วรรณกรรมของหมื่นลี้
Group Blog
 
All Blogs
 

บทที่ 13 คนป่าแดนเถื่อน กับคนเมืองจอมเก๊ก

ด้านนอกของเมืองฝึกฝน เป็นชายป่า ประกอบไปด้วยป่ารอบนอก ซึ่งจะเป็นป่าเบญจพรรณ และมีคุณค่าทางเศรษฐกิจของชาวเมืองฝึกฝน เนื่องจากมีสมุนไพร ของป่า สัตว์ป่า และพืชเศรษฐกิจอีกเป็นจำนวนมาก แต่ลึกเข้าไปในจากป่าเบญจพรรณจะเป็นบริเวณป่าดงดิบ ซึ่งจะเต็มไปด้วยสัตว์ร้าย ความลึกลับที่ซ่อนเร้นอยู่ และอันตรายทุกฝีเท้า

ยามนี้ในป่าเบญจพรรณนั้น เต็มไปด้วยเหล่านักรบในชุดเกราะสีขาวเป็นประกายงดงาม กองทัพนักรบนั้นมีถึง 900 คน ทุกคนถืออาวุธเต็มอัตราศึก มีทั้งหอก ดาบ โล่ และธนู นอกจากนั้นแล้ว ยังแบ่งกองกำลังออกเป็น 5 ทัพหลัก ๆ ดังนี้คือ

1. ทัพหน้าขวา กองกระเรียน ซึ่งนำโดย นายกองโหวอี่ มีคนในกองทัพ 70 คน
2. ทัพหน้าซ้าย กองพยัคฆ์ นำโดย นายกอง ลิ่วหยวน มีทหาร 80 คน
3. กองกลาง นำทัพโดยอี่เทียน มีกองจอมฟ้า 400 คน
4. ปีกขวา เป็นกองสิงโต กับกองจิ้งจอก นำโดย นายกอง สือจิ๋น มีทหาร 200 คน
5. ปีกซ้าย กองมังกร นำโดย เฉินหนาน มีคนในกองทัพ 150 คน

ภารกิจของกองพันชุดนี้ก็คือ ตามหา และเข่นฆ่าตี๋น้อยให้ได้ในทุกวิถีทาง ทำให้เหล่านักรบทั้งหมดซึ่งได้ดูภาพของตี๋น้อยแล้ว แม้ไม่เห็นว่าตี๋น้อยจะเป็นพิษเป็นภัยมากขนาดนั้นต้องทำคิ้วขมวดแน่นด้วยความสงสัย แต่แล้ว ความดีใจของพวกเขากลับกลบจิตสำนึกด้านดีนั้นไปหมดสิ้น เพราะพวกเขาได้รับรางวัลตั้งแต่ภารกิจยังไม่เสร็จสิ้น นั่นคือ การได้บรรจุเข้าเป็นกองทัพประจำก๊กโจโฉ ที่เป็นก๊กที่ใหญ่ที่สุด และทรงอิทธิพลมากที่สุดในเกมนี้

“เรากำลังจะผ่านพ้นจากป่าเบญจพรรณ และกำลังมุ่งสู่ป่าดงดิบ ในพวกเรามีใครรู้จักทางบ้าง”

ลิ่วหยวน นายกองแห่งทัพพยัคฆ์กล่าวขึ้น ทัพพยัคฆ์เป็นทัพหน้าที่จะต้องลาดตระเวณเข้าไปในป่าดงดิบก่อนทัพอื่น ดังนั้น ลิ่วหยวนที่เป็นคนรอบคอบจึงสั่งถามคนในกองของตน

“ไม่มีครับ ไม่มีใครเคยออกมาที่ป่าเลยด้วยซ้ำไป เพราะเท่าที่ผมได้ยินมา มีแต่ชาวบ้านที่เป็นพวก AI จึงจะเข้ามาหาของป่าในป่าดงดิบนี่ แต่ก็แทบจะนับคนได้ เพราะอันตรายในป่าแห่งนี้มีมากกว่าป่าดงดิบในโลกแห่งความเป็นจริงซะอีก”

ชายหนุ่มร่างใหญ่ หนา ราวกับนักกีฬายกน้ำหนัก ชื่อลิ่วปา ซึ่งเป็นทั้งมือขวา เป็นเพื่อนสนิท และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่มพยัคฆ์กล่าวขึ้น

“ชิ...หายแล้วสิ เอาไงวะเนี่ย ท่าทางก็เห็นฉลาด แต่เวลาสั่งการมันดันไม่ให้พวกเราเตรียมตัว นี่ก็เท่ากับส่งพวกเรามาตายชัด ๆ” ลิ่วหยวนบ่นพึมพำ ทำให้ลิ่วปาต้องจุ๊ปากบอก

“เบา ๆ ไอ้พวกนี้มันยิ่งบ้าอำนาจอยู่ด้วย”

“อือ....บอกคนของเราให้ระวังตัวด้วย ดูสิขนาดตอนกลางวันยังไม่เห็นดวงอาทิตย์ส่องต้องพื้นป่าเลย ดูดิบ ๆ ชื้น ๆ สมกับชื่อจริง ๆ” ลิ่วหยวนบ่นพึมพำเบา ๆ กับสภาพของกองทัพที่แต่งชุดใหม่เอี่ยม แต่ให้มาเดินป่าเพื่อจับคน ๆ เดียว


ในป่าดงดิบ ตี๋น้อยที่นั่งพักเหนื่อยใกล้ ๆ ลำธาร พลางรับประทานผลไม้นานาชนิดอย่างมีความสุข

“เอาทหารใหม่มาไล่ล่าเราในป่าดงดิบ ต่อให้เข้ามาเป็นหมื่นก็หาเราไม่เจอหรอก นอกจากจะมีพวกหน่วยเชี่ยวชาญป่าโดยเฉพาะ แต่พวกผู้เล่นใหม่ ๆ นี่จะรู้อะไร วัน ๆ อยู่แต่ในห้องเรียน กับเดินเที่ยวตามตลาด” ตี๋น้อยกินสาลี่กร้วมจนน้ำหวานฉ่ำกระเซ็นออกมา

“เอาละ ได้เวลาฝึกแล้ว ขอเปลี่ยนจากการสำรวจพื้นป่า เป็นการใช้พื้นที่ป่าให้เป็นประโยชน์ก่อนก็แล้วกัน” พูดพลางตรวจดูเครื่องมือที่จะใช้สำหรับการลอบสังหาร

“หน้าไม้ ลูกดอกชุบยางน่อง มีดสั้น ยารมควัน ยาเรียกยุง ยาเรียกงู ยาพิษ ทุกอย่างพร้อม เอาละ....ไปหาข่าวจากข้าศึกก่อนดีกว่า”

ร่างสูงโปร่งกล่าวพลางถลันวูบเข้าไปในป่ารอบข้าง โดยไม่อาจคาดเดาจุดประสงค์ของเขาได้ ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างในป่าเงียบสงบ และดำมืดราวกับเป็นลำนำของปีศาจ ก่อนการเข่นฆ่าสังหารครั้งใหญ่


“อืม..ซุนวูบอกว่า เมื่อเหล่าทหารกระซิบกระซาบแก่กันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ แสดงว่าเหล่าทหารสูญเสียความเชื่อมั่นต่อขุนพลตนเอง แต่เราว่า ไอ้ขุนพลตัวนี้มันไม่สามารถทำให้ทหารของตนเองเชื่อมั่นได้แต่แรกแล้วมากกว่ามั๊ง” ตี๋น้อยสรุปทันทีที่เห็นหน้าประธานรูปหล่อเป็นผู้คุมกองทหาร

กองทัพที่เคลื่อนไหวเป็นกองทัพใหญ่ ทำให้ตี๋น้อยที่มีตัวคนเดียวแอบซุ่ม และหลบมุมสังเกตได้เป็นอย่างดี แต่เขายังไม่ได้ทำอะไรกองทัพนี้ เพราะฝ่ายตรงกันข้ามมีกำลังและอาวุธที่มากกว่านั่นเอง

“มาเป็นกองทัพใหญ่ พร้อมทั้งเสบียงและศาสตราวุธ ทั้งเต้นท์พักแรม กว่าจะไปถึงป่าลึก พรุ่งนี้แน่ ๆ” ตี๋น้อยส่ายหน้าพลางหลบออกมา ก่อนที่จะมุ่งหน้าเข้าสู่ป่าลึกเพื่อเตรียมการต้อนรับศัตรูในทันที


“ท่านขงหยงครับ สถานการณ์ตอนนี้มันผิดสังเกตมากนะครับ” ชางมิน ที่ทำหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยภายในเมืองได้เข้ามารายงานกับขงหยงที่จวนท่านเจ้าเมือง

“มีอะไรก็ว่าไป” ขงหยงเงยหน้าจากแผนที่ป่าดงดิบ แล้วถามขึ้น

“มีทหารประมาณ 3 หน่วย หน่วยละประมาณ 40 คน ถือคำสั่งท่านเจ้าเมืองเพื่อออกไปเสริมกำลังเพื่อไล่ล่าเจ้าตี๋น้อย แต่พวกมันยกออกไปทางประตูเมืองทั้ง 3 ด้าน คือทางประตูทิศเหนือ ประตูทิศตะวันออก และประตูทิศใต้ หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีชาวเมืองพากันออกไปหาของป่ามากเป็นพิเศษ และพากันออกไปทางประตูเมืองทั้ง 3 ทิศทางเช่นเดียวกับพวกทหารครับ”

ชางมินกล่าวรายงานเหตุการณ์ซึ่งตอนแรกเขาไม่คิดว่าจะผิดปกติ แต่พอเห็นชาวเมืองออกไปมากผิดปกติ เขาก็ไปสอบถามกับทางประตูเมืองทิศอื่น ๆ อีก 3 ทิศ ปรากฏว่า มีประตูเมือง 2 ทิศที่มีเหตุการณ์ผิดปกติเช่นเดียวกับทางตะวันออกที่เขาประจำการอยู่ จึงรีบมารายงาน และนำคำสั่งของเจ้าเมืองมาวางบนโต๊ะทำงานของขงหยง

“เป็นทหารหน่วยไหน” ร่างผอมบาง และดูเคร่งเครียดของขงหยงขมวดคิ้วครุ่นคิด ก่อนที่จะถามขึ้น

“เป็นหน่วยที่ควบคุมคุกลับ ซึ่งขึ้นอยู่กับท่านเจ้าเมืองโดยตรงครับ” ชางมิน ซึ่งมีรูปร่างหน้าตาดูเคร่งเครียดไม่แพ้กันเอ่ยตอบ ทำให้ขงหยงสั่งทหารรับใช้ให้ไปตามเจ้าเมืองมาพบเขา

“เจ้าออกไปก่อน แล้วมีอะไรข้าจะให้ทหารสั่งการตามไปอีกที”

“ครับท่าน” ชางมินทำความเคารพแบบทหารจีน ก่อนที่จะเดินออกไป ทำให้ขงหยงสั่นหัว

“ท่าจะบ้าหนังจีน ไอ้เราก็ผู้เล่นด้วยกัน ไม่ได้เป็น AI ซะหน่อย”


“ว่าไง ท่านใช้ทหารคุมคุกลับไปทำอะไรตั้ง 3 หน่วย”

ขงหยงถามขึ้นทันทีที่เจ้าเมืองมาถึง เนื่องจากตำแหน่งผู้ตรวจการมีอำนาจเหนือเจ้าเมืองชั้นตรีอย่างเกาะฝึกฝนแห่งนี้ ทำให้เจ้าเมืองต้องยืนตอบด้วยความนอบน้อม

“ข้าไม่รู้เรื่องเลย และไม่น่าจะมีเรื่องเช่นนี้ได้ เพราะทหารที่คุมคุกลับจะประจำการอยู่ที่คุกลับเพียงอย่างเดียว อีกทั้ง กองกำลังก็มีเพียงแค่ 2 หน่วย หน่วยละ 40 คน”

ร่างผอมเล็ก แต่ดูเคร่งเครียดของขงหยงจึงยื่นคำสั่งให้เจ้าเมืองดูทันทีที่ได้ยินคำตอบ

“นี่ไม่ใช่คำสั่งของข้านี่ แม้ว่าจะเป็นตราประทับของข้าก็ตาม น่าจะเป็นคำสั่งปลอม เพราะว่าที่เนื้อกระดาษไม่มีลายน้ำของเมืองฝึกฝน”

เจ้าเมืองได้นำกระดาษเปล่าที่วางอยู่ในตู้เอกสารสำคัญออกมาให้ดู ซึ่งจะเป็นกระดาษที่ใช้สำหรับคำสั่งของเจ้าเมืองโดยเฉพาะ

“อืม....แสดงว่ามีคนปลอมตัวเป็นทหารชุดนี้ หรือไม่ก็ พวกทหารชุดนี้แปรพักตร์ งั้นท่านช่วยนำข้าไปยังคุกลับด้วย” ขงหยงลุกขึ้นพร้อมกับหยิบกระบี่ประจำตัวมาถือไว้ พร้อมกับสั่งให้ทหารไปตามหน่วยองครักษ์ประจำตัวมา จากนั้น จึงให้เจ้าเมืองนำทางไปคุกลับ


ทางเข้าของคุกลับสามารถเข้าได้สองทางคือ ช่องทางด้านนอก ซึ่งมองจากภายนอกเหมือนประตูทางเข้าตึกบัญชาการของทางราชการมากกว่าจะเป็นทางเข้าไปในคุก และทางเข้าอีกทางจะอยู่ที่ห้องทำงานของเจ้าเมือง ซึ่งเป็นทางลับ สำหรับท่านเจ้าเมืองจะเข้าไปตรวจตราความเรียบร้อย

“นี่หรือ คุกลับที่ลือกันว่าลึกลับที่สุดของเกาะฝึกฝน”

ขงหยงกล่าวขึ้นทันทีที่เห็นด้านใน ค่ายทหารสองข้าง และตัวคุกจะอยู่ตรงกลาง เป็นคุกที่สร้างจากหินเกรนิตที่แข็งแกร่ง ไม่มีหน้าต่าง แต่มีช่องให้แสงแดดส่องเข้าถึงได้ และมีช่องระบายอากาศที่ซับซ้อนจนมองไม่ออก แต่อากาศถ่ายเทอย่างปลอดโปร่ง

“แย่แล้ว ไม่เห็นมีทหารสักคน ทหารไปตรวจดูสิว่าเกิดอะไรขึ้น” ขงหยงสั่งองครักษ์ประจำตัว ทำให้มีอยู่ 5 คนที่พุ่งออกไปตรวจสอบตามเต้นท์ต่าง ๆ

“ท่านขงหยงครับ เหล่าทหารรักษาการณ์ตายหมดทุกคน” เสียงองครักษ์รีบกลับมารายงานทำให้สิ่งที่ขงหยงคิดไว้นั้นเริ่มมีเค้าลาง


“ดูจากสภาพ น่าจะตายไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้วครับท่าน” ทหารองครักษ์รายงานทันทีที่เข้าไปตรวจสอบสภาพศพ

“ดูท่าจะเป็นยอดฝีมือที่เชี่ยวชาญการฆ่า ลงมืออย่างไร้ร่องรอย และไร้เสียง แต่สามารถเก็บได้จนหมดทุกคน” ขงหยงสรุป ก่อนที่จะหันไปถามเจ้าเมืองที่ยังทำหน้าตาตื่นอยู่ด้านหลังว่า

“ห้องขังที่นี่ขังใครบ้าง รายงานให้ข้าทราบด้วย”

“ห้องขังที่เป็นนักโทษประหารจะเป็นกลุ่มโจรจากเขาไท่ซาน กับเอี้ยฮุ้น นายทหารที่ท่านโจโฉให้ประหารชีวิต ส่วนด้านนอกจะเป็นพวกชาวบ้านที่ถูกฟ้องร้อง และต้องนำไปขายเป็นทาส”

เจ้าเมืองตอบด้วยความนอบน้อม เพราะครั้งนี้มีความผิดอยู่อย่างเต็มประตู เพราะปล่อยให้นักโทษได้หนีรอดไปได้ ถ้ารู้ถึงหูของโจโฉ คราวนี้คงจะรักษาหัวไว้ไม่ได้แน่ ๆ

“กลุ่มโจรเขาไท่ซานมีใครบ้าง”

ขงหยงไม่รู้จักความสามารถของเอี้ยฮุ้น แต่รู้จักกับเหล่าโจรเขาไท่ซานที่ลือลั่นไปทั่วแผ่นดิน และพึ่งจะถูกตีแตกในเวลาไม่นานมานี้เอง ดังนั้น เขาจึงอยากที่จะรู้จักว่า พวกมันเป็นใครบ้าง เพราะคิดว่า พวกมันคงจะไปสมทบกับตี๋น้อยแน่ ๆ เพราะต่างก็มีศัตรูคนเดียวกัน

“เป็นหัวหน้าโจร กับพวกลูกน้องอีก 24 คน”

ร่างเจ้าเนื้อของเจ้าเมืองเริ่มสั่นเทิ้ม เพราะรู้แล้วว่า ขงหยงให้ความสำคัญกับกลุ่มโจรเขาไท่ซานมากกว่าเอี้ยฮุ้นอีก และคราวนี้เขาได้ทำให้หัวหน้าโจรแหกคุกหนีไปได้

“เอี้ยวจิ้งเจิง มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร แล้วเจ้าเลี่ยงเซิน มาด้วยไหม”
ขงหยงกัดฟันกรอด เพราะเคยรู้จักฝีมือกันดีอยู่ โดยเฉพาะเลี่ยงเซินที่เคยเอาชนะมันได้เมื่อครั้งไปล้อมปราบที่เขาไท่ซาน ตอนหลังโจโฉยกทัพใหญ่ไปเอง จึงสามารถตีแตกได้ในที่สุด

“7 ผู้นำแห่งเขาไท่ซานมาอยู่ที่นี่ครบทั้ง เอี้ยวจิ้งเจิง เลี่ยงเซิน ปังอี้เซียง เจี่ยอวี้ หูเห่ยหนาน เคอซิน และซิวเสินจวี้ พวกมันเรือแตกมาติดเกาะที่นี่เมื่อไม่นานมานี้ ข้ากำลังจะทำเรื่องส่งไปแจ้งท่านโจโฉ แต่ท่านก็มาที่นี่พอดี ทำให้ไม่มีโอกาสได้บอก และไม่ได้ส่งเรื่องไป”

เจ้าเมืองก้มหน้าพูดด้วยความตกใจกลัว แม้ขงหยงจะโกรธเจ้าเมือง แต่สถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ไม่มีผลดีต่อตัวมัน เพราะเหล่าทหาร และชาวเมืองเคารพเจ้าเมืองคนนี้มาก จึงยืนระงับอารมณ์ชั่วครู่ จากนั้นจึงสั่งการทันทีว่า

“ส่งทหารมาเก็บกวาดที่นี่ และสำรวจความเสียหาย จากนั้นส่งรายงานไปให้ข้ารู้ รวมทั้งรายชื่อของทหารกองที่ไปเข้ากับศัตรูด้วย พร้อมทั้งครอบครัวของทหารเหล่านั้น”

“ทะ...ท่านหมายถึงว่า มีทหารที่ไปเข้ากับพวกที่แหกคุกไปด้วยหรือครับ”

คำถามนี้ทำให้ขงหยงต้องหันไปมองหน้าเจ้าเมืองเขม็งอย่างตำหนิว่าไม่รู้เรื่อง จนเจ้าเมืองต้องรีบขออภัย จากนั้นจึงได้ไปสั่งการทหารให้เข้ามาจัดการเก็บกวาดที่นี่ทันที

“จางอี้เชียน จัดการส่งรายงานให้กับท่านโจโฉ พร้อมกับเร่งให้หน่วยเชี่ยวชาญศึกเดินทางมาโดยเร็ว”

ขงหยงสั่งการองครักษ์คนสนิท ก่อนที่จะออกไปสำรวจเมืองเพื่อตรวจตราดูการป้องกันเมืองจากการโจมตีที่อาจจะมีขึ้น

“แล้วกองกำลังที่ออกไปตามล่าเป้าหมายของเราละครับท่าน ไม่เรียกกลับมาหรือ” จางอี้เชียนสอบถามขึ้น เพราะถ้ามีคำสั่งให้กลับคืนเมือง จะได้ส่งคำสั่งไปได้ทันที

“ไม่ต้อง ถ้ากองกำลังแค่ร้อยกว่าคน กับคน ๆ เดียวพวกมันจัดการไม่ได้ ก็ไม่สมควรที่จะมีชีวิตอยู่” ขงหยงกล่าวอย่างเหี้ยมเกรียม




 

Create Date : 15 ตุลาคม 2554    
Last Update : 15 ตุลาคม 2554 16:00:48 น.
Counter : 385 Pageviews.  

บทที่ 12 ภัยร้าย และการเตรียมตัวเข้าสู่สงคราม

ยามเฉิน (07.00 น.-09.00 น.) เหล่ากองทหารผลัดใหม่มาเปลี่ยนเวรยาม และก็ต้องประหลาดใจที่นายร้อยดูแลหน่วยทหารผลัดกลางคืนไม่ออกมาต้อนรับ พบเห็นแต่ทหารที่ยืนเข้าแถวรออยู่อย่างเรียบร้อย เพื่อมอบเวรยามให้กับผลัดใหม่

“ท่านครับ หัวหน้าของพวกเราพบกับปัญหานิดหน่อย อยากจะขอเชิญท่านไปยังกระโจมกลางเพื่อที่หัวหน้าของเราจะปรึกษาหารือสักครู่ได้ไหมครับท่าน”
หัวหน้ากองซึ่งเขาไม่เคยเห็นหน้า อาจจะพึ่งเข้าประจำการก็ได้ เพราะเขาไม่เคยเห็น แต่พูดจาฉาดฉานดูดี และทะมัดทะแมงสมเป็นหัวหน้ากอง

“ได้สิ...เราก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล มีอะไรก็บอกกันได้ นำไปสิ หัวหน้ากอง”
นายร้อยผลัดกลางวันเป็นคนวัยกลางคน จึงค่อนข้างจะทำตัวสบาย ๆ สักหน่อย เพราะดูแล้ว อนาคตราชการคงจะอยู่แค่นี้ และถ้าจะเลื่อนลำดับคงไม่ไกลจากนี้เท่าไรนัก

“เชิญครับ ผู้กองรออยู่ในกระโจมครับ”

อีกฝ่ายก็เดินเข้าไปในกระโจมบัญชาการซึ่งเป็นสองตอน และเมื่อแหวกม่านเข้าไปในห้องที่สอง ขาของผู้กองผลัดกลางวันก็ค้างทันที

“ผู้พันเอี้ยฮุ้น”

“เข้ามาสิ ผู้กองยู่ฟ่าน”

สิ้นเสียงเชิญ ยู่ฟ่านรีบหันหลังกลับเพื่อหลบออกจากกระโจมทันที เพราะรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับกองทหารผลัดกลางคืน

ฉิ้ง..................

ดาบเล่มหนึ่งได้พาดคอของยู่ฟ่านจนมันต้องชะงักท่าที เพราะไม่อย่างนั้น ลูกกระเดือกของมันคงต้องถูกเชือดเพราะแรงของตัวเองแน่ ๆ

“ดาบไวของเลี่ยงเซินมีชื่อเสียงมานานปี นึกไม่ถึงว่าจะมีโอกาสได้เห็น”

เอี้ยฮุ้นกล่าวชมอย่างจริงใจ แต่ก็ทำให้ยู่ฟ่านต้องเสียวแปลบเข้าไปถึงหัวใจ เพราะอดีตมือปราบเลี่ยงเซินมีเพลงดาบวายุ ซึ่งนับเป็นดาบไวอันดับต้น ๆ ของยุทธจักรมานานปี ต่อให้มีอาวุธอยู่ในมือยังไม่กล้าที่จะปะมือด้วย ดังนั้น ยู่ฟ่านจึงต้องทำตามคำสั่งของเอี้ยฮุ้น ทั้ง ๆ ที่ต้องเสี่ยงกับการเอาชีวิตไปทิ้งยิ่งนัก แต่ก็ดีกว่าจะปลิดปลงไปในทันทีทันใดด้วยดาบไวของเลี่ยงเซิน

“เรียกทหารเข้ามาครั้งละ 10 คน เพื่อให้ผู้ตรวจการได้ตรวจความเรียบร้อยของทหาร”

สิ้นคำสั่งของเอี้ยฮุ้น ยู่ฟ่านรับคำ และเดินออกไปยังแถวทหารพร้อม ๆ กับเลี่ยงเซินในชุดหัวหน้ากองซึ่งเดินอย่างน้อมนอบตามไปไม่ห่าง

“หัวหน้ากองทั้งสี่ นำทหารไปรับการตรวจจากท่านผู้ตรวจการในกระโจมกลาง”
สิ้นเสียงสั่ง หัวหน้ากองก็พาทหารกองละ 10 คน เข้าไปในกระโจมกลางทันที เมื่อเวลาผ่านไปสักครู่หนึ่ง ทหารประจำหน้ากระโจมกลางก็ส่งสัญญาณบอกกับหัวหน้ากองที่ข้างกายผู้กองยู่ฟ่าน

“เรียบร้อยแล้วครับท่าน”

สิ้นเสียงของหัวหน้ากองซึ่งเป็นเลี่ยงเซินที่สวมรอยอยู่ ทำให้ยู่ฟ่านก็เกิดอาการกระตุกนิดหนึ่งด้วยความเศร้าเสียใจกับทหารของตนเอง ก่อนที่จะให้สัญญาณกับหัวหน้ากองคนต่อไป และเป็นอย่างนี้เรื่อย ๆ จนกระทั่ง กองทหารในความบังคับบัญชาของเขาทั้ง 44 คนละลายหายไปกับตา

“หมดสิ้นแล้ว คราวนี้ก็ถึงคราวของข้าแล้วสินะ”

ยู่ฟ่านเข่าอ่อนทรุดลงกับพื้นทันที ทำให้อุ้ยเซินต้องส่งสัญญาณให้ทหารในแถวออกมา 2 คนเพื่อประคองนายร้อยท่านนี้ขึ้นมา

“วางใจเถอะยู่ฟ่าน ลูกน้องของท่านก็เป็นลูกน้องของข้าเหมือนกัน พวกเขาแค่โดนสยบไว้ และข้าจะถามได้ถามความสมัครใจของทุกคนแล้วว่า จะยินดีตามข้า หรือจะยอมทำตามคำสั่งของท่านเจ้าเมืองที่เป็นหุ่นเชิดของโจโฉ ลูกน้องของท่านทุกคนต้องการที่จะตามข้า” เสียงหนึ่งดังขึ้น พร้อมกับทหารทั้ง 44 คนที่เดินตามหลังมาอย่างยินยอมถวายชีวิตให้

