All Blog
Hi! Seoul....Part III

      เช้าวันนี้อากาศดีมากครับ ท้องฟ้าโปร่งอากาศเย็นสบายเราจะไปเดินเที่ยววังกัน วังของเกาหลีมีทั้งหมด
5 แห่ง วันนี้เราจะไป 3 แห่งก่อน แต่ถ้าเดินไม่ไหวก็ตัดๆออกไปบ้างก็ได้ครับ เพราะไปแล้วก็เหมือนๆกันหมด
จนสับสนว่าไปที่ไหนมาบ้าง
      เริ่มต้นจากพระราชวังแรกที่เป็นพระราชวังใหญ่ที่สุดก่อนครับ จากเมียงดงนั่งรถสาย 4 (สีฟ้า)ไป 1 สถานี
ลงที่สถานี Chunamuro แล้วต่อรถไฟสาย 3 (สีส้ม) ไปลงที่สถานี Gyeongbokgung (เคียงบกกุง) แล้วออก
ทางออกที่ 5 ครับ หรือจะลงสถานี Anguk ออกทางออกที่ 3 ก็ได้ แต่ที่ผมแนะนำให้ลง Gyeongkokgung
เพราะเวลาเดินเที่ยวจะได้ไม่ต้องเดินย้อยกลับทางเดิมครับ

      พระราชวังเคียงบกกุง (Gyeongbokgung Palace) ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1395  เพื่อเป็นพระราชวังหลักของ
ราชวงศ์โชซอน อันเป็นราชวงศ์ที่สถาปนาขึ้นโดยกษัตริย์แทโจโดยพระองค์ได้ทรงสร้างพระราชวังไว้ถึง 5 แห่ง
พระราชวังเคียงบกกุง มีอีกชื่อที่เป็นที่รู้จักทั่วไป คือ “พระราชวังภาคเหนือ”เนื่องจากอยู่ในทิศเหนือสุดในบรรดา
พระราชวังทั้ง 5 แห่งและยังถือว่าเป็นพระราชวังที่สวยงามและยิ่งใหญ่ที่สุด


      ซื้อบัตรแล้วเดินผ่านเข้าซุ้มประตูมา เราจะเห็นประตูเมืองอยู่ด้านขวา ชื่อประตูกวงฮวามุน(Gwanghwamun)
ส่วนประตูที่เราเข้าเป็นด้านข้างครับ ด้านซ้ายมือเป็นซุ้มประตูเข้าสู่เขตพระราชฐานด้านใน ในเวลา 10.30 13.30
และ 15.30 ของทุกวันจะมีจัดแสดงพิธีเปลี่ยนเวรยามของทหารราชองครักษ์ บริเวณลานหน้าซุ้มประตูนี้ครับ

      เดินผ่านซุ้มประตูเข้าไปจะพบกับพระที่นั่งคีนซองจอน(Geunjeongieon) หลังที่เห็นปัจจุบันนี้สร้างขึ้นเมื่อ
ค.ศ. 1867 ทดแทนหลังเดิมที่ถูกทำลายไปในช่วงทำสงครามกับญี่ปุ่น ด้านหลังพระที่นั่งจะเห็นยอดเขามังกร
ในเขตอุทยานแห่งชาติพูกันซานตั้งตระหง่านอยู่ด้านหลัง

      เดินผ่านพระที่นั่งคีนซองจอน ไปทางด้านหลังมีตำหนักเล็กๆเป็นหมู่ แต่ส่วนใหญ่จะให้ชมแต่ด้านนอกครับ
ดูๆไปก็เหมือนกันไปหมดทุกหลัง

      เดินออกประตูทางด้านซ้ายมือ จะเจอพระตำหนักเคียงเฮรู(Gyeonghoeru) ซึ่งเป็นพระตำหนักที่ตั้งอยู่กลาง
สระน้ำ ในสมัยก่อนใช้เป็นที่จัดพระราชทานงานเลี้ยงในโอกาสต่างๆ

      เส้นทางเดินชมพระราชวังเคียงบก จัดแบบวันเวย์เมื่อเราเดินตามทางไปเรื่อยๆ จนะสุดท้าย ท้ายสุดเมื่อเดิน
ทะลุเข้าไปด้านในสุดจะพบกับ พระตำหนักกลางน้ำฮานวอนจอง(Hyangwonjeong) รูปทรงหกเหลี่ยมตั้งอยู่บน
เกาะกลางน้ำมีสะพานไม้ทอดจากฝั่ง แต่ไม่อนุญาตให้ข้ามไปครับ ด้านหลังคือยอดเขามังกรในเขตอุทยานแห่ง
ชาติพูกันซาน

      จากพระตำหนักกลางน้ำ เดินต่อไปทางด้านขวามือจะพบกับพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านแห่งชาติเกาหลี ไม่ต้องซื้อ
บัตรเข้าชมอีกนะครับ เพราะซื้อครั้งเดียวเที่ยวได้ทั้งสองที่  ภายในจัดแสดงเรื่องราววิถีการดำเนินชีวิตของชาว
เกาหลีสมัยโบราณจนถึงราชวงศ์โชซอน รวมถึงข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ

      หันหน้าออกจากพิพิธภัณฑ์ ซ้ายมือมีประตูทางออกสู่ถนนซัมซองดงโร(Samcheongdongro) ตอนแรกผม
วางแผนว่าจะเดินจากวังเคียงบกกุง ไปพระราชวังชางด๊อกกุง(Changdeokgung)

      เส้นทางเดินก่อนถึงสถานี Anguk สองข้างทางจะมีร้านอาหาร ร้านกาแฟ และ Art Gallery อยู่หลายร้าน
แต่ละร้านแต่งร้านได้สวยแข่งกันเรียกลูกค้า เราแวะกินอาหารกลางวันกันแถวนี้ เป็นร้านอาหารเกาหลีคนแน่น
มากเรียกว่าต่อคิวกันนั่งเลย

      พออิ่มแล้ว จากแผนเดิมที่จะเดินต่อไปยังชางด๊อกกุง สมาชิกก็เริ่มงอแงไม่ยอมเดินต่อ ผมเลยต้องใช้แผน
สำรองเปลี่ยนเป็นไปเดินช็อปปิ้งเรียกกำลังที่อินซาดง(Insadong)แทน ดูจากแผนที่ก็คือมุมล่างซ้ายแต่เส้นทาง
ที่ไปอินซาดง ต้องผ่านวังอึนเฮียนกุง(Unhyeongung Palace)ก่อน

      เดิมทีวังนี้เป็นบ้านของชายหนุ่มชื่อ “Gojong” ซึ่งต่อมากลายเป็นจักรพรรดิ์ในช่วงราชวงศ์โชซอนและได้รับ
การบูรณะให้กลายเป็นพระราชวังเพื่อการพำนักของพระองค์ตลอดสิ้นอายุขัย ด้วยความเสียหายที่เกิดขึ้นระหว่าง
ยุคล่าอาณานิคมของญี่ปุ่นและช่วงสงครามเกาหลี  ทำให้หลังจากการบูรณะอีกครั้งแล้ว พระราชวังแห่งนี้มีขนาด
เล็กลงกว่าที่เคยเป็นในอดีต

      ออกจาก Unhyeongung Palace ข้ามถนนแล้วเดินต่อไปเรื่อยๆก็จะถึง Insadong ย่านการค้าที่เป็นแหล่ง
ค้างานศิลป์ ของสะสม และของที่ระลึก มีร้า่นค้า หอศิลป์เอกชน ร้านกาแฟ เรียงรายสองข้างถนน ดูๆก็เหมือน
ถนนคนเดินบ้านเราครับ ใครจะซื้อของฝากซื้อที่นี่ถูกที่สุดในโซลแล้วครับ

       ในถนนเส้นอินซาดงหากเดินเรื่อยๆโดยไม่ย้อนกลับทางเดิมสามารถไปขึ้นรถไฟฟ้าสาย 1 สถานี Jonggak
ได้ หรือจะเดินย้อนกลับไปขึ้นสาย 4 ที่สถานี Anguk แต่ผมรู้สึกว่าขาจะลากจนเดินไม่ไหว เลยขึ้นแท็กซี่ดีกว่า
ผมเรียกแท็กซี่ไปส่งที่ตลาดนัมแดมุน(Namdaemun Market) หากขึ้นรถไฟฟ้านั่งสาย 4 ลงที่สถานี Hhoehyeon
ไม่กล้าอ่านเป็นคำไทยครับกลัวออกเสียงผิด ออกทางประตู 5, 6 หรือ 7 ครับ
      นัมแดมุนเป็นตลาดเก่าแก่ตั้งแต่สมัยราชวงศ์โชซอนจึงเป็นตลาดค้าส่งที่ใหญ่มาก มีสินค้าตั้งแต่เสื้อผ้า สินค้า
เกษตร เคื่องหนัง เครื่องใช้ไฟฟ้า ขนมโดยเฉพาะสาหร่าย นอกจากนั้นยังมีของกินประจำชาติ ขายตามรถเข็น
บางร้านคนรอคิวเยอะมากครับ

