Group Blog All Blog
|
ไปขับรถเที่นวกัน เยอรมัน ออสเตรีย เชค Day-1
สวัสดีทุกท่านครับ นานแล้วที่ไม่ได้มาอัพเดทบล็อก วันนี้จะมาแชร์ประสพการณ์การไปขับรถเที่ยวยุโรป 3 ประเทศช่วงสงกรานต์ ผ่านมาสองปี ก็ได้ตั๋วไปเยอรมัน ก้ไม่ได้ถูกมากแต่ก็ยอมรับได้ หลังจากผมได้ตั๋ว ก็ชวนเพื่อนทันทีว่าจะไปมั๊ย แต่อย่าถามว่าไปไหน วันแรกถึงสนามบินมิวนิคเช้า จากสนามบินมิวนิค ไป ชวานเกา เที่ยวปราสาท Neuschwanstein ปราสาทต้นแบบของดีสนีย์ จองทุกอย่างเสร็จก็ขอวีซ่า ที่สถานฑูตเยอรมัน ขั้นตอนก็เข้าไปจองคิวที่เวปสถานฑูตว่าเราจะไปยื่นเอกสารวันไหน จากนั้นก็เตรียมเอกสาร คือ
เมื่อถึงวันเดินทาง ใกล้เวลาบอร์ดดิ้ง พนักงานก็มาแจ้งว่าเครื่องมีปัญหาต้องเปลี่ยนเครื่องใหม่รอบอร์ดดิ้งไทม์ใหม่เกือบ 2 ชั่วโมง พอได้กุญแจรถแล้ว พนักงานจะบอกตำแหน่งที่รถจอดให้เราก็ไปตามตำแหน่งนั้นครับ หาไม่ยากเพราะเลขมันจะมีเลขอาคาร ชั้น แล้ว
เก็บของเสร็จเราก็ออกไปหาอะไรกินในเมืองฟุสเซน(Fussen) กันจากที่พักขับรถเข้าเมืองประมาณ 2 กม. ชวานเกากับฟุสเซน อยู่กัน
แม่น้ำ Lech ต้นกำเนิดมาจากเทือกเขา Alps ในออสเตรีย ไหลลงทะเลสาบ Foggensee ที่อยู่ระหว่าง Schwangau กับ Fussen จาก
เราจอดรถไว้ตรงทางเข้าปราสาท Hohes Schloss Füssen ก็เลยแวะขึ้นไปชมสักหน่อยแต่ด้านในกำลังปรับปรุงอยู่เลยมีแต่นั่งร้าน จากนั้นก็ขับรถตะเวนแถวๆที่พักจนไปเจอโบสถ์ St. Coloman น่าจะเป็นหนึ่งใน Landmark ของ Schwangau ที่ใครๆมาก็แวะมาถ่าย
KAWAGOE - ตะลอนไป ใกล้ๆโตเกียว
สวัสดีครับทุกท่าน มาอั๊พเดทบล็อคอีกครั้งอย่างน่าสงสัย ว่าลุงฅิตไปญี่ปุ่นอีกแล้วหรือ ใช่ครับไปอีกแล้ว คราวนี้มาพาไปเดินเล่นชม การเดินทางไปญี่ปุ่นคราวนี้ผมพักอยู่ในโตเกียวเป็นหลัก เลือกที่พักที่อยู่ใกล้สถานี JR Yamanote Line เพราะเดินทางไปเที่ยวที่ต่างๆ
ที่ป้ายรถมีพนักงานนั่งขายตั๋วอยู่ครับ ซื้อตั๋ว Koedo Loop Bus แบบ Day Pass ขึ้นลงได้ตลอดสายภายใน 1 วันครับ จากนั้นก็ขึ้นไปนั่ง เดินต่อเข้าไปด้านใน เจอแล้วครับ ซากุระกับเจดีย์แดง เหลือต้นเดียวที่ยังบานสะพรั่งอยู่ วัดคิตะอิน (Kitain Temple) วัดสำนักงานใหญ่ของวัดพุทธในนิกายเท็นไดชุ (Tendai) ประจำภูมิภาคคันโต วัดคิตะอินสร้างเมื่อปี 830 วิหารที่เห็นนี่เข้าจากด้านหน้าไม่ได้นะครับ ถ้าจะไหว้พระต้องไหว้จากข้างนอก แต่ถ้าจะเข้าด้านใน ต้องเดินอ้อมไปทางด้านหลังครับ สวนด้านในชมได้เฉพาะจากตัวอาคารครับ เข้าไปไม่ได้ แบ่งเป็นสองด้าน ด้านหนึ่งเป็นสวนหิน ส่วนอีกด้านเป็นสวนป่าบรรยากาศ รอบๆบริเวณวัดช่วงที่ผมไปมีซุ้มขายอาหารอยู่หลายร้านครับ เป็นช่วงเทศกาลชมซากุระแต่ไม่ค่อยมีให้ชมเท่าไหร่แล้ว อย่าลืมกินมัน เดินตรงมานิดเดียวเจอวัดอีกวัดนึครับชื่อยาวเหยียด Naritasan Kawagoe Betsuin Hongyoin เดินเข้าไปแล้วไปออกประตูด้านข้างจะ ภายในวัดนี้ก็มีซากุระให้ชมเหมือนกันครับ แม้จะไม่มากเท่าวัด Kita In รอรถเมล์สักพักก็มาขึ้นกันเลยครับ ลงป้ายต่อไปครับจอดเมื่อไหร่ลงเมื่อนั้น ลงมาจะเห็นสามแยกเดินเลี้ยวซ้ายไปก็จะเห็น หอนาฬิกา จุดเด่นของเมืองคาวาโกเอะคือ การอนุรักษ์สถาปัตยกรรมแบบเก่าๆ ของญี่ปุ่นเอาไว้นั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นห้างร้านหรือบ้านเรือน ต่างก็
ปิดท้ายคาวาโกเอะด้วยภาพตุณลุงนักปั้นฝันครับ
วันใสๆ ใบไม้เปลี่ยนสีที่ Kansai - Minoo Park
วันสุดท้ายของการเที่ยวในทริปนี้ เนื่องจากมีเวลาน้อยผมเลยเลือกที่จะไปที่มิโนโอะ (Minoo Park) เพราะเคยดูภาพใบไม้แดงที่นี่มา จากที่พักเราขึ้น Subway จากสถานี Nippombashi ไปที่ Umeda ก่อนแล้วไปขึ้นรถสาย Hankyu ไปลงที่ Ishibashi เพื่อเปลี่ยนขบวน ถึงสถานีมิโนโอะ(Minoo) เดินผ่านหมู่บ้านขึ้นเนินเขาไปเรื่อยๆ มีร้านขนม ผลไม้ ร้านอาหาร ริมทางถ้าหิวก็จัดได้เลยครับ ในช่วงฤดู ช่วงต้นทางเดินสบายๆครับ เลียบลำธารไปเรื่อยๆ แต่ใช้เวลาเดินเยอะมากครับเพราะหยุดถ่ายรูปไปตลอดทางเลย ใบไม้เปลี่ยนสีที่นี่ มาถึงแต่เช้าก็ดีไปอย่างครับ คนไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ แต่นี่ขนาดไม่เยอะนะครับยังเห็นเดินกันแทบไม่มีพื้นที่ว่าง ตอนกลับลงมานี่เจอ
เดินมาถึงสะพานสีแดงนี่คือสะพานของ วัดเรียวอันจิ(Ryoanji Temple) ตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างทางเดินจากสถานีรถไฟและน้ำตก
คนเพียบครับ อุทยานมิโนโอะ(Minoo park) หรือมิโนะ(Mino/Minoh) เป็นหุบเขาที่อยู่ในป่าของชานเมืองทางทิศเหนือโอซาก้า หนึ่งในสถานที่
เส้นทางเดินป่าหลักของสวนมิโนโอะมีระยะทาง 3 กิโลเมตร ผ่านหุบเขาเลียบแม่น้ำมิโนโอะ(Minoo River) จนไปถึงน้ำตกมิโนะ