“ข้าจะถามท่านเหมือนที่ถามพวกเขาเช่นกันว่า เจ้ายินดีที่จะติดตามข้าหรือไม่”
เอี้ยฮุ้นได้เอ่ยถามยู่ฟ่านสั้น ๆ แต่ทำให้ยู่ฟ่านนิ่งคิดอยู่นาน เพราะถ้าเขาอยู่ที่นี่เขาก็จะพอมีกินมีใช้ แม้ว่าเขาจะมีฝีมือในด้านดาบพอตัว แต่ก็คงจะไม่มีโอกาสได้ใช้ และไม่มีความก้าวหน้าใด ๆ แต่ถ้าทำพลาดนั่นหมายถึงชีวิตของเขาและครอบครัวทีเดียว

ดังนั้นคำถามของเอี้ยฮุ้นเหมือนกับจะถามเขาว่า ต้องการที่จะเสี่ยงเพื่อที่จะก้าวหน้า หรือต้องการที่จะจมปลักอยู่ในที่เดิน ซึ่งสำหรับเขาแล้ว เขาเชื่อในในเอี้ยฮุ้นว่าจะนำเขาไปสู่ความก้าวหน้าได้ แม้ไม่เป็นอย่างนั้น ชีวิตของเขาก็คงจะต้องสนุกตื่นเต้นในแต่ละวันแน่ ๆ ไม่ใช่เช้าชามเย็นชามแบบในปัจจุบัน

“ข้าขอติดตามผู้พันไปทุกที่ทุกแห่ง แม้แต่ความตายก็ไม่หวั่น”
ยู่ฟ่านคุกเข่าคารวะเอี้ยฮุ้นอย่างยอมมอบถวายชีวิตให้ ทำให้เอี้ยฮุ้นต้องประคองยู่ฟ่านขึ้น ท่ามกลางเสียงพึงพอใจของทหารทั้ง 44 คนของเขา


“แผนครั้งนี้จะชื่อว่า ปิดฟ้าข้ามมหาสมุทร เราจะออกจากเมืองเพื่อไปสมทบกันทียอดเขาลี่ซาน”อุ้ยต่งจิ้นที่เลื่อนขึ้นเป็นกุนซือของกลุ่มได้สรุปแผนการ พลางชี้ให้ดูแผนที่ประกอบ

“ท่านยู่ฟ่านนำทหารทั้ง 44 คนไปทางประตูเมืองด้านทิศเหนือ โดยอ้างคำสั่งของท่านเจ้าเมืองเพื่อให้ไปสืบหาผู้ร้ายที่หลบซ่อนตัวอยู่ในภูเขาด้านเหนือ โดยบอกว่า จะค้นภูเขาด้านเหนือจนไปสมทบกับกลุ่มต่าง ๆ ในด้านตะวันออก” ยู่ฟ่านรับคำ ซึ่งอุ้ยต่งจิ้นก็นำคำสั่งของท่านเจ้าเมือง(ปลอม) มามอบให้ และให้ไปจัดทัพทหาร(ปลอม)ให้เรียบร้อย

“ส่วนหัวหน้ากองทั้งสี่ ให้นำทหารทั้ง 40 คนไปยังประตูเมืองด้านทิศตะวันออก โดยนำคำสั่งของท่านเจ้าเมืองเพื่อไปตรวจค้นผู้ร้ายยังป่าดงดิบร่วมกับกองกำลังกลุ่มต่าง ๆ จากนั้น ก็แยกตัวเองไปยังเขาลี่ซาน” หัวหน้ากองทั้งสี่รีบมอบคำสั่งท่านเจ้าเมือง(ปลอม) แล้วก็ตรงออกไปตรวจดูความเรียบร้อยของทหาร(ปลอม)ทันที

“ส่วนท่านเลี่ยงเซิน นำทหารทั้ง 44 คนไปยังประตูด้านทิศใต้ โดยนำคำสั่งของท่านเจ้าเมืองไปตรวจค้นป่าเบญพรรณทางทิศใต้ ถ้ามีเหตุการณ์ที่ผิดพลาดก็ให้เข่นฆ่าทหารรักษาเมือง และหลบหนีไปยังส่วนลึกของป่า แล้วจึงหันกลับขึ้นไปสมทบยังเขาลี่ซานในด้านทิศตะวันออก”

จากนั้นก็มอบคำสั่งท่านเจ้าเมือง(ปลอม) ให้กับเลี่ยงเซิน ซึ่งทหารทั้ง 40 คนนั้นเป็นทหารจริง แต่จะมีหัวหน้าคนสำคัญของกองโจรปลอมตัวแอบอยู่ในกองทัพด้วย รวมทั้งเอี้ยฮุ้นที่เป็นนักโทษแผ่นดินด้วย

เมื่อมอบหมายงานทั้งหมดเสร็จสิ้น อุ้ยต่งจิ้นก็หันไปบอกกับเพื่อน ๆ ทั้ง 3 คนที่ร่วมปฏิบัติการปล้นคุกครั้งนี้ว่า

“ส่วนพวกเราทั้งสามคน คงต้องกลับคืนสู่ชุดทหารประจำการของเรา และแยกย้ายกันไปนำครอบครัวเหล่าทหารทั้ง 45 คนที่เข้ามาร่วมกับเรา เพื่ออพยพไปยังเขาไท่ซาน โดยให้เหล่าคนหนุ่มมารวมตัวกันเป็นกลุ่ม เพื่อไปตามล่าคนร้าย และให้เหล่าสตรี เด็ก และคนชรา เดินตามไปส่ง แต่ส่งจนถึงเขาลี่ซานจึงหยุด”

และแล้ว แผนการปิดบังฟ้าเพื่อข้ามทะเลก็ถูกนำมาใช้ ซึ่งเงื่อนไขของกลนี้อยู่ที่ความสมจริงของเหตุการณ์ ลีลาการแสดงของผู้ร่วมงาน และเวลาที่เหมาะสม


ขอกล่าวถึงการเตรียมการของกองกำลังของขงหยง ที่ได้สั่งการให้กองกำลังทั้งหมดในเมืองมารายงานตัวในตอนเช้า ดังนั้น กองกำลังทั้งหมดจึงจำใจมารายงานตัว แม้ว่าจะไม่เต็มใจก็ตาม เพราะไม่อย่างนั้น อาจจะถูกล้มล้างทั้งกลุ่มก็เป็นได้

“ทุกหน่วยมาพร้อมกันทุกคนหรือยัง”

ขงหยง ผู้ตรวจการใหญ่ประจำเมืองหลวง ได้กล่าวต่อหน้ากลุ่มต่าง ๆ ซึ่งได้มารายงานตัวเพื่อขึ้นทะเบียนในการไล่ล่าตี๋น้อย เนื่องจากโจโฉไม่รู้จักชื่อที่ใช้ในเกมของตี๋น้อย จึงใช้ชื่อว่า ตี๋น้อย ในการออกประกาศตามจับ
กำลังพลกลุ่มต่าง ๆ มีดังนี้คือ

กลุ่มจอมฟ้า 1,000 คน ผู้นำคือ อี่เทียน
กลุ่มมังกร 150 คน ผู้นำคือ เฉินหนาน
กลุ่มพยัคฆ์ 80 คน ผู้นำคือ ลิ่วหยวน
กลุ่มสิงโต 110 คน ผู้นำคือ สือจิ๋น
กลุ่มจิ้งจอก 90 คน ผู้นำคือ ปาหยง
กลุ่มกระเรียน 70 คน ผู้นำคือ โหวอี่

ซึ่งกำลังพลครั้งนี้จะมีถึง 1,500 คน เพื่อออกตามล่าคนเพียงคนเดียว นอกจากนี้แล้ว ยังจะมีกองกำลังพิเศษของโจโฉที่จะตามมาอีก 1 พันคน

“อี่เทียนก้าวออกมาข้างหน้า”

ขงหยงกล่าวขึ้นด้วยเสียงของท่านผู้บัญชาการเหล่าทัพ ทำให้อี่เทียน ซึ่งก็คือประธานนักเรียนโรงเรียนจอมฟ้า คู่กรณีของตี๋น้อย ได้ก้าวออกมาตรงหน้าของขงหยง

“นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เจ้าคือผู้ควบคุมกองกำลังพิเศษ ซึ่งขึ้นตรงต่อท่านโจโฉ มีจำนวน 1,500 คน ถือเป็น 1 กองพัน ดังนั้น เจ้าจะมีตำแหน่งเป็นนายพัน คุมกองพันพิเศษแห่งเกาะฝึกฝน” สิ้นเสียง อี่เทียนได้คุกเข่าลงรับสัญลักษณ์แห่งกองทัพจากมือของขงหยง

“เฉินหนาน ลิ่วหยวน สือจิ๋น ปาหยง โหวอี่ ชางมินก้าวออกมาด้านหน้า”

เฉินหนาน ที่มีร่างกายสูงเพียว ส่วนลิ่วหยวน ร่างกายสูงใหญ่ สือจิ๋น ร่างกายกำยำล่ำสัน ปาหยง หนุ่มน้อยหน้ามน และ โหวอี่ รูปร่างธรรมดา หน้าตาสมถะ และชางมิน รองประธานโรงเรียนจอมฟ้า ทั้ง 6 ได้ก้าวออกมาด้านหน้าของขงหยง

“นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป พวกเจ้าคือผู้ช่วยของอี่เทียน มีตำแหน่งเป็นนายกอง ดูแลกองกำลังอาสา ขึ้นตรงกับกองพันพิเศษแห่งเกาะฝึกฝน”

“น้อมรับคำสั่ง”

ทั้งหกได้คุกเข่าลงรับสัญลักษณ์แห่งนายกองจากมือของขงหยง จากนั้นได้ทำการยืนอยู่หน้ากองกำลังของตนเอง ในขณะที่อี่เทียน ได้ยืนอยู่หน้าคนทั้งห้า

“กองกำลังพยัคฆ์ กองกำลังมังกร กองกำลังสิงโต กองกำลังจิ้งจอก และกองกำลังกระเรียน นำกำลังสมทบกับกองกำลังจอมฟ้า 400 คน ไปตามล่าตี๋น้อยในป่าดงดิบ โดยการนำทัพของอี่เทียน และข้าอนุญาตให้เบิกอาวุธ เสบียง และยุทธภัณฑ์ที่จำเป็นจากกองคลังประจำเมืองได้” ขงหยงสั่งการ

“ส่วนกองกำลังจอมฟ้าที่เหลืออีก 600 คน ให้ชางมินดูแล ในการรักษาการณ์ในเมือง โดยแยกไปเฝ้าประจำประตูทั้ง 4 ทิศ เพื่อเสริมกำลังกองทหารประจำเมือง”
เมื่อจัดวางกำลังต่าง ๆ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขงหยงก็เรียกทั้ง 7 คนเพื่อเข้ามาดูแผนการต่าง ๆ ที่เขาได้วางไว้ เพื่อที่จะประสานงานกันได้อย่างราบรื่น


อีกด้านหนึ่งของเกาะเริ่มต้น รุ่งอรุณของวันใหม่ได้เริ่มต้นขึ้น เสียงบิดขี้เกียจดังขึ้นจากบนต้นไม้สูงใหญ่

“ฮ้าว......ได้เวลาฝึกฝนแล้วสินะ แต่ก็ดีไปอย่างนะที่ออฟไลน์บนที่สูงขนาดนี้ ตอนออนไลน์มาจะได้ไม่ต้องตกใจถ้าเผื่อจะเอ๋กับพวกสิงสาราสัตว์ทั้งหลาย”

ใบหน้าที่คมคายนั้นมีรักยิ้มขึ้นบนใบหน้า เมื่อนึกถึงความตื่นเต้นที่จะได้ผจญภัยในป่าใหญ่ โดยไม่ได้ล่วงรู้ถึงอันตรายที่กำลังก่อตัวขึ้นมาแม้แต่น้อย

“อืม.....หมวดแรกต้องฝึกเรื่องการเอาตัวรอดในป่าดงดิบ ต้องเรียนรู้จักทุกซอกทุกมุมของป่า และการใช้ประโยชน์จากป่า ถ้าหากว่า เกิดการต่อสู้ในป่าดงดิบ”
ภาพเหมือนจอคอมพิวเตอร์ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าทันทีที่กดที่หัวเข็มขัด ทำให้เห็นตารางการฝึกที่ถี่ยิบ และเป็นขั้นเป็นตอน จากนั้น ร่างที่เริ่มดูคมเข้มขึ้นได้เปิดดูแผนที่ในป่าดงดิบอย่างละเอียด ซึ่งจะมีในเฉพาะห้องสมุดลับเท่านั้น

“ซุนวูบอกว่า ชัยภูมิมี 6 อย่างคือ ชัยภูมิเปิด ชัยภูมิติดพัน ชัยภูมิไม่แน่นอน ชัยภูมิแคบ ชัยภูมิเร่งรีบ และชัยภูมิห่างไกล เราต้องทำความเข้าใจกับชัยภูมิทั้ง 6 นี่ก่อนที่จะสามารถเข้าใจถึงการรบทัพจับศึก”

ทบทวนความรู้เสร็จ ร่างที่สูงโปร่งนั้นก็ลื่นไถลลงไปจากต้นไม้ชนิดที่ลิงยังอาย จากนั้น ร่างนั้นก็ตรงเข้าไปสำรวจในป่าต่าง ๆ ซึ่งแน่นอนว่าเขาย่อมมีเครื่องป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายกับตัวเองได้