      เดินทะลุตลาดนัมแดมุนออกไป จะพบกับประตูนัมแดมุม(Namdaemun Gate) หรืออีกชื่อหนึ่งคือประตู
ชุงเนมุน(Sungnyemun) เป็นประตูเมืองที่สำคัญที่สุดในบรรดาประตูเมืองเก่าทั้งหมดของเกาหลี ได้รับการชึ้น
ทะเบียนเป็นมรดกโลกลำดับ 1 ของเกาหลีใต้ แต่ประตูที่เห็นในปัจจุบันในส่วนที่เป็นไม้ด้านบนได้รับการบูรณะ
ใหม่เนื่องจากถูกลอบวางเพลงเมื่อปี 2008

      จากประตูนัมแดมุนเดินย้อนกลับมาทางเดิม  เพื่อมาขึ้นรถไฟฟ้าที่สถานี Hhoehyeon กลับไปเมียงดงครับ
เพราะตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว ถึงเมียงดงเราแวะเอาของไปเก็บที่ห้องพักก่อน จากที่พัก IB Ville เดินย้อนกลับลง
มาทางปากซอยสัก 50 เมตร ซ้านมือมีสามแยกเลี้ยวซ้ายแล้วเดินตามทางไปเลยครับ จะไปถึงสถานีเคเบิลคาร์
เพื่อขึ้นไปยัง N Seoul Tower

      นั่งกระเช้าไม่กี่นาทีก็ขึ้นมาถึงแล้วครับ N Seoul Tower หรือ Namsan Seoul Tower หอคอยที่สร้างขึ้น
บนยอดเขานัมซาน สามารถมองเห็นได้จากทั่วกรุงโซล ถือเป็นแลนด์มาร์กของกรุงโซลเลยก็ว่าได้ครับ

      มีผู้คนขึ้นมาเยือนที่นี่กันเป็นจำนวนมาก เพราะสามารถมองเห็นวิวทิวทีศน์ของกรุงโซลสวยงามมากโดย
เฉพาะเวลาพลบค่ำ

      นอกจากนั้นบริเวณระเบียงชมวิวยังเป็นที่ที่หนุ่มสาวเอากุญแจมาคล้องแล้วโยนลูกกุญแจทิ้งเพราะเชื่อว่า
ความรักจะคงอยู่ยืนยาว

      หากใครเป็นแฟนเท็ดดี้แบร์ก็ไม่ควรพลาดชมพิพิธภัณฑ์หมีเท็ดดี้ซึ่งอยู่ชั้นล่างของ N Seoul Tower ที่นี่จะ
จัดแสดงเรื่องราวประวัติศาสตร์ของเกาหลีโดยผ่านตุ๊กตาเท็ดดี้แบร์

      ได้เวลากลับกันสักทีครับวันนี้ตะลอนกันทั้งวันเลย เราย้อนลงกลับเส้นทางเดิมพอกลับมาถึงที่พักผมก็ขอ
นอนเล่นในห้องส่วนสาวๆยังมีแรงเหลือไปเดินตลาดเมียงดงกันต่ออีก พรุ่งนี้เราจะตะลอนกรุงโซล กันอีกวันก่อน
กลับบ้านตอนดึก




Create Date : 13 กันยายน 2556
Last Update : 13 กันยายน 2556 14:06:02 น.
Counter : 1368 Pageviews.

0 comment
Hi! Seoul....Part II

      วันนี้เราจะเดินทางไกลกันสักหน่อยครับ จากโซลเราจะไปทางฝั่งตะวันออกขึ้นไปทางเหนือ คือเมือง
ซกโซ(Sokcho) เพื่อไปเที่ยวอุทยานแห่งชาติซอรัคซาน(Seoraksan National Park) การเดินทางไปยัง
ซอคโซก็ไม่ยากครับ ขึ้นรถบัสจากโซลไปซอคโซได้เลย ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง
      จากเมียงดง เราขึ้นรถไฟสาย 4 ไปลง Dongdamun Stadium แล้วต่อรถไฟสาย 2 ไปลงที่สถานี
Gangbyeon ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานีขนส่งของโซลครับ


      พอถึงสถานี Gangbyeon เดินขึ้นทางออก 4 ครับ ออกมาก็จะ งงๆ นิดนึง ให้มองขวามือเยื้องไปทางด้านหลัง
จะเห็นอาคารคล้ายๆห้างสรรพสินค้าและ Office Buliding คนเดินเข้าไปเยอะๆ เดินตามเค้าเข้าไปเลยครับ ทะลุ
ออกด้านหลังอาคารจะเจอกับสถานีขนส่ง เดินตามทางเดินไปเรื่อยๆ จะเจอห้องขายตั๋วครับ รถไป Sokcho เที่ยว
แรกออก 6 โมงครึ่ง แต่มันเช้าเกินไปครับ ผมเลยไปรถเที่ยว 7 โมง 10 นาที ค่ารถ 16,100 วอนครับ

      รถบัสที่นี่ออกตรงเวลามากครับ พอ 7 โมง 10 นาทีปุ๊บ รถออกทันทีครับ ทั้งคันมี 7 คนรวมคนขับ ไม่เหมือน
รถบ้านเราถ้าไม่เต็มไม่ออก ช่วงเช้าในกรุงโซลรถติดพอสมควร แต่พอขึ้น Freeway ก็โล่งครับ รถจะไปแวะ 1 จุด
ซึ่งผมไม่รู้ว่าเรียกว่าอะไร ลงไปเข้าห้องน้ำได้ครับ คล้ายๆจุดแวะพักมอร์เตอร์เวย์บ้านเรา แต่ร้านค้ามีไม่กี่ร้านครับ
ซื้อน้ำ ซื้อขนมกินได้ครับ

      เลยจากจุดแวะพักมาไม่นาน ภูมิประเทศเริ่มเปลี่ยนไปเป็นป่าเขา แล้วจู่ๆหิมะต้นฤดูร้อนก็ตกอย่างหนักเลย
ครับจนสองข้างทางขาวโพลนไปหมด

      ขับมาอีกไม่นานเราก็มาถึงเมืองซกโซ(Sokcho)ครับ หิมะหยุดตกแล้วแต่ถนนหนทางเฉอะแฉะมาก ท้องฟ้า
ก็หม่นมัวสุดๆครับ

      ถึงสถานี Sokcho ผมแวะไปดูตารางรถขากลับ รถออกทุก 40 นาที คันสุดท้ายประมาณ 6 โมงเย็น ผมเลย
ไม่ได้จองตั๋วขากลับไว้ เพราะกะเวลาไม่ถูกว่าจะกลับมาถึงกี่โมงครับ


      ออกจากสถานีเราต้องข้ามฟากไปขึ้นรถเมล์อีกฟากของถนน แต่ต้องเดินย้อนลงไปพอสมควรครับถึงจะเจอ
ทางม้าลาย อย่าข้ามสุ่มสี่สุ่มห้านะครับเดี๋ยวจะโดนปรับเอา ข้ามถนนเสร็จก็เดินย้อนกลับมาป้ายรถเมล์ ป้ายแรก
ยังไม่ใช่ครับ เดินเลยมาอีกเจอป้ายที่มีสาย 7-1 แต่ว่าไม่มีภาษาอังกฤษนะครับมีแค่ตัวเลขเท่านั้นที่เป็นอาราบิค
นอกนั้นภาษาเกาหลีล้วนๆครับ รอตรงนี้สักพักรถก็มาขึ้นกันเลยครับ รถเมล์ที่ไปซอรัคซาน มี 2 สายครับคือสาย
7 และ 7-1 ราคาค่ารถ 1,000 Won ขึ้นทางประตูหน้าหยอดเงินในกล่องข้างคนขับครับ รถจะขับเลียบทะเลไป
เรื่อยจากนั้นก็จะเลี้ยวเข้าเขตอุทยาน ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงครับ

      รถเมล์จะมาจอดที่หน้าอุทยานครับจากนั้นเราต้องเดินต่อเข้าไป ประมาณสัก 200 เมตรได้จะเห็นร้านอาหาร
และร้านขายของที่ระลึกอยู่ด้านซ้าย เลยเข้าไปอีกนิดตรงสีแดงๆระหว่างต้นสนจะเป็นซุ้มขายบัตรผ่านประตูครับ
เราแวะกินข้าวกันที่ร้านอาหารด้านหน้า มีคุณป้า 2-3 คนช่วยกันขาย พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ก็ใช้ชี้จากโต๊ะข้างๆ
เอาครับ

      กินข้าวเสร็จก็เดินเข้ามาซื้อบัตรผ่านประตู ราคา 2,500 Won ต่อคนครับ ผ่านประตูมาแล้วยังไม่ทันได้เดิน
เข้าไป หิมะก็ตกลงมาอีกครับ มัวแต่สนุกสนานถ่ายรูปตอนหิมะตกก็เลยลืมถ่ายรูปกับรูปปั้นหมีซึ่งเป็นสัญลักษณ์
ของซอรัคซาน หมีตัวนี้มีชื่อว่า"หมีเสี้ยวพระจันทร์" ไม่ทราบว่าชื่อนี้ได้แต่ใดมาครับ แต่จนแล้วจนรอดเดินกลับ
ออกมาก็ไม่ได้ถ่ายคู่กับหมีครับเพราะลืมไปเลย


