All Blog
ไปขับรถเที่ยวกัน เยอรมัน ออสเตรีย เชค - Day 3 Hallstatt


เมืองอินนส์บรูคล้อมรอบด้วยเทิอกเขาแอลป์ โดยมียอดยอดเขานอร์ดเคทเทอ (Nordkett) สูง 2,334 เมตร อยู่ทางตอนเหนือของเมือง
ยอดพัทแชร์โคเฟิล 
(Patscherkofel) สูง 2,246 เมตร และแซร์เลส (Serles) สูง 2,718 เมตร ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเมือง ยอดเขาทั้ง 3
ยอดสามารถขึ้นไปได้ครับ แต่วันนี้เราจะขึ้นยอด Nordkett กัน 

ยามเช้าจากหน้าต่างห้องพัก เมื่อคืนมีฝนตกลงมาแต่เช้านี้ฟ้าปลอดโปร่งมากครับ ตื่นขึ้นมาเตรียมเก็บของเดินทางกันต่อ ลงไปกินอาหาร
เช้าที่ทางโรงแรมจัดให้ รวมกับค่าห้องแล้ว ไลน์อาหารก็โอเคอยู่ครับมีให้เลือกกินพอสมควร

เราเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมหลังอาหารเช้า เอาสัมภาระทั้งหมดไปเก็บในรถก่อนแล้วค่อยไปขึ้นเขากัน จากหน้าโรงแรมเดินไปทางซ้าย
มือเหมือนเมื่
อวาน เดินผ่านจคุรัสไปจนสุดทางแล้วเลี้ยวขวา เมื่อวานเราเลี้ยวซ้ายไปริมแม่น้ำอินน์

 เลี้ยว ขวาตรงสุดทางเดินจากจคุรัสแล้วเดินตรงไปไม่ไกลนัก ผ่านร้านขายของที่ระลึกที่ดูเหมือนของภาตเหนือบ้านเราซึ่งมีอยู่หลายร้านจะ เป็นทางลอดใต้อาคารเลี้ยวซ้ายอีกทีจะผ่านหน้าโรงละคร เดินอีกนิดเดียวจะถึงสถานีรถไฟ

เห็นหลังคาแบบนี้แสดงว่ามาถึงสถานีแล้วครับ สถานีแรกคือ Congess ซื้อตั๋วขึ้นเขากันเลยครับ ลงบันไดเลื่อนไปซื้อตั๋วด้านล่างกันเลย 
ตั๋ว จะมีหลายสถานีครับช่วงแรกเป็นรถไฟจะจอดที่สวนสัตว์แล้วขึ้นไปต่อสุดทางที่ ยอดเขาช่วงแรก ช่วงนี้ยังไม่มีหิมะ จากนั้นนั่งเคเบิลคาร์ต่อช่วงที่ 2 จะขึ้นไปถึงร้านอาหาร ช่วงนี้มีหิมะแล้วครับ และช่วงสุดท้ายต่อเตเบิลคาร์ไปยอดเชา ราคาตั๋วขึ้นอยู่กับว่าจะไปถึงสถานีไหนเราซื้อตั๋วแบบไปสุดๆเลย ตั๋วไป-กลับ 32 ยูโรต่อผู้ใหญ่ 1 คน แอบแพงมากแต่ดั้นด้นมาขนาดนี้ไม่ขึ้นได้ไง



รถ รางช่วงแรกวิ่งใต้ดินไประยะหนึ่งแล้วขึ้นสู่ด้านบนเลียบแม่น้ำ Inn แล้วจอด 1 สถานีริมแม่น้ำคือสถานี Lowenhaus จากนั้นทางจะมุดใต้แม่น้ำไปอีกฝั่งแล้วเริ่มไต่ขึ้นเขา

จาก นั้นทางเริ่มชันขึ้นไปสู่สถานีที่ 2 สถานีสวนสัตว์ Alpine Zoo ใครอยากเที่ยวสวนสัตว์ก็แวะลงสถานีนี้ได้ครับเป็นสวนสัตว์เปิด หรือจะแวะ ขากลับก็ได้เช่นกันเพราะตั๋วที่เราซื้อ ขึ้นลงได้ทุกสถานีครับ สถานีนี้ความสูง 750 เมตร หรือ 2,460 ฟุต จากสถานีสวนสัตว์ Alpine Zoo ทางชันขึ้นเรื่อยๆวิวก็เริ่มสวยขึ้นเรื่อยๆ