“รองเท้าหนัง กางเกง และเสื้อแขนยาว ชุบน้ำยาพิเศษเพื่อป้องกันทาก งูพิษ และยุง ส่วนมือก็ใส่ถุงมือหนัง พร้อมกับใส่หมวกหนัง และเตรียมมีดเดินป่าให้พร้อม”
ตี๋น้อยดูข้อมูลแผนที่ในคอมพิวเตอร์ซึ่งอยู่ในเข็มขัดจอมปราชญ์ เทียบกับสถานที่จริง พร้อม ๆ กับการเปรียบเทียบว่าควรจะเป็นชัยภูมิชนิดใดในทั้ง 6 ชนิด เมื่อสรุปได้ เขาก็จะทำเครื่องหมายไว้ในแผนที่

“อืม...สำรวจได้แค่ไม่เท่าไรเลย ป่าแห่งนี้มันกว้างมากจริง ๆ มีทั้งอันตรายจากพวกงูพิษ ทาก สมุนไพรที่เป็นพิษต่าง ๆ รวมทั้งยุงป่าด้วย แต่ทรัพยากรก็มีมากด้วยเช่นกัน รวมทั้งสัตว์ป่าที่อุดมสมบูรณ์” ตี๋น้อยสรุปการฝึกออกมา ก่อนที่จะนั่งพักเหนื่อย

ในขณะนั้น ฝูงนกป่าได้บินขึ้นเป็นกลุ่มในพื้นที่ที่เห็นไกล ๆ จากนั้น ส่วนฝูงสัตว์ที่อยู่บนดินได้วิ่งหนีจนฝุ่นตลบ ทำให้เขานึกถึงตำราพิชัยสงครามที่กล่าวว่า ถ้าในป่าเห็นฝูงสัตว์ตื่นตกใจและหนีภัยจำนวนมาก ถ้าไม่ใช่ไฟป่า ก็ต้องเป็นกองทัพข้าศึก

ร่างของตี๋น้อยจึงได้วิ่งไปยังจุดที่เหมาะสม และได้ปีนต้นไม้เพื่อมองลงไปให้ได้ไกลขึ้น สิ่งที่เขาพบเห็นก็คือ กองทัพประมาณพันคน กำลังก้าวเข้ามาสู่ป่าดงดิบแห่งนี้ มีการจัดทัพในแบบที่ใช้ในพื้นที่ปกติ ทำให้เขารู้สึกหัวเราะ

“คนเป็นพัน อาวุธเต็มอัตราศึก เพื่อมาจับคน ๆ เดียว แต่การจัดทัพในป่าดงดิบ ซึ่งนับเป็นชัยภูมิติดพัน คือเป็นชัยภูมิที่เข้าง่ายออกยาก และผู้ที่เดินทัพในแบบแผน ย่อมจะเป็นจุดเด่น และเป็นภัยแก่ตัวเอง”

“คอยดูก็แล้วกัน ว่าคนเป็นพันแต่เดินทัพไม่เป็น เมื่อกลับไปจะเหลือรอดสักกี่คน”
ตี๋น้อยกล่าวด้วยดวงตาเป็นประกาย ก่อนที่จะลื่นไถลร่างลงจากต้นไม้เพื่อเตรียมการต้อนรับเหล่านักรบนับพันที่มาใช้บริการป่าดงดิบแห่งนี้




 

Create Date : 15 ตุลาคม 2554    
Last Update : 15 ตุลาคม 2554 15:59:57 น.
Counter : 265 Pageviews.  

บทที่ 11 บุกคุกปล้นนักโทษประหาร

สำหรับผู้ที่เฝ้าเวรยามแล้ว วิกาลนี้ช่างยาวนานนัก ซึ่งตรงกันข้ามกับผู้ที่หลับใหลอยู่ในที่นอนที่แสนจะอบอุ่น มักจะรู้สึกเสมอว่า วิกาลนั้นช่างสั้นยิ่งนัก หลับไปไม่นานเท่าไรก็ต้องตื่นแล้ว แต่ในคืนนี้ ทั้งผู้ที่อยู่เวรยาม และผู้ที่หลับใหลอยู่บนที่นอนต่างก็จะได้รับการอนุญาตให้พักผ่อนได้ชั่วนิรันดร์

กร๊อบ.....................กร๊อบ..............................

ในค่ายทหารด้าตะวันออก และค่ายทหารด้านตะวันตกนั้นเริ่มมีเสียงกระดูกเคลื่อนออกจากที่ดังเบา ๆ ถี่ขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อมองไปในสายไฟที่ส่องสว่างจ้าไปทั่วบริเวณ ก็มองเห็นทหารในชุดยามรักษาการณ์ค่ายละ 2 คน ต่างคนต่างขยันขันแข็งยิ่งนัก เพราะเดินตรวจตราไปมาอยู่รอบ ๆ บางครั้งมุดกระโจมนี้ แล้วมาโผล่อีกกระโจมหนึ่ง จนถ้วนทั่วทุก ๆ กระโจมพัก

แต่ทว่า นอกจากทหารทั้ง 4 คนนี้แล้ว เหล่าทหารยามซึ่งปกติจะมีค่ายละ 5 คน ต่างหายหน้าไปจนหมดสิ้น เหลือไว้เพียงค่ายละสองคนเท่านั้น

“ได้ยินเสียงอะไรไหม โกอวด ไอ้พวกที่เข้าเวรยามที่ค่ายมันเคี้ยวกระดูกไก่เสียงดังเล็ดลอดมาถึงนี่เลย”

ทหารยามที่ยืนยามคู่กันหน้าประตูคุกเอ่ยขึ้นด้วยความหิว เพราะผลัดนี้เป็นจะเข้ายามตั้งแต่ยามจื่อ ไปจนถึง ยามอิ่น (ห้าทุ่ม – ตี 5) เป็นเวลา 3 ชั่วยาม ซึ่งเป็นเวลาที่ทั้งง่วง ทั้งหิว สำหรับคนที่ยืนยาม ทำให้ได้ยินเสียงอะไรก็เป็นของกินไปหมด

“น่าน.....ว่าแล้ว ไอ้พวกนี้มันก็มีน้ำใจอยู่แฮะ แอบกินไก่ยามค่ำคืน ยังมีน้ำใจมาให้เรากินด้วย”

ทหารยามที่กำลังคุยอยู่นั้นกล่าวขึ้นอย่างดีใจ เพราะมองเห็นทหารสองคนนำไก่ตุ่นใส่จานมาให้ตัวใหญ่ ๆ ทั้งตัว ทำให้คนที่ชื่อโกอวดซึ่งกำลังยืนหาวอยู่หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง

“ดี ๆ กำลังง่วงอยู่พอดี บ๊ะ......วันนี้เป็นลาภปากแฮะ เอาไว้ออกเวรแล้วจะทำไก่ขอทานอร่อย ๆ ฝีมือโกอวดให้เป็นการตอบแทน” โกอวดรีบเอ่ยขึ้นอย่างดีใจที่เห็นทหารยามที่มาจากในค่ายคนหนึ่งยื่นจานให้

“ไปนั่งกินหลบ ๆ หน่อยสิ เดี๋ยวพวกข้าจะยืนยามให้ชั่วครู่”

ทหารที่ยื่นไก่ให้พูดขึ้น ทำให้ทั้งสองรีบหยิบจานไก่เดินเข้าไปด้านข้างของประตูห้องขัง โดยไม่ได้เห็นว่า คนที่ยื่นไก่ให้ได้ตามเข้าไปด้วย และเมื่อโกอวดวางจานลงบนโต๊ะ ทหารทั้งสองก็จับปิดปากพวกมันทั้งสอง ก่อนที่จะบิดคอด้วยความชำนาญทันที

อุ๊บ.............กร๊อบ.............กร๊อบ...................


ภายในห้องขังในคุกลับจะมีอยู่สองชั้น ชั้นแรกเป็นชั้นนอก ซึ่งจะเป็นที่คุมขังนักโทษสถานเบา แต่ห้องขังที่สองนั้นจะเป็นที่คุมขังนักโทษประหาร ซึ่งทั้งสองฟากฝั่งของห้องขังจะเป็นกรงที่ขังเดี่ยว ๆ แต่ในคืนนี้ เหล่านักโทษประหารที่มีประมาณ 20 กว่าคนต่างตะโกนคุยกันเสียงดังลั่นห้องขัง แม้ดึกดื่นเที่ยงคืนมิยอมหลับนอน เพราะพวกเขารู้ดีว่า เวลานอนนั้นย่อมจะมีมากเมื่อถูกประหารไปแล้ว แต่เวลาเป็นนั้นมีน้อยนักจนเสียดายแม้แต่จะยอมเสียเวลาไปกับการนอนหลับ

“ขอโทษทีวะเพื่อน เจ้าคือผู้พันเอี้ยฮุ้น ยอดฝีมืออันดับหนึ่งในเมืองนี้ใช่ไหม”
นักโทษร่างสูงใหญ่ ใบหน้ารกครื้มไปด้วยหนวดเครา ได้เอ่ยถามขึ้นด้วยเสียงดังกังวาน ทำให้เหล่านักโทษที่ตะโกนโหวกเหวกโวยวายนั้นต่างเงียบเสียงลง เพราะพวกเขารู้จักคนที่ถาม และคนที่ถูกถาม

“เจ้าคือ เหยี่ยวตาทอง เอี้ยวจิ้งเจิง หัวหน้าผู้กล้าแห่งเขาไท่ซานใช่ไหม” เอี้ยฮุ้นถามขึ้นทันทีที่เห็นแววตาแหลมคม และส่องประกายวาววับไปความมืด ทำให้ฝ่ายที่ถูกถามกลับหัวเราะดังลั่น

“ยอดเยี่ยมมากผู้พัน แค่มองเห็นนัยน์ตาข้าก็รู้จักแล้ว ใช่ข้าคือเอี้ยวจิ้งเจิง แห่งเขาไท่ซาน”

เอี้ยวจิ้งเจิง ผู้เป็นหัวหน้าโจรเขาไท่ซาน ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองฝึกฝนกล่าวตอบ ร่างสูงใหญ่นั้นได้เขม้นมองเอี้อฮุ้นอย่างแปลกใจที่เห็นผู้พันแห่งกองทัพได้กลายเป็นนักโทษประหารเช่นเดียวกับเขา

“ทำไมทางการหน้ามืดตามัวเช่นนี้ จับท่านเอี้ยฮุ้นมาประหาร ก็เท่ากับตัดแขนขาตัวเอง หรือว่า ท่านไปเหยียบตาปลาใครมาละ” เอี้ยวจิ้งเจิงถามอย่างตรง ๆ ตามแบบมหาโจร ทำให้เอื้อฮุ้นตอบตรง ๆ เช่นเดียวกันว่า

“ก็ไม่มีอะไรหรอก แค่ไปเหยียบตาปลามหาอุปราชโจโฉ ก็เท่านั้นเอง”

เสียงฮือฮาดังลั่นห้องขัง เพราะแม้ว่าพวกมันจะเป็นมหาโจร แต่เพราะเหตุการณ์บังคับ และทางการบีบคั้นพวกเขาจนทนไม่ไหว และผู้ที่บีบคั้นพวกเขาจนต้องหนีเตลิดมานั้นก็คือโจโฉ ซึ่งถือคติที่ว่า ผู้ตามข้าอยู่ ผู้ขวางข้าตาย เหล่าผู้กล้าที่ไม่เห็นด้วยกับการอ้างราชอำนาจขององค์ฮ่องเต้มาใช้เสริมสร้างก๊กตัวเองของโจโฉจึงต้องหนีเตลิดมาเป็นโจร และถูกตามล่าจนต้องหนีไปตั้งกลุ่มโจรบนเขาไท่ซานด้านตะวันออกของแผ่นดินใหญ่ในมณฑลเฉงจี๋ว คอยก่อกวนและรังคราญก๊กของโจโฉ จนต้องถูกตีแตกพ่ายมา

“ไท่ซานกับที่นี่แม้ว่าจะไม่ไกล แต่ก็ไม่ใกล้นัก พวกท่านมาที่นี่ได้อย่างไร” เอี๊ยฮุ้นถามขึ้นอย่างสงสัย

“เมื่อเราถูกกองทัพโจโฉตีแตก เราก็อาศัยปล้นเรือ เพื่อที่จะหาเกาะอาศัยหลบภัย จนกระทั่งได้ถูกคลื่นใหญ่ ฟาดซัดเรือพวกเราจนต้องล่ม แม้จะว่ายน้ำหนีรอดมาได้บางส่วน แต่ก็ถูกทหารของที่นี่พบเห็น และล้อมจับได้ในที่สุด

“มีเรื่องเช่นนี้หรือ ทำไมข้าจึงไม่ได้รับรายงานละ” เอี๊ยฮุ้นสงสัย

“นั่นเนื่องเพราะว่า เจ้าเมืองที่นี่คิดที่จะเอาใจโจโฉ จะได้ส่งมอบพวกข้าให้กับโจโฉโดยให้คนรู้เห็นน้อยที่สุด”

เลี่ยงเซินผู้มีเรือนร่างสมส่วน และหน้าตาท่าทางอาจหาญ ในอดีตเคยเป็นมือปราบวังหลวง และได้กลายมาเป็นมือขวาของเอี้ยวจิ้งเจิง ได้เอ่ยขึ้น

“โจโฉมาที่นี่ และตอนนี้ก็คงจะลงเรือกลับไปที่ลกเอี๋ยงแล้ว น่าแปลกที่ท่านเจ้าเมืองไม่ส่งมอบพวกท่านให้กับโจโฉ” คำพูดของเอี้ยฮุ้น ทำให้เหล่าขุนโจรทั้งหลายต้องตระหนกแล้ว

