วรรณกรรมของหมื่นลี้
Group Blog
 
All Blogs
 
บทที่ 10 แผนการของอุ้ยต่งจิ้น

ที่ซุ้มข้างห้องสมุดแม้จะมืดค่ำ แต่แสงจากตะเกียงในสวนก็ส่องสว่างทั่วไป ทำให้มองเห็นลุงบรรณารักษ์นั่งป้อนข้าวเจ้าพุดเดิ้ลน้อยอยู่อย่างสบายอารมณ์

สาเหตุของความสบายใจของลุงบรรณารักษ์ก็เพราะว่า ตั้งแต่ที่เขาได้ทดลองใช้วิธีของตี๋น้อยที่ให้คุณหนูอยู่ใต้โต๊ะ ทำให้เขามีเวลาอ่านนิยายของกิมย้งได้อย่างไม่มีการติดขัด เพราะถ้ามีคนมาในระยะที่มองเห็น พุดเดิ้ลน้อยตัวนี้ก็จะเอาขามาสะกิดที่เท้าของเขา ทำให้เขาสามารถเงยหน้าขึ้นมามองอย่างเป็นธรรมชาติได้

“แย่แล้วพ่อ” เสียงหญิงสาวที่ดูกระวนกระวายดังขึ้น

“อะไรนะ เมื่อกี้หมวยเล็กพูดว่าอะไรนะ” ลุงพันเงยหน้าขึ้นมองอย่างดุ ๆ ทำให้เสี่ยวหมวยที่วิ่งกระหืดกระหอบมาต้องยิ้มแหย ๆ ก่อนที่จะพูดเสียงอ่อย ๆ ว่า

“แย่แล้วคะ คุณลุง”

“เมื่อกี้ไม่ใช่แบบนี้นี่นา”

“เอาเถอะน่า คุณลุงก็ยังเรียกเสี่ยวหมวยผิด ๆ ถือว่าเจ๊า ๆ กันไป” เสี่ยวหมวยพูดสรุปเอง ทำให้คุณลุงต้องขมวดคิ้ว แต่ก็ทำอะไรไม่ได้

“ตอนนี้มีเรื่องเร่งด่วนมากกว่า เรื่องของเจ้าสัว กับคนที่ช่วยเหลือเจ้าสัว”

ท่าทางเสี่ยวหมวยดูกระวนกระวาย จนลุงพันต้องเบิกมือห้าม จากนั้นจึงพาเดินไปยังมุมอับที่ไม่มีคนเข้ามาวุ่นวายข้างหลังห้องสมุด ตรงจุดที่เป็นช่องหมาลอดที่ตี๋น้อยเคยมุดออกไป

“ตอนนี้ตี๋น้อยหนีการไล่ล่าเข้าสู่ป่าดงดิบได้สำเร็จ โดยการช่วยเหลือของผู้พันเอี้ยฮุ้น” เสี่ยวหมวยหอบหายใจเพราะความตกใจ และรีบวิ่งมาจากอาคารที่ทำการประจำเมืองฝึกฝน

“ก็ดีแล้วนี่ ทำไมต้องดูกระวนกระวายด้วย ไม่ต้องห่วงหรอก เจ้าสัวคนนี้น่าจะเอาตัวรอดได้”

ลุงพันพูดปลอบเสี่ยวหมวย ทำให้เสี่ยวหมวยที่เริ่มปรับการหายใจได้เป็นปกติต้องบอกข้อมูลบางอย่างที่สำคัญว่า

“มันไม่ง่ายอย่างนั้นนะสิ เพราะผู้ที่ไล่ล่าเจ้าสัวจริง ๆ แล้วคือโจโฉที่กุมอำนาจอยู่ในเมืองหลวง และครั้งนี้มันได้มาที่เมืองนี้ และลงมือควบคุมการไล่ล่าครั้งนี้ด้วยตัวเองด้วย”

“มหาอุปราชโจโฉ ผู้เล่นที่สามารถดำเนินรอยตามโจโฉในประวัติศาสตร์ได้นะหรอ ถ้าอย่างนั้นก็เรื่องใหญ่แล้วนะสิ” ลุงพันพูดขึ้นอย่างตกใจ ทำให้เสี่ยวหมวยต้องยกมือจุ๊ปาก เป็นสัญญาณให้ส่งเสียงเบา ๆ