ตรงบริเวณด้านข้างน้ำตกมีร้านอาหารหลายร้านครับ จะเติมพลังก่อนเดินกลับก้ได้ ขากลับง่ายหน่อยเพราะเป็นทางลงเขา แต่มีทาง
กลับมาที่สถานี Minoo นั่งรถกลับทางเดิมไปลงสถานี Umeda แล้วเดินไปขึ้นรถ JR ที่สถานี Osaka ไปลงที่สถานี Osakajokoen ไป ถึงสถานี Osakajokoen เดินลัดเข้าสวนสาธารณะแล้วเดินตัดสนามกีฬาไปเลยครับ แต่ถ้ามีแรงเหลือจะเดินเล่นในสวนก็ได้ครับแต่ผม
จากปราสาท Osaka ก็กลับไปเดินช๊อปปิ้งส่งท้ายกันก่อนกลับ โชคดีจริงๆครับเพราะคืนนี้ฝนตกทั้งคืนจนถึงรุ่งเช้าซึ่งเป็นวันที่เรากลับ ขอบคุณทุกๆท่านที่เข้ามาอ่าน มาชมภาพครับ
วันใสๆ ใบไม้เปลี่ยนสีที่ Kansai - Kyoto 2
เช้าวันที่ 3 ในคันไซ เราเก็บของแล้วเช็คเอาท์ออกจากที่พัก ตอนแรกว่าจะฝากกระเป๋าไวที่โรงแรมแล้วค่อยกลับมาเอาตอนเย็นแต่ผม ฝากกระเป๋าเสร็จก็กลับขึ้นมาด้านบนเพื่อขึ้นรถเมล์ สถานีรถไฟกับรถเมล์อยู่ที่เดียวกันครับ ขึ้นสาย 205 ถามเจ้าหน้าที่เอาครับว่าต้อง ผ่านประตูหน้าเข้าไปแล้วเดินตรงไปอีกประมาณ 100 เมตรผ่านสวนที่ใบไม้กำลังแดงสวยงามมากครับ กว่าจะเข้าไปถึงด้านในที่ขาย ถึงด้านในก็ซื้อบัตรเข้าชมกันก่อนครับ วัดส่วนใหญ่เสียค่าเข้าเกือบทุกวัดครับแต่ศาลเจ้าส่วนใหญ่จะฟรีครับ พอผ่านประตูเข้าไปก็เจอ The Temple of the Golden Pavilion วัดคินคะคุจิ (金閣寺, Kinkaku-ji) หรือวัดพลับพลาทองนี้ มีชื่อที่ใช้อย่างเป็นทางการว่า
เดินวนครบรอบก็ถึงประตูทางออกอีกด้านนึง แต่เวลาเดินออกประตูหน้าประตูเดียวกันกับตอนที่เข้ามานะครับ ตรงทางออกมีขนมขาย ระยะทางประมาณ 800 เมครมาถึงวัด Kinkakuji แล้วครับ ซื้อบัตรกันก่อนอย่างที่บอกครับวัดที่ญี่ปุ่นส่วนใหญ่เก็บตังค์ค่าเข้าครับ ผ่าน วัดกินคะคุจิ (Ginkaku-ji Temple 銀閣寺) หรือ วัดพลับพลาเงิน (Silver Pavilion) เป็นวัดในนิกายเซน ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น
เดินกันไม่ทันเหนื่อยก็วนมาครบรอบครับ ผ่านร้านขายของที่ระลึกแล้วก็ถึงประตูทางออกเลย หากอยากวนอีกรอบผมไม่แน่ใจครับว่า อิ่มแล้วก็เดินกันต่อครับเราไม่ได้กลับออกไปด้านหน้าถนนตอนที่ลงรถเมล์ แต่เดินไปทางด้านซ้ายมือเลียบคลองไปเรื่อยๆ ถนนเส้นนี้