“อืม....แสดงว่า มีเรื่องที่เร่งด่วนมากกว่าเรื่องของพวกข้าให้เจ้าเมืองต้องจัดการ จึงไม่มีเวลามาเลียโจโฉ เพราะรู้อยู่ว่า ถ้าเลียไม่เป็น หัวบนบ่าคงต้องย้ายที่แน่ ๆ” เลี่ยงเซินพูดขึ้นอย่างรู้จักนิสัยของโจโฉ และข้าราชการในแผ่นดินอย่างดี

“ว่าแต่ท่านไปทำอะไรให้ขัดเคืองใจของโจโฉละ ท่านไม่เคยไปลกเอี๋ยงไม่ใช่หรือ ทำไมมันถึงมารังควานท่านถึงที่นี่ได้” เอี้ยวจิ้งเจิง หัวหน้าโจรเขาไท่ซานถามขึ้น

“นั่นนะสิ ท่านไปทำอะไรให้มันไม่พอใจจนต้องสั่งประหารท่าน” เลี่ยงเซินที่สงสัยมาแต่แรก จึงถามย้ำขึ้นด้วยความแปลกใจ

“ข้าพบคน ๆ หนึ่งที่มีใบหน้าคล้ายคลึงกับโจโฉประมาณ 4 ส่วน แต่เขาคนนี้ดูมีคุณธรรม และมีประกายตาที่เฉลียวฉลาดกว่าโจโฉอีก แต่ว่า.....เขาพึ่งจะเข้ามาฝึกฝนที่เมืองนี้ได้ไม่กี่วัน โจโฉก็ส่งจดหมายด่วนประทับตราทางการให้จับตาย พร้อมทั้งตั้งรางวัลไว้อย่างสูงสำหรับชายคนนี้ ข้าจึงช่วยให้เขาหนีไปทางด้านตะวันออกของเมือง ให้เข้าไปยังป่าดงดิบ เพราะหลบลี้หนีภัยในพื้นที่ที่อันตรายที่สุดในเกาะแห่งนี้ หวังว่าจะช่วยให้เขาพ้นภัยจากคนพาลผู้นี้ไป”

เอื้อฮุ้นตอบขึ้นด้วยดวงตาเป็นประกายแจ่มใส จนทำให้เหล่าขุนโจรทั้งหลายต้องปรบมือดังลั่นอย่างชอบใจ พลางกล่าวขึ้นด้วยเสียงกังวานว่า

“ยอดเยี่ยมมาก ผู้ที่สามารถทำให้โจโฉกังวลใจจนต้องสั่งตามล่านั้นมีอยู่ไม่มากนัก ยิ่งเป็นคนที่พึ่งจะเข้ามาในโลกใบนี้ยิ่งไม่เคยมี ข้าคิดว่า คน ๆ นี้จะต้องเป็นดาวข่มโจโฉแน่ ๆ ยิ่งคิดข้าก็ยิ่งอยากที่จะเห็นตัวคน ๆ นี้แล้วสิ” หัวหน้าโจรแห่งเขาไท่ซานพูดขึ้นด้วยใบหน้าเปี่ยมด้วยความหวัง

“เฮ้อ.....แม้พวกท่านจะแหกคุกนี้ไปได้ในวันนี้ หรือพรุ่งนี้ พวกท่านจะได้พบกับคน ๆ นี้หรือเปล่ายังไม่รู้ เพราะว่า โจโฉได้ทิ้งขงหยง นักกลยุทธ์แห่งลกเอี๋ยงเอาไว้เคยบัญชาการกลุ่มต่าง ๆ ในเมืองนี้ให้ออกไล่ล่าคนผู้นี้ และมันยังส่งข่าวทางนกพิราปสื่อสารให้นำกองกำลังค้นหาที่เชี่ยวชาญที่สุดในเมืองหลวงมาอีก 1 กองพัน เพื่อช่วยกันค้นหาและทำลายล้างคน ๆ นี้อีกแรงหนึ่ง” สิ้นเสียงเอี้ยฮุ้น เสียงอุทานดังขึ้นจากปากมหาโจรเดนตายทั้ง 25 คน

“แต่ถ้าชายผู้นี้จะเกิดมาเป็นดาวข่มโจโฉ อันตรายแค่นี้คงไม่คณามือของท่านหรอก ถ้าพวกเรารอดไปได้ พวกเราจะตั้งกลุ่มอยู่ในเกาะแห่งนี้ เพื่อเป็นกองกำลังให้ท่านได้ใช้เพื่อต่อต้าน และรุกไล่โจโฉ แผ่นดินนี้คงจะสนุกสนานมากขึ้น ฮ่า ๆ ๆ” เอี้ยวจิ้งเจิงพูดขึ้นด้วยเสียงห้าวหาญ ทำให้ผู้กล้าแห่งเขาไท่ซานยกนิ้วเห็นด้วย

แกร๊ก...................แอ๊ดดดดดด.....................

เสียงประตูใหญ่ที่เชื่อมต่อกับห้องขังชั้นนอกดังขึ้น ทำให้คนทั้งหมดแปลกใจ เพราะประตูนี้ไม่เคยเปิดถ้าไม่ใช่การนำคนมาขัง หรือไม่ก็เป็นการนำคนไปประหาร เพราะอาหารจะให้แค่เวลาเที่ยงของทุกวันเท่านั้น
มองเห็นทหารสองคนเดินตรงเข้ามายังห้องของเอี้ยฮุ้น ทำให้เหล่าโจรร้องโวยวายทันที

“เฮ้ย....ไอ้พวกทหารเดนตาย จะเอาท่านเอี้ยฮุ้นไปไหน หยุดเดี๋ยวนี้”
เสียงร้องด่าทหารดังระงม แม้ว่า ทหารคนหนึ่งจะเอาดาบออกมาไล่ขู่ แต่ทั้งหมดก็ไม่ยอมเงียบเสียง จนกระทั่งเอี้ยฮุ้นที่มองเห็นใบหน้าของทหารคนหนึ่งเข้า จึงร้องอุทานขึ้น

“อุ้ยต่งจิ้น เป็นเจ้าหรือนี่”

“ใช่แล้วท่านหัวหน้า พวกเราทั้งสี่มาช่วยท่านแล้ว” ทหารคนที่เปิดประตูห้องเอี้ยฮุ้นเอ่ยขึ้น ทำให้เหล่าโจรเงียบเสียง เมื่อรู้ว่านี่คือการปล้นคุก

“อุ้ยตี๋ เปิดประตูปล่อยพวกเขาออกมาให้หมด” เอี้ยฮุ้นร้องบอก ทำให้อุ้ยต่งจิ้นรีบบอกว่า

“แต่...หัวหน้า การที่นำคนมากเกินไป อาจจะทำให้การหนีลำบาก และอาจจะถูกจับได้นะ”

“เขาคือเอี้ยวจิ้งเจิง หัวหน้าผู้กล้าแห่งเขาไท่ซาน” เอี้ยฮุ้นชี้มือไปยังชายรูปร่างสูงใหญ่ที่ยืนสงบนิ่งอยู่ในกรงขัง ทำให้อุ้ยต่งจิ้นรีบคารวะ และเปิดประตูห้องขังทันที

“ขออภัย ไม่ทราบว่าเป็นท่าน ถ้าเป็นท่าน ข้ายินดีที่จะร่วมเป็นร่วมตายด้วย” หัวหน้าโจรหัวเราะเสียงดังลั่น ก่อนที่จะออกมาจากกรงขัง และเอามืออวบอูมตบบ่า
ของอุ้ยต่งจิ้นเบา ๆ พลางบอกว่า

“คนทั้งหมดนี้เป็นพี่น้องของข้า พวกเขาองอาจกล้าหาญ คนหนึ่งอาจต้านทหารได้เป็นสิบ วางใจเถอะ ถ้ามีอาวุธให้พวกเขา แม้จะบุกปล้นเมืองนี้ก็จะได้ดังใจ”

“เรื่องอาวุธไม่ต้องห่วง ข้างนอกมีอาวุธเพียบ เชิญออกมาได้ทุก ๆ คน” อุ้ยต่งจิ้นพูดพลางไขกุญแจปล่อยทุกคนออกมา ทำให้หมิงสงที่มาด้วยต้องเอ่ยถามเบา ๆ ว่า

“ถ้าอย่างนั้นแผนการของเราต้องเปลี่ยนแปลงใหม่ใช่ไหม” คำถามนี้ทำให้เหล่าโจรทั้งหมดหัวเราะดังลั่น

“แน่นอน เมื่อพวกผู้กล้าออกจากคุก จะมีผู้ใดกล้าต่อต้านพวกเราได้”
เมื่อทุกคนออกมาจากห้องขังหมดแล้ว อุ้ยต่งจิ้นก็จัดการปลดโซ่ตรวนจากข้อมือ และข้อเท้าของทุกคน ทำให้ทุกคนสลัดมือและเท้าไปมาอย่างพึงพอใจ

“เดี๋ยวพวกข้าจะนำหน้า ทุกคนตามมา เพื่อไปเก็บอาวุธ และวางแผนการกันต่อไป” อุ้ยต่งจิ้นร้องบอกกับทุกคน

แอ้ดดดดด.......................

เมื่อประตูเหล็กที่เชื่อมโยงกับคุกภายนอกเปิดออก และทุก ๆ คนกำลังจะผ่านไป เหล่านักโทษคดีเล็กน้อยในคุกด้านนอกก็คุกเข่าลงทันที พลางกล่าวว่า

“ท่านผู้กล้าหาญ โปรดปล่อยพวกเราไปด้วยเถิด ไม่อย่างนั้น เมื่อกองทหารใหม่เข้ามาในตอนเช้า พวกข้าก็คงไม่รอดอย่างแน่นอน อีกอย่าง ถึงจะอยู่ไป พวกเราก็จะต้องตกไปเป็นทาสอยู่ดี ขอพวกเราไปเป็นม้าเป็นลาให้กับพวกท่านดีกว่า”

ชายกลางคนผู้ซึ่งดูเป็นคนมีการศึกษาเป็นผู้กล่าวขอร้องกลุ่มคนที่กำลังจะแหกคุกหนี

“เอาไงดี หัวหน้า” อุ้ยต่งจิ้นหันกลับมาถามเอี้ยฮุ้น

“พาพวกเขาไปด้วย” คำตอบของเอี้ยฮุ้น ทำให้อุ้ยต่งจิ้นหันหน้าไปบอกกับหมิงสง และเหล่าขุนโจรทันที

“ท่านไปเอาพวงกุญแจห้องขังด้านนอกมา แล้วปล่อยพวกเขาไป ส่วนที่เหลือพากันออกไปเก็บอาวุธ เปลี่ยนชุดให้เป็นชุดของทหาร และจัดกองกำลังรอคอยคุ้มกันอยู่ด้านนอก”

ดังนั้นทุกคนจึงแยกย้ายกันไปเตรียมกัน ส่วนอุ้ยต่งจิ้น เอี้ยฮุ้น เอี้ยวจิ้งเจิง และเลี่ยงเซินได้จับกลุ่มประชุมกันอย่างเคร่งเครียดเพื่อวางแผนการหนี เนื่องจากกลุ่มโจรมีคน 25 คน นักโทษในห้องขังด้านนอก 58 คน และกลุ่มของเอี้ยฮุ้นอีก 5 คน รวมเป็นกลุ่มขนาดเกือบหนึ่งกองร้อย ด้วยมีผู้คนถึง 88 คน




 

Create Date : 15 ตุลาคม 2554    
Last Update : 15 ตุลาคม 2554 15:58:52 น.
Counter : 341 Pageviews.  

บทที่ 10 แผนการของอุ้ยต่งจิ้น

ที่ซุ้มข้างห้องสมุดแม้จะมืดค่ำ แต่แสงจากตะเกียงในสวนก็ส่องสว่างทั่วไป ทำให้มองเห็นลุงบรรณารักษ์นั่งป้อนข้าวเจ้าพุดเดิ้ลน้อยอยู่อย่างสบายอารมณ์

สาเหตุของความสบายใจของลุงบรรณารักษ์ก็เพราะว่า ตั้งแต่ที่เขาได้ทดลองใช้วิธีของตี๋น้อยที่ให้คุณหนูอยู่ใต้โต๊ะ ทำให้เขามีเวลาอ่านนิยายของกิมย้งได้อย่างไม่มีการติดขัด เพราะถ้ามีคนมาในระยะที่มองเห็น พุดเดิ้ลน้อยตัวนี้ก็จะเอาขามาสะกิดที่เท้าของเขา ทำให้เขาสามารถเงยหน้าขึ้นมามองอย่างเป็นธรรมชาติได้

“แย่แล้วพ่อ” เสียงหญิงสาวที่ดูกระวนกระวายดังขึ้น

“อะไรนะ เมื่อกี้หมวยเล็กพูดว่าอะไรนะ” ลุงพันเงยหน้าขึ้นมองอย่างดุ ๆ ทำให้เสี่ยวหมวยที่วิ่งกระหืดกระหอบมาต้องยิ้มแหย ๆ ก่อนที่จะพูดเสียงอ่อย ๆ ว่า

“แย่แล้วคะ คุณลุง”

“เมื่อกี้ไม่ใช่แบบนี้นี่นา”

“เอาเถอะน่า คุณลุงก็ยังเรียกเสี่ยวหมวยผิด ๆ ถือว่าเจ๊า ๆ กันไป” เสี่ยวหมวยพูดสรุปเอง ทำให้คุณลุงต้องขมวดคิ้ว แต่ก็ทำอะไรไม่ได้

“ตอนนี้มีเรื่องเร่งด่วนมากกว่า เรื่องของเจ้าสัว กับคนที่ช่วยเหลือเจ้าสัว”

