วรรณกรรมของหมื่นลี้
Group Blog
 
All Blogs
 
บทที่ 31 ห้องปู และบทเรียนจากพิชัยสงคราม

“ค้น ให้พบความปรารถนาของศัตรู และปิดบังความปรารถนาของเราไว้จากศัตรู จะทำให้สามารถรวมกำลังของเราเป็นจุดเดียว ในขณะที่ศัตรูต้องแบ่งแยกกำลังออกไป เพราะเมื่อเรารู้ความต้องการของศัตรู จะทำให้สามารถใช้กำลังทั้งหมดเข้ากระทำกับกำลังเพียงส่วนเดียวของศัตรู” ซุนวู

ตามท้องไร่ท้องนาของภาคอิสานในประเทศไทยอาจจะหาชมภาพคนหาปูได้ แต่ในเกมสามก๊กออนไลน์ที่มีบรรยากาศเป็นประเทศจีนในยุคปี คศ.190 ภายในปราสาทท่านเจ้าเมือง มีห้อง ๆ หนึ่งที่มีปูไต่ไปมาเต็มไปหมด และมีบุคคล 2 คนในชุดขุนพลก้ม ๆ เงย ๆ พยายามจะเก็บปูใส่ในถังข้าง ๆ ตัว

“โอ๊ย.....หนีบอีกแล้ว ทำไมจะจับมันได้วะ เดี๋ยวพ่อก็กระทืบจมดินซะนี่”

กวัว จินเทียนที่บัดนี้หมดมาดจอมยุทธในห้องแมลงวันโดยสิ้นเชิง ผมยุ่งเหยิง มือเต็มไปด้วยแผลปูหนีบ หน้าบูดบึ้ง ทำให้คู่หูที่พยายามจับปูอยู่ด้านข้างต้องหัวเราะออกมา

“หัวเราะอะไรวะ คนยิ่งกำลังหงุดหงิดอยู่” ขุนพลซ้ายหยุดมองหน้าคนที่หัวเราะ ซึ่งนั่งลงท่ามกลางปูทั้งหลาย พลางหยุดการเก็บปู

“ต้องใช้วิธีแบบเดิม ๆ แล้วละ จินเทียน ไม่งั้นบทเรียนนี้เราไม่อาจที่จะผ่านได้แน่ ๆ” วังกงลู่กล่าว พลางนั่งนิ่งเหมือนนั่งสมาธิ

ฝุบ..................................

วังกงลู่ใช้นิ้วชี้จิ้มไปยังกระดองปูตัวใหญ่ ๆ ด้านบน ทำให้ปูไปไหนไม่ได้ กวัวจินเทียนเห็นอย่างนั้นก็เลยถลันเข้าไปจับด้านข้างของกระดองปู และนำไปไว้ในถังทันที

“อะแฮ่ม ๆ ๆ”

เสียงดังมาจากคนที่นั่งจิบน้ำชาสบาย ๆ กับบรรยากาศคนจับปูเล่น ทำให้สองหนุ่มอดไม่ได้ที่จะแซวขึ้น

“มีอะไรติดคอครับ ท่านเจ้าเมือง”

“มีคนไม่ทำตามเงื่อนไขนะสิ เลยทำให้สำลักน้ำชาอะ” จ้าวเซวียนหยวนหัวเราะ ทำให้สองหนุ่มก้มศรีษะขออภัย

“ข้ารู้แล้วละ คอยดูนะ”

วังกงลู่พูดขึ้นอย่างมั่นใจ พลางใช้นิ้วชี้กดกระดองด้านบนของปูใหญ่ แล้วใช้นิ้วกลาง และนิ้วหัวแม่มือมาจับขอบขวา และซ้าย ของกระดองปู ทำให้สามารถจับปูได้อย่างง่ายดาย และปลอดภัย ทั้งคนจับ และตัวของปู

“อืม......มันมีวิธีแบบนี้นี่เอง”

กวัว จินเทียนเริ่มจับแบบวังกงลู่บ้าง จากนั้น ทั้งสองสหารก็ใช้มือทั้งสองทำการจับปูใหญ่ข้างละตัวอย่างรวดเร็ว และว่องไว จนในที่สุดปูใหญ่ก็ถูกจับจนหมดสิ้น โดยที่ไม่ถูกปูหนีบแต่อย่างใด