      หลบหลังซุ้มขายบัตรจนหิมะหยุดตกก็เดินทางกันต่อเลยครับ เดินเข้าไปด้านในประมาณสัก 500 เมตรจะ
ถึงสถานีรถกระเช้าครับ ซื้อตั๋วขึ้นรถกระเช้าเพื่อไปสู่ยอดเขาอีกคนละ 6,500 Won วันที่ผมมาเที่ยวกันแทบไม่
มีคนเลยครับ รถกระเช้าคันที่ผมขึ้นมีคนไม่ถึง 10 คน Cable Car ที่นี่มีความยาว 1,100 เมตรครับ

อุทยานแห่งชาติซอรัคซาน(Seoraksan)

      ตั้งอยู่ในจังหวัดกังวอน ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ และเป็นจังหวัดที่อยู่เหนือสุดของเกาหลีใต้
ซึ่งติดกับชายแดนของประเทศเกาหลีเหนือ อยู่ห่างจากโซลราว 400 กิโลเมตรเป็นภูเขาที่สูงเป็นอันดับ 3 ของ
เกาหลี โดยยอดเขาซอรัคซานนั้นเป็นส่วนหนึ่งของภูเขาแทแบคที่ทอดยาวไปจรดกับภูเขาคึมคังของเกาหลีเหนือ


      ด้านบนอากาศหนาวมากครับเราเลยยืนรับไออุ่นในสถานี Cable Car สักพักก่อนค่อยออกเดินสู่ยอดเขากัน
จุดชมวิวด้านบนคือยอดเขากวนกึมซอง (Gwongeumseong) สามารถมองเห็นแนวเทือกเขา ที่มียอดเขาสลับ
ซับซ้อนของอุทยาน แต่หิมะที่ตกลงมาทำให้ทางเดินลื่นมากครับ เราเดินไปได้แค่ครึ่งทางก็ต้องเดินกลับลงมา
เพราะทั้งลื่นและมีหมอกลงจัดเดินขึ้นไปต่อก็คงไม่เห็นอะไร


      กลับลงมาที่สถานี Cable Car เพื่อนั่งกระเช้ากลับลงไปด้านล่าง ที่สถานีจะมีอาหาร น้ำ และกาแฟขายนะ
ครับ จากบนกระเช้าจะเห็นวัดชินฮันซา(Sinheungsa) อยู่ภายในหุบเขาด้านล่าง จากสถานีด้านล่างเดินเข้าไป
ด้านในไม่ไกลก็จะถึงวัดครับ


     ระหว่างทางเดินจะมีร้านค้า ร้านอาหาร แต่วันที่ผมไปเหมือนว่าจะเปิดอยู่ไม่กี่ร้านคงเพราะไม่ค่อยมีคนมาเที่ยว
ขนาดเดินเข้าไปวัดยังมีกลุ่มผมเพี่ยงกลุ่มเดียว เดินสักพักจะพบกับพระพุทธรูปสัมฤทธิ์ปรางสมาธิองค์ใหญ่ พระ
พุทธรูปองค์นี้สร้างขึ้นเพื่อสวดอ้อนวอนให้คาบสมุทรเกาหลีได้รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน


     เดินต่อเข้ามาด้านในจะพบกับวัดชินฮันซา(Sinheungsa) วัดในสมัยราชวงศ์ชิลลาอายุกว่า 1,000 ปี เข้ามาถึง
ก็งงครับ ไม่เจอสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์เลยสักคน เดินเข้าไปด้านใน ได้ยินเสียงสวดมนต์จากในโบสถ์ แต่ประตู
ปิดหน้าต่างก็ปิด ไม่กล้าเปิดเข้าไปดูครับ เดินวนสักพักกลับดีกว่า


      เรากลับออกมาด้านนอกเห็นรถเมล์จอดรอผู้โดยสารอยู่ตรงจุดที่เราลงรถตอนเช้า สาย 7-1 เช่นเดียวกับขามา
กลับมาถึงซกโซ สถานีจะอยู่ 4 แยกพอดี สังเกตุตึกสีชมพูไว้ครับ เพราะอยู่บนรถจะเห็นได้แต่ไกล พอรถเลี้ยวซ้าย
จะเห็นสถานีขนส่งตึกสีขาวอยู่ริมถนนก็ลงป้ายนี้เลย ป้ายรถเมล์อยู่เลยสถานีไป แถวๆทางม้าลายที่เราข้ามเมื่อเช้า
รถที่เกาหลีวิ่งชิดขวาสลับด้านกับบ้านเราครับ (ยืมภาพเค้ามาให้ดูครับพอดีไม่ได้ถ่ายไว้)

ภาพจาก : //4.bp.blogspot.com

      ผมได้รถเที่ยวบ่าย 3 โมงครึ่ง รอประมาณแค่ 10 นาทีครับ ขากลับ คนเยอะพอสมควร รถจะจอดกลางทาง
1 จุด ให้เข้าห้องน้ำเหมือนตอนขามาครับ นั่งชมวิวไปเรื่อยๆประมาณ 6 โมงครึ่งก็กลับมาถึงโซลครับและแน่นอน
จบวันด้วยตลาดเมียงดง แต่ผมขอนั่งรอที่ร้านกาแฟหน้าตลาดครับ





Create Date : 13 กันยายน 2556
Last Update : 13 กันยายน 2556 14:06:16 น.
Counter : 928 Pageviews.

0 comment
Hi! Seoul....PartI

HI...SEOUL

      กำลังร้อนระอุเลยสำหรับคาบสมุทรเกาหลี แต่ที่ผ่านมาก็ร้อนมาหลายครั้ง อย่างไรก็ตามเกาหลีใต้ก็ยังเป็น
อีกหนึ่งประเทศที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวชาวไทย หลังจากที่ซีรีส์เกาหลีเข้ามาเขย่าวงการทีวีบ้านเรา
      หากไปเที่ยวญี่ปุ่นมาแล้วเกาหลีใต้ก็แทบจะไม่มีอะไรให้ตื่นตาตื่นใจเลยสำหรับบางคน แต่สำหรับคนชอบ
เดินทางแล้ว จุดหมายไม่ได้สำคัญมากไปกว่าเรื่องราว 2 ข้างทาง มันจะสวยมากกว่าหรือน้อยกว่ากันมันไม่สำคัญ
สำคัญที่มันมีเรื่องราวความทรงจำให้ได้จดจำในส่วนหนึ่งของบันทึกการเดินทาง


      ทริปนี้ก็เหมือนๆกับหลายๆทริปที่ผ่านมาของผม คือเริ่มจากตั๋วเครื่องบินราคาถูกครั้งนี้ผมจองแอร์เอเซียได้
ในราคาคนละ 4 พันกว่าบาท จากกรุงเทพถึงอินชอน แต่ต้องไปต่อเครื่องที่กัวลาลัมเปอร์ จากราคาก็คุ้มค่า แต่
ตอนขากลับเหนื่อยมากครับเพราะรอต่อเครื่องหลายชั่วโมงเลย
      จากกรุงเทพเรามาถึงสนามบินอินชอนสามทุ่ม กว่าจะลงเครื่อง ต่อรถไฟใต้ดิน ผ่าน ตม. ใช้เวลาอีกพอสมควร
ได้ข่าวก่อนมาว่าตม. เกาหลีเขี้ยวลากพอสมควร สำหรับผู้ที่ถือ Passport ไทยไม่ต้องขอ Visa เข้าเกาหลี ทำให้
ตม. ที่นี่เข้มงวดกับคนไทยมากเพราะชอบลักลอบเข้าไปทำงานประเทศเค้า แต่เราใช้เวลาผ่าน ตม. 4 คนไม่เกิน
10 นาที
      ผ่าน ตม. แล้วก็รับกระเป๋าแล้วออกมาด้านนอกเลยครับ ต่อไปเราก็ต้องหารถโดยสารเข้าเมืองกันก่อน ผมจอง
ที่พักที่ IB Ville Guesthouse อยู่ย่าน Myeongdong เราต้องนั่ง Bus สาย 6015 ไปสุดสาย แต่ก่อนอื่นต้องไปซื้อตั๋ว
รถก่อนครับ จากแผนที่หมายเลข 13 ซึ่งเป็นตู้ขายตั๋ว ตอนเรารับกระเป๋าและเดินออกมาจะอยู่บริเวณ ระหว่าง C กับ D
หากพักย่านอื่นลองศึกษาเส้นทางและสายรถได้จากเวปไซต์ครับ
//www.airport.kr/airport/traffic/bus/busList.iia?flag=E&fake=1306823313914

      ซื้อตั๋วเสร็จก็ขึ้นรถเลยครับ รถจอดอยู่ที่ ช่องหมายเลข 12A มีป้ายชัดเจนครับ มีพนักงานบริการขนกระเป๋า
เข้าช่องเก็บใต้รถให้ เก็บกระเป๋าเสร็จก็ขึ้นรถกันเลยครับ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งก็มาถึง Myeongdong
รถจะจอดหน้าโรงแรม Sejong Hotel ไม่ต้องกังวลว่าจะลงถูกป้ายมั๊ย เพราะคนขับเค้าจะถามเราก่อนขึ้นรถว่า
จะลงไหนแล้วเค้าจะมาเรียกเราเมื่อถึงจุดหมายครับ
      ลงรถหน้า Sejong Hotel แล้วข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามครับ ลอดใต้สถานีรถไฟใต้ดินไปฝั่งตรงข้าม หรือจะ
เดินไปอีกหน่อย ข้ามทางม้าลายก็ได้ครับ สังเกตุฝั่งตรงข้ามจะเห็นโรงแรม Pacific Hotel เดินไปทางนั้นครับ

