All Blog
Mingalaba Mandalay - Sagaing / Mingun

.... มิงกาลาบา ....

         เช้าวันที่ 3 มินมินเอารถมารับเราตรงเวลา 6 โมงครึ่ง ไฟล์ทที่เราจองไว้ออกจากสนามบินยองอู(Nyaung U)
8.15 น. ไปถึงมัณฑะเลย์ 8.45 น. เราต้องไปถึงก่อนเพื่อเช็คอิน วันนี้ก็เลยทานอาหารเช้าไม่ทันเพราะทางโรงแรมยัง
ตั้งอาหารไม่เสร็จครับ
         แต่เครื่องบินที่พม่านี่ไม่มีความตรงเวลาเลยครับ ขามาก็เรทเป็นชั่วโมง ขากลับตามตารางเวลาต้องออก 8 โมง 
15 นาที ก็ออกตั้งแต่ 7 โมงครึ่งเลยครับ ใครมาไม่ทันก็ตกเครื่องครับ ยิ่งกว่ารถตู้บ้านเราเสียอีก

         มาถึงมัณฑะเลย์ 8 โมงกว่าๆนิดหน่อย พอออกมาด้านหน้ามองหาป้ายชื่อตัวเองไม่เจอ เอาล่ะสิทำไงดี เราก็เลย
ยืนรอสักพัก ยืนรอกันอยู่ลูกสาวมาบอกว่าสงสัยทำแทปเลตตกในเครื่องบิน ก็เลยต้องกลับเข้าไปติต่อเจ้าหน้าที่ด้านใน
ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่เก็บไว้ให้ครับก็เลยได้คืน แต่คนขับรถก็ยังไม่มาผมเลยเปิดเมล์ที่ติดต่อตอนจองรถดู ได้เบอร์โทรมา
ลองไปติดต่อเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์เค้าเลยโทรติดต่อให้ คนขับรถบอกว่าไม่รู้ว่าเครื่องมาก่อนเวลา กำลังอยู่ระหว่าง
ทางบอกให่เรานั่งรอแป๊บนึง ระยะทางจากตัวเมืองมัณฑะเลย์มาสนามบินนี่ไกลมากครับ ขนาดถนนว่างๆยังใช้เวลา 45 
นาทีเลยครับ รอประมาณ 10 นาที คนขับรถก็มาถึงหนุ่มคนนี้ชื่อ "ซีทู" ที่ไม่ได้แปลว่ามองทะลุนะครับ

         ตามโปรแกรมของเราที่ผมส่งให้บริษัทจัดรถคือเราจะไปมินกุงกันก่อน ซึ่งปกติถ้ามากับบริษัททัวร์โปรแกรมนี้จะ
ล่องเรือจากมัณฑะเลย์ไปตามแม่น้ำอิรวดี เนื่องจากเราไม่มีเวลาขนาดนั้นผมเลยแจ้งไปว่าขอไปทางรถยนต์ แต่การ
สื่อสารอาจทำให้เข้าใจผิดพลาด ซีทูพาเราไปส่งที่ท่าเรือ ตอนนั่งรถไปเราก็ไม่รู้ว่าเค้าจะพาเราไปไหน พอถึงท่าเรือ
จึงรู้ว่าเค้าคิดว่าเราจะนั่งเรือ ก็เลยต้องกลับมาเริ่มต้นกันใหม่ครับ
          การเข้าไปที่ท่าเรือเสียเวลาพอสมควรครับ เพราะไม่ได้อยู่ในเส้นทางหลักที่จะเดินทางไปมินกุง เพื่อย้อนกลับ
ออกมาทางเดิมเราก็ข้ามสะพานข้ามแม่น้ำอิรวดีไปฝั่งเมืองสกายน์(Sagaing) ซึ่งอยู่คนละฝั่งแม่น้ำกับมัณฑะเลย์ ตาม
โปรแกรมที่ผมจัดไว้เราจะไปมินกุงกินก่อนค่อยกลับมาเที่ยวสกายน์ แต่เนื่องจากสมาชิกอยากเข้าห้องน้ำกันแผนก็เลย
เปลี่ยนมาเป็นเที่ยวสกายน์ก่อน

