประสบการณ์มา 30 ปี พอเขียนเล่มที่สองตอนอายุ 31 วัตถุดิบใหม่ๆ มันงอกเงยขึ้นมาอีกไม่มากแล้ว คุณอาจต้องเก็บตัว หายออกจากโลกนี้ไป10 ปี ไปด่ำดิ่งกับชีวิต ไปเสาะหาประสบการณ์ เคี่ยวกรำความคิดงวดใหม่มา นอกจากว่าใครมีเนื้อมีมุมเยอะจริงๆ คนนั้นก็สามารถเขียนอะไรได้เรื่อยๆ

แซวเสียหน่อย แบบเทปเพลงนี่อัลบั้มแรกดังมากๆพอออกอัลบั้มที่สองตามมาแล้วมักแป้ก แอบมีกังวลใจในเล่มที่สองบ้างหรือเปล่าคะ ?

เป็นการเปรียบเทียบที่ผิดนะครับ (หัวเราะ) เพราะอัลบั้มแรกเราไม่ได้ “ดังมากๆ” ขนาดนั้นซะหน่อย ไม่กังวลเรื่องนั้นเท่ากับว่าคุณภาพมันไม่ดีที่สุดในความสามารถของเรา เราว่าสิ่งที่น่ากลัวคือ การรีบออกของใหม่มาด้วยนโยบาย ‘น้ำขึ้นให้รีบตัก’ ไม่รู้พอใจหรือยัง แต่รีบออกไว้ก่อน เดี๋ยวไม่ทันกระแส แต่หนังสือของเรา

อย่างตอนเขียนเขมรเสร็จเราพอใจกับมันถึงที่สุดแล้วถึงปล่อยออกมา มันดีที่สุดแล้วในช่วงเวลานั้น เท่าที่ทำได้ในวัยนั้น คือถ้าไม่เขียนตอนนี้ ทั้งความคิดความกล้า ลีลา อาจไม่ใช่แบบนี้แล้ว

เพิ่งกลับไปนั่งเรียบเรียง E = iq 2 ใน a day ถ้าเคยอ่านจะรู้ว่ามันเป็นเด็กประสาทคนหนึ่งที่ท้าทายโลกเหลือเกิน เขียนก็อ่านยากมาก มีการเขียนแบบผวนทั้งเรื่อง อ่านกลับหลังทั้งเรื่องก็มี ต้องใช้ความพยายามในการอ่านอย่างมหาศาล รู้สึกว่าถ้าให้เขียนอีกทีตอนนี้ก็เหนื่อยที่จะเขียนแบบนั้นแล้ว ถ้าไม่เขียนเอาไว้ตอนนั้น ถึงวันนี้ก็ไม่มีนะ และมันอาจจะไม่มีการเขียนในแบบนี้อีกก็ได้

คิดเหมือนกันว่า ตราบใดที่สนุกแล้วยังโอเคกับมัน ก็โอเค คือซื่อสัตย์กับตัวเอง ถ้าไม่ชอบเขียนอะไรแบบนี้แล้วก็ไม่ฝืน ถ้าวันนั้นมาถึง เดี๋ยวเราก็จะเปลี่ยนไปเอง ไม่ต้องตั้งสติเปลี่ยน เราเองจะเปลี่ยนไปเอง ไม่ต้องไปเกร็งว่าทำไมดูไม่โตขึ้น เพราะพอเกร็งปุ๊บ มันจะประดิษฐ์ โหย...พยายามโต พยายามคิด พยายามฉลาดจังเลย
..
แล้วคุณล่ะตอนนี้ อยาก.. ไปโตเกียว

หรือ .. ต้องไปโตเกียว

ตัวหนังสือของเขาได้ก่อร่างเป็นรถไฟขบวนเล็กๆ 2 ขบวนแล้ว กระโดดขึ้นมา แล้วไปด้วยกันซิคะ

เขาบอกว่าจะช่วยให้สุขภาพขาของคุณแข็งแรงด้วยนะ.../


//www.praphansarn.com/new/c_talk/detail.asp?ID=170



Create Date : 10 พฤศจิกายน 2548
Last Update : 2 กันยายน 2549 16:16:38 น.
Counter : 669 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ดาริกามณี
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 25 คน [?]



Just Do it :


* มีอีกชื่อว่า หญ้าเจ้าชู้

* เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์บทประพันธ์
รักข้ามรั้ว (หญ้าเจ้าชู้)
ลุ้นสุดฤทธิ์ พิชิตรัก (หญ้าเจ้าชู้)
ภารกิจรักพิทักษ์เธอ (หญ้าเจ้าชู้)
ปีกแห่งฝัน (ดาริกามณี)

* เป็นสาวก 'รงค์ วงษ์สวรรค์
* เป็นแฟน คาราบาว
* เป็นกิ๊ก เฉลียง
* ฝืนอะไรที่เป็นอื่น ฝืนอัตตา
สูงเทียมฟ้าก็มิเท่า เป็นเราเอง

* การปรากฎตัวของคนคนหนึ่ง
อาจเปลี่ยนใครอีกคนไปทั้งชีวิต

* หากต้องการอ่านนิยายที่ใส่รหัส,
รบกวน "ฝากข้อความหลังไมค์" จ่ะ