      ในที่สุดก็มาถึงสักทีครับ IB Ville Guesthouse ผม e-mail มาแจ้งเค้าล่วงหน้าว่าจะมาถึงดึกประมาณ 5 ทุ่ม
จะมีเจ้าหน้าที่อยู่รอครับ แต่ว่ามากี่โมงก็เจออีตานี่อยู่คนเดียว ห้องพักมีเตียงใหญ่ 1 เตียง เตียงเล็ก 2 ห้องน้ำใน
ตัว มี Wifi ฟรี มี Computer ให้ใช้ 2 ตัวที่ขั้น 1 มีเครื่องซักผ้าและไมโครเวฟบริการที่ชั้น 1 ครับ
      ได้กุญแจห้องแล้วก็ไม่รอช้าครับ รีบขึ้นไปพักผ่อนทันทีเพราะเกือบเที่ยงคืนของเกาหลีแล้ว วันนี้ใช้เวลาเดิน
ทางจากกรุงเทพเกือบ 10 ชั่วโมง รีบอาน้ำอาบท่านอนเอาแรงก่อนดีกว่า อาศัยมาม่าที่เตรียมมาด้วยเป็นอาหาร
มื้อค่ำของวันนี้

ระบบขนส่งในโซล

      ระบบขนส่งในโซลที่สะดวกที่สุดก็คือโครงข่ายรถไฟฟ้าครับ ซึ่งมีมากมายกว่า 10 สาย หากดูแผนที่รถไฟฟ้า
แล้วอย่าเพิ่งตกใจนะครับเพราะชื่อสถานีอ่านยากมาก แต่ผมใช้วิธีจำตัวเลขสถานีครับ เช่นสถานี Myeong-dong
ซึ่งเป็นที่พักของเรา เลขสถานี 424 ตัวแรกคือสาย 4 สีฟ้า 24 ก็คือสถานีที่ 24 ครับ

      สมมติจาก Myeong-dong เราจะไป Cityhall เราก็ขึ้นรถสายสีฟ้าจากสถานี Myeong-dong(424) ไปลง
Seoul Station(426) แล้วต่อรถสายสีน้ำเงินจาก Seoul Station(133) ไปสถานี City Hall(131) สถานีที่เป็น
Connecting Station จะมีเลขหลายเลขครับขึ้นอยู่กับว่ามีรถไฟกี่สายมาที่สถานีนี้ พอลงรถจะมีป้ายบอกครับ
ว่าจะไปต่อรถไฟสายอื่นทางไหน

NAMISEOM

      เช้าวันแรกในเกาหลี แม้จะเป็นปลายเดือนมีนาคมแต่อากาศที่นี่ก็ยังคงหนาวเย็นอยู่ เราออกจากที่พักกันแต่เช้า
วันแรกของเกาหลีเราจะเดินทางไปเกาะนามิ สถานที่สุดฮิตของคนไทย เดินออกมาจากซอยยังไม่สว่างเท่าไหร่เลยครับ
พ้นโค้งนี่ไปจะเจอถนนใหญ่และสถานีรถใต้ดิน ร้าน GS 25 ที่เห็นด้านซ้ายนั่นเป็นร้านที่เราฝากท้องมื้อเย็นกับอาหาร
สำเร็จรูปและอาหารกินเล่นยามดึกครับ ส่วนร้านอาหารที่เห็นด้านหน้าก็เป็นร้านอาหารเกาหลีที่มีคนเกาหลีมากินกันแน่น
ร้านทุกวัน ร้านจะเปิดช่วงเย็นถึงประมาณ 4 ทุ่มครับ ส่วนอาตารสูงด้านหลังที่มีลานจอด ฮ. อยู่ฝั่งตรงข้ามของถนนใหญ่
เป็นห้างสรรพสินค้าอยู่หน้าตลาดเมียงดงครับ

      จากเมียงดงไปเกาะนามิหรือ Namiseom เรานั่งรถไฟใต้ดินสาย4 จากสถานี Myeong-dong(424) ไปต่อ
รถไฟฟ้าสาย Jungang Line ที่สถานี Ichon(430)(K111) เพื่อไปลงสถานี Sangbong(K120) จากนั้นนั่งรถไฟ
สาย Gyeong Chun ไปลงที่สถานี Gapyeong ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง ก็มาถึงสถานี Gapyeong

      จาก Gapyeong จะต่อไปท่าเรือที่จะไปเกาะนามิ ทางที่สะดวกที่สุดคือ Taxi ครับ เรียกที่หน้าสถานีเลยครับ
ค่าโดยสารไม่ได้โหดร้ายอะไรมากนักบอกคนขับว่า Namiseom เค้าจะพาเราไปยังท่าเรือครับ มาถึงก็ซื้อตั๋วเรือ
ข้ามฝากกันเลยครับ บนเรือมีคำบรรยายภาษาเกาหลี อังกฤษ จีน ญี่ปุ่นและแน่นอนภาษาไทยครับ เพราะทั้งลำ
เรือแทบจะมีแต่คนไทยเลยครับ

      นั่งเรือประมาณ 10 นาทีก็มาถึงเกาะนามิครับ เกาะนามิเป็นเกาะกลางแม่น้ำฮัน ซึ่งเกิดจากการสร้างเขื่อน
ชองเปียง (Cheongpyeong)  กั้นแม่น้ำ Bukhan มีรูปร่างเหมือนใบไม้ลอยน้ำ จุดที่น่าสนใจของเกาะนามิก็คือทิว
ต้นเกาลัดและต้นสนที่ปลูกตามแนวทางเดินทำให้เกิดความร่มรื่น และถ้าเป็นฤดูใบไม่ร่วงสีของใบไม่จะทำให้
เป็นพรมสีแดงตลอดแนวทางเดิน

      แต่จุดไฮไลท์ที่สุดก็คงอยู่ที่แนวต้นเกาลัดด้านในสุด ซึ่งเป็นฉากในหนัง Winter Love Song ซีรีส์เกาหลี
ที่โด่งดังในบานเรา

      เรากลับมาที่ท่าเรือเพื่อนั่งเรือกลับ ตอนซื้อตั๋วขามามันเป็นตั๋วไป-กลับนะครับ เพราะฉะนั้นไม่ต้องซื้อตั๋วอีก
ยืนรอเรือได้เลยครับ ลำไหนมาก็ขึ้นลำนั้น กลับมาถึงฝั่งหามื้อเที่ยงกินกันก่อนครับ ร้านอาหารเกาหลีแถวๆลาน
จอดรถมีอยู่หลายร้านครับ ผมไม่ค่อยถนัดอาหารเกาหลีเลยไม่ขอแนะนำครับ
      จากนั้นเราก็นั่งเท็กซี่กลับมาที่สถานี Gapyeong แล้วนั่งรถย้อนกลับแต่แวะลงที่สถานี Cheongpyeong ก่อน
ครับลงรถไฟมาเดินไปด้านหลังสถานีครับ จะเจอป้ายรถบัสเพื่อจะไปยัง petite france หรือหมู่บ้านฝรั่งเศส

      รถบัสรอนานมากครับและไม่มีผู้ร่วมชะตากรรมมารอด้วยเลยจนชักหวั่นๆว่ามาถูกที่รึเปล่า แต่เห็นป้ายรถไป
Petite France เลยคิดว่าน่าจะไม่ผิดที่ ในที่สุดรถบัสก็มา ขึ้นเลยครับทั้งคันแทบไม่มีคนเลย

      มาถึงแล้วครับ บรรยากาศหลอนๆพิกล แทบไม่มีผู้มีคน ด้านในก็เป็นร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก ดูๆไป
ก็เหมือน ปาลิโอที่เขาใหญ่ แต่ปาลิโอคนจะเยอะกว่าด้วยซ้ำ เดินไป เดินมาแป๊บเดียวกลับดีกว่าครับเดี๋ยวจะถึง
โซลค่ำเกินไป กลับมานั่งรถบัสเหมือนเดิมเค้าก็จะกลับไปส่งเราที่สถานีเดิม รถบัสรับ-ส่งนี่นั่งฟรีนะครับ

      กลับมาที่สถานี Cheongpyeong รอรถไฟเพื่อกลับเข้า Seoul มาถึง Myeong-dong ก็ค่ำพอดีครับ ได้เวลา
Shopping ของคุณผู้หญิงพอดี ขอจบบันทึกหน้าแรกของ Hi..Seoul ไว้เพียงเท่านี้ก่อนครับ พรุ่งนี้เราจะไปปีน
เขาที่อุทยานแห่งชาติซอรัคซานกันครับ




Create Date : 13 กันยายน 2556
Last Update : 13 กันยายน 2556 14:06:33 น.
Counter : 1521 Pageviews.