        สกายน์(Sagaing) ตั้งอยู่บนฝั่งขวาของแม่น้ำอิรวดี ตรงข้ามกับเมืองอังวะ เมืองสกายน์มีวัดทางพุทธศาสนาที่สำคัญ
หลายแห่ง เมืองสร้างขึ้นตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 14 เพื่อเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรของชาวไทยใหญ่ (ค.ศ. 1315–1364) 
เคยเป็นเมืองหลวงของพม่าระหว่างปี ค.ศ. 1760 ถึง 1763 ปกครองโดยพระเจ้ามังลอก

         จุดหมายแรกที่เราแวะก็คือ เจดีย์กวงมูดอร์(Kaung Hmu Daw Pagodaหรือวัดเจดีย์นมนาง สร้างโดยพระเจ้า
ต้าหลู่ เมื่อปี ค.ศ. 1636 เพื่อใช้เป็นที่ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้วหรือพระทันตธาตุที่ได้มาจากลังกา เจดีย์นี้เป็นเจดีย์ทรง
โอคว่ำแบบสิงหล หรือเจดีย์ทรงลังกา มีตำนานเล่าว่าองค์ระฆังทรงกลมผ่าครึ่งซีกนี้  ได้ต้นแบบมาจากถันพระชายาคน
โปรดของพระเจ้าต้าหลู่ องค์เจดีย์มีความสูง 46 เมตรเส้นรอบวงวัดได้ 274 เมตร ผมดูในรูปถ่ายก่อนไปเจดีย์นี้มีสีขาวแต่
ไปจริงเป็นสีทองทั้งองค์ ไม่ทราบว่าเค้าทาสีใหม่ตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ


         เมื่อมาดูใกล้ๆจะมองไม่เห็นยอดเลยครับ กำลังถ่ายรูปกันอยู่ดีๆก็มีชายชาวพม่ามาเก็บตังค์ค่าถ่ายรูปตอนแรกเราก็
ไม่รู้คิดว่าเป็นพวกมาขอตังค์ก็เลยเดินหนี แต่หลังจากไปเที่ยวจุดต่อๆไปจึงรู้ว่าการถ่ายรูปสถานที่ต่างๆในแถบมัณฑะเลย์
ต้องเสียค่าธรรมเนียมถ่ายรูปของชาวต่างชาติด้วยครับ ที่ละ 1 USD 1 EURO หรือ 1000 KYAT แล้วแต่ว่าจะจ่ายเป็นสกุล
เงินอะไร แอบโหดนะเนี่ย สารภาพตรงๆครับว่าบางที่เราก็จ่ายบางที่เราก็แอบถ่ายครับแต่ละที่ก็จะมีพนักงานคอยเดินตรวจ
ตั๋วค่าธรรมเนียม เราเลยเรียกพวกนี้ว่า "คนดูใบ" ที่ไม่เกี่ยวอะไรกับอดีตนายก

         ออกจากเจดีย์กวงมูดอร์ไม่ไกลนัก ซีทูพาเราแวะร้านทำเครื่องเงินเครื่องเขินแต่ราคาก็มหาโหดพอควรครับ เลยได้
แต่ดูอย่างเดียวหลังจากนั้นก็ไปแวะกินข้าวกลางวันกัน เป็นร้านที่เค้ารับทัวร์ก็เลยมีอาหารรสชาติแบบเวลาไปกับทัวร์หาก
ใครมาเส้นทางสกายน์ - มินกุง ทางรถยนต์แวะทานข้าวที่สกายน์ก่อนนะครับ เพราะไปถึงมินกุงแล้วจะลำบากเรื่องอาหาร
ครับ

         เส้นทางจากสกายน์ไปมินกุงต้องผ่าน Sagaing Hill ภูเขาที่มีเจดีย์มากที่สุดตั้งแต่เคยเห็นมาครับ เราก็เลยได้แวะ
วัดอูมินทอนซ์ (U Min Thonze Pagoda) หรือวัด 30 ถ้ำ วัดนี้อยู่กลางเนินเขาสกายน์ฮิล ทำให้มองเห็นทัศนียภาพสวย
งามของป่าเจดีย์บนภูเขา และสายน้ำอิรวดี(
Ayeyarwady River) ที่ไหลอยู่เบื้องล่าง