“คราวนี้ก็ปูเล็ก ๆ วิ่งไว ๆ ทำไงดี”

กวัวจินเทียนมองหน้าขุนพลคู่หูของตน เพราะปูเล็กมีจำนวนมากกว่าปูใหญ่หลายเท่าตัว

“ก็คงจะมีทางเดียวเท่านั้นแหละ วิ่ง ไล่ ตะครุบ กวาด” กุนซือจำเป็นสาธยายแผนการ ทำให้ขุนพลซ้ายผู้ยิ่งใหญ่พยักหน้า

“เหมือนการล้อมดัก จับ และจู่โจมอย่างสายฟ้าแลบในยุทธวิธีพิชิตชัยสินะ”

“ถูกต้องน้องรัก เพราะฉะนั้น ลุย” สิ้นเสียง ร่างของสองขุนพลก็เคลื่อนไปอย่างรวดเร็ว แต่ยากลำบาก เพราะปูตัวเล็ก วิ่งไว แถมยังมีจำนวนมาก

โครม......................

ไป ๆ มา ๆ สองขุนพลวิ่งชนกันเอง เพราะตามองแต่ปู ทำให้นั่งมองหน้ากัน เพราะรู้สึกว่า วิธีนี้น่าจะไม่สำเร็จ

“เปลี่ยนวิธีใหม่ ต้อนพวกมันไปมุมห้อง แล้วกวาดเข้าถัง นายข้างขวา เราซ้ายนะ” วังกงลู่คิดหาวิธีใหม่ แต่กวัวจินเทียนกลับไม่เห็นด้วย

“ทำไมละ”

“เพราะเราขุนพลซ้ายต้องอยู่ข้างซ้าย” นี่เป็นเหตุผลที่วังกงลู่ไม่อาจเถียงเพื่อนรุ่นน้องได้ เพราะมัน....ไร้สาระสิ้นดี

ครืน...............ครืน...........................

มีคำกล่าวถึงสุดยอดวิชาฝีมือว่า สามารถปล่อยออก รั้งเข้า ได้ดังใจปรารถนา วิชานี้ขุนพลทั้งสองที่ฝึกได้ถึงขั้นไร้ใจ ทำให้สามารถควบคุมรังสีอำมหิตไม่ให้ปรากฏได้

แต่เวลานี้ รังสีอำมหิตที่พวกเขาปล่อยออกมานั้นเข้มข้น และแผ่ออกเป็นจำนวนมาก จนกระทั่งคลุมช่องว่างระหว่างพวกเขา ทำให้พวกเขาสามารถเดินต้อนปูเล็ก ๆ จำนวนมากไปยังมุมห้องได้สำเร็จ

“ยอดเยี่ยมมาก ใช้เวลาแค่ไม่นานก็จับปูได้ทั้งหมด” จ้าวเซวียนหยวนกล่าวอย่างภาคภูมิใจในไหวพริบ และสติปัญญาของขุนพลทั้งสอง

“สรุปบทเรียนนี้ให้ฟังหน่อยสิ ท่านกวัว” จ้าวเซวียนหยวนพยักหน้าให้ ทำให้กวัวจินเทียนเริ่มใช้ความคิดบ้าง ในที่สุดก็หัวเราะออกมาว่า

“นี่ เป็นบทเรียนเรื่องพิชัยสงคราม ตัวปูเหมือนเป็นขบวนทัพที่มีการตั้งรับที่สุขุม และยากต่อการเข้าโจมตี กับทัพเล็กที่เคลื่อนที่รวดเร็ว และยากต่อการค้นหาเพื่อโจมตี”

ความจริงกวัวจินเทียนก็มีปัญญาที่เฉลียวฉลาด แต่นิสัยที่ไม่ชอบคิด เพราะมีเพื่อนชอบคิด จึงทำให้ไม่ค่อยได้คิดนัก แต่พอคิดแต่ละที ก็ทำได้ดีจนจ้าวเซวียนหยวนต้องชมเชยออกมา

“แล้วอย่างไงต่อ”

บุรุษผู้สามารถเป็นเจ้าเมืองได้เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์เกม เพราะแค่เดือนเดียว ก็มีกองกำลังนับพัน และมีเมืองเป็นของตนเอง ได้ถามขึ้น