0 comment
Ni Hao Kunming-Dali-Lijiang Part II

      จากต้าลี่สู่ลี่เจียงเดินทางได้ 2 แบบคือ โดยรถ Bus โดยสารหรือโดยรถไฟ แต่ผมแนะนำให้ขึ้นรถบัสครับ
เพราะคุณสามารถรอรถได้ที่เมืองเก่าต้าลี่เลย รถจะมาจอดแถวๆหน้าประตูเมืองเก่า ราคาค่าโดยสาร 66 หยวน
ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่งครับ ถามที่โรงแรมหรือเกสต์เฮาท์ที่เราพักก็ได้ครับว่าป้ายรถอยู่ที่ไหน สถานีต้น
ทางอยู่ที่ Bus Station ที่เราลงรถเมื่อวันก่อนตอนมาจากคุนหมิงครับ รถจากต้าลี่ไปลี่เจียงออกทุกครึ่งชั่วโมง
ครับ

      รถออกจากเมืองเก่าต้าลี่ผ่านมาทางเจดีย์สามองค์แล้ววิ่งขนานทะเลสาบเอ๋อไห่ไปทางเหนือ สักพักก็เริ่ม
ไต่ระดับขึ้นสู่ภูเขา เส้นทางเลาะไปตามไหล่เขา ถ้าได้นั่งด้านขวาจะสัมผัสถึงอาการเสียวท้องได้ตลอดเวลา
ครับเพราะรถที่เมืองจีนวิ่งชิดขวาและทางแค่ 2 เลนสวน ขวามือเป็นเหวลึกแต่วิวก็สวยใช้ได้ครับ รถขับเลียบ
เหวไม่นานก็เข้าสู่เส้นทางปกติผ่านหมู่บ้านชนบทไปเรื่อยๆครับ

      เมืองลี่เจียงอยู่ห่างจากต้าหลี่ 160 กิโลเมตร มีความสูง 2,400 เมตร จากระดับน้ำทะเล ตัวเมืองตั้งอยู่เชิงเขา
อวี้หลง รอยต่อที่ราบสูงชิงไห่-ทิเบตทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ กับที่ราบสูงยูนนาน-กุ้ยโจวทางตะวันตกเฉียงเหนือ
เชื่อมกับที่ราบริมฝั่งแม่น้ำจินซาเจียง ทำให้มีความแตกต่างทางด้านภูมิประเทศที่หลากหลาย ตั้งแต่เขตภูเขาสูง
ธารน้ำแข็ง ที่ราบระหว่างภูเขา หุบโตรกผาอันสูงชัน และที่ราบขั้นบันได มีความแตกต่างในเรื่องของความสูงของ
ภูมิประเทศ ประมาณ 4,545 เมตร จุดสูงสุดอยู่ที่ 5,596 เมตร จุดต่ำสุดอยู่ที่ 1,051 เมตร จากระดับน้ำทะเล

      เมืองลี่เจียงเคยเป็นที่พักกองคาราวานระหว่างไปทิเบต ในปี 1253 กุบไลข่านได้เดินทัพผ่านมาและได้ตั้งชื่อว่า
“ลี่เจียง (แม่น้ำสวย)” พร้อมกับนำดนตรีของจีนมาเผยแพร่ให้เผ่าหน่าซี ในยุคราชวงศ์หมิงจึงเป็นยุคทองทาง
วัฒนธรรมของลี่เจียงเมื่อตระกูลมู่นำพุทธศาสนาแบบทิเบตเข้ามาและได้สร้างวัดขึ้นบนเขาหลายแห่ง

      ชนพื้นเมืองของเมืองลี่เจียงคือเผ่าหน่าซี ที่แยกย่อยมาจากเผ่าเชียงในทิเบต ยกย่องสตรีเป็นใหญ่ สตรีมีบทบาท
สำคัญในทุกภาคส่วน ทั้งการค้า การถือครองที่ดินและการเลี้ยงดูบุตร ส่วนผู้ชายจะมีหน้าที่ทำสวน เลี้ยงม้า และเล่น
ดนตรี ชาวเผ่านาซีจะนับถือพ่อมดหมอผีแบบทิเบต มีภาษาเขียนเป็นของตนเอง รวมถึงศิลปะการดนตรีอีกด้วย

      ลี่เจียงต่างจากต้าลี่ตรงที่ต้าลี่เมืองใหม่และเมืองโบราณจะอยู่คนละฟากกัน แต่ที่ลี่เจียงเมืองใหม่ล้อมรอบ
เมืองเก่า จาก Bus Station นั่งรถ Bus สาย 8 ไปลงที่หน้า Baixin Shopping Mall ฝั่งตรงข้ามเป็นทางเข้าเขต
เมืองเก่าที่พักจะมีอยู่หลายแห่งในเขตเมืองเก่า ที่พักที่ลี่เจียงราคาค่อนข้างสูงพอสมควรครับเมื่อเทียบกับต้าลี่
ผมแนะนำให้หาที่พักบริเวณใกล้ๆเมืองโบราณเพื่อการเดินทางที่สะดวกครับ เขตทางเข้าเมืองเก่าฝั่งตรงข้าม
และบริเวณนี้คือ Shopping Street ของเมืองใหม่ด้วยครับ

      เมื่อเก็บกระเป๋าเข้าที่พักแล้วก็เดินทางกันต่อ ออกมาตรงทางเข้าเมืองเก่าจะมีสวนสาธารณะและภูเขาลูก
เตี้ยๆ เดินขึ้นด้านบนเพื่อชมเมืองเก่าต้าลี่จากมุมสูงได้ครับ  กลับลงมาด้านล่างเดินขึ้นไปทางเหนือ(หันหน้า
ไปตามถนน เมืองเก่าอยู่ขวามือนั่นคือทิศเหนือครับ) เดินตรงขึ้นไปประมาณสัก 10 นาที ตลอดเส้นทางจะเป็น
ร้านค้าขายสินค้าต่างๆมากมาย เดินชมเพลินๆก็เกินครึ่งชั่วโมงครับกว่าจะไปถึงจุดหมายนั่นก็คือ สระมังกรดำ
(Black Dragon Pond) ค่าเข้าชมที่นี่คนละ 80 หยวนครับ

      เดิมทีสระมังกรดำ(Black Dragon Pond) เป็นสระน้ำสีมรกตมีลักษณะคอดตรงกลางคล้ายวงนอกของเลข 8
สระด้านใต้มีน้ำใสจนสามารถมองเห็นปลาที่ว่ายอยู่ในสระ ส่วนสระด้านเหนือมีน้ำเข้มสีเขียวมรกต มีสะพานข้าม
กลางสระ เค้าเล่าว่าปลาว่ายจากสระเหนือไปสระใต้หากมองจากสะพานจะมองเห็นปลาครึ่งตัว เพราะด้านนึงน้ำ
ใสด้านนึงน้ำขุ่น แต่ปัจจุบันน้ำในสระแห้งเหือดไม่เหลือเลย รัฐบาลจีนพยายามเอาน้ำมาเติมลงไป เติมเท่าไหร่
ก็แห้งไปหมด ชาวบ้านที่นี่เชื่อว่ามังกรดำที่ดูแลรักษาสระนี้ได้จากไปแล้ว เหมือนถูกหลอกให้เข้ามาดูยังไงก็ไม่รู้
ครับ 400 บาท กับสระแห้ง....เศร้า แต่ไม่เป็นไรครับตั๋วนี้เก็บไว้ให้ดีๆ เพราะพรุ่งนี้เราใช้ผ่านประตูเข้าไปอุทยาน
ภูเขาหิมะมังกรหยกได้ครับ

      จากสระน้ำมังกรดำในวันอากาศดีจะมองเห็นยอดภูเขาหิมะมังกรหยกเป็นฉากอยู่เบื้องหลังครับ แต่วันที่ผม
มานี่หมอกอากาศเยอะเหลือเกินครับเลยมองเห็นแค่ลางๆ พรุ่งนี้เราจะขึ้นไปบนนั้นครับ

      กลับมาเมืองเก่าลี่เจียงอีกครั้งเพื่อมาเดินชมเมืองเก่ายามค่ำ ยามค่ำที่นี่จะกลายเป็นไนท์บลาซาร์เลยครับ
ผู้คนหลั่งไหลมาจากที่ไหนบ้างไม่รู้เต็มไปหมดครับ เริ่มตั้งแต่พลบค่ำยันดึกดื่น มีสินค้าขายมากมายครับทั้ง
เสื้อผ้า เครื่องหนัง ผ้าพันคอ ของที่ระลึก ของกินก็มีมากมายแม้แต่แม็คโดนัล

      สิ่งหนึ่งที่ต้องระวังเมื่อเข้ามาเดินเที่ยวที่นี่ คือระวังหลงทางครับ เพราะตรอกซอกซอยมันเหมือนกันหมด
เดินแล้วอาจจะงงได้ ถ้าไปกันหลายคนก็นัดกันให้ดีครับว่าจะกลับมาเจอกันจุดไหน เดินเที่ยวพอหอมปากหอม
คอก็กลับเข้าที่พักนอนเอาแรงกันครับ