         มินกุง(Mingun) เป็นหมู่บ้านริมแม่น้ำอิรวดีฝั่งตะวันตก ห่างจากมัณฑะเลย์ประมาณ 11 กิโลเมตร เมื่อเดินทางมา
ถึงเราก็แวะสถานที่แรกกันเลยครับ เจดีย์มินกุง(Mingun Pahtodawgyi) เรียกชื่ออีกอย่างหนึ่งว่าปาโตดอจี(Pahtodawgyi) 
ซึ่งมีความหมายว่าเจดีย์ที่สร้างไม่เสร็จ พระเจ้าปดุงมีพระราชดำริจะสร้างเจดีย์มิงกุน หรือ “เจดีย์จักรพรรดิ” ที่ใหญ่ที่สุด
และสูงกว่าเจดีย์ใดๆในสุวรรณภูมิ ร่องรอยแห่งความทะเยอทะยานของพระเจ้าปดุง ด้วยทรงเคลื่อนทัพไปตียะไข่ แล้ว
สามารถชะลอพระมหามัยมุนีมาประดิษฐานที่มัณฑะเลย์เป็นผลสำเร็จ จึงทรงฮึกเหิมที่จะกระทำการใหญ่ขึ้นและยากขึ้น 
ด้วยการทำสงครามแผ่ขยายไปรอบด้านพร้อมกับเกณฑ์แรงงานข้าทาสจำนวนมากก่อสร้างเจดีย์มิงกุน หรือเจดีย์จักรพรรดิ 
เพื่อประดิษฐานพระทันตธาตุที่ได้จากพระเจ้ากรุงจีน โดยทรงมุ่งหวังให้ยิ่งใหญ่เทียบเท่ามหาเจดีย์ในสมัยพุกามและใหญ่
โตโอฬารยิ่งกว่าพระปฐมเจดีย์ในสยาม ซึ่งในเวลานั้นถือเป็นเจดีย์ที่สูงที่สุดในสุวรรณภูมิ ส่งผลให้ข้าทาสชาวยะไข่หรือ
อาระกันจำนวน 50,000 คนหลบหนีการขดขี่แรงงานไปอยู่ในเขตเบงกอล เป็นดินแดนในอาณัติของอังกฤษ แล้วทำการ
ซ่องสุมกำลังเป็นกองโจรลอบโจมตีกองทัพพม่าอยู่เนืองๆโดยพม่ากล่าวหาว่าอังกฤษหนุนหลังกลายเป็นฉนวนให้เกิด
สงครามอังกฤษ-พม่า อันเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พม่าเสียเมืองในที่สุด อย่างไรก็ตามงานก่อสร้างเจดีย์มิงกุนดำเนินไป
ได้เพียง 7 ปี พระเจ้าปดุงเสด็จสวรรคต ภายหลังทรงพ่ายแพ้ไทยในสงครามเก้าทัพ มหาเจดีย์อันยิ่งใหญ่ในพระราช
หฤทัยของพระองค์จึงปรากฏเพียงแค่ฐาน ทว่าใหญ่โตมหึมาดั่งภูเขาอิฐที่มีความมั่นคงถึง 50 เมตร ซึ่งหากสร้างเสร็จ
ตามแผนจะเป็นเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดและสูงที่สุดในโลก เพราะสูงถึง 152 เมตร ส่วนรอยแตกร้าวตรงกลางฐานเกิดจากเหตุ
การณ์แผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ.2381

         ด้านหน้าเจดีย์ทางลงไปสู่แม่น้ำอิรวดี มีสิงฆ์คู่ขนาดยักษ์ แต่พังทลายเนื่องจากแผ่นดินไหวเหมือนกันครับ เหลือ
แต่บั้นท้ายขนาดใหญ่ วัดพม่าจะทำสิงห์คู่ตั้งหน้าวัด ส่วนวัดไทยส่วนใหญ่จะใช้พญานาค

         ถัดไปไม่ไกลจากเจดีย์มินกุงจะพบกับระฆังมินกุง(Mingun Bell) ซึ่งพระเจ้าปะดุงทรงสร้างไว้ เป็นระฆังสัมฤทธิ์
ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศพม่า น้ำหนักประมาณ 90 ตัน ระฆังนี้สูง 4 เมตร มีเส้นผ่าศูนย์กลางที่ปากกว้างราว 5 เมตร นับว่า
เป็นระฆังที่แขวนอยู่ซึ่งใหญ่ที่สุดในโลก

         ไปต่ออีกหน่อยจะถึงเจดีย์ชินพิวเม(HSINBYUME PAYA) สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2359 โดยพระเจ้าบากะยีดอว์
(Bagyidawพระราชนัดดาของพระเจ้าปดุง เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งความรักต่อพระมหาเทวีชินพิวเม ซึ่งถึงแก่พิราลัยก่อน
เวลาอันควร และได้รับสมญานามว่า "ทัชมาฮาล แห่งลุ่มน้ำเอยาวดี" 