ท่าทางเสี่ยวหมวยดูกระวนกระวาย จนลุงพันต้องเบิกมือห้าม จากนั้นจึงพาเดินไปยังมุมอับที่ไม่มีคนเข้ามาวุ่นวายข้างหลังห้องสมุด ตรงจุดที่เป็นช่องหมาลอดที่ตี๋น้อยเคยมุดออกไป

“ตอนนี้ตี๋น้อยหนีการไล่ล่าเข้าสู่ป่าดงดิบได้สำเร็จ โดยการช่วยเหลือของผู้พันเอี้ยฮุ้น” เสี่ยวหมวยหอบหายใจเพราะความตกใจ และรีบวิ่งมาจากอาคารที่ทำการประจำเมืองฝึกฝน

“ก็ดีแล้วนี่ ทำไมต้องดูกระวนกระวายด้วย ไม่ต้องห่วงหรอก เจ้าสัวคนนี้น่าจะเอาตัวรอดได้”

ลุงพันพูดปลอบเสี่ยวหมวย ทำให้เสี่ยวหมวยที่เริ่มปรับการหายใจได้เป็นปกติต้องบอกข้อมูลบางอย่างที่สำคัญว่า

“มันไม่ง่ายอย่างนั้นนะสิ เพราะผู้ที่ไล่ล่าเจ้าสัวจริง ๆ แล้วคือโจโฉที่กุมอำนาจอยู่ในเมืองหลวง และครั้งนี้มันได้มาที่เมืองนี้ และลงมือควบคุมการไล่ล่าครั้งนี้ด้วยตัวเองด้วย”

“มหาอุปราชโจโฉ ผู้เล่นที่สามารถดำเนินรอยตามโจโฉในประวัติศาสตร์ได้นะหรอ ถ้าอย่างนั้นก็เรื่องใหญ่แล้วนะสิ” ลุงพันพูดขึ้นอย่างตกใจ ทำให้เสี่ยวหมวยต้องยกมือจุ๊ปาก เป็นสัญญาณให้ส่งเสียงเบา ๆ

“ผู้พันเอี้ยฮุ้นก็ถูกพวกมันจับกุมตัวไป คาดว่าจะถูกประหารชีวิตโทษฐานขัดขืนคำสั่งของมหาอุปราช ที่มีอำนาจยิ่งใหญ่กว่าองค์จักรพรรดิ์เสียอีก” เสี่ยวหมวยรายงานเหตุการณ์ จากนั้นจึงบอกเล่าต่ออีกว่า

“ครั้งนี้ขงหยงเสนาธิการมือดีของโจโฉลงมาดูแลการไล่ล่าเอง เพราะกำหนดแผนการให้กับกลุ่มต่าง ๆ ในเมืองนี้ได้ออกไล่ล่าตี๋น้อยในป่า ส่วนตัวของโจโฉก็จะกลับไปรอฟังข่าวดีในเมืองหลวง และจะจัดการส่งหน่วยไล่ล่าฝีมือดี 1 กองพันมาเสริมด้วยทันทีที่การไล่ล่าภายในคืนนี้ไม่สำเร็จ”

เสี่ยวหมวยพูดขึ้นอย่างเป็นกังวล ส่วนลุงพันนั้นหน้าตาดูยับยู่ยี่ไปเรียบร้อยแล้ว เพราะศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงเกินไปจริง ๆ

“แล้วนี่จะเอาอย่างไรดีคะ เพราะกองกำลังของเสี่ยวหมวยก็อยู่ในแผ่นดินใหญ่ และถ้าเคลื่อนย้ายมาที่นี่ก็ไม่อาจที่จะเล็ดรอดสายตาของฝ่ายโจโฉไปได้” เสี่ยวหมวยครวญเบา ๆ ด้วยสีหน้าเป็นกังวล

“คงต้องรอดูเหตุการณ์ และพลิกแพลงตามสถานการณ์ก่อนดีกว่า ทางนี้ลุงจะติดต่อเพื่อน ๆ ที่เร้นกายให้พยายามหาทางช่วยอย่างลับ ๆ ส่วนเสี่ยวหมวยก็คอยรายงานเหตุการณ์ และคอยช่วยเหลืออย่างลับ ๆ ในทันทีที่มีโอกาส เพราะถ้าช่วยอย่างเปิดเผย พวกเราคงจะถูกทางโน้นถล่มจนพ่ายแพ้ไปแน่ ๆ แต่ทุกอย่างก็ต้องขึ้นอยู่กับเจ้าสัวแล้ว ว่าในครั้งนี้จะสามารถเอาตัวรอดได้หรือไม่ เพราะถ้าไม่สามารถเอาตัวรอดในครั้งนี้ได้ ความช่วยเหลือจากพวกเราก็คงจะไปไม่ถึงแน่ ๆ”

ลุงพันกล่าวขึ้นอย่างลำบากใจ แต่ทั้งคู่ก็เห็นพ้องต้องกันว่า กุญแจสำคัญของเรื่องนี้อยู่ที่ตี๋น้อยเท่านั้น ว่าเขาจะสามารถที่จะหลีกหนีจากกองทัพที่จะล้อมจับเขาได้หรือไม่ ก่อนที่จะหาโอกาสเอาคืนทีหลัง


ค่ำคืนนี้แสงจันทร์มืดมิดมองเห็นเพียงส่วนเสี้ยวเล็ก ๆ ของดวงจันทร์ ราวกับจะซ่อนเร้นสายตาไว้จากความอยุติธรรมในแผ่นดินนี้ โดยเฉพาะความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นในเมืองฝึกฝน

ในคุกเมืองฝึกฝนเป็นที่กักขังเหล่าทหาร และพลเมืองที่มีคดีติดตัว และหลาย ๆ คนต้องถูกตัดสินจำคุกด้วยโดนกล่าวหาจากเจ้าหนี้ เนื่องจากไม่มีเงินใช้หนี้ แม้ว่าเศรษฐกิจในเมืองนี้จะดีมาก แต่โอกาสดี ๆ มักจะเกิดขึ้นกับกลุ่มพ่อค้าที่ได้รับสัมปทานจากท่านเจ้าเมืองเท่านั้น ทำให้ผู้ที่ไม่มีโอกาสต้องกลายเป็นชนชั้นแรงงาน แม้ว่าจะมีฝีมือและสติปัญญาก็ตามที

คุกแห่งนี้ตั้งอยู่ด้านหลังที่ทำการเมืองฝึกฝน ภายนอกจะเป็นต้นสนหนาทึบซ่อนเร้นสายตาผู้คนไม่ให้รู้ว่ามีคุกอยู่ที่นี่ ด้านหลังต้นสนจะเป็นกำแพงสูงชัน และคุกนั้นจะอยู่ด้านหลังกำแพง ส่วนทางที่จะเข้าไปนั้นจะเป็นทางโล่ง ๆ ทำให้ผู้ที่ยืนอยู่ในป้อมบนกำแพงทั้ง 8 ทิศนั้น สามารถส่งสัญญาณให้เหล่าทหารที่อยู่ในห้องพักต่าง ๆ ด้านล่างได้ ถ้ามีการแหกคุก หรือหลบหนี

แม้ว่าชัยภูมิของคุกนั้นจะดูลึกลับ และแน่นหนา แต่ข้อเสียของมันก็มีอยู่ โดยเฉพาะถ้าผู้ที่จะปล้นคุกนั้นรู้จักชัยภูมิของมันอย่างกระจ่างชัดดุจลายมือบนฝ่ามือตนเอง

“พี่หวังจะลงมือจริง ๆ หรอ” ชายคุมหน้าในชุดดำที่ซ่อนเร้นอยู่ในป่าสนคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้น

“จุ๊.....เบา ๆ งานนี้ถ้าเราไม่ทำ พี่เอี้ยของเราก็ต้องหัวขาด ในเมื่อชีวิตของพวกเราเก็บคืนมาได้เพราะพี่เอี้ย วันนี้ถึงเราจะต้องสังเวยชีวิตคืนให้พี่เอี้ยก็ต้องทำ” ชายในชุดดำ 1 ใน 4 คนนั้นตอบขึ้น ทำให้ทั้งสามคนพยักหน้ารับคำด้วยตาเป็นประกาย

“ถูกต้องแล้ว แม้ว่าร่างกายจะเป็นผุยผงก็ต้องช่วยหัวหน้าของพวกเราให้ได้” ชายร่างสันทัดอีกคนกล่าวขึ้น

“แน่นอนเราต้องทำอย่างนั้นอยู่แล้ว แต่ต้องทำตามแผนที่ข้าวางไว้อย่างเคร่งครัด เพราะที่นี่มันเป็นกลางเมือง แถมพวกกลุ่มต่าง ๆ ในเมืองนี้ที่ขึ้นตรงกับทางมหาอุปราชคอยคุมเชิงอยู่ ถ้าพลาดจะเป็นผลเสียอย่างยิ่ง แม้ว่าพวกเราจะไม่เสียดายชีวิต แต่พี่เอี้ยจะพลอยเสียชีวิตไปกับเราด้วย” ชายผู้เป็นหัวหน้ากล่าวกำชับ ทำให้บุรุษร่างกายกำยำแข็งแกร่งทั้ง 3 คนรับคำเบา ๆ

“ถ้าอย่างนั้นแยกย้ายกันไปตามแผน หวังซื่อป้อมเหนือ วกไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ หม่าชิงป้อมตะวันออกเฉียงใต้ วกไปทางตะวันออก แล้วคอยหวังซื่อมาสมทบ ส่วนข้าจะอยู่ทางใต้ วกไปทางตะวันตกเฉียงใต้ ส่วนหมิงสงป้อมตะวันตกเฉียงเหนือ วกมาทางตะวันตก แล้วคอยข้าไปสมทบ จากนั้นลอบเร้นจัดการกับทหารในค่ายพักให้หมดสิ้นจากฝั่งตะวันตก และตะวันออก เมื่อเสร็จสิ้นแล้ว มารวมกันที่หน้าทางเข้า แล้วจึงดำเนินการปล้นคุกต่อไป”

ที่แท้ชายชุดดำเหล่านี้เป็นทหารใต้สังกัดของผู้พันเอี้ยฮุ้น ส่วนหัวหน้าที่สั่งการในขณะนี้คือ อุ้ยต่งจิ้น ผู้มีสติปัญญา และเชี่ยวชาญพิชัยสงคราม และเป็นผู้ช่วยมือดีของผู้พันเอี้ยฮุ้น

ค่ำคืนที่มืดมิดแต่ป้อมทั้ง 8 ทิศที่ตั้งอยู่รอบคุกลับแห่งนี้กลับไม่สามารถจุดไฟได้ เนื่องจากแสงไฟจะเล็ดลอดออกไปจากดงสนได้ จึงทำให้ป้อมทั้ง 8 มืดมิด แต่ภายในกำแพงกลับสว่างไสวราวกับกลางวันด้วยเสาตะเกียงจำนวนมาก ซึ่งจะทำให้การหนีออกจากคุกโดยลอบเร้นออกไปเป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด ยกเว้นว่า ทหารที่ตั้งค่ายอยู่ล้อมรอบคุกนั้นถูกทำลายลง

เมื่อทหารทั้งสามคนแยกย้ายกันไปจนหมดสิ้นแล้ว อุ้ยต่งจิ้น ในชุดสีดำปิดหน้าปิดตาก็คำนวณระยะเวลาที่ทั้งสามต้องเดินทาง จากนั้นจึงคาดคะเนว่า ทุกคนพร้อมกันแล้ว ร่างนั้นก็พลิกขึ้นสู่ต้นสนที่สูงใหญ่ข้างกายทันที มองเห็นเงาดำราวกับลิงลมไต่ขึ้นสู่ต้นสนอย่างรวดเร็ว จนลับหายไปกับปลายต้นสน บุกรุกเข้าสู่ใจกลางของดงต้นสน


“ว๊า......เจ้าหนูนี่ไม่ไหวเลยวะ กลางวันให้พักกลับไม่หลับไม่นอน ออกไปเดินป้อสาวอยู่ได้ พออยู่เวรยามดันมาหลับยาม ดีว่าพวกนายทหารส่วนใหญ่ได้ออกไปร่วมภารกิจพิชิตค่าหัวของเจ้าหนูหน้าอ่อนนั่นแล้ว ไม่อย่างนั้น ถ้าหัวหน้ามาเห็น สงสัยโดนดองเวรยาวแน่ ๆ”

ทหารยามคนหนึ่งพึมพำเบา ๆ กับร่างที่ส่งเสียงกรนครอก ๆ ของทหารที่เข้าเวรคู่กับตน ในการเฝ้าเวรยามของทหารทั่ว ๆ ไปนั้น ในตอนกลางคืนจะอยู่กัน 2 คนเพื่อให้มีเพื่อนคุย และป้องกันเหตุสุดวิสัยซึ่งมักจะเกิดขึ้นในยามค่ำคืน ส่วนกลางวันจะใช้คนเพียงคนเดียว เนื่องจากเหล่าทหารอื่น ๆ ต้องคอยดูแลการทำงานของเหล่านักโทษ และบางส่วนที่เข้าเวรยามกลางคืนต้องพักผ่อน

ราตรีนี้มีลมทะเลโชยพัดมาจนดงสนที่ต้องลมส่งเสียงดังโหยหวนดังคล้ายภูตผีทวงวิญญาณ ทำให้คนที่ต้องยืนยามคนเดียวเพราะเพื่อนมาหลับยามต้องสะท้านใจด้วยกลัวผี โดยเฉพาะผีที่ผูกอาฆาตพยาบาทเนื่องจากการถูกประหารโดยไม่ได้รับความเป็นธรรมจากท่านเจ้าเมือง

ตุบ.......................