มาถึงสถานีสุดท้ายของรถรางคือสถานี Hungerburg ความสูง 860 เมตร หรือ 2,820 ฟุตเราต้องลงเพื่อไปต่อ Cable Car ครับ จุดนี้จะเห็นวิวเมืองอินนส์บรูคทั้งเมืองครับ มีร้านอาหารและโรงแรมอยู่บริเวณสถานีนี้ จริงจุดนี้และ Alpine Zoo มีถนนที่รถยนต์สามารถขึ้นมา
ได้ครับและเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทาง Trail สำหรับผู้ที่อยาก Hiking ครับ

เรา ต้องเปลี่ยนไปขึ้น Cable Car กันครับสถานีอยู่ติดกัน สำหรับคนที่นำรถขึ้นมาจอดที่นี่แล้วซื้อตั๋วเฉพาะ Cable Car ได้ครับ ช่วงนี้ก็นั้งกันยาวๆหน่อยครับ เริ่มเห็นหิมะหล่ะ


Cable Car พาเรามาถึงสถานี Seegrube ความสูง 1,905 เมคร หรือ 6,250 ฟุต สัมผัสหิมะกันแบบเต็มๆครับ นักสกีส่วนมากก็มาลงกันที่สถานีนี้ครับเพราะมีกระเช้าสำหรับนักสกีแต่วันที่ เรามานี่ลายสกีปิดไปแล้วครับเพราะหิมะเริ่มละลาย

ถึง ลานสกีจะปิดไปแล้ว แต่ก็ยังมีคนมาเล่นอยู่บ้างแต่ก็น้อยครับ ขอแอบเมาท์ตาเสื้อเขียวนั่นนิดนึงครับ หน้าตาก็หล่อดีแต่กลิ่นนี่สุดๆ นั่ง
เคเบิ้ล คาร์ขึ้นมาลำเดียวกัน เวียนหัวมาก 



ไป กันต่อครับ เรายังมาไม่ถึงยอดเขานั่ง Cable Car ช่วงที่ 2 ขึ้นสถานีเดียวกับที่เราลงเมื่อสักครู่ครับ ขึ้นไปลงสถานี Hafelekar ซึ่งเป็น
สถานีสุดท้ายที่ความสูง 2,256 เมตร หรือ 7,400 ฟุต

ถ้าจะขึ้นไปที่ยอด Nordkette จากสถานีต้องเดินต่อไปอีกครับ เห็นยอดลิบๆนั่น แต่เราไม่ได้เดินไปเพราะหิมะมันเริ่มอ่อนแล้วครับ เดินย่ำ
ลงไปแล้วมันยุบตัว และรองเท้าเราก็ไม่ใช่รองเท้าสำหรับลุยหิมะด้วยก็เลยมองอยู่แค่จุดนี้ดีกว่า


ได้เวลาบอกลา อินนส์บรูคเพื่อเดินทางต่อไปยังฮัลสตัทท์ Hallstatt เรากลับมาเอารถแล้วออกเดินทางกันต่อ ระยะทาง 247 กม.
ประมาณ 3-4 ชั่วโมงเพราะ ออสเตรียจำกัดความเร็วครับ บนทางด่วนได้แค่ 130 กม/ชม ตอนแรกทำแผนไว้ว่าจะแวะ ซาลซ์บูร์ก
Salzbrug ก่อน แต่ไปถึงมันเย็นแล้วเลยเปลี่ยนใจไม่แวะครับ 


ขับรถมาจนเลยเที่ยง เราก็แวะกินข้าวกันที่ปั๊มน้ำมันริมทาง ปั๊มนี้ดีครับมีที่นั่งกินแถมวิวดีด้วย ชมดอกไม้ระหว่างกินข้าวอากาศก็หนาว
สะใจดีจริงๆ มีห้องน้ำห้องท่าให้เข้าด้วย