         กลับมายังเส้นทางเดิมกลับสู่สกายน์ผ่านวัดที่หากมาทางเรือหรือมาจากสกายน์จะถึงเป็นวัดแรก นั่นคือวัดเชตตอยอ
(Settawya Paya)ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำอิรวดี มาถึงวัดนี้สมาชิกเริ่มงอแงไม่ยอมลงจากรถ ก็เลยลงกันแค่ 2 คน วัดนี้มีสิงห์คู่
ตั้งตระหง่านอยู่ตรงบันไดทางขึ้นจากแม่น้ำ วันที่เรามาแม่น้ำแห้งมาก ทำให้เกิดสันทรายไกลไปหลายร้อยเมตร แต่ดูจาก
ร่องรอยคราบน้ำแล้ว หน้าน้ำคงมีน้ำขึ้นมาถึงเชิงบันได ราวบันไดมีปูนปั้นรูปเทวดานั่งเรียงกันแถวละ 5 องค์ทั้งหมด 4 แถว 
ด้านบนมีเจดีย์เชตตอยอพระเจ้าปดุงโปรดให้สร้างเจดีย์ครอบรอยพระพุทธบาทจำหลักหินอ่อน ในปี พ.ศ. 2354

         เราออกจากมิงกุนมุ่งหน้ากลับมัณฑะเลย์ ระหว่างทางผ่านหมู่บ้านเจอขบวนพิธีบวชสามเณรและแม่ชีน้อย คล้าย
พิธีบวชลูกแก้วที่แม่ฮ่องสอนแต่ที่นี่เค้าบวชเด็กผู้หญิงด้วย เด็กผู้ชายจะนั่งบนหลังม้า ส่วนเด็กผู้หญิงจะนั่งบนเกียวที่ตก
แต่งประดับประดาสวยงามในขบวนมีการแห่เครื่องอัฒบริขาร ผู้ที่ร่วมขบวนแต่กายมาสวยงามเต็มที่ ระหว่างทางชาวบ้าน
จะออกมาต้อนรับขบวนและร่วมทำบุญเราขอให้ซีทู จอดรถให้เราได้ชมขบวน โชคดีของคณะเราจริงๆครับที่ผ่านมาเจอ

         ก่อนกลับเข้าเมืองมัณฑะเลย์เราแวะเมืองอมรปุระกันก่อน ในสมัยพระเจ้าบอบอพญา พระโอรสองค์โตของพระเจ้า
อลองพญาเสด็จขึ้นครองราชสมบัติก็โปรดฯ ให้ย้ายเมืองหลวงจากกรุงอังวะมายังบริเวณคอคอดของแผ่นดินระหว่างแม่น้ำ
อิรวดี(Ayeyarwady River)  กับทะเลสาบตองตะมัน(Taung Thaman) ราวปี พ.ศ. 2326 ซึ่งตรงกับช่วงเวลาตั้งกรุงรัตน
โกสินทร์ของรัชกาลที่ 1
         อมรปุระ(Amarapura) ดำรงฐานะเป็นเมืองหลวงอยู่เพียง 40 ปี ราวปี พ.ศ. 2366 พระเจ้าพะคยี พระราชนัดดา
ของพระเจ้าบอบอพญาก็ได้ย้ายเมืองหลวงกลับไปที่เมืองอังวะตามเดิม กระทั่งเวลาผ่านพ้นไปจนถึงปี พ.ศ. 2380 พระเจ้า
ทรวดีก็ทรงย้ายเมืองหลวงกลับมาที่นครอมรปุระอีกครั้ง คราวนี้กินเวลาสั้นๆ เพียง 20 ปี พระเจ้ามินดงก็ย้ายเมืองหลวงไป
ตั้งใหม่ที่ "มัณฑะเลย์"

         อมรปุระมีชื่อเสียงเรื่องการทอผ้าไหม ซีทูได้พาเราแวะชมโรงงานผ้าไหม แต่เนื่องจากเรามาเย็นมากเค้าใกล้จะ
ปิดแล้วแต่ก็ยังมีคนงานอยู่บ้าง ผ้าไหมที่นี่ไม่ถูกนะครับ เราก็ขอผ่านดีกว่าเพราะไม่ถนัดเรื่องผ้าไหม ขอชมเฉยๆแล้วกัน