“ผู้พันเอี้ยฮุ้นก็ถูกพวกมันจับกุมตัวไป คาดว่าจะถูกประหารชีวิตโทษฐานขัดขืนคำสั่งของมหาอุปราช ที่มีอำนาจยิ่งใหญ่กว่าองค์จักรพรรดิ์เสียอีก” เสี่ยวหมวยรายงานเหตุการณ์ จากนั้นจึงบอกเล่าต่ออีกว่า

“ครั้งนี้ขงหยงเสนาธิการมือดีของโจโฉลงมาดูแลการไล่ล่าเอง เพราะกำหนดแผนการให้กับกลุ่มต่าง ๆ ในเมืองนี้ได้ออกไล่ล่าตี๋น้อยในป่า ส่วนตัวของโจโฉก็จะกลับไปรอฟังข่าวดีในเมืองหลวง และจะจัดการส่งหน่วยไล่ล่าฝีมือดี 1 กองพันมาเสริมด้วยทันทีที่การไล่ล่าภายในคืนนี้ไม่สำเร็จ”

เสี่ยวหมวยพูดขึ้นอย่างเป็นกังวล ส่วนลุงพันนั้นหน้าตาดูยับยู่ยี่ไปเรียบร้อยแล้ว เพราะศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงเกินไปจริง ๆ

“แล้วนี่จะเอาอย่างไรดีคะ เพราะกองกำลังของเสี่ยวหมวยก็อยู่ในแผ่นดินใหญ่ และถ้าเคลื่อนย้ายมาที่นี่ก็ไม่อาจที่จะเล็ดรอดสายตาของฝ่ายโจโฉไปได้” เสี่ยวหมวยครวญเบา ๆ ด้วยสีหน้าเป็นกังวล

“คงต้องรอดูเหตุการณ์ และพลิกแพลงตามสถานการณ์ก่อนดีกว่า ทางนี้ลุงจะติดต่อเพื่อน ๆ ที่เร้นกายให้พยายามหาทางช่วยอย่างลับ ๆ ส่วนเสี่ยวหมวยก็คอยรายงานเหตุการณ์ และคอยช่วยเหลืออย่างลับ ๆ ในทันทีที่มีโอกาส เพราะถ้าช่วยอย่างเปิดเผย พวกเราคงจะถูกทางโน้นถล่มจนพ่ายแพ้ไปแน่ ๆ แต่ทุกอย่างก็ต้องขึ้นอยู่กับเจ้าสัวแล้ว ว่าในครั้งนี้จะสามารถเอาตัวรอดได้หรือไม่ เพราะถ้าไม่สามารถเอาตัวรอดในครั้งนี้ได้ ความช่วยเหลือจากพวกเราก็คงจะไปไม่ถึงแน่ ๆ”

ลุงพันกล่าวขึ้นอย่างลำบากใจ แต่ทั้งคู่ก็เห็นพ้องต้องกันว่า กุญแจสำคัญของเรื่องนี้อยู่ที่ตี๋น้อยเท่านั้น ว่าเขาจะสามารถที่จะหลีกหนีจากกองทัพที่จะล้อมจับเขาได้หรือไม่ ก่อนที่จะหาโอกาสเอาคืนทีหลัง


ค่ำคืนนี้แสงจันทร์มืดมิดมองเห็นเพียงส่วนเสี้ยวเล็ก ๆ ของดวงจันทร์ ราวกับจะซ่อนเร้นสายตาไว้จากความอยุติธรรมในแผ่นดินนี้ โดยเฉพาะความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นในเมืองฝึกฝน

ในคุกเมืองฝึกฝนเป็นที่กักขังเหล่าทหาร และพลเมืองที่มีคดีติดตัว และหลาย ๆ คนต้องถูกตัดสินจำคุกด้วยโดนกล่าวหาจากเจ้าหนี้ เนื่องจากไม่มีเงินใช้หนี้ แม้ว่าเศรษฐกิจในเมืองนี้จะดีมาก แต่โอกาสดี ๆ มักจะเกิดขึ้นกับกลุ่มพ่อค้าที่ได้รับสัมปทานจากท่านเจ้าเมืองเท่านั้น ทำให้ผู้ที่ไม่มีโอกาสต้องกลายเป็นชนชั้นแรงงาน แม้ว่าจะมีฝีมือและสติปัญญาก็ตามที