      Jade Dragon Snow Mountain หรือภูเขาหิมะมังกรหยก อยู่ห่างจากตัวเมืองลี่เจียง 15 กิโลเมตร การเดิน
ทางจากลี่เจียงสามารถนั่งรถตู้สาย 7 จากบริเวณทางเข้าเมืองเก่า ถ้าคนเต็มคัน 15 หยวนต่อคนครับ เพราะถ้า
คุณมากันหลายคนและต้องการให้เค้าออกก่อนต้องจ่ายเค้าเท่ากับคนเต็มคันครับ แต่ผมแนะนำว่าคุณควรซื้อ
ทัวร์จาก Lijiang ไปที่นี่ จะช่วยลดความลำบากให้ชีวิตอย่างมากเลยครับ เพราะการที่คุณต้องไปแก่งแย่งกับกอง
ทัพคนจีนในสถานที่เที่ยวยอดนิยม มันไม่สนุกเลย ราคาทัวร์ One Day Trip 700 หยวนต่อคน(แพงมาก) รวมค่า
รถรับส่ง ค่าผ่านประตู ค่าเข้าชม Impression Lijiang Show ค่า Glacier Cable Car ค่าธรรมเนียมเข้าชมหมู่บ้าน
ต่างๆ ค่าอาหารกลางวัน และค่าเช่าชุดกันหนาวครับ

       แต่ถ้าชีวิตประจำวันคุณเรียบง่ายเกินไปก็ขึ้นรถเลยครับ ประมาณสักชั่วโมงกว่าๆรถตู้พาเรามาถึงอุทยาน
ภูเขาหิมะมังกรหยก อย่าลืมครับตั๋วที่เราซื้อมาเมื่อวานใช้ผ่านเข้าไปได้เลย  แต่ถ้ายังไม่ได้ไปสระมังกรดำก็ซื้อ
ตั๋วเข้า 105 หยวนครับ(แพงกว่าซื้อจากในเมืองนะครับ) แล้วอย่าลืมเก็บไว้ใช้เข้าสระมังกรดำนะครับ

      ก่อนอื่นเราไปดูโชว์ Impression Lijiang Show กันก่อนครับ โชว์นี้หากมาฤดูร้อนเหมือนผมมีโชว์ 2 รอบคือ
รอบ 10.30 น. และ 13.30 น. แต่ถ้ามาฤดูหนาวมีรอบ 13.30 น. รอบเดียวครับ ถามเค้าดูก่อนครับว่ามีกี่รอบแล้ว
ปรับเปลี่ยนโปรแกรมตามความเหมาะสมครับ ราคาตั๋ว 172 หยวนครับ

     Impression Lijiang Show ออกแบบโชว์โดยจางอี้โหมว ผู้กำกับคนดังผู้ออกแบบโชว์พิธีเปิดโอลิมปิกเกมส์
ที่ปักกิ่งครับ โชว์นี้ใช้ผู้แสดงเป็นชนเผ่าจริงๆมากกว่า 16 เผ่าที่อยู่ในลี่เจียงมีผู้ร่วมแสดงกว่า 500 คน เวทีเป็น
เวทีกลางแจ้ง 180 องศามียอดภูเขาหิมะมังกรหยกเป็นฉากหลังครับ

      จบโชว์เราก็ไปต่อกันที่กระเช้าขึ้นเขาครับ กระเช้าที่อุทยาน มีหลายระดับความสูงนะครับแต่กระเช้าที่เราจะ
ขึ้นนี้เป็นกระเช้าที่มีระดับความสูงมากที่สุด ซื้อตั๋วแบบ The big ropeway (Glacier Park) 182 หยวน(เสียตังค์
อีกแล้วครับ เสียย่อยเสียยับเลย) ซื้อตั๋วเสร็จต้องไปเข้าแถวรอรถที่จะพาขึ้นไปที่สถานีกระเช้าด้านบนครับ ตรงนี้
เป็นจุดวิกฤตจุดแรกครับ เพราะคนจีนสมัยนี้ออกมาท่องเที่ยวกันเยอะมาก และเค้านิยมมากับทัวร์กัน ไม่ต้องคิด
เรื่องจะไม่โดนแซงคิว เพราะทัวร์เค้าจะพาลูกทัวร์แซงคิวไปตลอด ทั้งทัวร์จีนทัวร์ไทย ถ้ามาเองก็ยืนรอจนกว่า
สวรรค์จะโปรดครับ

      เมื่อขึ้นรถบัสได้แล้วก็นั่งไปประมาณ 10 นาที จะถึงสถานีกระเช้าที่จะพาขึ้นสู่ Glacier หรือยอดเขา Yulong
ที่ความสูง ประมาณ 3600 เมตรครับ หุบเขามังกรหยกมียอดเขาทั้งหมด 13 ยอด ยอดที่สูงที่สุด ชื่อ
Shanzidou
มีความสูง 5596 เมตรจากระดับน้ำทะเล ตรงสถานีกระเช้าจะมีร้านให้เช่าเสื้อกันหนาวกับขายอ๊อคซิเจนกระป๋อง
ควรซื้ออ๊อกซิเจนคนละกระป๋องนะครับ เพราะความสูงที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและบรรยากาศเบาบางข้างบน
อาจทำให้หัวใจวายเฉียบพันได้ครับ กระป๋องละ 30 หยวน จุดนี้เป็นอีกจุดแห่งการรอคอยครับ แต่ดีที่ไม่มีแซงคิว
นักเพราะมีเหล็กกั้นแถว กระเช้านั่งได้ 6 คนครับนั่งประมาณ 20 นาทีถึงสักที ที่หมายของทริปนี้

      ใครที่ร่างกายสมบูรณ์เดินต่อขึ้นไปถึงจุดชมวิวด้านบนก็ได้ครับ แต่ผมขออยู่ชมความงามแค่ตรงนี้ดีกว่า
เพราะอากาศเบาบางมากครับ เดินนิดเดียวรู้สึกเหนื่อยมากและอากาศก็เย็นจัดมากด้วยครับ

      เล่นหิมะกันจนสะใจถึงเวลากลับลงด้านล่างแล้วครับ ถึงด้านล่างก็ต้องกลับไปเข้าแถวรอรถกลับอีก พอลง
จากสถานีจะมีร้านขายอาหาร ฝากท้องไว้ที่นี่ก็ได้ครับเพราะบ่ายแก่ๆมากแล้วและกว่าจะเจอร้านอาหารต้องลง
ไปข้างล่างเลยหรือกลับไปลี่เจียงครับ

      ขากลับออกมาแวะเข้าไปเที่ยวที่หมู่บ้านน้ำหยก (Jade Water Village) เป็นหมู่บ้านพื้นเมืองเล็ก ๆ ท่าม
กลางทิวทัศน์สวยงามตามหลักฮวงจุ้ย(ด้านหน้ามีน้ำ ด้านหลังมีภูเขา) น้ำที่นี่จะเป็นน้ำใสที่มีสีเขียวคล้ายหยก
จนเป็นที่มาของหมู่บ้านน้ำหยก น้ำที่ไหลมาที่หมู่บ้านนั้นมีที่กำเนิดมาจากน้ำผุบนภูเขาใต้ต้นไม้ยักษ์อายุกว่าพันปี
สองต้น ปัจจุบันหมู่บ้านน้ำหยกได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับ 4 A ของจีน เทวรูปที่เห็นท่อนบน
เป็นผู้หญิงท่อนล่างเป็นงู ผมไม่ทราบว่าชื่ออะไรครับเพราะเป็นภาษาจีน

      จริงๆแล้วภายในอุทยานยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากมายแต่เนื่องจากเวลาที่จำกัด และการเดินทางที่ค่อน
ข้างลำบากสำหรับคนต่างถิ่นอย่างเราทำให้วันๆหนึ่งไปได้ไม่กี่ที่แต่ก็นับว่าคุ้มค่าครับ ถ้าจะให้ครบถ้วนควรจัด
ทริปมาที่นี่อย่างน้อยสองวันครับ
      สลับฉากให้ดูดอกไม้กันบ้างครับ ภาพนี้เป็นดอกไม้ที่บานแต็มถนนที่ลี่เจียง คนท้องถิ่นเค้าบอกชื่อมาแล้ว
แต่ผมจำชื่อไม่ได้ ขอเรียกว่าซากุระเมืองจีนแล้วกันครับ

