All Blog
Yokoso Japan - Day 8 Goodbye Japan

      เช้าวันสุดท้ายของทริป เราเก็บข้าวของแล้วเช็คเอาท์ออกจากที่พัก เที่ยวบินของเราออกประมาณ 5 ทุ่ม ของคืนนี้
วันนี้เราจะไป Universal Studio Japan กันก่อน แต่อากาศก็ไม่ค่อยจะเป็นใจนัก เพราะมีฝนตกปรอยๆมาแต่เช้า 
      จากสถานี Shinsaibashi ขึ้น Subway Osaka City ไปลงสถานี Taisho หรือสถานี Osaka ถ้าเป็นรถ JR   เหมือน
บ้านเราสถานีสุขุมวิทกับสถานีอโศกครับ จากสถานี Osaka ต่อรถ JR สาย Rapid Tyokutsu ไปลงที่สถานี  Nishikujo
แล้วต่อรถสาย JR Yumesaki Line ไปลงที่สถานี Universalcity รถไฟสายนี้จะเพนท์ลายเป็นตัวการ์ตูนของ Universal
ครับ ค่ารถตลอดเส้นทาง 370 Yen

      เราฝากกระเป๋าไว้ที่ Locker ของสถานี Nishikujo  เพราะตอนเย็นเราต้องกลับมาต่อรถที่นี่ แล้วค่อยนั่งรถต่อไปยัง
Universal City มาถึงแล้วครับ Universal Studio Japan ค่าตั๋ว 1 วันปัจจุบัน 6400 Yen แต่ผมจำไม่ได้แล้วครับว่าตอน
ที่ผมไปราคาเท่าไหร่ แต่ผมได้คูปองส่วนลดจากงานท่องเที่ยวไทยไปทั่วโลกที่ศูนย์ประชมสิริกิต ลดใบละ 500 Yen

เข้ามาด้านในยังไม่ทันได้เล่นอะไร ฝนก็ตกซะแล้วครับ

หลบเข้าไปดูหนังสี่มิติกันก่อนครับ กำลังฉายเรื่องเชร็ค

ถ่ายรูปกับเจ้ายักษ์ตัวเขียวสักหน่อย

      เครื่องเล่นที่นี่ผมว่าสนุกใช้ได้เลยทีเดียวโดยเฉพาะ Spiderman เหมือนเราหลุดเข้าไปเป็นตัวแสดงนึงในภาพยนต์
เราอยู่ที่ USJ จนถึง 6 โมงเย็นได้เวลาที่เราจะกลับไปสนามบินกันแล้วครับ
      เรากลับมาเอากระเป๋าที่สถานี Nishikujo จากสถานีนี้เรานั่งรถสาย JR Kansai Airport Rapid Service ไปที่สนามบิน
คันไซ มาถึงที่นี่เกือบ 2 ทุ่ม เช็คอินเสร็จก็เข้าไปกินมื้อเย็นกันด้านในก่อนกลับ และเดินเล่น Duty Free กันเล็กน้อย

      สำหรับวันสุดท้ายที่ USJ ผมไม่ค่อยได้ถ่ายรูปเท่าไหร่ เพราะเล่นเครื่องเล่นเค้าไม่อนุญาตให้นำกล้องถ่ายภาพเข้า
ไปก็จะฝากไว้ที่ Locker แล้วเดินตัวเปล่า เลยขอจัดซากุระให้ชม 1 ชุด ครับ

      ผมขอจบทริปญี่ปุ่นไว้เพียงเท่านี้ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามมาโดยตลอดครับ ผมกันใหม่ทริปหน้าครับ




Create Date : 19 พฤศจิกายน 2555
Last Update : 21 กันยายน 2556 16:09:10 น.
Counter : 1645 Pageviews.

0 comment
Yokoso Japan - Day 7 Kyoto - Osaka

      อากาศที่ญี่ปุ่นนี่เปลี่ยนแปลงแทบทุกวัน ตั้งแต่เรามาถึงอากาศแจ่มใสสลับกับฝนตกตลอด  และวันนี้ก็เช่นกันอากาศ
ขมุกขมัวแต่เช้าและคาดว่าจะมีฝนเล็กน้อย เรากลับมาที่เกียวโตอีกครั้งวันนี้เราจะนั่งรถวนซ้ายหรือไปทางฝั่งตะวันตกของ
เมืองบ้าง

      เราเริ่มต้นทริปวันนี้ด้วยการนั่งรถสาย 205 ไปลงป้าย Kinkakuji-michi พอลงรถเมล์เดินย้อนกลับมานิดนึงครับ  จะมี
ซอยแยกเข้าไปสังเกตุคนเดินเข้าไปเยอะๆ เดินตามเค้าเข้าไปเลย ประมาณ 500 เมตร   ก็จะถึงประตูทางเข้าวัดคินคะคุจิ 
(Kinkakuji Temple) ซื้อบัตรผ่านประตูแล้วเข้าไปกันเลยครับ

วัดคินคะคุจิ (Kinkaku-ji Temple 金閣寺)
      หรือ วัดพลับพลาทอง (Temple of the Golden Pavilion) มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า วัดโระคุองจิ ( 鹿苑寺 Rokuonji ) 
มีศาลาทองเป็นจุดเด่นของวัด แรกเริ่มศาลาทองสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 1940 เพื่อเป็นที่พักของโชกุนอาชิคางะ โยชิมิตสึ ต่อ
มาผู้เป็นบุตรชายได้เปลี่ยนแปลงให้เป็นวัดนิกายเซนสายรินไซ วัดถูกเผาทำลายหลายครั้งในระหว่างสงครามโอนิง 

      ปี พ.ศ. 2537 วัดโระคุองจิ รวมทั้งศาลาทอง ได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกร่วมกับสถานที่
สำคัญอื่นๆในเมืองเกียวโต ตัวศาลาทองทั้งหลังยกเว้นชั้นล่างปิดคลุมด้วยแผ่นทองคำบริสุทธิ์  เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธ
รูปและโบราณวัตถุมีค่าอื่นๆ บนยอดหลังคาของศาลามีรูปหล่อทองคำรูปนกโฮโอ

      ในปี พ.ศ. 2493 ศาลาทองถูกเผาทำลายโดยพระวิกลจริต ที่หลงไหลกับความงามของศาลาทอง   และเชื่อว่าการที่จะ
เข้าถึงความงามที่แท้จริงต้องทำลายสิ่งนั้นเสียก่อน  ศาลาที่เห็นในปัจจุบันสร้างขึ้นใหม่เมื่อปี พ.ศ. 2498

      คนมาเที่ยวที่นี่มากจริงๆครับ เดินกันแบบแทบจะไหลเลย และไม่ต้องสงสัยเลยครับว่าทำไมใครๆมาเที่ยวที่นี่ถึงได้
ถ่ายรูปมามุมเดียวกันหมด ก็เพราะมันเป็นมุมบังคับครับ คุณไม่สามารถถ่ายภาพมุมอื่นได้นอกจากมุมที่เค้าจัดไว้ให้ และ
ความที่คนมากมาย คุณไม่สามารถถ่ายรูปหมู่คู่กับปราสาททองแน่นอนครับ 
      ทางที่เค้าทำให้เดินเป็น One way เดินมาใกล้ทางออกก็จะมีร้านขายของที่ระลึกและแผ่นไม้เขียนคำอธิษฐาน ซื้อ
แล้วเขียนคำอธิษฐานลงไปแล้วก็นำมาห้อยไว้ แต่ไม่รู้เค้าเอาไปทำอะไรต่อนะครับ แอบอ่านดูส่วนใหญ่จะขอให้ได้กลับ
มาที่นี่อีกรวมทั้งเราด้วย

      เราออกมาด้านนอกและมาขึ้นรถเมล์ฝั่งตรงข้ามที่ป้าย Kinkakuji-Mae คนละป้ายกับตอนขามานะครับ นั่งรถเมล์สาย
59 ไปลงที่ป้าย Omuro Ninnaji เห็นซุุ้มประตูใหญ่ๆฝั่งตรงข้ามคือวัด Ninnaji เดินข้ามถนนแล้วเข้าไปเลยครับ