“ในขบวนทัพปูใหญ่นั้น ถ้าเราจะโจมตีด้านหน้า ก็จะถูกสองขาหนีบขนาบ ถ้าโจมตีด้านข้าง ก็จะถูกขาปูทำร้ายขูดข่วน ถ้าโจมตีด้านหลัง ขบวนศึกก็จะหันเหเปลี่ยนด้านได้ ทำให้ไม่สามารถโจมตีได้” กวัวจินเทียนยิ้มขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่จะกล่าวอีกว่า

“ส่วน ทัพปูเล็ก เหมือนการรบนอกแบบที่อาศัยการเคลื่อนที่เร็ว เน้นหลบเลี่ยง จู่โจมไม่คาดคิด และโผล่ออกมาจากจุดที่เราคาดไม่ถึง ดังนั้น การรับมือกับทัพแบบนี้เราต้องใช้เหยื่อล่อ ล้อมจับ และดักไม่ให้เคลื่อน”

“เพราะฉะนั้น เราจะต้องหาจุดอ่อนของศัตรูให้ออกก่อน จึงจะรบกับศัตรู ซึ่งจะทำให้เราไม่ต้องใช้ความพยายามมากเท่าไร แต่ก็สามารถที่จะชนะศัตรูได้อย่างง่ายดาย เหมือนที่ซุนวูกล่าวว่า ผู้ที่มองเห็นชัยชนะได้ก่อนการรบ คือผู้ที่จะได้ชัย”

“อืม......พูดได้ดี”

กวัวจินเทียนยืนยิ้มแป้นเมื่อได้ยินคำชมจากผู้ที่เขาสวามิภักดิ์ด้วย และบัดนี้เหมือนกับคนผู้นี้เป็นครูของเขาด้วย

แปะ.....................แปะ...........................

เมื่อพูดชมเสร็จ จ้าวเซวียนหยวนก็ปรบมือเป็นสัญญาณ สักครู่ ก็ปรากฏทหารสวมชุดเกราะหนัก และมือถือโล่หนามทั้งสองข้าง เดินเป็นขบวนเข้ามาจำนวน 16 คน

“เออ.....เล่นอย่างนี้เลยหรอท่านเจ้าเมือง นี่มันถึงตายเชียวนา มีแต่หนามทั้งนั้น” กวัวจินเทียนอดที่จะพูดขึ้นไม่ได้ เพราะเคยเห็นฝีมือของ 16 นงคราญตอนไปบุกค่ายของเขาครั้งที่แล้ว

“นี่ก็เป็นปูหนามไง จับปูหนามให้ข้าสัก 16 ตัวสิ เอาแบบเป็น ๆ นะ ไม่เอาแบบตาย” จ้าวเซวียนหยวนหันไปจิบชาต่ออย่างสบายอารมณ์

“เริ่มชำแหละสองหนุ่มตอนนี้เลยไหมฮ้า ท่านเจ้าเมือง”

เจินเจินเดินสะบัดสะบิ้งมายังคนที่นั่งจิบน้ำชาอยู่อย่างสบายอารมณ์ พลางหยิบถ้วยน้ำชามารินจนเต็ม แล้วกรอกลงคอไปจนหมดสิ้น

“เสียดายของ ชาอูหลงยอดอ่อนอย่างดี หอมสดชื่น แต่ถ้าจะให้ดี ต้องค่อย ๆ จิบ ซดอย่างนั้นไม่ค่อยดีเท่าไร ก็เหมือนกับการจับคนชั้นดีทั้งสองคนนั่นแหละ ต้องค่อย ๆ จับ แบบบัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น”

“งั้นชำแหละ เอ้ย....จับได้เลยใช่ไหมฮ้า”

“อืม....อย่าให้ช้ำมากนะ เดี๋ยวจะเดินทางไปลกเอี๋ยงไม่ได้”

“ได้เลยฮ้า เดี๋ยวจัดให้”

และแล้ว สองหนุ่มสองมุมก็ถูกห้อมล้อมไปด้วยปูหนามทั้ง 16 ตัว ทำให้สองขุนพลต้องชักหอกคู่มือมาเพื่อคอยทิ่มแทงไม่ให้ทั้ง 16 คนเข้ามาใกล้ แต่ดูเหมือนว่า จะไม่ช่วยอะไรมากนัก เพราะหอกไม่สามารถทะลวงผ่านขบวนโล่ไปได้