      จากลี่เจียงคุณสามารถไปต่อแชงกรีลา(Shangri-La) ได้ครับขึ้นรถที่ Bus Station ต่อไปอีก 200 กิโลเมตร
ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงครับ แต่ควรเตรียมร่างกายให้พร้อมครับเพราะพื้นที่สูงและอากาศเบาบางกว่าที่ลี่เจียง
มาก มีกรณีนักท่องเที่ยวเสียชีวิตจากสภาพอากาศทุกปีครับ
      คุณสามารถวาแผนการเดินทางกลับคุนหมิงได้วันนี้เลยมีรถ Night Bus จากลี่เจียงไปคุนหมิงออกจาก Bus
Station ตอน 20.30 น. ค่าโดยสาร 195 หยวนครับ ใช้เวลาเดินทาง 10 ชั่วโมง แต่อย่างที่ผมบอกไปตอนต้น
การเที่ยวในเมืองจีนค่อนข้างจะควบคุมเวลายากครับ ดังนั้นเพื่อการเดินทางไม่รีบร้อนเกินไปพักที่ลี่เจียงอีกสัก
คืนแล้วค่อยเดินทางตอนเช้าครับ รถเที่ยวเช้าสุดออก 7.30 น. คันสุดท้าย 15.30 น. แนะนำให้ขึ้นรถเที่ยวแรก
เลยเป็น Express Bus ใช้เวลา 8 ชั่วโมงถึงคุนหมิง ค่าโดยสาร 230 หยวนครับ นั่งกันลืมโลกเลยแต่จะมีแวะพัก
เป็นจุดๆให้เข้าห้องน้ำและทานอาหารครับ แต่ห้องน้ำระหว่างทางเกินกว่าที่คุณจะจินตนาการได้ครับ

      กลับมาถึงคุณหมิงเย็นแล้ว เก็บข้าวของเสร็จก็ออกมาเดินย่านชอปปิ้งสตรีทของคุณหมิง บรรยากาศเหมือน
เดินแถวม่งก๊กในฮ่องกงครับ มีร้านขายของแบรด์เนมและร้าน Discount Store อยู่มากมาย อันนี้เป็นซุ้มประตูเมือง
ครับ

      เช้าวันสุดท้ายก่อนกลับแวะไปเที่ยว วัดหยวนทง เป็นวัดที่ใหญ่ที่สุดและเก่าแก่ที่สุดของมณฑลยูนนาน
สร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง (ค.ศ.618 – ค.ศ.907) จนถึงปัจจุบัน เป็นวัดที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า
1,200 ปี ตั้งอยู่ที่ถนนหยวนทงเจียง เป็นอารามทางพระพุทธศาสนาที่ใหญ่ที่สุดในคุนหมิง ภายในวัดตกแต่งร่มรื่น
สวยงาม กลางลานมีสระน้ำขนาดใหญ่ มีสะพานข้ามไปสู่ศาลาแปดเหลี่ยมกลางสระ  ศาลาแปดเหลี่ยมหลังนี้เป็น
ศาลาที่อู๋ซานกุ้ยสร้างในสมัยราชวงศ์ชิง ในศาลาประดิษฐาน “เจ้าแม่กวนอิมพันกร” และเจ้าแม่กวนอิมพม่า หรือ
เรียกว่า “เจ้าแม่กวนอิมหยก”
      ในวิหารส่วนหลัง ภายในวัดหยวนทงนี้ ยังเป็นวิหารที่นักท่องเที่ยวชาวไทยจำนวนมากที่เดินทางมาถึงนคร
คุนหมิง จะต้องแวะมาสักการะบูชาอยู่เสมอ เนื่องจากเป็นวิหารที่ประดิษฐานพระพุทธชินราชจำลอง ซึ่งเป็นพระ
พุทธรูปทองเหลือง ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชทานให้อัญเชิญมาประดิษฐาน ณ วัดหยวนทง
แห่งนี้
      ภายในวัดที่ศักดิ์สิทธิ์และมีชื่อเสียงแห่งนี้เป็นศูนย์กลางของพระพุทธศาสนาถึง 3 นิกาย ได้แก่นิกายมหา
ญาณของพม่า นิกายหินญาณของไทย และนิกายลามะของธิเบต

      หากใครมีเวลามากกว่านี้จะไปเที่ยวป่าหินยูนนานสักวันนึงก็ได้นะครับ นั่งรถบัสจาก Bus Station ไป Stone
Forrest Yunnan ระยะทางประมาณ 120 กม. จากคุนหมิงค่ารถ 40 หยวน และเสียค่าเข้าอีก 140 หยวนครับ
ทุกอย่างเป็นเงินเป็นทองหมด ลองบวกๆดูนะครับสำหรับผู้ที่สนใจเดินทางไปคุนหมิง-ต้าลี่-ลี่เจียงด้วยตัวเอง
แล้วลองเปรียบเทียบราคากับราคาทัวร์จากเมืองไทยดูครับ ผมว่ารวมๆแล้วซื้อทัวร์จากเมืองไทยอาจถูกกว่า
ถ้าเปรียบเทียบ โรงแรมกับอาหารการกินที่ทัวร์จัดให้ แต่สิ่งที่ขาดไปคือรสชาติแห่งชีวิตของนักเดินทาง ช่วงนี้
แอร์เอเซียเปิดเส้นทางบินใหม่ไปคุนหมิง ใครสนใจทริปเส้นทางนี้ลองจัดดูกันสักรอบครับ

      สำหรับทริปนี้ผมขอจบเพียงเท่านี้ ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่าน มาดูรูป หรือแวะมาดูเฉยๆก็ตาม พบกันใหม่
ทริปหน้า มัณฑะเลย์ - พุกาม ครับ




Create Date : 12 กันยายน 2556
Last Update : 12 กันยายน 2556 9:03:03 น.
Counter : 1150 Pageviews.

4 comment
Ni Hao Kunming-Dali-Lijiang Part I

      สวัสดีครับทุกๆท่าน ผมห่างหายจากการทำรีวิวไปนานมาก ด้วยภารกิจมากมายทำให้มีทริปคงค้างอยู่เยอะ
พอสมควรที่ยังไม่ได้ทำรีวิว กลับมาก็ถึงกับอึ้งครับเพราะไม่รู้ว่ารีวิวที่เคยทำไว้รูปหายไปไหนหมด และทริปเดิม
เกาหลีผมก็ยังค้างรีวิววันสุดท้ายไว้ ผมขอจบรีวิวเกาหลีแบบจบดื้อๆไว้แค่นั้นแล้วกันครับจะพยายามกลับไปแก้รีวิว
เก่าที่รูปหายไปก่อนครับ
      มาถึงทริปนี้ก็ผ่านมาเกือบ 5 เดือนเต็มแล้วและกำลังจะเริ่มทริปใหม่ เลยต้องรีบมารีวิวก่อนที่จะลืมรายละเอียด
ทั้งหมดครับ ทริปนี้ใช้ชีวิตอยู่กับการเดินทางเสียส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีเรื่องราวมาเล่าเท่าไหร่ เอาเป็นว่าเน้นที่รูปถ่าย
แล้วกันนะครับ เราเริ่มต้นกันที่สุวรรณภูมิโดยการบินไทยรักคุณเท่าฟ้า เดินทางมาหลายทริปไม่ค่อยได้ถ่ายรูปใน
สนามบินเลย ทริปนี้จัดสักรูปครับ

      ออกจากเมืองไทยเวลา 11 โมงถึงคุนหมิงราวๆบ่าย 2 สนามบินคุนหมิงเป็นสนามบินที่สร้างใหม่ครับส่วน
สนามบินเดิมก็ยังใช้อยู่แต่ผมไม่รู้ว่ามีสายการบินไหนไปลงบ้าง เวลาที่เมืองจีนเร็วกว่าบ้านเรา 1 ชั่วโมง จริงๆ
แล้วที่คุนหมิงจะช้ากว่าบ้านเรา แต่ประเทศจีนทั้งประเทศยึดเวลาที่ปักกิ่ง จึงเร็วกว่าเรา 1 ชั่วโมง แต่จะงงๆนิด
นึงครับเพราะ ทุ่ม สองทุ่ม ยังไม่มืดเลย
      จากสนามบินขึ้น Shuttle Express Coach หมายเลข 2 ไปลงที่ South Railway Station ค่ารถ 20 หยวน
ระยะทางจากสนามบินเข้ามาในเมือง น่าจะราวๆ 20 กิโลเมตรได้ครับ จากนั้นนั่งรถเมล์สาย 80 ไปลงที่ West
Bus Station หรือนั่ง Taxi ไปก็ได้ครับ เพราะจุดหมายปลายทางของเราวันนี้ไม่ได้อยู่ที่คุนหมิงแต่เป็นเมืองต้าลี่
ซึ่งต้องเดินทางต่อไปอีกประมาณ 300 กม. ครับ

      จาก West Bus Station มีรถบัสไป Xiaguan หรือเมืองใหม่ต้าลี่ เมืองต้าลี่มี 2 เมืองครับคือเมืองใหม่ซึ่งเป็น
ย่านธุรกิจและเขตเมืองโบราณซึ่งตั้งอยู่ห่างกันประมาณ 16 กม.ครับ รถบัสไปต้าลี่มี 2 แบบครับ แบบรถธรรมดา 138
หยวน และ Express Luxury Bus ราคา 180 หยวน นั่ง Express Luxury ดีกว่าครับเพราะต้องนั่งนานพอสมควร
รถจะขึ้น Free way แล้วก็หลับกันเพลินครับ ราวๆ 4-5 ชั่วโมง หรือนั่งชมวิวไปเรื่อยๆครับ