วัดนินนาจิ (Ninna-ji Temple 仁和寺)

       วัดนินนาจิ Ninnaji ก่อตั้งขึ้นเมื่อราวปี พ.ศ.1431 เคยเป็นพระราชวังเก่าเป็นที่ประทับของจักรพรรดิ  เป็นสำนักงาน
ใหญ่ของวัดพุทธในนิกายชินง่อน (Shingon) อาคารเก่าแก่มากแต่ยังคงความงดงาม  โดยเฉพาะศาลาคอนโดะ (Kondo 
Hall) และศาลามิเอโดะ (Miedo Hall) ที่ขนย้ายจากพระราชวังหลวงอิมพีเรียลเกียวโตมาก่อสร้างในวัดนี้  ภายในวัดมีทั้ง
วิหาร ศาลา เจดีย์ 5ชั้น สวนหิน ภาพวาด งานแกะสลัก พระพุทธรูป หอพระ วัตถุโบราณ งานเซรามิด แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่มี
ความแตกต่างจากวัดอื่นๆคือวัดนี้มีซากุระพันธ์เตี้ย Omuro Cherry บางกิ่งอยู่ต่ำเกือบติดพื้นจะออกดอกบานช้ากว่าพันธุ์
อื่นๆ  
      ในปี พ.ศ. 2537 วัดนินนาจิได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม จากองค์การยูเนสโก (Unesco World 
Culturl Heritage Site ) เหมือนกับอีกหลายแห่ง ที่ยังคงความสวยงามให้ได้ชม

      ฝนเริ่มลงมาหนักขึ้นเรื่อยๆแล้วครับ เราเข้าไปหลบฝนกันในส่วนของพระราชวังกันก่อนดีกว่า ส่วนนี้ปัจจุบันจัดแสดง
เป็นพิพิธภัณฑ์ครับ

      เดินเข้ามาด้านในก็เจอสวนหินแบบเซ็น ก้อนกรวดสีขาวใช้สำหรับสะท้อนแสงจันทร์ยามค่ำคืน คงโรแมนติกน่าดูนะ
ครับ ยิ่งสมัยโปราณใช้จุดคบไฟนั่งชมสวนท่ามกลางแสงจันทร์

      ด้านในมีอาคารไม้หลังเล็กๆหลายหลัง เชื่อมต่อกันด้วยระเบียงไม้ เข้ามาในนี้เค้าให้ถอดรองเท้าไว้ข้างนอกนะครับ
ขอบอกว่ากระดานเย็นเฉียบเลยครับ

      ห้องนี้ไม่รู้ว่าเป็นห้องอะไรครับ แต่เดาจากการดูการ์ตูนอิ๊คคิวซัง น่าจะเป็นห้องที่โชกุนออกว่าราชการ เพราะเห็นมีฉาก
เลื่อนทางด้านหลัง

      ห้องนี้ก็สีทองอร่ามเชียวแต่ละห้องเค้าให้เราชมได้จากระเบียงด้านนอกเท่านั้นนะครับ ห้ามเดินเข้าไปด้านในแต่ถ่าย
รูปได้ จริงๆแล้วห้องแต่ละห้องเล็กมากเลยครับ

      สิ่งก่อสร้างที่ทำด้วยไม้อายุเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณไม่เกิน 200 ปี แต่ก็น่าแปลกใจที่โบราณสถานของญี่ปุ่นทั้งหมดเป็น
ไม้และมีอายุเกิน 200 ปี ของบ้านเราไม่เหลืออะไรอยู่แลย นอกจากสิ่งก่อสร้างที่เป็นอิฐ

      และด้านในสุดก็มีการจัดสวนแบบญี่ปุ่นมองเห็นเจดีย์ 5 ชั้นด้านหลังซึ่งเดี๋ยวเราจะเดินไปที่นั้นกันครับ เพราะมีความ
พิเศษรออยู่ด้านในนั้น

      เราออกมาจากวังแล้วเดินต่อเข้าไปด้านในกันครับ แวะถ่ายซุ้มประตูที่เราเห็นจากสวนหินด้านใน ฝนตกและอากาศ
หนาวทำให้เลนส์เป็นฝ้าเลยครับ วันนี้อากาศหนาวมากจริงๆ

      และความพิเศษด้สนในก็คือ ซากุระพันธุ์เตี้ยครับ เตี้ยมากจนต้องเดินก้มเข้าไปชมกันเลยทีเดียว บางกิ่งออกดอกเรี่ย
พื้นเลยครับ

      ฝนยังคงตกลงมาไม่หยุด และอากาศก็เย็นลงมากทุกทีจนเราต้องตัดโปรแกรมที่เหลือในเกียวโตออก และนั่งรถเมล์
สาย 26 ป้ายรถหน้า Ninnaji Temple กลับไปยัง Kyoto Station และกลับ Osaka

      เรานั่งรถชินกันเซนกลับมาที่สถานี Shin-Osaka แล้วนั่ง Sub Way มาลงสถานี Osaka มาถึงก็เย็นแล้ว นี่ขนาดเรา
ตัดโปรแกรมที่เกียวโตออกไปบ้าง ยังกลับมาถึง Osaka เย็นเลยครับ จากสถานี Osaka ก็เดินไปเที่ยวปราสาท  Osaka
กัน แต่เดินไปไม่ถึงครับเพราะลูกสาวเจ็บเท้าเดินต่อไม่ไหว ก็ลุยมา 7 วันเต็มๆ เริ่มเหนื่อยล้ากันแล้ว ก็เลยถ่ายภาพจาก
ระยะไกล

      แม้ไปไม่ถึงตัวปราสาท แต่สวนสาธารณะหน้าปราสาทก็สวยใช้ได้ทีเดียว

      เค้าบอกว่าถ้ามา Osaka แล้วไม่มาที่นี่เหมือนมาไม่ถึง ก็เลยต้องมาคืนสุดท้ายก่อนกลับบ้านในวันพรุ่งนี้ครับ จาก
สถานี Shinsaibashi ใช้ทางออก 6 แล้วก็เดินย้อนลงไปจนถึง Dotonbori River ก็จะเจอแล้วครับป้ายกูลิโกะ   อยู่ริม
แม่น้ำเลย

      แต่ก็ไม่ได้มาเพื่อดูป้ายกูลิโกะเท่านั้นนะครับ แถบ Dotonbori ยังมีร้านอาหารให้เลือกมากมาย หลังจากอาหารค่ำ
ก็เป็นการ Shopping สั่งลาครับ เพราะพรุ่งนี้เช้าเราจะ Check-out แล้วเอากระเป๋าออกไปเลยครับ แต่สำหรับคืนนี้  ขอ
พักเอาแรงกับการเดินทางอันยาวนาน เพื่อเตรียมตัวกลับบ้านครับ




Create Date : 05 พฤศจิกายน 2555
Last Update : 21 กันยายน 2556 16:08:19 น.
Counter : 2312 Pageviews.