เส้นทางสู่ Hallstatt เป็นอีกเส้นทางที่สวยงามมากครับ แต่ถนนแคบและลัดเลาะไปตามภูเขาโค้งเยอะมากต้องใช้ความระมัดระวังเป็น
พิเศษ ยิ่งเวลามีรถใหญ่วิ่งสวนมาแลเวเราไม่ชินกับการขับพวงมาลัยซ้ายยิ่งน่ากลัวครับ

แต่ก็มีบางช่วงที่ขับผ่านชุมชน ยังพอหาที่จอดลงไปชมวิวสวยๆและเก็บภาพเป็นที่ระลึกได้ครับ เห็นทวิวแบบนี้แล้วยังไงก็ต้องจอดเนอะ
มันอดใจไว้ไม่อยู่จริงๆ

โบสถ์ริมทางก่อนถึง Hallstatt เห็นปล้วนึกถึงหนังฝรั่งโบราณขี่ม้าสู้ศึกเลย

เรามาถึง Hallstatt ก็เจอปัญหาใหญ่ GPS มันไม่มีเลขที่ที่พักที่เราจองมา เลยต้องเปิด Google Map หาแทนจนมาถึงหน้าบ้าน ปรากฏ
ว่าบ้านปิด เอาละสิทำไงดี แล้วก็มีคนแถวนั้นผ่านมาก็เลยถามเค้า เค้าบอกไม่รู้แต่โชคดีในใบจองมีเบอร์โทรศัพท์ เค้าเลยโทรไปให้ ไม่
ถีงนาทีเจ้าของบ้านก็ขับรถมา ดูท่าทางเหมือนมาเฟีย ฮิๆๆ บ้านหลังนี้ทั้งหลังเป็นของครอบครัวเรา 5 คน ส่วนเพื่อนที่มาด้วยกันไปพัก
อีกหลัง บ้านที่เราจองมาชื่อ W&S Hallstatt เผื่อใครมาเป็นครอบครัวแล้วอยากมาพัก

ที่พักนี้ไม่ติดทะเลสาบนะครับ อยู่ในหุบเชาด้านในแต่เดินไปริมทะเลสาบได้ ผมก็จอดรถไว้หน้าบ้านแล้วเดินออกไป บรรยากาศบริเวณ
ใกล้ๆบ้านพักสงบมาก บ้านหลังที่เราพักมี 2 ชั้นห้องนอนล่างนอนได้ 2 คน ห้องนอนบนนอนได้ 4 คน ห้องน้ำแยก บน-ล่าง มีห้องนั่ง
เล่นดูทีวีและครัวขนาดใหญ่ มีกาแฟ ชา และมาม่าให้ด้วย ถ้วยชามมีพร้อมเจ้าของบอกกินเสร็จแล้วไม่ต้องล้าง จะให้แม่บ้านมาล้าง เค้า
กลัวล้างของเค้าไม่สะอาด แต่เราก็ล้างให้นะ แต่ไม่ได้เก็บให้เค้ามาเช็คความสะอาดก่อน


นั่งพักผ่อนและสำรวจบ้านเสร็จเราก็ออกมาเดินเล่นริมทะเลสาบ กำลังได้เวลาแสงเย็นตอนทุ่มพอดี เราเดินเลียบทะเลสาบไปเรื่อยๆ จุด
หมายคือมุมมหาชนที่เค้าไปถ่ายรูปกัน

เสน่ห์ อย่างหนึ่งของที่นี่คือเค้านิยมปลูกต้นเชอร์รี่ติดกับผนังบ้านเล้วดัดให้มัน ติดกับตัวบ้าน จากบ้านพักที่เราเดินผ่านมา เห็นเค้าทำแบบนี่
อยู่หลายหลัง ทั้งบ้านไม้บ้านตึก สวยดีครับแต่ก็นึกๆว่าแล้วรากมันไม่ทำบ้านร้าวหมดหรือ