เดินคามทางเดินแห่งปรัชญาร่วมๆ 2 กม. ได้ครับ ตั้งใจว่าจะไปวัด Nanzen-Ji ได้ยินมาว่าใบไม้แดงในสวนที่นี่สวยงาม แต่ไปถึงก็ถึงกับ พอกลับมาชึ้นรถเมล์เพื่อกลับไปสถานีเกียวโตเท่านั้นแหละครับ รู้ซึ้งเลยว่าที่เรียกว่ารถติดมันเป็นยังไง บ้านเรานี่เด็กๆไปเลยครับ เป็น ถึงสถานีปลายทางแล้วยังต้องเดินกันต่อราวๆครึ่งกิโลได้ครับ ที่พักคืนนี้คือ Hotel Naniwa อยู่ใกล้ๆกับ Dotonbori คุณผู้หญิงชอบเลย
เก็บของเสร็จก็ออกมาหาอะไรกินแล้วก็เดินเล่นกันต่อย่าน Dotonbori ครับ
เดิน เล่นกันจนร้านเริ่มปิดก็ได้เวลากลับไปพักผ่อนกันแล้วครับ พรุ่งนี้จะเป็นวันเที่ยววันสุดท้ายก่อนเตรียมกลับบ้านกัน พรุ่งนี้เราจะไป Minoh Park กันครับ วันใสๆ ใบไม้เปลี่ยนสีที่ Kansai - Kyoto 1
คืนแรกในเกียวโตนอนสลบเหมือดครับ แต่เช้านี้ก็ตื่นตรงเวลาที่วางแผนไว้ อากาศข้างนอกไม่หนาวเท่าที่คิดไว้ แค่เย็นสบายเหมือนฤดู
ออกจากสถานีมาก็เจอทางเข้าศาลเจ้าเลยครับ จากด้านหน้าเดินเข้าไปนิดหน่อยครับก็ถึงตัวศาลเจ้า แต่จุดไฮไลท์ไม่ได้อยู่ที่ตรงนี้ครับ
Fushimi Inari Shrine เป็นศาลเจ้าชินโต(Shinto)ที่มีสำคัญแห่งหนึ่งของเกียวโตมีชื่อเสียงโด่งดังจากประตูโทริอิ (Torii Gate) หรือ เส้นทางเดินรอดเสาโทริอิขึ้นยอดเขามี 2 ทางคู่กันไปเดินด้านไหนก็ได้ครับระยะทางประมาณ 3 เมตรบนยอดเป็นจุดชมวิวเมืองเกียวโต
เป็นศาลเจ้าเล็กๆหากมีเวลาแวะเข้าไปชมก็ได้ครับ ทางเดินเส้นนี้ได้บรรยากาศเก่าๆดีครับ มีร้านค้าริม 2 ข้างทางให้ชมได้เพลินๆ ร้านนี้ วัดโตฟุกุ (Tofuku-Ji Temple) อยู่ด้านขวามือ เดินเข้าซอยแยกไปประมาณ 200 เมตรข้างหน้ามีป้ายและรูปภาพขนาดใหญ่เห็นชัดเจน กว่าจะแทรกตัวเข้าไปริมระเบียงเพื่อจะถ่ายภาพได้แทบแย่ครับ ถ่ายเสร็จก็ต้องปล่อยให้ร่างกายไหลตามกระแสคนจนพ้นสะพานแล้ว ก่อนเข้าไปชมด้านในก็ต้องซื้อบัตรผ่านประตูก่อนครับ ราคา 400 JPY ต่อคน ซื้อตรงป้อมหลังคาเหลืองๆด้านหน้าเลยครับ ซื้อตั๋วเสร็จก็เดินเข้าทางซ้ายมือเลยครับเจอสะพานไม้ทสึเท็งบาชิ(Tsuten-bashi) เดินไปตามสะพานข้ามทะเลใบไม้แดงกันเลยครับ วัดโตฟุกุ (Tofuku-Ji Temple)เป็นวัดขนาดใหญ่ สร้างมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1236 และได้ชื่อมาจากการรวมชื่อกับวัด 2 แห่งในนารา(Nara) เดินข้ามสะพานไม้ทสึเท็งบาชิ(Tsuten-bashi) ไปอีกฝั่งจะเจอวิหาร Kaisando แต่เราไม่ได้เข้าไปชมครับเดินเลี้ยวลงไปที่สวนด้านล่าง จากในสวนด้านล่างมองขึ้นไปบนสะพาน ทสึเท็งบาชิ ยิ่งสายคนยิ่งเยอะ