0 comment
Yokoso Japan - Day 6 Kyoto

      วันนี้เราเริ่มต้นการเที่ยวโอซาก้าแบบไม่เที่ยวโอซาก้า ฟังแล้วก็คงงงๆ เพราะเรายึดโอซาก้าเป็นฐานที่มั่นเพื่อจะไป
เที่ยวเกียวโต JR Pass เราใช้ได้อีก 2 วันพอดี เราจึงวางโปรแกรมว่าไปเที่ยวเกียวโต 2 วัน โดยนั่งชินกันเซ็นจากสถานี
ชิน-โอซาก้า ไปลงสถานีเกียวโต ออกมาจากสถานีก็เจอสัญลักษณ์ครับ Kyoto tower

      ก่อนอื่นเราต้องไปซื้อตั๋วรถเมล์กันก่อนครับ การเดินทางในเกียวโตใช้รถเมล์จะสะดวกกว่าใช้รถไฟฟ้าครับ ที่ขายตั๋ว
อยู่ด้านหน้า Kyoto Station

      เข้าไปด้านในเลยครับ ซื้อตั๋วแบบ Day trip ใช้ได้ 1 วันขึ้นลงกี่รอบกี่สายก็ได้  เราซื้อเผื่อสำหรับวันพรุ่งนี้ด้วยครับ
ใบละ 500 เยน เค้าจะให้ตั๋วพร้อมแผนที่รถเมล์มา แผนที่ก็ดูไม่ยากครับ เพราะเค้าจะมีสถานที่ท่องเที่ยวในแผนที่เราจะ
ไปที่ไหนก็ดูที่แผนที่จะมีบอกว่ารถเมล์สายไหนผ่านบ้าง แต่ละสายก็จะมีสัญลักษณ์คนละสี   และแสดงเส้นทางเดินรถ
แยกสีอราจะไปวัด Ginkakuji จาก Tokyo Station สามารถนั่งสาย 5 17 100

     เวลาขึ้นรถขึ้นประตูหน้าเอาบัตรแตะที่เครื่อง ตอนลงลงประตูหลังแตะบัตรอีกทีนึงครับ   นั่งไปแล้วไม่ต้องกลัวว่าจะ
เลยป้ายหรือลงผิดครับ เพราะบนรถจะมีจอมอนิเตอร์อยู่ด้านหน้าคอยบอกว่าป้ายต่อไปคือที่ไหน

      พอมาถึงป้าย Ginkakuji ก็จะรู้ได้ทันทีครับเพราะป้ายนี้คนลงเยอะมาก   ลงจากรถก็เดินข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามเลย
ครับสังเกตุง่ายๆจะเห็นทางที่คนเดินไปเยอะๆ เดินตามเค้าไปเลยเดินเลียบคลองไปเรื่อยๆ    ทางเดินแห่งนี้มีชื่อเสียงใน
การเดินชมซากุระ มีชื่อเรียกว่า Path of Philosopher ( 哲学の道, Tetsugaku no Michi)

วัดกินคะคุจิ (Ginkaku-ji Temple 銀閣寺)

      เดินประมาณ 10 นาทีเราก็มาถึงวัดกินคะคุจิ (Ginkakuji Temple) หรือวัดพลับพลาเงิน (Silver Pavilion) สร้างโดย
โชกุน อาชิคางะ โยชิมาสะ (Ashikaga Yoshimasa) เมื่อปี พ.ศ. 2025  ตั้งใจจะห่อพลับพลาด้วยเงินทั้งหลัง  ให้คู่กับวัด
พลับพลาทองคินคะคุจิ (Kinkakuji) ที่สร้างเสร็จแล้วทางตอนเหนือของเกียวโต แต่ท่าน ได้มาเสียชีวิตก่อนที่วัดจะได้ทำ
การหุ้มด้วยเงินในปี พ.ศ.2033 จนปัจจุบันก็ยังไม่ได้หุ้มเงินเลยแม้แต่แผ่นเดียว พลับพลาที่เห็นจึงเป็นสีน้ำตาลเข้มตามสี
ของไม้ที่นำมาก่อสร้าง บนหลังคามีรูปนกฟินิกซ์ทำจากสำริด

            วัดกินคะคุจิ (Ginkakuji Temple) เป็นวัดในนิกายเซน พื้นทรายกับกองกรวดสีขาวที่กองอยู่หน้าพลับพลานั้นเขา
จะเอาไว้ให้แสงจันทร์ได้ส่องสะท้อน ให้แสงสว่างกระจายไปทั่วบริเวณหน้าวัด  วัดกินคะคุจิได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดก
โลกในปี ค.ศ. 1994 

      ภายในวัดจัดสวนญี่ปุ่นสวยงามร่มรื่น และทำทางเดินให้เดินวนรอบวัด 

      ด้านหลังมีทางเดินขึ้นไปบนภูเขา เป็นจุดชมวิวพลับพลาเงินและมองเห็นเมืองเกียวโตด้านนอกวัดครับ

      เราใช้เวลาอยู่ในวัด Ginkakuji นานพอสมควรครับเพราะมีมุมสวยๆให้ได้ถ่ายรูปเยอะจริงๆ ก่อนที่จะไปจุดหมายต่อไป
ขอฝากภาพพลับพลาเงินอีกมุมหนึ่งไว้ก่อนจากครับ

      เราออกมาจากวัดพลับพลาเงิน แล้วเดินย้อนกลับออกมาเส้นทางหน้าวัดและลี้ยวซ้ายเดินเลียบคลองตามเส้นทางแห่ง
นักปราชญ์ Path of Philosopher เพื่อไปวัด นันเซนจิ (Nanzenji Temple)  เดินสักพักก็มาถึงทางขึ้นเขาเพื่อไปยังวัด เดิน
ขึ้นเนินไปไม่ไกลนักจะถึงซุ้มประตูทางเข้าวัดซึ่งแค่ซุมประตูก็ใหญ่โตมโหฬารมากครับ

      ซุ้มประตูมองจากด้านในซึ่งดูเหมือนประตูเมืองมากกว่าประตูวัดครับ   เป็นเพราะวัดนี้มีประวัติว่าเป็นวังเก่าขององค์
จักรพรรดิ์ญี่ปุ่นครับ ถ่ายรูปเป็นหลักฐานสักรูปครับว่ามาจริง :)

      ผ่านซุ้มประตูมาจะเป็นทางเดินยาวไปสุดหน้าวิหารหลังใหญ่ เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปทองคำ แต่วันที่ผมไปเค้า
ไม่เปิดให้เข้าไปด้านใน ซึ่งไม่รู้ว่าปกติเค้าเปิดรึเปล่านะครับ

วัดนันเซนจิ Nanzen-ji (南禅寺)

      วัดนันเซนจิ เป็นวัดเงียบสงบตามแบบเซน ตั้งอยู่กลางป่าสนบริเวณตีนเขาไดมอนจิยามะ (Daimonjiyama) สร้างในสมัย
เฮอัน เป็นหนึ่งในห้าวัดเซนที่สวยที่สุดของเกียวโตและญี่ปุ่น ประกอบด้วยวิหารใหญ่หนึ่งหลัง และวิหารเล็ก 12 หลัง  แต่เปิด
ให้ชมเพียง 4 หลัง ใน อดีตวัดแห่งนี้เป็นวังที่ประทับของจักรพรรดิคาเมยามะ (Kameyama)   ในช่วงหลังจากที่ทรงสละราช
สมบัติในปี 1274 ขณะที่พระชนมายุได้เพียง 26 พรรษา ด้วยความเลื่อมใสและศรัทธาที่มีต่อพุทธศาสนา  พระองค์ทรงยกวัง
แห่งนี้ให้สร้างเป็นวัดนันเซนจิเมื่อปี 1291

      จากวัดนันเซนจิ เป้าหมายต่อไปของเราก็คือ Heian Jingu Shrine จากแผนที่เราจะต้องเดินเลียบคลอง Biwako ใน
เกียวโตมีวัดเยอะมากจริงๆครับ ผมว่าถ้าเก็บกันหมดทุกวัด ทุกวัน คงต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 5 วันครับ

      นี่เป็นท่าเรือครับ สำหรับท่านที่ต้องการจะใช้บริการเรือชมทัศนียภาพริมคลอง แต่คลองบ้านเค้าไม่ดำเหมือนคลอง
แสนแสบบ้านเรานะครับ น้ำเขียวเชียวแสดงว่าตะไคร่น้ำยังมีชีวิตอยู่  ไม่เหมือนคลองหลอดเนอะ แม้แต่ตะไคร่น้ำยังไม่
รอด

      เดินไปเรื่อยๆไม่ต้องรีบครับ ริมทางมีซากุระให้ชมตลอดทาง ดอกใหญ่เชียว

      เดินมาจนเจอเสาโทเรอิยักษ์ตั้งอยู่กลางถนน เรามาถึงทางเข้าศาลเจ้าเฮอันแล้วครับ (เมื่อเช้าเรานั่งรถเมล์รอดเสานี้
มาครั้งนึงแล้วครับ) เดินข้ามาะพานแดงอันนี้แล้วตรงไปเลยครับจะเห็นศาลเจ้าสีแดงตั้งเด่นอยู่สุดปลายถนน