ร้านอาหารในเมือง น่านั่งมากครับแต่ปิดเร็วมากเดินผ่านมาเค้าปิดแล้ว

เดินมาถึงจตุรัสกลางเมืองหรือ Marktplatz ก็ใกล้ถึงจุดหมายแล้วครับ บริเวณรอบนี้เป็นร้านค้าและโรงแรมรวมถึงร้านขายของที่ระลึก
เมืองฮัลสตัทท์(Hallstatt) ขึ้นทะเบียนเป็นเมืองมรดกโลกจากองค์การ UNESCO ประเภท Historic Cultural Landscape เมื่อปี 1997
มีอายุกว่า 7 พันปี ตั้งอยู่ริมทะเลสาบฮัลสตัทท์เททอร์(Hallstätter See) ในเขตภูมิภาคซาลซ์คัมเมอร์กุท (Salzkammergut)

เราเดินมาถึงมุมมหาชนเกือบ 2 ทุ่ม ไกลไม่ใช่เล่นเลยครับ มาถึงมุมนี้ก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงเป็นมุมที่คนทั่วโลกอยากมาเยือน
และเป็นมุมที่มีทังภาพถ่ายและภาพวาดมากมาย แต่สิ่งหนึ่งที่รู้สึกได้คือมองไปรอบๆตัวทำไมมีคนไทยล้วนๆ ก็เลยคุยทักทายแลกกัน
ถ่ายรูปให้กันสนุกสนานครับ


ฮัลสตัทท์เป็นเมืองเล็กๆที่เล็กมาก มีประชากรไม่ถึงพันคน พืี้นที่ก็น้อยเลยต้องปลูกบ้านลดหลั่นกันตามเชิงเขา ถนนแคบมาจนรถสวนกัน
แทบไม่ได้ แต่เมืองเล็กๆที่เหมือนจะไม่มีอะไรนี้ ก็มีอะไรมากมายในความไม่มีอะไรให้จดจำ หากเดินทางมาเที่ยวโดยรถไฟต้องลงรถที่
สถานีฮัลสตัทท์ซึ่งอยู่อีกฟากของทะเลสาบแล้วนั่งเรือข้ามฟากมาครับ

ยิ่ง ดึกอากาศก็ยิ่งหนาวขึ้นเรื่อยๆเราจึงเดินกลับที่พัก มาถึง Marktplatz แวะเก็บภาพยามค่ำอีกรอบ ระหว่างเดินกลับมีกลุ่มนึงมากัน 4-5
ตนมาถามว่า พี่เป็นคนไทยรึเปล่าพอบอกใช่ครับน้องๆก็ถามว่ารู้มั๊ยว่าที่นี่มี Taxi หรือ รถเมล์ขึ้นที่ไหน พูดคุยกันได้ความว่าพวกน้องๆกลุ่ม
นี้พักอยู่อีกสถานี นึงนั่งรถไฟมาเที่ยวแล้วข้ามเรือมา ขากลับเรือหมดเลยข้ามกลับไปขึ้นรถไฟไม่ได้ เราก็เพิ่งมาเป็นครั้งแรกก็ไม่รู้ว่าขึ้นรถ
ตรงไหน เราก็ไม่ได้เอารถมากันไม่งั้นคงขับไปส่งสุดท้ายก็แยกกันตรงนั้น จากตรงที่แยกกันกลับมาที่พักเราก็ประมาณกิโลกว่าๆ ตอนเดิน
ไปคิดว่ามันไม่ไกลขากลับถึงได้รู้ว่ามันไกลมาก กลับมาต้มมาม่าเกาหลีกินกันมื้อค่ำ พรุ่งนี้จะไปเก็บแสงเช้าแล้วเดินทางเข้า Czech Rep.
จุดหมายต่อไปคือ Cesky Krumlov




Create Date : 01 มิถุนายน 2559
Last Update : 1 มิถุนายน 2559 11:41:48 น.
Counter : 1374 Pageviews.

1 comments
  
มาดู มาอ่าน เห็นภาพแล้วต้องบอกว่า อื้อหือ.. สวยมาก ๆ

ชอบภาพจัตรัส.. สีสดใส

เห็นชื่อทีแรก ก็สะดุ้งเลยครับ 555 กระเทือนหลายคน
โดย: ไวน์กับสายน้ำ วันที่: 1 มิถุนายน 2559 เวลา:16:48:26 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

นักบัญชีขี้บ่น
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]