คุกแห่งนี้ตั้งอยู่ด้านหลังที่ทำการเมืองฝึกฝน ภายนอกจะเป็นต้นสนหนาทึบซ่อนเร้นสายตาผู้คนไม่ให้รู้ว่ามีคุกอยู่ที่นี่ ด้านหลังต้นสนจะเป็นกำแพงสูงชัน และคุกนั้นจะอยู่ด้านหลังกำแพง ส่วนทางที่จะเข้าไปนั้นจะเป็นทางโล่ง ๆ ทำให้ผู้ที่ยืนอยู่ในป้อมบนกำแพงทั้ง 8 ทิศนั้น สามารถส่งสัญญาณให้เหล่าทหารที่อยู่ในห้องพักต่าง ๆ ด้านล่างได้ ถ้ามีการแหกคุก หรือหลบหนี

แม้ว่าชัยภูมิของคุกนั้นจะดูลึกลับ และแน่นหนา แต่ข้อเสียของมันก็มีอยู่ โดยเฉพาะถ้าผู้ที่จะปล้นคุกนั้นรู้จักชัยภูมิของมันอย่างกระจ่างชัดดุจลายมือบนฝ่ามือตนเอง

“พี่หวังจะลงมือจริง ๆ หรอ” ชายคุมหน้าในชุดดำที่ซ่อนเร้นอยู่ในป่าสนคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้น

“จุ๊.....เบา ๆ งานนี้ถ้าเราไม่ทำ พี่เอี้ยของเราก็ต้องหัวขาด ในเมื่อชีวิตของพวกเราเก็บคืนมาได้เพราะพี่เอี้ย วันนี้ถึงเราจะต้องสังเวยชีวิตคืนให้พี่เอี้ยก็ต้องทำ” ชายในชุดดำ 1 ใน 4 คนนั้นตอบขึ้น ทำให้ทั้งสามคนพยักหน้ารับคำด้วยตาเป็นประกาย

“ถูกต้องแล้ว แม้ว่าร่างกายจะเป็นผุยผงก็ต้องช่วยหัวหน้าของพวกเราให้ได้” ชายร่างสันทัดอีกคนกล่าวขึ้น

“แน่นอนเราต้องทำอย่างนั้นอยู่แล้ว แต่ต้องทำตามแผนที่ข้าวางไว้อย่างเคร่งครัด เพราะที่นี่มันเป็นกลางเมือง แถมพวกกลุ่มต่าง ๆ ในเมืองนี้ที่ขึ้นตรงกับทางมหาอุปราชคอยคุมเชิงอยู่ ถ้าพลาดจะเป็นผลเสียอย่างยิ่ง แม้ว่าพวกเราจะไม่เสียดายชีวิต แต่พี่เอี้ยจะพลอยเสียชีวิตไปกับเราด้วย” ชายผู้เป็นหัวหน้ากล่าวกำชับ ทำให้บุรุษร่างกายกำยำแข็งแกร่งทั้ง 3 คนรับคำเบา ๆ

“ถ้าอย่างนั้นแยกย้ายกันไปตามแผน หวังซื่อป้อมเหนือ วกไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ หม่าชิงป้อมตะวันออกเฉียงใต้ วกไปทางตะวันออก แล้วคอยหวังซื่อมาสมทบ ส่วนข้าจะอยู่ทางใต้ วกไปทางตะวันตกเฉียงใต้ ส่วนหมิงสงป้อมตะวันตกเฉียงเหนือ วกมาทางตะวันตก แล้วคอยข้าไปสมทบ จากนั้นลอบเร้นจัดการกับทหารในค่ายพักให้หมดสิ้นจากฝั่งตะวันตก และตะวันออก เมื่อเสร็จสิ้นแล้ว มารวมกันที่หน้าทางเข้า แล้วจึงดำเนินการปล้นคุกต่อไป”

ที่แท้ชายชุดดำเหล่านี้เป็นทหารใต้สังกัดของผู้พันเอี้ยฮุ้น ส่วนหัวหน้าที่สั่งการในขณะนี้คือ อุ้ยต่งจิ้น ผู้มีสติปัญญา และเชี่ยวชาญพิชัยสงคราม และเป็นผู้ช่วยมือดีของผู้พันเอี้ยฮุ้น