ศาลเจ้าเฮอัน (HEIAN JINGU SHRINE) 平安神宮

      ศาลเจ้าเฮอันสร้างในปี 1895 เนื่องในโอกาสที่นครเกียวโตมีอายุครบ 1,100 ปี โดยอุทิศถวายแด่จักรพรรดิองค์แรก
และองค์สุดท้ายของเกียวโต ตัวศาลเจ้าถอดแบบมาจากพระราชวังหลวงที่สร้างขึ้นเมื่อ ค.ศ. 794 และวอดลงเพราะอัคคี
ภัยในปี 1227 เป็นสถาปัตยกรรมแบบเฮอันซึ่งได้รับอิทธิพลจากจีน ศาลเจ้าในลัทธิชินโตก็เปลี่ยนมาสร้างตามแบบวัดใน
พุทธศาสนา จากที่เคยทิ้งเนื้อไม้ไว้ให้มีสีตามธรรมชาติก็หันมาทาสีเป็นครั้งแรก

      ศาลเจ้าเฮอันยังเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวญี่ปุ่นมักจะพาเด็กๆมากราบไหว้ขอพรเกี่ยวกับเรื่องของการศึกษา นอก
จากเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แล้ว ยังเป็นที่ที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวมากมายที่มาเที่ยวชมศาลเจ้าแห่งนี้

      เลยเวลาอาหารเที่ยงแล้ว คงต้องเติมพลังกันก่อนครับเราเดินกลับออกมาทางเสาโทริอิยักษ์ ข้ามถนนมาอีกฝากมีร้าน
อาหารให้เลือกอยู่หลายร้านครับ เติมพลังกันแล้วก็เดินทางต่อกันเลยครับ กลับมาที่เสาโทริอิยักษ์อีกครั้ง  ตรงนั้นมีป้ายรถ
เมล์ที่ชื่อว่า kyoto kaikan bijutsukan-mae รถรถสาย 100 ที่ป้ายนั้นเลยครับ เรานั่งไปลงที่ป้าย Gojozaka   ไม่ไกลมาก
ครับประมาณ 4 ป้าย ลงจากรถก็จะเห็นซอยที่คนเดินเข้าเดินออกเยอะๆ เดินเข้าไปในซอยนั้นเลยครับ

      อยู่ญี่ปุ่นมา 6 วัน ผมว่าที่นี่คนเยอะที่สุดเลยครับ ทั้งเด็กนักเรียน นักท่องเที่ยว และคนญี่ปุ่นเองมาเที่ยวที่นี่กันมาก
มายมหาศาลจริงๆ เดินเข้าไปจนสุดซอยจะเจอซุ้มประตูวัดครับ ที่นี่คือวัดคิโยมิสึ (Kiyomizu Temple)   หรือที่คนไทย
เรียกกันว่าวัดน้ำใส

วัดคิโยมิสึ Kiyomizu temple 清水寺

      วัดคิโยมิสึ หรือวัดน้ำใสตั้งอยู่บนเนินเขาฮิงายามา สาเหตุที่เรียกว่า "วัดน้ำใส" ก็เนื่องมาจากมีน้ำศักดิ์สิทธิ์จากแม่น้ำ
3 สาย ซึ่งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติไหลมาจากเทือกเขา สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 788 (สมัยนาระ ประมาณปี พ.ศ.1321)   เพื่อ
ถวายแด่พระโพธิสัตว์กวนอิม 11 พักต์ หรือสร้างขึ้นมาก่อนที่เกียวโตจะเป็นเมืองหลวงของญี่ปุ่น
      วัดคิโยมิสึถือเป็นเป็นมรดกโลกอันเก่าแก่กว่า 1500 ปี ทางเดินขึ้นสู่วัด เรียกกันว่า “ถนนสายกาน้ำชา”   เนื่องจากใน
อดีตเคยมีร้านขายถ้วยชาเครื่องปั้นดินเผาเรียงรายตลอดสองข้าง ทาง ปัจจุบันมีร้านขายของที่ระลึกต่างๆมากมายให้เลือก
ซื้อ แต่ก็ยังคงหลงเหลือร้านเหล่านี้อยู่บ้างให้ได้สัมผัสกับบรรยากาศเก่าแก่ ที่หาชมได้ยาก
      ทางขึ้นวัดคิโยมิสึตลอดสองข้างทางมีร้านขายของฝากของ ที่ระลึกสไตล์ญี่ปุ่นเช่น   ชุดกิโมโน   ตุ๊กตาในชุดกิโมโน
พัดสารพัดแบบ ร่ม เข็มกลัด ที่ติดตู้เย็น เป็นต้น    ขนมที่มีตัวอย่างให้ชิมก่อนตัดสินใจซื้อ เช่น ขนมไส้ต่างๆ ที่มีส่วนผสม
ของชาเขียว ของที่เกี่ยวกับศาสนา ความเชื่อ จำพวกเครื่องราง และอื่นๆ ละลานตาไปหมด

      ทางเข้าวัดจะเห็นเจดีย์ 3 ชั้นหลังใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ ชื่อว่าเจดีย์ซันจุโนโตะ    เข้าไปภายในมีศาลาประดิษฐานพระ
โพธิสัตว์ แต่ที่ขึ้นชื่อของวัดนี้คือระเบียง     ของศาลาหลังใหญ่ที่ตั้งอยู่บนไหล่เขาด้วยเสาไม้ต้นมหึมา หลายต้น มองเห็น
ตัวเมืองได้ชัดเจน วัดยังมีสถานที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งคือวิหารที่มีระเบียงไม้ยื่นออกมานอกตัว อาคาร ซึ่งมีเสาค้ำยันถึง 139
ต้น อีกทั้งยังเป็นการก่อสร้างอาคารโดยการใช้สลักยึดอาคาร  แทนการใช้ตะปูยึดอีกด้วย จุดเด่นอยู่ที่การสร้างวิหารริมเชิง
เขา ซึ่งใช้ไม้ซุงขนาดใหญ่ประมาณ 130 ต้น ซ้อนกันขึ้นไปเป็นฐาน

      วัดคิโยมิสึ ได้รับการดูแลทำนุบำรุงอย่างดีจากรัฐและชาวเกียวโต ทำให้สภาพวัดและโบราณสถานทางพุทธศาสนา
ยังคงความเก่าแก่และสมบูรณ์มาก ทำให้องค์การยูเนสโกยกย่องให้เป็นมรดกโลกอีกแห่งหนึ่ง    และถือเป็นสัญลักษณ์
ของเมืองเกียวโตด้วยอาคารหลักของวัดคิโยมิซึ เป็นที่รู้จักจากระเบียงขนาดใหญ่สูง 13 เมตรมีเสาไม้กว่าร้อยต้นรองรับ
สร้างยื่นออกจากด้านข้างของเนินเขา จากระเบียงนี้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ที่สวยงามของเมืองเกียวโตได้

      จากวิหารมีเส้นทางเดินเลาะริมเขาวนเข้าไปด้านใน ซึ่งเป็นป่าไม้ร่มรื่น และยังมีสวนแบบญี่ปุ่นให้ได้ชม ด้านตรงข้าม
มองกลับมาจะเห็นวิหารวัดคิโยมิสึตั้งตระหง่านโดยมีวิวนครเกียวโตเป็นฉากหลัง

      เราออกมาจากวัดน้ำใสก็เดินเล่นต่อแถวๆหน้าวัดครับ บรรยากาศของเมืองหลวงเก่านี่ดีจริงๆครับ เห็นแล้วนึกถึงบ้าน
คิเคียวยะซังในเรื่องอิ๊คคิวซังเลยครับ