         จากนั้นเราก็มาถึงจุดหมายสุดท้ายจองวันนี้คือมาชมพระอาทิตย์ตกที่สะพานไม้อูเบ็ง(U Beng Bridge) สะพานนี้
มีความสำคัญเพราะสร้างด้วยเสาไม้และเศษไม้ของพระราชวังที่ส่วนหนึ่งนำไปสร้างพระราชวังใหม่ที่มัณฑะเลย์ และส่วน
ที่เหลือก็นำมาสร้างสะพานไม้ข้ามทะเลสาบตองตะมัน โดยมี "อูเบ็ง" ซึ่งเป็นผู้นำชุมชนยุคนั้นพาชาวบ้านมาช่วยกันสร้าง 
จึงกลายเป็นสะพานไม้สักที่มีความยาวมากถึง 1,450 เมตร ใช้ข้ามทะเลสาบตองตะมันจากฝั่งเมืองอมรปุระไปยังเกาะ
แต๊ะแตหยัว อันเป็นสถานที่ตั้งของวัดที่สำคัญอีกแห่งหนึ่ง นั่นก็คือ "วัดตองตะมันจอคตอคยี(Taung Thaman Kyauk 
Taw Gyi 
)
" แต่ผมไม่ได้เดินข้ามไปหรอกครับ เพราะยืนรอดูพระอาทิตย์ตกครับ


         สำหรับผู้ที่ต้องการมุมสวยๆในการถ่ายรูปสะพานกับพระอาทิตย์ตก สามารถเหมาเรือจากฝั่งอมรปุระออกไปกลาง
ทะเลสาบตองตะมันได้นะครับ แต่ผมไม่ได้นั่งเรือครับ เพราะมองเห็นเนินทรายอยู่กลางน้ำ และมีสันทรายพอเดินข้ามไป
ได้ ก็อาศัยตอนเด็กๆเดินท้องร่องสวนประจำก็เลยเดินข้ามไปไม่มีปัญหาครับ ยืนอยู่พักนึงได้ยินเสียงตูม ปรากฏว่ามีฝรั่ง
เดินตามมาตกน้ำไปคนนึง ดีที่ชูกล้องไว้และน้ำไม่ลึก หลังจากนั้นก็มีเสียงตกน้ำกันอีกหลายคน

         พอพระอาทิตย์ตกลงต่ำกว่าพื้นสะพาน ผมก็หาทำเลถ่ายรูปใหม่ มาเจอมุมเจดีย์ Shwe Modeptaw pagoda ซึ่ง
อยู่ใกล้ๆกับตัวสะพานครับ 


         หลังจากพระอาทิตย์ลับเราก็มุ่งหน้าสู่ตัวเมืองมัณฑะเลย์เพื่อกลับที่พัก คืนนี้เราพักกันที่ Hotel Yadanarbon   
ห้องกว้างขวางและสะอาดดีครับ ซีทูบอกว่าให้เราเก็บของก่อนแล้วจะกลับมารับเราตอนทุ่มนึงเพื่อไปกินข้าวเย็น สงสัย
จะชดเชยให้ที่เมื่อเช้ามารับเราสาย พรุ่งนี้เช้าเราจะเที่ยวในมัณฑะเลย์กันครึ่งวัน และบ่ายๆจะกลับบ้านกันแล้วครับ ขอพัก
สักแป๊บเพื่อเขียนเรื่องราวตอนต่อไป สวัสดีครับ




Create Date : 11 มกราคม 2557
Last Update : 11 มกราคม 2557 16:13:31 น.
Counter : 1493 Pageviews.

3 comments
  
มิงกาลาบา
ค่าครองชีพสูสีกับไทยไหมคะ ยังไม่เคยไปเที่ยวพม่าซักที
โดย: wachi (กาบริเอล ) วันที่: 17 มกราคม 2557 เวลา:19:44:50 น.
  
ไทยถูกกว่าครับ อาหารมื้อนึงประมาณ 100 บาทครับ
คนพม่าไม่กินข้าวนอกบ้านกัน ร้านอาหารตามสั่งแบบบ้านเราจะไม่มีครับ
โดย: Zurg(ลุงฅิต) IP: 203.144.220.246 วันที่: 27 มกราคม 2557 เวลา:17:13:41 น.
  
พักที่ Hotel Yadarnabon เหมือนกันด้วย !!!

แสดงว่า โรงแรมนี้ฮิตมาก
โดย: BabyInk วันที่: 3 กรกฎาคม 2557 เวลา:14:16:42 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

นักบัญชีขี้บ่น
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]