ค่ำคืนที่มืดมิดแต่ป้อมทั้ง 8 ทิศที่ตั้งอยู่รอบคุกลับแห่งนี้กลับไม่สามารถจุดไฟได้ เนื่องจากแสงไฟจะเล็ดลอดออกไปจากดงสนได้ จึงทำให้ป้อมทั้ง 8 มืดมิด แต่ภายในกำแพงกลับสว่างไสวราวกับกลางวันด้วยเสาตะเกียงจำนวนมาก ซึ่งจะทำให้การหนีออกจากคุกโดยลอบเร้นออกไปเป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด ยกเว้นว่า ทหารที่ตั้งค่ายอยู่ล้อมรอบคุกนั้นถูกทำลายลง

เมื่อทหารทั้งสามคนแยกย้ายกันไปจนหมดสิ้นแล้ว อุ้ยต่งจิ้น ในชุดสีดำปิดหน้าปิดตาก็คำนวณระยะเวลาที่ทั้งสามต้องเดินทาง จากนั้นจึงคาดคะเนว่า ทุกคนพร้อมกันแล้ว ร่างนั้นก็พลิกขึ้นสู่ต้นสนที่สูงใหญ่ข้างกายทันที มองเห็นเงาดำราวกับลิงลมไต่ขึ้นสู่ต้นสนอย่างรวดเร็ว จนลับหายไปกับปลายต้นสน บุกรุกเข้าสู่ใจกลางของดงต้นสน


“ว๊า......เจ้าหนูนี่ไม่ไหวเลยวะ กลางวันให้พักกลับไม่หลับไม่นอน ออกไปเดินป้อสาวอยู่ได้ พออยู่เวรยามดันมาหลับยาม ดีว่าพวกนายทหารส่วนใหญ่ได้ออกไปร่วมภารกิจพิชิตค่าหัวของเจ้าหนูหน้าอ่อนนั่นแล้ว ไม่อย่างนั้น ถ้าหัวหน้ามาเห็น สงสัยโดนดองเวรยาวแน่ ๆ”

ทหารยามคนหนึ่งพึมพำเบา ๆ กับร่างที่ส่งเสียงกรนครอก ๆ ของทหารที่เข้าเวรคู่กับตน ในการเฝ้าเวรยามของทหารทั่ว ๆ ไปนั้น ในตอนกลางคืนจะอยู่กัน 2 คนเพื่อให้มีเพื่อนคุย และป้องกันเหตุสุดวิสัยซึ่งมักจะเกิดขึ้นในยามค่ำคืน ส่วนกลางวันจะใช้คนเพียงคนเดียว เนื่องจากเหล่าทหารอื่น ๆ ต้องคอยดูแลการทำงานของเหล่านักโทษ และบางส่วนที่เข้าเวรยามกลางคืนต้องพักผ่อน

ราตรีนี้มีลมทะเลโชยพัดมาจนดงสนที่ต้องลมส่งเสียงดังโหยหวนดังคล้ายภูตผีทวงวิญญาณ ทำให้คนที่ต้องยืนยามคนเดียวเพราะเพื่อนมาหลับยามต้องสะท้านใจด้วยกลัวผี โดยเฉพาะผีที่ผูกอาฆาตพยาบาทเนื่องจากการถูกประหารโดยไม่ได้รับความเป็นธรรมจากท่านเจ้าเมือง

ตุบ.......................

เสียงเหมือนมีอะไรตกลงที่พื้นกำแพงเบา ๆ แทรกเสียงลมแว่วมา ทำให้ทหารยามผู้ที่ตื่นอยู่ต้องหันกลับไปมอง แต่ก็ไม่พบเห็นอะไร จึงลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินออกมาจากในป้อมยามเพื่อไปตรวจสอบ

จู่ ๆ ก็มีมือมาปิดปากเขา ขณะที่กำลังจะร้องออกมาด้วยความตกใจ มืออีกข้างหนึ่งของชายผู้นั้นก็เอื้อมมือผ่านหน้าของเขาไปจับหัวด้านหลังของเขา จากนั้นก็กระชากมือกลับอย่างเร็ว และแรง ทำให้กระดูกคอของทหารเคราะห์ร้ายหัก และตกตายไปอย่างไม่ทันได้รู้ตัว

จากนั้น เงาร่างสีดำซึ่งลอบเร้นเข้ามาภายในป้อมก็จัดการกับทหารที่หลับอยู่อย่างสบายอยู่นั้น ให้ได้หลับใหลไปตลอดกาล

ชายชุดดำรีบผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าของตนออก และสวมใส่เสื้อผ้าของทหารยามทันที เพราะทหารหน่วยนี้ใส่ชุดไม่เหมือนชุดทหารหน่วยของเขา และการใส่ชุดทหารยามนี้จะทำให้เขาสามารถเล็ดลอดเข้าสู่ค่ายทหารโดยไม่เป็นที่ผิดสังเกต
มองเห็นหน้าของบุรุษที่เข้ามาบุกปล้นคุกในยามวิกาลนั้นดูหน้าตาราวกับบัณฑิตที่จะเข้าสอบจอหงวน แม้ร่างกายจะดูบอบบาง แต่การเคลื่อนไหวกลับคล่องแคล่วปราดเปรียว ประกายตานั้นเป็นประกายตาของผู้ทรงภูมิปัญญาที่ไม่อาจจะดูถูกได้ ที่แท้บุรุษที่สังหารทหารยามทั้งสองคนนี้ก็คือ อุ้ยต่งจิ้น ซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการปล้นคุกในครั้งนี้นี่เอง

หลังจากผลัดเปลี่ยนชุดและซุกซ่อนศพของทหารทั้งสองแล้ว ร่างสูงโปร่งในชุดทหารยามก็เดินอย่างสง่าผ่าเผยไปยังด้านป้อมตะวันตกเฉียงใต้ทันที ราวกับว่ากำลังเดินตรวจตราดูความปลอดภัย

ในท่ามกลางความมืดบนกำแพงคุกแห่งนี้ แม้ยืนอยู่ในระยะ 2 เมตรยังมองเห็นหน้ากันไม่ชัด ดังนั้น เมื่อเขาเดินตรวจตรามาเรื่อย ๆ จนถึงป้อมด้านตะวันตกเฉียงใต้ เขาก็พบเห็นทหารยามสองคนกำลังยืนคุยกันเบา ๆ บนกำแพงภายนอกป้อม ทำให้เขาเดินเข้าไปหา

ทหารยามทั้งสองคนนั้นแปลกใจอย่างมากที่เขาปรากฏกายขึ้น ทำให้พวกมันส่งสัญญาณมือสอบถาม และอุ้ยต่งจิ้น ได้ส่งสัญญาณมือเป็นสัญญาณให้รู้ว่าเขาเดินตรวจเวรยามมาถึงนี่ และจะขอเข้าไปดื่มน้ำด้วยได้ไหม

แม้ว่า ในกฎของทหารยามนั้น จะไม่อนุญาตให้ทหารในป้อมต่าง ๆ เดินมาหากัน แต่ในบางครั้งก็มีการฝ่าฝืนกันบ้างในเวลาดึกดื่น เนื่องจากบางคนนั้นคู่หูของตนเองหลับ จึงต้องเดินไปมาเพื่อไม่ให้ง่วง และบางครั้งก็อาจเดินเลยจนถึงป้อมอื่น และต้องการดื่มน้ำสนทนากับทหารป้อมอื่นบ้างเล็กน้อย เพื่อไม่ให้เบื่อ ทำให้ทหารยามทั้งสองที่ยืนยามอยู่ป้อมตะวันตกนั้นส่งสัญญาณมือให้อุ้ยต่งจิ้นเดินเข้ามาสนทนากัน

พออุ้ยต่งจิ้น เดินเข้ามาในระยะสองเมตร ซึ่งเป็นระยะที่ปลอดภัยจากการซ่อนเร้นหน้าตา และเป็นระยะที่เพียงพอต่อการจู่โจมสังหารที่จะสามารถปิดปากทหารทั้งสองที่อยู่ในป้อมตะวันตกเฉียงใต้ได้ภายในการโจมตีเพียงครั้งเดียว

ซวบ.......................ซวบ...............................

เข็มพิษเรียวยาวถูกดีดจากนิ้วมือทั้งสองอย่างไร้พิรุธ จุดมุ่งหมายคือที่ลำคอของทหารทั้งสองคนที่กำลังยกมือทำรหัสสอบถามการปรากฏตัวของเขา มองเห็นเข็มพิษนั้นแทงเข้าไปจนหมดเล่ม ทำให้เกิดเสียงครอก ๆ เบา ๆ จากทหารยามทั้งสองคน ก่อนที่จะทรุดล้มลงสิ้นใจตาย


Create Date : 15 ตุลาคม 2554
Last Update : 15 ตุลาคม 2554 15:58:02 น. 0 comments
Counter : 279 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Muen Li
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add Muen Li's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.