      เดินเข้าซอยนู้นออกซอยนี้จนหลงทางครับ ไปถึงเจดีย์ 5 ชั้น ที่ชื่อว่า Yasaka pagoda ซึ่งอยู่ในศาลเจ้า Yasaka
สร้างขึ้นในสมัยเฮอัน

      เราเดินลัดเลาะไปตามซอกซอยจนออกมาที่ถนนใหญ่ ตอนนี้เริ่มงงแล้วครับว่าเราอยู่จุดไหนก็เลยไปถามคนญี่ปุ่นว่า
เราจะขึ้นรถเมล์กลับไป Kyoto Station  ต้องขึ้นสายอะไรเค้าพูดภาษาญี่ปุ่นกลับมาพร้อมกับทำมือทำไม้เหมือนให้เรารอ
ที่นี่ก่อนจนรถเมล์สาย 100 มาเค้าก็ชี้ให้เราขึ้นคันนี้

      เรากลับมาถึงโอซาก้าค่ำแล้ว  แต่แรงยังเหลือก็เลยเดินเล่นถนนสายชอปปิ้ง Shinsaibashi กันก่อน พรุ่งนี้เราจะไป
เกียวโตกันอีกรอบ แต่สำหรับคืนนี้ราตรีสวัสดิ์ฝันดีทุกท่านครับ และขอบคุณเป็นอย่างสูงที่ติดตามชมมาโดยตลอดครับ




Create Date : 29 ตุลาคม 2555
Last Update : 19 กันยายน 2556 8:20:17 น.
Counter : 3695 Pageviews.

2 comment
Yokoso Japan - Day5 Himeji

      ไม่น่าเชื่อว่าเมื่อวานฝนตกตั้งแต่เช้ายันค่ำแต่เช้าวันนี้อากาศจะสดใสไม่มีเมฆฝนเลย เราเช็คเอาท์ออกจากโรงแรม
แต่เช้าเพราะวันนี้จะกลับไปนอนที่โอซากา แต่ก็มีเรื่องให้ขำกันแต่เช้า เพราะเราเดินลากกระเป๋าจากโรงแรมจะไปขึ้นรถ
ไฟฟ้า แต่เดินวนไปวนมากลับมาอยู่ที่เดิมก็เลยหันกลับมาหัวเราะกันว่ามาตั้งหลายวันแล้วยังเดินหลงกันอีก

      เรามาที่สถานีชินจุกุเพื่อขึ้นรถ JR Chuo Line ไปลงสถานีโตเกียวเพื่อต่อรถ Shinkansen ไป Himeji  ซึ่งอยู่เลย
Osaka ไป เพราะเราจะไปที่นั่นกันก่อน รถชินกันเซนที่ไปถึง Himeji ออกจากสถานี Tokyo ประมาณ 9 โมงเช้า เป็น
ขบวนที่ตรงไป Himeji โดยไม่ต้องไปเปลี่ยนขบวนที่ Kyoto หรือ Shin-Osaka
      เช้าวันธรรมดาแบบนี้ ผู้คนออกมาทำงานกันจนสถานีรถไฟดูวุ่นวายไปหมด แต่จากประสพการณ์ที่เราเคยตกรถไฟ
ตั้งแต่วันแรกที่เดินทางมาถึงญี่ปุ่น ทำให้วันนี้เราวางแผนได้ดีไปทันรถไฟ

      และเหมือนกับขามาที่เรานั่งจาก Osaka มาโตเกียว คือต้องแวะเข้าไปสำรองตั๋วก่อนเดินทาง เพื่อหลีกเลี่ยงการไม่มี
ที่นั่ง เพราะรถขบวนที่วิ่งไกลขนาดนี้และเป็นเช้าวันธรรมดาคนใช้บริการกันเยอะมาก และอีกข้อคือควรนั่งด้านขวาของตัว
รถในวันที่อากาศสดใสแบบนี้เพราะเราจะได้บอกลากับฟูจิซัง.....ลาก่อนฟูจิซัง คงได้กลับมาพบกันอีกครั้ง

      ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงด้วยรถชินกันเซ็นเราก็มาถึงสถานี Himeji แต่ก่อนอื่นต้องหาที่ฝากกระเป๋าก่อนครับ เพราะ
ลากของพะรุงพะรังแบบนี้คงไม่สนุกแน่ๆ เดินหาไม่ยากเราก็เจอ Locker ฝากกระเป๋าครับ

      ฝากกระเป๋าเสร็จก็เดินตามป้ายทางออกที่เขียนว่า Himeji Castle พอขึ้นมาจากสถานีก็จะเห็นทางเดินไปปราสาทฮิเมจิ
เดินไปตามเส้นทางนี้ประมาณสัก 800 เมตรครับ เมื่อเช้าเราออกจากโตเกียวอากาศแจ่มใส แต่ที่ฮิเมจินี่ออกจะครึ้มๆและลม
แรงครับทำให้อากาศหนาวสำหรับเรา เดินไป-กลับจึงไม่เหนื่อยเท่าไหร่

      แต่ตอนนี้เที่ยงกว่าแล้วหาอะไรรองท้องกันก่อนดีกว่าครับ มีป้ายแนะนำร้านอาหารอยู่ตามริมทางอยู่หลายร้าน มีร้านนึง
ดูรูปแล้วหน้าตาน่ากินร้านอยู่ในซอยครับ เดินตามป้ายไปไม่ไกลก็พบกับร้านอาหารญี่ปุ่น เข้าไปสั่งอะไรไม่ถูกก็บูตะไว้ก่อน
ครับอย่างน้อยก็ได้หมูมากิน เพราะบ้านเราไม่กินเนื้อวัวครับ

      อิ่มแล้วก็เดินกันต่อครับ มาถึงด้านหน้าทางเข้าปราสาทแล้วครับ เดินข้ามสะพานนี้ไปก็จะเป็นประตูทางเข้า ซื้อบัตร
แล้วก็เข้าไปได้เลย ที่เห็นเครนนั่นก็เพราะว่าเค้ากำลังจะปิดซ่อมแซมปราสาทครับ และโชคดีทื่วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เค้า
เปิดให้เข้าไปชม และจะปิด 1 ปีเพื่อสร้างอาคารครอบตัวปราสาท

      หลังจากสร้างอาคารครอบตัวปราสาทเสร็จ จะเปิดให้เข้าชมอีกครั้ง สามารถเข้าไปชมในตัวอาคารครอบได้ เพื่อดูขั้น
ตอนการบำรุงรักษาตัวอาคารเริ่มจากหลังคาจนถึงฐานล่าง

ปัจจุบันสร้างอาคารครอบเสร็จแล้ว สภาพจะเป็นแบบนี้ครับ (ภาพจาก //www.japan-guide.com)

ปราสาทฮิเมะจิ (姫路城 Himeji-jo, Himeji Castle) เป็นสิ่งก่อสร้างที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่ง  ที่เหลือรอดมาจากการทิ้ง
ระเบิดในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองและแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ฮันชิง พ.ศ. 2538      ปราสาทฮิเมะจิได้รับการยกย่องจาก
ยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกและสมบัติประจำชาติญี่ปุ่นเมื่อเดือนธันวาคมปี พ.ศ. 2536 ถือว่าเป็น 1 ใน 3 ปราสาทที่งดงาม
ที่สุดในญี่ปุ่น โดยอีก 2 แห่งคือ ปราสาทมะสึโมะโตะ และปราสาทคุมะโมะโตะ และยังเป็นปราสาทที่มีผู้มาเยี่ยมชมมาก
ที่สุดในญี่ปุ่น ชาวญี่ปุ่นนิยมเรียกในชื่อว่า ปราสาทนกกระสาขาว ซึ่งมีที่มาจากพื้นผิวปราสาทภายนอกซึ่งมีสีขาวสว่าง