ทางเดินในสวนด้านล่างเป็นวันเวย์ครับ ลงทาง ขึ้นทาง ขึ้นมาด้านบนก็เจอประตูทางออกพอดี เราไปกันต่อเลยดีกว่าครับเพราะวันนี้ยัง ก่อนเข้าวัดน้ำใสหาร้านอาหารเติมพลังกันก่อน แถวทางเข้าวัดมีหลายร้านเลยครับ อิ่มท้องแล้วก็เดินขึ้นเนินไปวัดน้ำใสกันเลยครับ มาถึงแล้วครับวัดน้ำใสหรือวัดคิโยมิสึ(Kiyomizu dera) คำว่า Kiyomizu ในภาษาญี่ปุ่น หมายถึง น้ำใส หรือน้ำบริสุทธิ์ เลยเป็นที่มา เป็นครั้งที่ 2 ที่ผมได้มาเยือนวัดนี้ แต่บรรยากาศต่างจากครั้งแรก ครั้งแรกมาตอนซากุระบาน มาเยือนครั้งนี้ได้ความสวยงามไปคนละแบบ แต่ก็ชอบทั้ง 2 ฤดูครับถ้ามีโอกาสมาเกียวโตอีก ก็จะมาที่นี่อีกครัง มาคราวนี้ตนเยอะกว่าที่มาคราวก่อนมากมายมหาศาลครับ บนระเบียงวัดแทบไม่มีที่ยืนเลยตอนเดินรอบก็ไหลตามกันไป แต่ก็สนุกดี ไปเดินชมรอบๆวัดกันครับ วัดน้ำใส เป็นวัดเก่าแก่ มีอายุมากกว่า 1,000 ปี ในปี ค.ศ. 778 พระภิกษุเอ็นจิงเกิดนิมิตเห็นว่าตนได้เดิน ป็ นวัดเก่าแก่ มีอายุมากกว่า 1,000 ปี จึงมีประวัติที่มาและตำนานหลากหลายฉบับ แต่ก็จะขอเล่าจากตำนานอันเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป ในปี ค.ศ. 778 พระภิกษุ เอ็นจิง (延鎮) เกิดนิมิตเห็นว่าตนได้เดินทางไปยังบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่ง มีผู้คนจาริกแสวงบุญที่บ่อน้ำนี้มาหลายร้อยปีแล้ว จนหลงเหลือคำพูดของนักจาริกว่า เราจะไปยังแดนตะวันออก เรื่องที่เหลือฝากด้วยนะ (自分はこれから東国へ旅立つので、後をむ) ซึ่งเมื่อเอ็นจิงได้เดินทางไปตามนิมิตนั้น ก็ได้พบกับบ่อน้ำและได้ใช้ท่อนไม้ที่พบในบริเวณนั้นแกะสลักเป็นองค์พระอวโล กิเตศวรขึ้น และนี่เป็นจุดเริ่มต้นของการกำเนิดวัดน้ำใส - See more at: //www.j-plan.co.th/index.php?op=jlife-detail&cid=14&id=145#sthash.uOO6QyGG.dpuf ป็ นวัดเก่าแก่ มีอายุมากกว่า 1,000 ปี จึงมีประวัติที่มาและตำนานหลากหลายฉบับ แต่ก็จะขอเล่าจากตำนานอันเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป ในปี ค.