กลวิธีเดินทางให้เซฟน้ำมัน
ดร.พงษ์พิสิฏฐ์ วิเศษกุล ในฐานะนักวิชาการ เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เป็นวิทยากรและนักเขียนที่เชี่ยวชาญ ในด้านสิ่งแวดล้อม มักใช้ข้อเขียนบอกเล่าถึงการอยู่บนโลกใบนี้อย่างประหยัด โดยเฉพาะพลังงาน
ครั้งนี้ ดร.พงษ์พิสิฏฐ์มีข้อเสนอให้กับทุกคนนำไปปฏิบัติเองได้ เริ่มต้นที่การเดินทางขนส่งใช้น้ำมันเป็นหลัก ที่ว่า
1) ทุกๆ 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมงของความเร็วของรถยนต์ที่เพิ่มมากกว่า 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จะทำให้รถยนต์คันนั้นสิ้นเปลืองน้ำมันเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 เช่น หากเราขับรถด้วยความเร็ว 110 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขับรถด้วยความเร็วสูงกว่าจุดที่เครื่องยนต์มีประสิทธิภาพในการทำงานสูงสุดอยู่ 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งจะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 เทียบกับการขับรถด้วยความเร็ว 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง การที่ทุกคนขับรถเร็วสูงกว่า 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ลดความเร็วลง 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ประเทศและเจ้าของรถยนต์ที่ลดความเร็วลงนั้น จะประหยัดน้ำมันลงได้ร้อยละ 10 ทันที ไม่มีการลงทุน ไม่ต้องรอเวลา 5 ปี เพื่อปลูกปาล์มน้ำมัน 5 ล้านไร่ เพื่อมาผลิตไบโอดีเซลที่ทดแทนน้ำมันได้ร้อยละ 10 เท่ากัน
2) ส่วนเจ้าของรถทำได้ทันทีคือการเอาน้ำหนักบรรทุกที่ไม่จำเป็นออก โดยเฉพาะที่อยู่นอกตัวรถ เช่น ตะแกรงบรรทุกของบนหลังคารถ การใส่ตะแกรงบนหลังคารถโดยไม่มีการบรรทุกสิ่งของ จะเป็นการเพิ่มแรงเสียดทานของลม ทำให้เสียน้ำมันไปอย่างเปล่าประโยชน์ร้อยละ 10-15 หากต้องการบรรทุกของควรบรรทุกภายในรถ ส่วนสิ่งของที่ ไม่จำเป็นไม่ควรบรรทุกไว้ในรถ เพราะจะเป็นการเพิ่มแรงเสียดทานให้กับล้อรถ ทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันมากขึ้น
3) ส่วนที่จะทำให้ประเทศชาติและคุณประหยัดทั้งเงินและพลังงานเป็นจำนวนมหาศาล คือ การใช้รถสาธารณะหรือคาร์พูล การไปไหนมาไหนด้วยกัน นอกจากจะเป็นการประหยัดโดยการแชร์ค่าโดยสารแล้ว ยังจะทำให้ถนนมีจำนวนรถน้อยลง ปัญหาจราจรติดขัด ปัญหาอากาศเป็นพิษในเมือง และปัญหาโลกร้อนด้วย การที่เจ้าของรถหนึ่งคนไปทำงานโดยคาร์พูลหนึ่งวันต่อสัปดาห์ ทำให้เขาผู้นั้นลดการใช้น้ำมันลงได้ร้อยละ 20 และลดค่าใช้จ่ายด้านน้ำมันลงได้ร้อยละ 20 ด้วย การวางแผนการเดินทางที่ดีทำให้ไม่หลงทาง หรือไปติดอยู่บนถนนโดยไม่จำเป็น หรือการไม่ติดต่อนัดแนะกับผู้ที่จะเดินทางไปหาอย่างดี อาจเสียเที่ยวในการเดินทาง เสียเวลาและค่าใช้จ่ายโดย เปล่าประโยชน์อีกด้วย การรวบกิจกรรมหลายๆ กิจกรรมในการใช้รถแต่ละครั้งจะลดการใช้น้ำมันและค่าใช้จ่ายได้
4) การซื้อรถยนต์คันต่อไปควรซื้อรถที่มีขนาดเล็กและน้ำหนักเบา จะประหยัดน้ำมันกว่ารถขนาดใหญ่และหนัก เมื่อเปรียบเทียบรถยนต์ที่มีขนาดของเครื่องยนต์ใกล้เคียงกัน รถยนต์ที่ใช้น้ำมันดีเซลจะมีประสิทธิภาพในการใช้พลังงานสูงกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซิน ส่วนผู้ที่ซื้อรถยนต์ขนาดเล็กเพื่อใช้ในเมือง ควรเดินทางระหว่างเมืองหรือเดินทางระยะไกลด้วยรถสาธารณะ หรือเช่ารถที่เหมาะสม เป็นครั้งเป็นคราวไป
ทำเท่านี้ก็ "อยู่ได้อย่างดี ไม่ต้องมีน้ำมัน" จริงหรือไม่จริง
การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ได้รับการยอมรับจากประชาชนทั่วไป รถยนต์ไฮบริดจ์ เป็นรถที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลเดินเครื่องอย่างสม่ำเสมอเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าป้อนแบตเตอรี่ใน การขับเคลื่อน เป็นเทคโนโลยีที่ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ขณะที่เหยียบเบรกหรือลงจากเนินสูง พลังงานที่ได้จากการเบรกหรือรถที่ไหลลงจากที่สูงจะถูกเก็บไว้ในแบตเตอรี่เพื่อใช้ขับเคลื่อนต่อไป
ขณะที่รถจอดบนถนนจราจรติดขัด เครื่องยนต์จะดับโดยอัตโนมัติ แล้วใช้พลังงานจากแบตเตอรี่แทน เพื่อลดมลพิษในอากาศจากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ รถไฮบริดจ์ยังมีราคาแพงมากในปัจจุบัน แต่เมื่อเป็นที่นิยมของตลาดมีการผลิตมากขึ้น ราคาจะถูกลงในอนาคต เช่นเดียวกับเครื่องใช้ไฟฟ้าหลายชนิดที่ได้รับการพัฒนาจนมีประสิทธิภาพสูงกว่าในอดีตมาก
และนั่นสมควรได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐด้านการยกเว้นภาษี เพื่อลดต้นทุนการผลิตและราคาขาย เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง
ที่มา มติชน
Create Date : 31 พฤษภาคม 2552 |
|
0 comments |
Last Update : 31 พฤษภาคม 2552 15:35:17 น. |
Counter : 1120 Pageviews. |
|
|
|