      ปราสาทฮิเมะจิเป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์ของปราสาทญี่ปุ่น ด้วยมีลักษณะสถาปัตยกรรมและยุทโธปกรณ์ครบตามแบบ
ของปราสาทญี่ปุ่น ทั้งฐานหินสูง กำแพงสีขาว    และอาคารต่างๆในบริเวณปราสาทถือได้ว่าเป็นมาตรฐานตามแบบของ
ปราสาทญี่ปุ่น และรอบๆปราสาทยังมีเครื่องป้องกันอีกมากมาย เช่น ช่องใส่ปืนใหญ่   รูสำหรับโยนหินออกนอกปราสาท

      จุดเด่นของปราสาทอย่างหนึ่งคือ ทางเดินสู่อาคารหลักซึ่งสลับซับซ้อนราวกับเขาวงกต   ทั้งประตูและกำแพงต่างๆ
ในปราสาทได้รับการออกแบบมาอย่างดีเพื่อป้องกันศัตรู ไม่ให้บุกรุกเข้าถึงโดยง่าย โดยทางเดินมีลักษณะเป็นวงก้นหอย
รอบๆอาคารหลัก และระหว่างทางก็จะพบทางตันอีกมากมาย   ระหว่างที่ศัตรูกำลังหลงทางอยู่นี้ก็จะถูกโจมตีจากข้างบน
อาคารหลักได้โดย สะดวก แต่อย่างไรก็ตาม  ปราสาทฮิเมะจิก็ยังไม่เคยถูกโจมตีในลักษณะนี้เลย ระบบการป้องกันต่างๆ
จึงยังไม่เคยถูกใช้งาน

      ตามแผน Renovate เค้าบอกว่าจะเสร็จในปี 2015 หลังจากนั้นก็จะรื้ออาคารครอบออก เราคงได้กลับมาเห็นความ
งดงามของปราสาทฮิเมจิ ท่ามกลางสีสันของธรรมชาติกันอีกครั้งครับ

      เดินเที่ยวเพลินจนลืมเวลา นี่ก็เย็นมากแล้วได้เวลาที่เราต้องกลับไปยังโอซาก้าแล้วครับ ต้องเผื่อเวลาไว้สักนิดไม่ให้
ไปถึงค่ำเกินไป เพราะเราต้องไปเดินหาโรงแรมกันอีก ไม่รูว่าจะหลงเหมือนโตเกียวรึเปล่าครับ

      เรากลับมาสถานี Himaji เพื่อเอากระเป๋าและขึ้นรถ Shinkansen กลับมายัง Shin-Osaka อย่าลืมว่า JR Pass ใช้กับ
รถขบวน Nozomi ไม่ได้นะครับ เวลาดูตารางเวลารถไฟบนบอร์ดอิเลคโทรนิคว่าขบวนรถไหนที่เราสามารถไปได้เร็วที่สุด
สังเกตุจากสีของตัวอักษรครับ สีแดง คือ Hikari สีน้ำเงิน Kodama สองขบวนนี้ใช้ JR Pass ได้   ส่วน Nozomi จะเป็นสี
เหลืองครับ

      มาถึง Shin-Osaka แล้วก็ต้องไปต่อรถไฟใต้ดิน Osaka City Subway Midosuji Line ไปลง Shinsaibashi ต้องเสีย
ตังค์นะครับเพราะ JR Pass ใช้ไม่ได้ครับ เรามาถึงสถานี Shinsaibashi ราวๆ 5 โมงกว่าครับ

      เราจองโรงแรม Hearton Hotel Shinsaibashi ไว้ จากสถานีออกทางออก 7 เดินตรงไปเจอสี่แยกเลี้ยวซ้าย เดินตรง
ไปเจอสี่แยกอีกทีจะเห็นโรงแรมอยู่ฝั่งตรงข้าม เดินข้ามถนนไปเลยครับ จากสถานีมาโรงแรมราวๆ 5 นาทีครับ

      เก็บของเสร็จยังมีพลังเหลือ เลยออกไปเดินเล่น Shinsaibashi Shopping Street ครับ หรือถนนคนเดินของ Osaka
จสกตรงนี้เดินทะลุไปได้เรื่อยๆครับ เหมือนบ้านเราเดินจากสำเพ็งไปพาหุรัดยังไงอย่างนั้นเลยครับ สินค้าก็สารพัดเลยทั้ง
เสื้อผ้า เครื่องสำอางค์ ขนม ร้านอาหาร ของเล่น ถ้าแรงเหลือก็เดินกันตามอัธยาศัยเลยครับ  ร้านค้าจะปิดประมาณ 3 ทุ่ม
ครับส่วนร้านอาหารดึกกว่านั้นครับ

      เราจะเดินเล่นกันเพลินจนร้านรวงเริ่มปิด จึงเดินกลับโรงแรม จากโรงแรมเดินมา Shisaibashi street ประมาณ3 นาที
ครับสะดวกมาก เราจบทริปวันที่ 5 ไว้ที่แหล่ง Shopping ของโอซาก้า พรุ่งนี้เราจะไปเยือนเมืองหลวงเก่า Kyoto กันครับ




Create Date : 22 ตุลาคม 2555
Last Update : 18 กันยายน 2556 8:45:01 น.
Counter : 4739 Pageviews.

5 comment
Yokoso Japan - Day4 Kamakura



      ฝนที่ตกพรำทั้งคืน ทำให้อากาศเช้าวันนี้ต่างจากเมื่อวานอย่างมาก เมื่อวานฟ้าใสแดดแรงแต่พอตกดึกเริ่มมีฝนตก
และตกต่อเนื่องจนถึงเช้า พยากรณ์อากาศที่นี่แม่นมากครับ   ผมดูพยากรณ์อากาศตั้งแต่วันศุกร์เค้าบอกวันจันทร์ฝนจะ
ตก ตอนที่ไปเดินเล่นพระราชวังอิมพีเรียลผมยังคิดอยู่เลยว่าฟ้าใสขนาดนี้พรุ่งนี้ฝนจะตกเหรอแล้วก็ตกจริงๆ  แล้วสิ่งที่
ตามมากับสายฝนก็คืออุณหภูมิที่ลดลงจนถึงขั้นหนาวจัด และปัญหาก็คือเราไม่ได้เตรียมเสื้อผ้ากันหนาวมากมา

     โชคดีที่มีทางเดินใต้ดินเชื่อมระหว่างหน้าโรงแรม Prince ไปยังสถานีรถไฟชินจูกุ ทำให้อาศัยหลบฝนหลบหนาวได้
บ้างครับ วันนี้คงเป็นวันลำบากอีกหนึ่งวันแน่ๆ

      จุดหมายของเราวันนี้คือพระใหญ่ Daibutsu ที่ Kamakura จากสถานีชินจูกุ เราต้องนั่งรถ JR Shonan-Shinjuku Line
ไปลงที่ โอฟูนะ(Ofuna) แล้วต่อ JR Yokosuka Line ไปลงคามาคุระ(Kamakura) ใช้ JR Pass ได้นะครับแต่ถึง  คามาคุระ
ยังต้องต่อรถไฟสาย Enoshima Electric Railway หรืออีกชื่อคือ Enoden เพื่อไปลงสถานีฮาเสะ(HASE) ต้องเสียค่ารถนะ
ครับ 190 เยน รถสายนี้หน้าตาจะดูคลาสสิคครับ

      มาถึงสถานีฮาเสะ เจอร้าน 100 เยน อยู่หน้าสถานีต้องเดินเข้าไปดูกันสักหน่อยครับ หลบอากาศหนาวสักนิด ของ
ขายก็เหมือนร้าน Daiso บ้านเรา จริงๆต้องพูดว่า Daiso บ้านเราเหมือนเค้าถึงจะถูก เราแวะซื้อร่มเพิ่มอีก 2 คัน    เพราะ
เอามาจากบ้านแค่ 2 คัน

      จากสถานีเดินต่อไปอีกประมาณสัก 500 เมตร ผ่านร้านต่างๆริมทางแต่ปัญหาก็คือฝนที่ตกลงมาอีกแล้ว อากาศก็เย็น
ขึ้นจับใจจริงๆครับ