เสียงเหมือนมีอะไรตกลงที่พื้นกำแพงเบา ๆ แทรกเสียงลมแว่วมา ทำให้ทหารยามผู้ที่ตื่นอยู่ต้องหันกลับไปมอง แต่ก็ไม่พบเห็นอะไร จึงลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินออกมาจากในป้อมยามเพื่อไปตรวจสอบ

จู่ ๆ ก็มีมือมาปิดปากเขา ขณะที่กำลังจะร้องออกมาด้วยความตกใจ มืออีกข้างหนึ่งของชายผู้นั้นก็เอื้อมมือผ่านหน้าของเขาไปจับหัวด้านหลังของเขา จากนั้นก็กระชากมือกลับอย่างเร็ว และแรง ทำให้กระดูกคอของทหารเคราะห์ร้ายหัก และตกตายไปอย่างไม่ทันได้รู้ตัว

จากนั้น เงาร่างสีดำซึ่งลอบเร้นเข้ามาภายในป้อมก็จัดการกับทหารที่หลับอยู่อย่างสบายอยู่นั้น ให้ได้หลับใหลไปตลอดกาล

ชายชุดดำรีบผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าของตนออก และสวมใส่เสื้อผ้าของทหารยามทันที เพราะทหารหน่วยนี้ใส่ชุดไม่เหมือนชุดทหารหน่วยของเขา และการใส่ชุดทหารยามนี้จะทำให้เขาสามารถเล็ดลอดเข้าสู่ค่ายทหารโดยไม่เป็นที่ผิดสังเกต
มองเห็นหน้าของบุรุษที่เข้ามาบุกปล้นคุกในยามวิกาลนั้นดูหน้าตาราวกับบัณฑิตที่จะเข้าสอบจอหงวน แม้ร่างกายจะดูบอบบาง แต่การเคลื่อนไหวกลับคล่องแคล่วปราดเปรียว ประกายตานั้นเป็นประกายตาของผู้ทรงภูมิปัญญาที่ไม่อาจจะดูถูกได้ ที่แท้บุรุษที่สังหารทหารยามทั้งสองคนนี้ก็คือ อุ้ยต่งจิ้น ซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการปล้นคุกในครั้งนี้นี่เอง

หลังจากผลัดเปลี่ยนชุดและซุกซ่อนศพของทหารทั้งสองแล้ว ร่างสูงโปร่งในชุดทหารยามก็เดินอย่างสง่าผ่าเผยไปยังด้านป้อมตะวันตกเฉียงใต้ทันที ราวกับว่ากำลังเดินตรวจตราดูความปลอดภัย

ในท่ามกลางความมืดบนกำแพงคุกแห่งนี้ แม้ยืนอยู่ในระยะ 2 เมตรยังมองเห็นหน้ากันไม่ชัด ดังนั้น เมื่อเขาเดินตรวจตรามาเรื่อย ๆ จนถึงป้อมด้านตะวันตกเฉียงใต้ เขาก็พบเห็นทหารยามสองคนกำลังยืนคุยกันเบา ๆ บนกำแพงภายนอกป้อม ทำให้เขาเดินเข้าไปหา

ทหารยามทั้งสองคนนั้นแปลกใจอย่างมากที่เขาปรากฏกายขึ้น ทำให้พวกมันส่งสัญญาณมือสอบถาม และอุ้ยต่งจิ้น ได้ส่งสัญญาณมือเป็นสัญญาณให้รู้ว่าเขาเดินตรวจเวรยามมาถึงนี่ และจะขอเข้าไปดื่มน้ำด้วยได้ไหม

แม้ว่า ในกฎของทหารยามนั้น จะไม่อนุญาตให้ทหารในป้อมต่าง ๆ เดินมาหากัน แต่ในบางครั้งก็มีการฝ่าฝืนกันบ้างในเวลาดึกดื่น เนื่องจากบางคนนั้นคู่หูของตนเองหลับ จึงต้องเดินไปมาเพื่อไม่ให้ง่วง และบางครั้งก็อาจเดินเลยจนถึงป้อมอื่น และต้องการดื่มน้ำสนทนากับทหารป้อมอื่นบ้างเล็กน้อย เพื่อไม่ให้เบื่อ ทำให้ทหารยามทั้งสองที่ยืนยามอยู่ป้อมตะวันตกนั้นส่งสัญญาณมือให้อุ้ยต่งจิ้นเดินเข้ามาสนทนากัน

พออุ้ยต่งจิ้น เดินเข้ามาในระยะสองเมตร ซึ่งเป็นระยะที่ปลอดภัยจากการซ่อนเร้นหน้าตา และเป็นระยะที่เพียงพอต่อการจู่โจมสังหารที่จะสามารถปิดปากทหารทั้งสองที่อยู่ในป้อมตะวันตกเฉียงใต้ได้ภายในการโจมตีเพียงครั้งเดียว

ซวบ.......................ซวบ...............................

เข็มพิษเรียวยาวถูกดีดจากนิ้วมือทั้งสองอย่างไร้พิรุธ จุดมุ่งหมายคือที่ลำคอของทหารทั้งสองคนที่กำลังยกมือทำรหัสสอบถามการปรากฏตัวของเขา มองเห็นเข็มพิษนั้นแทงเข้าไปจนหมดเล่ม ทำให้เกิดเสียงครอก ๆ เบา ๆ จากทหารยามทั้งสองคน ก่อนที่จะทรุดล้มลงสิ้นใจตาย




 

Create Date : 15 ตุลาคม 2554    
Last Update : 15 ตุลาคม 2554 15:58:02 น.
Counter : 278 Pageviews.  

บทที่ 9 พลิกฟ้าไล่ล่าตี๋น้อย

เมื่อตี๋น้อยมุดออกจากช่องหมาลอดก็พบว่า มีกลุ่มผู้เล่นกลุ่มหนึ่ง มีคนประมาณ 20-30 คน มายืนดักทาง และคนที่ดูเหมือนเป็นหัวหน้าก็เดินเข้ามาคุยกับเขา ทำให้เขาต้องคอยระวัง เพราะไม่รู้ว่าคราวนี้เขาไปทำอะไรผิดใจคนกลุ่มนี้หรือเปล่า แต่ดูท่าทีน่าจะมาดี

“สวัสดีครับ ผมชื่อเฉินหนาน พวกผมอยากรู้จักกับคุณ”

“ผมชื่อเจ้าสัว มีอะไรครับ เชิญว่ามาเลย” ตี๋น้อยตอบกลับอย่างมีมารยาท

“คือพวกผมจะมาเชิญคุณมาเข้ากลุ่มกับพวกเรา” คราวนี้ตี๋น้อยเป็นฝ่ายงงบ้าง เพราะคิดไม่ถึงว่าจะมีคนมาเชิญแบบนี้ ทั้ง ๆ ที่เขาพึ่งวิ่งหนีตายมาหมาด ๆ

“พวกคุณรู้จักผมหรอ ถึงจะมาชวน” เขาถามอย่างดูเชิง

“พวกเราเห็นคุณต่อสู้กับพวก 16 นงคราญ และตอนที่คุณใช้กลยุทธ์หลบหนีการไล่ล่าของพวกโรงเรียนจอมฟ้า” พอพูดถึงถึงคู่ต่อสู้ของตี๋น้อย เฉิงซานกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าเครียดแค้น และพอรู้สึกตัวเขาก็ทำสีหน้าปกติ ก่อนที่จะกล่าวต่อว่า

“พวกเราต้องขออภัยที่ไม่สามารถช่วยเหลือคุณได้ เพราะว่า พวกมันยังจับตาพวกเราอยู่ และพวกเรายังไม่มีกำลังเพียงพอที่จะต่อต้านพวกมันได้” พอพูดขึ้นมาแล้วเขาก็นิ่งคิดสักครู่ ก่อนที่จะพูดขึ้นอีกว่า

“พวกผมปรึกษากันไว้ว่า ถ้าคุณเข้าร่วมกลุ่มกับพวกเรา พวกเราก็จะสามารถให้ที่ซ่อนตัวแก่คุณได้” เฉินหนานกล่าว

“ขอโทษนะครับที่ผมไม่สามารถจะเข้ากลุ่มกับพวกคุณได้ เพราะผมมีความตั้งใจที่จะตั้งกลุ่มของผมเอง เพื่อกำหนดแนวทางของตัวเอง ซึ่งถ้าพวกคุณสนใจในแนวทางของผม อยากจะร่วมงานกับผม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มพันธมิตร หรือจะมารวมกลุ่มกับผมก็ได้”

ตี๋น้อยบอกกับคนกลุ่มนั้นอย่างตรง ๆ ทำให้คนเหล่านั้นพยักหน้าอย่างเข้าใจ และได้นำกระดาษที่เขียนที่อยู่ไว้นำมามอบให้กับตี๋น้อย

“ผมเข้าใจครับ เด็กหนุ่มไฟแรง แต่ถ้าคุณเปลี่ยนใจ สามารถไปที่ตรอกมังกร แล้วบอกว่ามาหาเฉินหนาน คนในตรอกนั้นจะนำไปพบผมเอง ผมลากลับก่อนนะครับ และคิดว่าจะได้รับข่าวดีจากคุณในเร็ววันนี้”

“เช่นกันครับ”

เขาตอบกลับทันควันเช่นกัน ทำให้บางคนที่ติดตามเฉินหนานมาทำหน้าไม่พอใจ แต่เขากลับส่งยิ้มให้อย่างอารมณ์ดี ก่อนที่จะหลบเข้าซอยทันทีที่คนกลุ่มนี้ลับตา


ที่ประตูเมือง มีคนเข้าออกเป็นระยะ ๆ เนื่องจากผู้เล่นใหม่จะต้องมาเกิดตรงนอกเมือง แต่คนที่จะออกจากเมืองนั้นมีน้อย เพราะนอกจากชาวบ้านซึ่งเป็น AI จะออกไปหาของป่าแล้ว ผู้เล่นที่ออกไปหาของป่านั้นแทบจะนับคนได้ เพราะการออกหาของป่านั้นต้องชำนาญป่า และต้องรู้จักแหล่งของป่า นอกจากนั้น ยังต้องรู้จักหลบหลีกอันตรายจากบรรดาสัตว์ป่าอีกด้วย จึงเป็นเรื่องยากลำบากของผู้เล่น แต่ผลตอบแทนที่ได้รับนั้นจะสูงมากเป็นพิเศษ ถ้าหาของดี ๆ ที่ร้านค้าต่าง ๆ ต้องการได้

ปกติหน้าประตูเมืองนั้นจะมีทหารยืนประจำอยู่ 5 คน และนายทหารอีกคนหนึ่ง แต่ในเวลานี้ มีเหล่าผู้เล่นมายืนจับกลุ่มอยู่ด้านนอกเมืองประมาณ 30-40 คน ทำให้ตี๋น้อยที่เปลี่ยนเป็นชุดชาวบ้านที่ออกหาของป่าต้องขมวดคิ้วนิดหนึ่ง พร้อมกับสมองที่คำนวณอย่างรวดเร็วว่าจะหาทางหนีทีไล่อย่างไร จึงจะหลบหนีเข้าป่าได้

“สวัสดีครับ ไม่ทราบจะออกไปไหนหรอครับ”

นายทหารที่ตี๋น้อยเห็นในวันแรกที่เข้ามา ได้เดินออกมาสอบถามตี๋น้อย เนื่องจากนายทหารผู้นี้มีความจำที่ดี เพียงมองเห็นก็จดจำได้ว่า เป็นผู้เล่นที่เคยเดินเข้าเมืองในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา

“ออกไปหาของป่ามาขายครับ” ตี๋น้อยตอบแบบประหยัดถ้อยประหยัดคำ ทำให้นายทหารยิ้มเล็กน้อย

“อืม.....ระวังตัวด้วยนะครับ เพราะว่าในป่าดงดิบจะมีสัตว์ร้ายชุกชุม โดยเฉพาะในแหล่งโสมคน จะมีพวกอสรพิษชุกชุมคอยปกป้องพวกโสมเหล่านี้ด้วย” นายทหารที่แต่งกายเต็มยศกล่าวด้วยความหวังดี

“สัตว์ร้ายไม่อันตรายเท่ากับคนหรอกครับ จริงไหมผู้พัน” ตี๋น้อยตอบขึ้นเมื่อรู้สึกได้ถึงความปรารถนาดีของนายทหารผู้นี้

“ถ้าอย่างนั้น คุณคงเป็นผู้เล่นที่ถูกตามล่าใช่ไหมครับ" นายทหารที่มองหน้าเขาจนเห็นรูปโฉมของเขา จึงเอ่ยขึ้น

“ใช่ แค่โดนรังแก และตอบโต้คนที่มารังแก ทำให้พวกนั้นโกรธแค้นราวกับผึ้งแตกรัง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรเหมือนกัน” ตี๋น้อยบอกความจริง เพราะเขารู้สึกว่า เขาไว้วางใจนายทหารที่เป็นระบบ AI ผู้นี้ได้

“สักครู่นะ เดี๋ยวผมจะเอาอะไรให้ดู แต่ไม่ต้องห่วงว่าจะผิดสังเกตหรอกนะ เพราะชาวบ้านบางคนก็จะพูดคุยกับผมมากเป็นพิเศษ ซึ่งตรงกันข้ามกับเหล่าผู้เล่น ที่จะรีบตรงไปยังป่าทันที”

นายพันประจำกองกำลังปกป้องเมืองหลักในเกาะฝึกฝน ได้หายไปในป้อมบัญชาการ ก่อนที่จะเรียกให้ตี๋น้อยเดินเข้าไปหา