“เอาไงดีละพี่กงลู่ ช่วยคิดหน่อยแล้ว ปูพวกนี้มันมีจุดอ่อนตรงไหน”

กวัวจินเทียนที่ต้องใช้ด้ามหอกกระทุ้งให้ขบวนโล่เข้ามาบีบไม่ได้ รีบร้องบอกขุนพลขวาให้ใช้สติปัญญาค้นหาทางแก้ไขทันที

“จุดอ่อนนะมี แต่ตอนนี้ไม่รู้โว๊ย แต่ถ้าช่วยกันไม่ให้เข้ามาใกล้ได้ ก็จะคิดออก” กุนซือจำเป็นอีกครั้ง กล่าวขึ้นจนกวัวจินเทียนเก็บหอกลงเข็มขัด และหยิบลูกตุ้มหนามด้ามใหญ่มาสองด้าม

“ได้เลย เดี๋ยวจัดให้”

ตูม..................ตูม..........................

วังกงลู่ต้องนั่งลง เพราะกวัวจินเทียนใช้ลูกตุ้มหนามทั้งสองสะบัดเหวี่ยงไปมาอย่างน่าหวาดเสียว จนเหล่า 16 นงคราญเข้าหน้าไม่ติด ด้วยพลังที่มหาศาลของกวัวจินเทียน

“อืม..... แบบนี้น่าจะได้ เจ้าโจมตีข้างบน ส่วนข้าจะโจมตีข้างล่าง เพราะปูหนามไม่เหมือนปูใหญ่ ปูใหญ่มีจุดอ่อนข้างบน แต่ปูหนามน่าจะมีจุดอ่อนที่ด้านล่าง” วังกงลู่เอ่ยขึ้น

“แต่.....วิธีนี้เป็นวิธีของหม่าชิง กับหมิงสง เอาของเขามาใช้แล้วเขาจะไม่ว่าเอาหรือ” มือลูกตุ้มหนามแย้งขึ้น

“วิถีแห่งสงครามไม่สนใจหรอกว่า วิธีของใคร ขอแค่ได้ชัยชนะ ต่อให้ใช้วิธีของศัตรู ถ้าสามารถพิชัยข้าศึกได้ ก็พอ เหอ ๆ ๆ”

ควับ....................ควับ............................

สิ้นเสียง หอกในมือทะลวงเข้าใส่เท้าของ 16 นงคราญอย่างรวดเร็ว ทำให้เหล่ามนุษย์เกราะเหล็กทั้ง 16 คนต้องถอยร่นออกมา เพราะความเร็วของหอกวังกงลู่นั้นรวดเร็วราวกับการแลบลิ้นของงู ทำให้ไม่สามารถใช้โล่ทับเพื่อหักได้ จึงได้แต่ถอยร่นจนวงล้อมแตกเป็นช่อง

“เอาละ พอแล้ว” จ้าวเซวียนหยวนกล่าวขึ้น

“ทำไมละ กำลังมันเลย” กวัวจินเทียนร้องขึ้น ขณะที่ค่อย ๆ ชะลอลูกตุ้มลง จนหยุดนิ่ง จึงเก็บลงเข็มขัด

“น้ำชาหมด ต้องเปลี่ยนห้องแล้ว”

แม้จะมีสติปัญญาจนเรียกว่าเป็นอัจฉริยะ และแม้ว่าจะมีความรับผิดชอบสูง บางครั้งตี๋น้อยก็ยังคงมีนิสัยแบบเด็กอยู่บ้าง จึงพูดหยอกล้อขึ้นมา ทำให้บรรยากาศที่ตึงเครียดเริ่มเข้าสู่ปกติ

“ทำไมน้ำชาหมดเร็วจัง” เจินเจินที่เก็บโล่ เก็บเกราะ จึงเหลือชุดทหารหน่วยองครักษ์พูดขึ้น