      เดินตากฝนกันมาสักพักก็มาถึงแล้วครับ วัดโคโตกุอิน (Kotokuin Temple) เป็ววัดที่ตั้งอยู่บนเนินเขาของเมืองคามาคุระ
เป็นที่ประดิษฐานพระใหญ่แห่งเมืองคามาคุระ (Kamakura Dibutsu) มาถึงบันไดขึ้นฝนยังตกอยู่ครับ   แต่พอเดินขึ้นไปด้าน
บนฝนก็หยุด แต่พักเดียวก็ตกอีก ตกๆหยุดๆแบบนี้ทั้งวันครับ

      พระใหญ่แห่งคามาคุระ (Kamakura Daibutsu) หรือชื่อจริงคือ พระอมิตตาพุทธ นิโอยุราอิ (Amida Nyoyurai)  องค์ที่
เห็นในปัจจุบันสร้างจากสำริด เสร็จเมื่อปี พ.ศ.1795 ความสูงรวมฐานอยู่ที่ 13.35 เมตร เฉพาะตัวองค์พระนั้นสูง 11 เมตร
น้ำหนักราว 122 ตัน ถ้ามองไกลๆจะเห็นองค์พระที่ไม่สมส่วน ดูจากพระหัตถ์นั้นดูเล็กนิดเดียว  หากอยากดูองค์พระนี้ให้สม
ส่วนต้องเข้าไปยืนใกล้ๆ ห่างจากองค์พระ 4-5 เมตรแล้วแหงนหน้ามองขึ้นไปจะเห็นองค์พระดูสมส่วนรับกันทั้งองค์สวยงาม
ขึ้น ส่วนองค์พระที่มองเห็นเป็นสีเขียวนั้น เกิดจากการที่สำริดทำปฏิกิริยาออกซิเดชั่นกับสภาพอากาศทั้งฝนและหิมะมายาว
นานจนกลายเป็นสีเขียว หากสังเกตให้ดีจะเห็นรอยเชื่อมต่อโลหะ   เชื่อมพระพุทธรูปองค์นี้ให้เป็นรูปร่างซ้อนกันขึ้นไปรวม
ทั้งหมด 8 ชิ้น

      เดิมพระใหญ่แห่งคามาคุระแกะสลักด้วยไม้มีขนาดความสูงถึง 24 เมตร ประดิษฐานในวิหาร สร้างเสร็จสมบูรณ์ ในปี ค.ศ.
1243 โดย โชกุน โยริโมโตะ มินาโมโตะ ได้เดินทางไปร่วมงานบูรณะ Daibutsu แห่งเมือง Nara   เมื่อกลับมาจึงคิดสร้างพระ
ใหญ่ที่คามาคุระแต่เสียชีวิตลงก่อน   นาง Inada Notsubone สตรีที่เคยรับใช้โชกุน โยริโมโตะ ต้องการที่จะสานต่อการสร้าง
Daibutsu โดยได้รับความช่วยเหลือจากหลวงพ่อโจโคะ (Joko) ที่ได้ร่วมเดินทางไปทั่วญี่ปุ่นเพื่อรับบริจาคเงินจากพุทธศาส
นิกชนสำหรับใช้ในการสร้างองค์พระใหญ่ จนสร้างได้สำเร็จ

      น่าเสียดายที่อีก 4 ปี ต่อมาเกิดพายุไต้ฝุ่นพัดผ่านคามาคุระ สร้างความเสียหายให้กับ พระองค์ใหญ่ Daibutsu และวิหาร
ซึ่งตกลงมาแตกหักเกินกว่าจะซ่อมแซมได้ ทำให้ Inada Notsubone และหลวงพ่อโจโคะ   ต้องออกเดินทางอีกครั้งเพื่อบอก
บุญสำหรับการสร้าง Daibutsu องค์ใหม่   เมื่อรวบรวมปัจจัยครบหมดแล้ว  ครั้งนี้จึงเปลี่ยนมาใช้วัสดุที่คงทนถาวรอย่างสำริด
เหมือน กับองค์ที่ Nara ถึงกระนั้นก็ตามการหล่อ Daibutsu องค์ใหม่นี้ก็ประสบความล้มเหลวหลายครั้ง จนกระทั่งได้ช่างฝีมือ
ดี 2 คนชื่อ ทันจิ ฮิซาโตโมะ (Tanji Hisatomo) และ โกโรอิมง โอโนะ (Goroe-mon Ono) มาช่วยหล่อองค์พระได้สำเร็จใน
ปี พ.ศ. 1795 ประดิษฐานในวิหารของวัดโคโตกุอิน (Kotoku-in Temple)     
      วิหารวัดโคโตกุอิน ได้โดนพายุพัดและแผ่นดินไหวเสียหายและมีการสร้างใหม่อีกหลายครั้งจนถึงปี พ.ศ. 2041 เกิดคลื่น
ยักษ์ซึนามิถล่มเมืองคามาคุระ จนวิหารพังเสียหายทั้งหลังเหลือแต่องค์พระที่ยังคงอยู่   พระใหญ่แห่งคามาคุระจึงประดิษฐาน
อยู่กลางแจ้งตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

      ฝนเทกระหน่ำลงมาอีกรอบก่อนที่เราจะออกจากวัดโคโตโกะอิน คราวนี้หนักมากจนเราต้องยืนหลบฝนอยู่ใต้ซุ้มประตูวัด
รอจนฝนหยุดพร้อมกับความหนาวเย็นที่แทรกเข้ามาทุกอณู พอฝนหยุดเราเลยต้องเข้าไปหาไออุ่นในร้านขายขนมโมจิ จนรู้
สึกร่างกายอุ่นขึ้นจึงเดินกลับมาเส้นทางสถานีฮาเสะ ก่อนถึงสถานีทางขวามือมีวัดฮาเสะเดระ (Hasedera Temple) เราแวะ
เข้าไปเที่ยวก่อนไปต่อ

      วัดฮะเซ (Hasedera หรือ Hase Kannon Temple) วัดนี้ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ.721 โดยพระภิกษุชื่อโทคุโด(Tokudo)
ท่านได้พบต้นการบูร (Camphor) ต้นใหญ่ในป่าแห่งหนึ่ง จึงได้นำมาแกะสลักเป็นรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร(Kannon)
2 องค์ โดยแต่ละองค์จะมีพระพักตร์ 11 พระพักตร์ สำหรับรูปพระโพธิสัตว์ที่แกะจากไม้ส่วนล่างนั้น ได้ประดิษฐานไว้ที่
วัดฮะเซ ในจังหวัดยาโมโต ซึ่งปัจจุบันคือนารา (Nara) ส่วนรูปที่แกะสลักจากไม้ส่วนบน ท่านได้นำไปลอยทะเล พร้อม
กับเสี่ยงทาย อธิษฐานถึงสถานที่สมควรประดิษฐาน เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้สักการะ
      16 ปีให้หลัง รูปสลักดังกล่าวได้ลอยขึ้นฝั่ง ในวันที่ 16 มิถุนายน ค.ศ.736 ที่นาไก (Nagai) ในแหลมมิอุรา (Miura)
โดยเปล่งรัศมีส่องสว่างไปทั่วท้องทะเล รูปสลักจึงได้ถูกอัญเชิญมาประดิษฐานยังคามาคุระ ต่อมาท่านโทคุโดได้รับเชิญ
ให้มาสร้างวัดใหม่ คือวัดฮะเซในปัจจุบัน รูปสลักพระโพธิสัตว์จึงถูกอัญเชิญมาประดิษฐานยังวัดฮะเซจนถึงบัดนี้

      พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร(Bodhidasattva หรือ Avalokitesavara Juichimen Kannon) มีพระพักตร์ 11 พระพักตร์
สูง 9.18 เมตร ถือเป็นรูปแกะสลักไม้ที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น รู้จักกันดีในนามพระโพธิสัตว์แห่งฮะเซ(Hase Kannon) สำหรับ
พระพักตร์ทั้ง 11 นั้น จะแทนลักษณะ 11 ลักษณะของพระโพธิสัตว์  โดยมีพระพักตร์ใหญ่ 1 พระพักตร์  มีพระพักตร์เล็ก
อยู่เหนือพระพักตร์ใหญ่หันไปด้านซ้าย ด้านขวา และตรงกลาง ด้านละ 3 พระพักตร์และมีพระพักตร์เล็กอยู่บนยอดมงกุฎ
อีก 1 พระพักตร์ ซึ่งให้ความหมายว่าพระโพธิสัตว์สามารถรับฟังความทุกข์ยากของคนและปัดเป่าความทุกข์ยากได้ทั่วสาร
ทิศ สำหรับพระโพธิสัตว์นี้มีลักษณะเฉพาะคือพระหัตถ์ขวาถือธารพระกร(ไม้เท้า)แบบพระ มีห่วงโลหะอยู่บนยอดพระหัตถ์
ซ้ายถือดอกบัว กล่าวกันว่าเป็นการผสมผสานลักษณะของพระโพธิสัตว์จิโซ (Jizou)   เข้าไว้กับลักษณะของพระโพธิสัตว์
อวโลกิเตศวรเพื่อเป็นการผสานพลังของพระโพธิสัตว์ทั้งสองให้สามารถช่วยเหลือ มวลมนุษย์ได้มากยิ่งขึ้น

      พระอมิตดาพุทธเจ้า (Amida Buddha หรือ Amitabha) ประดิษฐานในวิหารด้านซ้ายของวิหารที่ประดิษฐานพระ
โพธิสัตว์อวโลกิเตศวร รูปพระอมิตดาพุทธเจ้าสูง 2.8 เมตร ประทับนั่งขัดสมาธิเพชร สร้างขึ้นโดยมินาโมโต โยริโตโม
(Minamoto Yoritomo, 1147-1199) ซึ่งเป็นโชกุนคนแรกของสมัยคามาคุระ เพื่อสะเดาะเคราะห์ในปีที่ท่านมีอายุครบ
42 ปี ในครั้งแรกรูปพระอมิตดาพุทธเจ้านี้ประดิษฐานอยู่ที่วัดเซกังจิ (Seigan-ji) ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งในคามาคุระ ต่อมา
ในราวศตวรรษที่ 17 ได้มีการย้ายมาประดิษฐานที่วัดฮะเซ รู้จักกันในนามพระอมิตดาแห่งความโชคดี(Good luck Amida)

      พระโพธิสัตว์จิโซเป็นพระโพธิสัตว์ที่ช่วยนำดวงวิญญาณของสรรพสัตว์ให้พ้นจาก ความทุกข์ยากทั้งปวง โดยเฉพาะ
ช่วยนำดวงวิญญานของเด็กที่เสียชีวิต หรือเสียชีวิตจากการแท้งให้ไปสู่สวรรค์ พลังของพระโพธิสัตว์จิโซนั้นสามารถแผ่
ไปได้อย่างกว้างขวาง จึงนิยมสร้างรูปพระโพธิสัตว์จิโซไว้บูชาในวัดต่าง ๆ   โดยสร้างเป็นรูปพระที่มีพระพักตร์คล้ายเด็ก
ประทับยืนบนดอกบัว พระหัตถ์ขวาถืออธารพระกร พระหัตถ์ซ้ายถือแก้วมณี

      นอกจากนี้ในวัดยังมีศาลเจ้าที่ชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติไปขอพรโดยนำแผ่นไม้เขียนคำอธิษฐานไปแขวนไว้ แต่
ผมดูจากรูปบนแผ่นไม้น่าจะไปขอลูกมากกว่านะครับ เพราะเป็นรูปเด็ก แต่มีบางแผ่นเป็นรูปม้า   เลยไม่รู้ว่าแต่ละรูปมี
ความหมายอะไรบ้าง

      เนื่องจากวัดฮาเสะเดระตั้งอยู่บนภูเขา ทำให้ที่นี่มองเห็นหมู่บ้านฮาเสะและเมืองคามาคุระได้ทั้งเมือง แต่เนื่องจาก
วันที่เรามาฝนตกหนักก็เลยมองไม่ค่อยเห็นอะไรครับ

      นอกจากพระและเทพเจ้าต่างๆแล้ว วัดนี้ยังมีการจัดสวนแบบญี่ปุ่น ทางขึ้นวัดมีใบไม้แดงให้ดูนอกฤดูด้วยครับและ
หากอากาศดี ด้านบนมีทางเดินขึ้นเขาซึ่งเป็นจุดชมซากุระสวยงามอีกที่หนึ่งครับ

      ด้วยอากาศที่หนาวจัดและละอองฝนทำให้เด็กรู้สึกไม่ค่อยสบาย ผมจึงตัดสินใจกลับเข้าโตเกียวและกลับไปพักที่
โรงแรมโดยตัดโปรแกรมตอนบ่ายออก เดิมทีแพลนไว้ว่าจะไปสวนฮูเอโนะ เพื่อชมซากุระ  แต่ฝนตกแบบนี้คงไม่สวย
เท่าไหร่ครับ อีกที่หนึ่งที่ผมตัดออกจากโปรแกรม เป็นที่ที่ผมตั้งใจจะไปก่อนที่จะเดินทางมาญี่ปุ่น    ผมเห็นภาพเขียน
ภาพหนึ่งและสงสัยว่าสถานที่นี้มันมีอยู่จริงหรือเปล่า พยายามค้นหาข้อมูลจนรู้ว่ามันอยู่ในคามาคุระนี่เอง

      สถานที่แห่งนี้ก็คือ shichirigahama เสียดายจริงๆครับที่ฝนตก เพราะถ้าไปก็คงมองไม่เห็นอะไร ต้องไปวันที่ฟ้าใสๆ
เท่านั้นครับ แต่ไม่เป็นไรเพราะผมคงมีโอกาสได้ไปเยือนอีกครั้ง (ขอบคุณรูปจาก //mohsho.image.coocan.jp/enoshima01.jpg)

      เรากลับมาขึ้นรถที่สถานีฮาเสะ เพื่อไปลงสถานีคามาคุระ เพื่อต่อรถกลับโตเกียว แต่ก่อนจะขึ้นรถกลับคงต้องหาอะไร
กินกันก่อน เราเข้าไปใน komachi dori street ซึ่งอยู่ใกล้กับสถานี เป็น Shopping Street ของเมืองคามาคุระ  จุดสังเกตุ
คือมีเสาโทเรอิตั้งอยู่ทางเข้าถนน เดินเข้าไปด้านในมีร้านค้าร้านอาหารมากมายครับ แต่เสียดายที่ฝนยังไม่เลิกตก   ก็เลย
กินข้าวเสร็จแล้วกลับโตเกียวครับ

      เรากลับเข้าโรงแรมพักผ่อนร่างกายให้อบอุ่นขึ้น   จนค่ำจึงออกมาเดินหาอาหารค่ำกินและส่งท้ายนครโตเกียวก่อนที่จะ
อำลาไปในวันพรุ่งนี้ เราเดินเล่นจนมาเจอศาลเจ้า Hanazono Shrine ซึ่งมีทางเข้าอยู่ซอกตึก แต่เข้าไปข้างในใหญ่โตมาก
ครับ ศาลเจ้าแห่งนี้มีอายุกว่า 300 ปีประมาณเดือนพฤษภาคมของทุกปีจะมีงานประจำปีเรียกว่าเทศการโตริโน-อิชิ (Torino
Ichi) จะมีการแห่เจ้าไปตามถนนในชินจุกุ

      น่าเสียดายที่วันสุดท้ายของเราในโตเกียวโดนฝนหนักทั้งวันทำให้พลาดโปรแกรมไปหลายที่ เราออกจากศาลเจ้า
เพื่อเดินชมบรรยากาศยามค่ำของโตเกียวก่อนกลับเข้าที่พัก สำหรับพรุ่งนี้เราจะอำลาโตเกียว กลับสู่โอซากาครับ




Create Date : 18 ตุลาคม 2555
Last Update : 17 กันยายน 2556 20:38:48 น.
Counter : 4096 Pageviews.

6 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  

นักบัญชีขี้บ่น
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]