      มาถึงต้าลี่ก็มืดค่ำพอดีครับ จากสถานีมีรถมินิบัสวิ่งระหว่าง Xiaguan กับ Dali ค่าโดยสาร 3 หยวน โรงแรม
ที่พักส่วนใหญ่จะอยู่ย่านเมืองเก่าต้าลี่ครับ หรือถ้าเหนื่อยแล้วก็เรียกแท็กซี่ไปก็ได้ครับ ประมาณ 40 หยวน ที่พัก
ย่านเมืองเก่าจะตั้งอยู่ริมถนนบริเวณเมืองเก่า มีให้เลือกพักหลายระดับราคา แต่จองไปก่อนจาก Booking.com
จะดีกว่าครับเพราะไม่ต้องจ่ายเงินก่อน คนจีนที่ต้าลี่นี่นิยมออกมาเที่ยวกลางคืนกันครับ เพราะได้ยินเสียงแหกปาก
ร้องคาราโอเกะกันลั่นทุ่งเลย วันนี้พักผ่อนเอาแรงก่อนครับพรุ่งนี้ค่อยไปต่อ


ต้าหลี่ เป็นเมืองเอกของเขตปกครองตนเองชนชาติไป๋ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลยูนนาน
ซึ่งเป็นมณฑลชายแดนทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ตั้งอยู่บนที่ราบสูงระหว่างเทือกเขาชางซานทางด้าน
ตะวันตก และทะเลสาบเอ๋อไห่ทางด้านตะวันออก เป็นที่ตั้งถิ่นฐานของชาวไป๋และชาวอี้มาตั้งแต่สมัยโบราณ
เมืองต้าลี่ยังเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรน่านเจ้าในอดีต ภาษาต้าลี่โบราณบางคำจะเหมือนภาษาไทยแต่สมัยใหม่
ใช้ภาษาจีนกลางกันหมดครับ

      จากเมืองเก่าต้าลี่เดินขึ้นไปทางเหนือประมาณ 1 กม. (ให้หันหน้าไปตามถนนใหญ่ ด้านซ้ายคือภูเขา ด้านขวา
คือด้านของทะเลสาบ ข้างหน้าคือทิศเหนือครับ) จะเป็นวัด Chongsheng Temple เป็นวัดที่ตั้งอยู่บนเชิงเขา Cangshan
และเป็นที่ตั้งของเจดีย์ 3 องค์ (Three Pagodas) ซึ่งเป็นแลนด์มาร์คของเมืองต้าลี่ครับ ค่าเข้าชมที่นี่ 121 หยวนต่อคน
(คูณ 5 บาท ก็ไม่น้อยอยู่เหมือนกันครับ) เค้าบอกว่าไฮท์ไลท์ของการมาที่นี่คือ การถ่ายภาพเจดีย์ 3 องค์กับเงาสะท้อน
แต่คุณต้องหาสระน้ำนี้ให้เจอก่อน

      เจดีย์องค์กลางสูงที่สุดมีชื่อเรียกว่า Qianxun Pagoda มีความสูง 69.13 เมตร(227 ฟุต) สร้างขึ้นสมัยราชวงศ์ถัง
(ค.ศ.618 - ค.ศ.907) ผ่านเจดีย์ขึ้นไปด้านบนสู่วัด Chongsheng Temple ใครเดินไม่ไหวใช้บริการรถกล์อฟก็ได้ครับ


      เดินขึ้นเขไปเรื่อยๆจะพบกับประตูวัด Chongsheng Temple วัดนี้มีวิหารอยู่หลายหลังมีพระสงฆ์สวดมนต์อยู่
ภายในวิหารต่างๆ  เดินขึ้นบันไดไปเรื่อยๆถึงจุดบนสุด มองกลับลงมาจะเห็นเมืองต้าลี่และทะเลสาบเอ๋อไห่อยู่
ด้านหลัง

วิหารหลังใหญ่ด้านบนสุดครับ ใหญ่มากจนต้องใช้เลนส์มุมกว้าเก็บภาพ ทำให้ภาพดูเบี้ยวๆไปครับ

      วิหารด้านบนสุดเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปองค์ใหญ่และพระโพธิสัตว์ปรางต่างๆ รอบๆผนังภายในวิหาร
มีรูปแกะสลักเกี่ยวกับเมืองต้าลี่ และรูปแกะสลักพระโพธิสัตว์

      กลับลงมาด้านล่าง บริเวณรอบๆวัดมีร้านค้าที่ขายผลิดภัณฑ์ที่แกะสลักจากหินอยู่หลายร้านครับ เมืองต้าลี่
มีชื่อเสียงด้านหินแกรนิต และการแกะสลักหิน ใครสนใจก็เลือกซื้อกันตามอัธยาศัยครับ แต่ใครจะแบกก็แบกเถอะ
ครับผมคนนึงหล่ะที่ไม่แบกมาแน่ ครกอ่างศิลายังไม่แบกเลยจะมาแบกหินต้าลี่ก็กระไรอยู่

      เรากลับมาที่เมืองโบราณต้าลี่ มาเดินตลาดโบราณกัน สายๆผู้คนออกมาเดินกันมากมาย

      ร้านค้าส่วนใหญ่ในเมืองโบราณต้าลี่ จะเป็นร้านหยก เครื่องเงิน และพวกขนมต่างๆโดยเฉพาะบ๊วย บ๊วยที่นี่
เค้าดองเหล้านะครับแต่ไม่ ต้องกลัวเมาครับเค้าเอามาเป็นส่วนผสมให้บ๊วยมีรสหวานเท่านั้นเองครับ

      จากถนนใหญ่หน้าเมืองโบราณต้าลี่นั่งรถเมล์สาย 8 ไปที่หมู่บ้านวัฒนธรรมของชนชาติไป๋ ขึ้นรถด้านเดียวกับ
ทางไปวัด Chongsheng Temple ไปลงที่ Dali Bai Nationality Autonomous Prefecture Museum แต่อย่าคิด
ว่าจะบอกคนขับว่าจะลงที่ไหนแล้วให้เค้าเรียกนะครับ เพราะภาษาอังกฤษใช้ไม่ได้ที่นี่ครับ ให้สังเกตุรถข้ามสะพาน
ข้ามแม่น้ำนั่งต่อไปจนเกือบถึงสะพานข้ามแม่น้ำอีกแห่งให้ลงก่อนข้ามสะพานครับ แต่ถ้ากลัวหลงแนะนำให้นั่งรถ
Taxi ไปจะดีกว่าครับ

กลุ่มหมู่บ้านที่นี่เป็นลักษณะการแต่งบ้านของชนชาติไป๋ในแบบพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง มีชาวบ้านใส่ชุดชนเผ่าไป๋
แสดงวิธีการย้อมผ้ามัดคล้ายๆผ้าม่อฮ่อมบ้านเรา ภายในยังมีห้องชมการแสดงวัฒนธรรมของชนชาติไป๋ มีการแสดง
พิธีแต่งงานและเสิรฟชาร้อน 3 ถ้วย ถ้วยแรกเป็นชาร้อนปกติ ถ้วยที่ 2 เป็นชารสหวาน ส่วนถ้วยสุดท้ายรสชาติบอก
ไม่ถูกเลยครับ ไม่อร่อยอย่างแรง

      จากหมู่บ้านไป๋กลับมาเส้นทางเดิมสู่เมืองเก่าต้าลี่ เวลาช่วงบ่ายยังพอมีเวลาเหลือไปชมทะเลสาบเอ๋อไห่กัน
ว่ากันว่าทะเลสาบเอ๋อไห่ เป็นทะเลสาบที่มีน้ำใสที่สุดในมณฑลยูนนาน

      นั่งรถเที่ยวเมืองใหม่ต้าลี่หรือ Xiaguan กันสักนิดครับ ตึกที่เห็นรูปร่างแปลกๆนั่นคือโรงแรม Grand Bay
View Dali ลองเข้าไปเช็คราคาใน Booking.com แล้วราคาแพงใช้ได้ทีเดียวครับ ขืนไปนอนที่นี่ผมว่าคงเลิก
Backpack ไปอีกนานครับ

      คืนนี้เดินเล่นเมืองเก่าต้าลี่ก่อนพรุ่งนี้จะอำลาไปเมืองลี่เจียงครับ ปกติผมไม่ค่อยได้รีวิวเรื่องอาหารการกิน
ครับเพราะเป็นคนเลือกกินบางอย่าง อาหารพื้นเมือง อาหารแปลกๆไม่ค่อยกล้ากินเพราะท้องไส้จะปั่นป่วนแต่
เมืองต้าลี่นี่สำหรับคนที่ชอบปิ้งๆย่างๆ พวกเนื้อย่างเสียบไม้ ยามค่ำคืนจะมีอยู่หลายร้าน ย่างกันควันโขมงครับ

      เดิมทีผมกะว่าจะรีวิวทีเดียวให้จบทริปไปเลย แต่ดูๆไปแล้วมันยาวขึ้นเรื่อยๆงั้นผมขอแบ่งเป็น 2 ตอนแล้ว
กันนะครับ ตอนหน้าผมจะพูดถึงเมืองลี่เจียง เมืองแห่งภูเขาหิมะมังกรหยกครับ

      ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านครับ




Create Date : 09 กันยายน 2556
Last Update : 9 กันยายน 2556 11:34:37 น.
Counter : 1490 Pageviews.

1 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  

นักบัญชีขี้บ่น
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]