“ไม่รู้สิ สงสัยโดนอูฐมาดูดไปหมด” ตี๋น้อยพูดยิ้ม ๆ ทำให้อีกฝ่ายหัวเราะชอบใจ

“เอาละ กวัวจินเทียน สรุปบทเรียนของปูหนามมาสิ” เขาหันไปทางกวัวจินเทียนที่กำลังได้ปลื้มกับผลงานตัวเอง ทำให้ร่างสูงใหญ่ แต่หุ่นได้สัดส่วนที่ดียิ้มขึ้น

“วิถีแห่งสงครามไม่สนใจหรอกว่า วิธีของใคร ขอแค่ได้ชัยชนะ ต่อให้ใช้วิธีของศัตรู ถ้าสามารถพิชัยข้าศึกได้ ก็พอ" สิ้นเสียงสรุปของกวัวจินเทียน เพื่อนรุ่นพี่อย่างวังกงลู่ก็มองหน้าที่เชิดราวกับว่า คำพูดประทับใจนั้นมาจากความคิดตัวเอง

“อืม..... ใช้ได้ ลอกมาทั้งดุ้นโดยไม่มีผิดเพี้ยน นี่แหละคือสิ่งที่ต้องการให้รู้ การเป็นขุนพลผู้พิชิตนั้น จะเย่อหยิ่งไม่ได้ ต้องฝึกหัดวิเคราะห์กลยุทธที่ดีที่พบเห็น ไม่ว่าจะเป็นของฝ่ายเรา ฝ่ายศัตรู หรือแม้แต่ในตำรา ก็ต้องรู้จักนำมาวิเคราะห์ และฝึกฝนให้กับทหารของเรา” จ้าวเซวียนหยวนกล่าวขึ้น

“ครับ !!!”

ทั้ง สองขุนพล และ 16 นงคราญรับคำพร้อมกัน เพราะ 16 นงคราญก็คิดที่จะเสริมจุดอ่อนของตนเองขึ้นมาเหมือนกัน ซึ่งมีผลทำให้คนที่เข้ามาในห้องปูวันข้างหน้ายากลำบากขึ้น จนจ้าวเซวียนหยวนต้องเปลี่ยนขบวนปูหนามเป็นคนอื่นแทน เพื่อที่จะใช้ 16 นงครวญในงานอื่นต่อไป

“ห้องแมลงวัน เป็นห้องเกี่ยวกับวิทยายุทธ์ ส่วนห้องปู เป็นห้องเกี่ยวกับพิชัยสงคราม” วังกงลู่พึมพำขึ้น ก่อนที่จะมองดูชื่อห้องสุดท้าย

“แล้วห้องสุนัขนี่ มันเกี่ยวกับอาหารหรือเปล่าน๊า สุนัขตุ๋นยาจีน”

“ท่านวัง เข้ามาสิ ยืนอยู่หน้าห้องทำไม”

เสียงจ้าวเซวียนหยวนดังขึ้น ทำให้วังกงลู่ต้องเช็ดน้ำลายที่ปาก และเก็บความสงสัยไว้เพื่อไปพิสูจน์ในห้องสุนัข



Create Date : 23 ตุลาคม 2554
Last Update : 23 ตุลาคม 2554 23:35:18 น. 1 comments
Counter : 323 Pageviews.

 
สวัสดีค่ะ
พนักงานตรวจบรูฟ มาทำงานแล้วค่ะ

บทนี้มีคำผิดอยู่หนึ่งที่นะคะ (เท่าที่อ่านเจอ)

"กวัว จินเทียนเริ่มจับแบบวังกงลู่บ้าง จากนั้น ทั้งสองสหารก็ใช้มือทั้งสองทำการจับปูใหญ่ข้างละตัวอย่างรวดเร็ว และว่องไว จนในที่สุดปูใหญ่ก็ถูกจับจนหมดสิ้น โดยที่ไม่ถูกปูหนีบแต่อย่างใด"

สหาร น่ะค่ะ (เอาคำว่าทหาร กับ สหาร มารวมกันหรือคะคุณหมื่นลี้)

สอนโดยให้ฝึก ให้ปฏิบัติ สอนโดยไม่ให้อ่านหนังสือ
เป็นการสอนที่ยอดเยี่ยมมากค่ะ


โดย: Fah_T-LEX วันที่: 25 ตุลาคม 2554 เวลา:21:42:52 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Muen Li
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add Muen Li's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.