“นี่คือสาเหตุหลักที่คุณต้องถูกไล่ล่าอย่างที่ไม่เคยมีผู้เล่นคนใดถูกไล่ล่าอย่างนี้มาก่อน”

ในมือของนายพันมีกระดาษแผ่นหนึ่งซึ่งบรรจุอยู่ในม้วนลวดลายวิจิตรงดงาม แสดงให้เห็นถึงแหล่งที่มาของกระดาษม้วนนั้น ซึ่งนายทหารได้ยื่นให้ตี๋น้อยดู

“นี่มันรูปผมนี่ครับ รูปที่ถ่ายตอนจบการศึกษา แสดงว่า คนที่ประกาศค่าหัวผมต้องเป็นคนที่ผมรู้จักในโลกของผม”

ในกระดาษแผ่นนั้นคือ ภาพวาดเป็นรูปครึ่งตัวของตี๋น้อยในชุดนักเรียน พร้อมทั้งรางวัลนำจับ 10 ล้าน พร้อมกับโอกาสที่จะได้เข้ารับราชการในกองทหารเมืองหลวง จากนั้นก็ประทับตรามหาอุปราช ซึ่งมีอำนาจรองจากองค์ฮ่องเต้ และลงชื่อโจโฉ

“โจโฉ....ก๊กโจโฉ โจโฉนี่เป็นถึงมหาอุปราชเลยหรอครับ”

ตี๋น้อยอุทานขึ้น เพราะในประวัติศาสตร์ก๊กโจโฉก็ยึดกุมจักรพรรดิไว้คอยสั่งการเหล่าขุนนางและประชาชนในแผ่นดิน และบังเอิญที่ผู้เล่นที่ชื่อโจโฉในเกมนี้ก็สามารถใช้ยุทธวิธีของโจโฉในประวัติศาสตร์ นับว่าน่ากลัวเกินไปแล้ว

“นี่คือก๊กที่ใหญ่ที่สุดในแผ่นดิน และกำลังจะทำลายการถ่วงดุลของก๊กต่าง ๆ ในแผ่นดิน โดยการวางแผนที่จะกลืนกินเหล่าก๊กเล็ก ๆ อยู่ ไม่มีใครสามารถต้านทานกำลังของก๊กนี้ได้หรอก แต่ข้าไม่เข้าใจว่า ทำไมผู้เล่นใหม่อย่างเจ้าจึงถูกหมายหัวจากผู้เป็นใหญ่ในก๊กนี้ได้”

นายทหารทอดถอนใจ เพราะเขายังมีคุณธรรม และไม่อยากเห็นผู้เล่นใหม่ที่พึ่งจะเล่นต้องจบชีวิตลงตั้งแต่พึ่งเริ่มเล่น

“ถ้าอย่างนั้น ผมค่อยหาทางออกจากเมืองในตอนกลางคืนได้ไหมครับ”

ตี๋น้อยไม่ได้ตอบคำถามนี้ เพราะดูท่าแล้ว การไล่ล่าของเขาคงจะไม่ใช่แค่การทะเลาะวิวาท และการอาฆาตพยาบาทกันธรรมดา แต่มันคือประกาศิตของโจโฉ ซึ่งจะทำให้การไล่ล่านั้นไม่มีที่สิ้นสุด จนกว่าเขาจะตาย หรือไม่ก็ต้องสามารถทำลายก๊กของโจโฉลงให้ได้ ซึ่งไม่มีโอกาสเลยที่จะทำเช่นนั้น จึงสอบถามถึงวิธีการที่จะเอาตัวรอดก่อนอื่นใด เพราะรักษาชีวิตไว้ให้ได้ ก่อนที่จะทำการใหญ่ให้สำเร็จ

“กลางคืนประตูเมืองจะปิดเพื่อป้องกันสัตว์ร้าย และข้าศึกรุกราน”

นายทหารเริ่มคิดหนัก คล้าย ๆ กับจะไม่อาจตัดสินใจได้ แต่เมื่อมองดูตี๋น้อยที่หน้าตาดูเป็นผู้มีคุณธรรม และปัญญา ดูน่าเคารพนับถือ ทำให้เขาตัดสินใจในทันที

“มีทางเดียวคือ การหลบไปทางลับ ตามข้ามาสิ” ตี๋น้อยที่เดินตามนายทหารมากล่าวขึ้นเมื่อเห็นนายทหารกดปุ่มกลไกข้างผนังในห้องทำงานของเขา ซึ่งอยู่ด้านในของป้อมบัญชาการ

“ทางลับนี้จะออกไปสู่ป่าดงดิบ ทำให้สามารถเล็ดลอดหูตาของผู้ที่อยู่ข้างนอกได้” นายทหารกล่าวก่อนที่จะบอกเล่าอีกว่า

“ทางสายนี้มีไว้เพื่อให้ทหารเล็ดลอดออกไปส่งข่าวการศึก ในกรณีที่ถูกโจมตีโดยกะทันหัน ปลายทางจะมีสัญญาณไฟที่จะจุดเพื่อบอกให้ทหารในแผ่นดินได้เห็น เพื่อจะส่งกำลังเสริมมาช่วยเหลือได้ แต่ตอนนี้เจ้าจงใช้เส้นทางนี้หนีออกไปอาศัยอยู่ในป่าจนกว่าผมเผ้า และหนวดเคราเจ้าจะงอกขึ้น เพื่อปิดบังใบหน้าของเจ้าไม่ให้คล้ายคลึงกับรูปใบนี้” นายทหารชี้แนะ ทำให้ตี๋น้อยต้องคารวะขอบคุณจนนายทหารห้ามไว้ และส่งคบไฟให้กับเขา

“รีบไปเถอะ อย่าช้าอยู่เลย เพราะไม่นานพวกมันจะรื้อค้นทุกซอกทุกมุมของเมืองนี้ เพื่อค้นหาเจ้า” ตี๋น้อยจึงลงไปยังเส้นทางลับ ที่มีความกว้างเท่ากับคนประมาณ 2-3 คนเดิน เมื่อตี๋น้อยลงไปแล้ว เส้นทางลับก็ถูกปิดลง

บัดนี้ การค้นหาตี๋น้อยก็ยังดำเนินการอยู่ในเกาะฝึกฝน ทำให้ผู้เล่นจำนวนมากที่ไม่รู้จักเบื้องหลังเหตุการณ์นี้แปลกใจเป็นอย่างมาก เพราะทุกคนรู้แต่เพียงว่า คนที่ถูกตามล่าได้ทะเลาะวิวาทกับโรงเรียนจอมฟ้า แต่ในเวลาไม่นาน ทุกคนในเมืองฝึกฝนก็ต้องตกตะลึงกับกองกำลังส่วนหนึ่งของก๊กใหญ่ ที่ถูกส่งมาไล่ล่าผู้เล่นใหม่คนหนึ่ง ทำให้ทุกคนมีความรู้สึกที่ไม่แตกต่างกับการเห็นคนขี่ช้างจับตั๊กแตน โดยเฉพาะผู้ที่รู้ว่าบุคคลสำคัญที่สุดในก๊กใหญ่นี้กำลังมาเยือนเกาะนี้ด้วยตัวเอง


ภายในป้อมบัญชาการทหารรักษาประตูเมือง ในค่ำคืนที่สงบเงียบแต่ภายในป้อมกลับมาเสียงเฆี่ยนตี และการประทุษร้ายทางกายเกิดขึ้น โดยที่ทหารที่เฝ้ายามอยู่ด้านนอกยังยืนยามกันอยู่อย่างปกติ แม้คิ้วจะกระตุก แต่พวกเขาเลือกที่จะยืนเฉย ในใจนั้นกลับบังเกิดความเคารพต่อผู้ที่ถูกประทุษร้ายนั้น เพราะพวกเขาไม่ได้ยินเสียงร้องแม้แต่นิดเดียว

“คนที่เจ้าพามาไว้ในป้อมเมื่อตอนบ่ายตอนนี้อยู่ที่ไหน”

เสียงที่ทรงอำนาจ ดังมาจากร่างที่งามสง่า และทรงอำนาจ แต่ดวงตาปรากฏแววของความเจ้าเล่ห์ และเลือดเย็นซ่อนเร้นอยู่ จนผู้ที่ถูกมัดไว้กับเสาหลักในป้อมต้องตอบเสียงสั่นสะท้าน

“อะ..อะ....ออกไปแล้ว เจ้าฉีง้วนไท มันเคยเอาของฝากมาให้ข้าน้อยทุกวัน วันนี้มันบอกว่าเมียมันไม่สบาย เลยมายืมเงินข้าน้อยไปรักษาเมีย เมื่อได้เงินมามันก็จากไปแล้ว” ผู้ที่ถูกทรมานที่แท้เป็นนายพันที่เปิดช่องลับให้กับตี๋น้อยนั่นเอง

“นายท่าน เจ้าฉีง้วนไทเช้านี้มันพึ่งจะเอานอแรด และโสมคนไปขายยังเมืองบนแผ่นดิน มันออกไปทางประตูด้านตะวันตกที่ข้ารักษาการอยู่”

นายทหารยศนายพันและแต่งตัวคล้ายคลึงกับผู้ที่ถูกมัดไว้ได้กล่าวรายงานชายผู้มีอำนาจนั้น ทำให้ตาของชายผู้นั้นทอประกายโหดร้ายขึ้นขึ้นวูบหนึ่ง ทำให้ผู้ที่ถูกมัดซึ่งเผอิญไปสบตาเข้าช่วงนั้นต้องสะดุ้งตกใจจนร่างเย็นเฉียบไปทันที

“มีอะไรจะแก้ตัวอีกไหม”

ชายนั้นพูดน้อย แต่ได้ใจความ สุ้มเสียงกังวานน่าฟัง แต่เมื่อเข้าไปสู่โสตของผู้ที่ถูกทรมานแล้วกลับกลายเป็นความเย็นเฉียบของปีศาจในคราบนักบุญ

“ไม่มี” นายพันได้ตัดใจพูด เพราะเมื่อนายพันที่รับราชการคู่กับเขาเป็นฝ่ายทางโน้น เขาก็ไม่มีข้อแก้ตัวที่จะพูดได้

“มันหนีไปไหน”

สั้น ๆ กระชับ แต่ได้ใจความจากชายที่มีเค้าหน้าคล้ายคลึงกับผู้ที่นายพันพึ่งปล่อยให้หนีไป แต่แววตา และกริยาท่าทางนั้นคุกคามผู้คน และทรงอำนาจยิ่งนัก ทำให้นายพันตอบออกมาทันที เพราะรู้ว่าปิดบังไปก็ไม่มีประโยชน์ว่า

“ป่าดงดิบ” ชายผู้มีอำนาจคุกคามคนนั้นได้หันไปมองนายพันอีกคนหนึ่งที่ยืนนบนอบอยู่ด้านข้าง

“มันคงหนีไปทางลับ ซึ่งจะเชื่อมโยงกับป้อมสัญญาณไฟฉุกเฉินบนยอดเขาด้านเหนือ ใกล้กับป่าดงดิบ”

นายพันผู้นั้นได้เดินไปเปิดปุ่มข้างกำแพง ทำให้พื้นด้านหนึ่งเปิดออกจนเห็นเป็นบันไดลงไปในเส้นทางลับที่กว้างพอที่จะให้คนเดินเคียงข้างกันได้สัก 2-3 คน

“ขงหยง ประสานงานกลุ่มต่าง ๆ ในเมืองนี้ออกไล่ล่าเจ้าตี๋น้อย อย่าให้มันรอดไปได้ ส่วนเจ้า ผู้พันเจาเอี๋ยน จงสั่งคนของเจ้าที่ไว้วางใจได้ให้ลงไปทางลับเพื่อควานหาตัวผู้ที่หลบหนีมาให้ได้ และให้นำคำสั่งของข้าไปสั่งการให้ศาลเปิดคดีไต่สวนนายพันเอี้ยฮุ้น และให้ศาลสั่งประหาร ตัดหัวเสียบประจานหน้าประตูเมือง บอกว่าเป็นคำสั่งของข้า”

“ขอรับ นายท่าน”

ขงหยงซึ่งเป็นชายหนุ่มหน้าตาทรงภูมิปัญญา และนายพันเจาเอี๋ยนที่ยืนนบนอบอยู่ด้านข้าง ต่างเปล่งเสียงขานรับชายผู้นั้นทันที

“นายท่านจะอยู่รอฟังผลที่นี่หรือจะกลับไปสะสางงานในลกเอี๋ยงขอรับ” ชายในชุดที่ปรึกษาได้กล่าวขึ้นเมื่อผู้มีอำนาจผู้นั้นได้ถอยออกมาจากในป้อม และกำลังจะเดินทางต่อไป

“กลับลกเอี๋ยง จากนั้น ข้าจะจัดส่งหน่วยไล่ล่าที่เชี่ยวชาญที่สุดในกองทัพมาที่นี่ 1 กองพัน”

นายพันเอี้ยฮุ้นถูกควบคุมตัวออกมาได้ยินแผนการของชายผู้มีอำนาจผู้นั้นพอดี ทำให้หน้าตาที่ยับเยินเพราะถูกทรมานต้องขมวดคิ้วแนบแน่นด้วยเป็นกังวลใจกับผู้ที่ถูกไล่ล่าที่ถูกเรียกขานว่า ตี๋น้อย




 

Create Date : 15 ตุลาคม 2554    
Last Update : 15 ตุลาคม 2554 15:55:46 น.
Counter : 290 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  

Muen Li
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add Muen Li's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.