ศ. 778 พระภิกษุ เอ็นจิง (延鎮) เกิดนิมิตเห็นว่าตนได้เดินทางไปยังบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่ง มีผู้คนจาริกแสวงบุญที่บ่อน้ำนี้มาหลายร้อยปีแล้ว จนหลงเหลือคำพูดของนักจาริกว่า เราจะไปยังแดนตะวันออก เรื่องที่เหลือฝากด้วยนะ (自分はこれから東国へ旅立つので、後をむ) ซึ่งเมื่อเอ็นจิงได้เดินทางไปตามนิมิตนั้น ก็ได้พบกับบ่อน้ำและได้ใช้ท่อนไม้ที่พบในบริเวณนั้นแกะสลักเป็นองค์พระอวโล กิเตศวรขึ้น และนี่เป็นจุดเริ่มต้นของการกำเนิดวัดน้ำใส - See more at: //www.j-plan.co.th/index.php?op=jlife-detail&cid=14&id=145#sthash.uOO6QyGG.dpuf ป็ นวัดเก่าแก่ มีอายุมากกว่า 1,000 ปี จึงมีประวัติที่มาและตำนานหลากหลายฉบับ แต่ก็จะขอเล่าจากตำนานอันเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป ในปี ค.ศ. 778 พระภิกษุ เอ็นจิง (延鎮) เกิดนิมิตเห็นว่าตนได้เดินทางไปยังบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่ง มีผู้คนจาริกแสวงบุญที่บ่อน้ำนี้มาหลายร้อยปีแล้ว จนหลงเหลือคำพูดของนักจาริกว่า เราจะไปยังแดนตะวันออก เรื่องที่เหลือฝากด้วยนะ (自分はこれから東国へ旅立つので、後をむ) ซึ่งเมื่อเอ็นจิงได้เดินทางไปตามนิมิตนั้น ก็ได้พบกับบ่อน้ำและได้ใช้ท่อนไม้ที่พบในบริเวณนั้นแกะสลักเป็นองค์พระอวโล กิเตศวรขึ้น และนี่เป็นจุดเริ่มต้นของการกำเนิดวัดน้ำใส - See more at: //www.j-plan.co.th/index.php?op=jlife-detail&cid=14&id=145#sthash.uOO6QyGG.dpuf ใน ปี ค.ศ. 780 ซากะโนะอุเอะ ทามุระมาโร ได้ตามกวางมาจนได้พบกับพระภิกษุเอ็นจิง ได้ขอบิณฑบาตชีวิตกวางไว้ แต่ทามุุระมาโร
ด้าน หลังวิหารหลังใหญ่ มีศาลเจ้าของวัดตั้งอยู่ ชื่อศาลเจ้าจิชู เป็นศาลเจ้าแห่งความรักผู้คนมักมาขอพรให้ชีวิตคู่ราบรื่นเดินขึ้นบันได
เสียดายที่เจดีย์สามชั้นเค้ากำลังบูรณะครับเลยมองไม่เห็นองค์เจดีย์ ยังไม่สี่โมงเย็นเลยแสงแดดก็เริ่มอ่อนแรงลง เราไปกันต่อดีกว่าครับขากลับเดินออกมาทางเดินหลักที่จะลงสู่ถนนด้านล่าง ระยะทางไม่ เดินหลบผู้คนมาทางแยกขวามือเดินลงมาเรื่อยๆจนถึง Yasaka No To Pagoda แล้วเดินต่อไปเรื่อยๆครับ ซอยแถวนี้ทะลุหากันหมด เดินไปแวะไปตลอดทางกว่าจะมาถึงก็ค่ำพอดีครับ ศาลเจ้ายาซากะ (Yasaka Shrine) หรือศาลเจ้ากิออน เป็นอีกหนึ่งศาลเจ้าที่มีชื่อ
จากศาลเจ้ายาซากะ เดินข้ามถนนไปเป็นย่าน กิออน(Gion) ในย่านนี้อาคารบ้านเรือนจะเป็นอาคารไม้แบบดั้งเดิม แต่ละหลังจะขนาดไม่ สำหรับวันนี้ขอจบเพียงเท่านี้ก่อนครับ พบกันใหม่ตอนหน้า |
นักบัญชีขี้บ่น
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?] Link |