วรรณกรรมของหมื่นลี้
Group Blog
 
All Blogs
 
บทที่ 25 แผนเหนือเมฆ ช่วงชิงเชลยศึก

“เคล็ดลับการทำสงครามคือ ทำตามกฎแห่งฟ้าดิน ทำตามการเปลี่ยนแปลงของหยินหยาง เมื่อศัตรูได้เปรียบ ต้องอดทนและรอคอยโอกาส ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงของหยิน และ เมื่อได้โอกาส ก็ต้องรุกไล่ข้าศึกอย่างรวดเร็วดั่งสายฟ้าฟาด ซึ่งจึงเป็นการเปลี่ยนแปลงของหยาง” พิชัยสงครามยุคแรกของจีน

ในป่าดงดิบ ยามวิกาลยาวนานยิ่งนัก และในยามวิกาลของป่าดงดิบนั้นก็จะเป็นความมืดมิดอย่างแท้จริง เพราะไร้ซึ่งแสงเดือน และแสงดาว แต่ในค่ายฮกหลงนั้น เนื่องจากตั้งอยู่บนเนินเขาสูง จึงมองเห็นดาวเดือนชัดกระจ่าง และงดงามเกินจะพรรณนา

“ยังไม่นอนอีกหรอ”

เสียงกล่าวทักตี๋น้อยที่ชอบใช้เวลาที่ต้นไม้ริมน้ำ ซึ่งบัดนี้ได้รับการสร้างศาลาเล็ก ๆ ไว้ และจุดโคมไฟจนสว่างไสว

“อืม...เสี่ยวหมวยหรอ พี่ยังคิดเสริมประสิทธิภาพกองทัพอยู่นะ มาช่วยพี่ดูหน่อยสิ”

ตี๋น้อยที่นั่งดูข้อมูลต่าง ๆ ในจอภาพที่ฉายขึ้นมาจากเข็มขัดจอมปราชญ์กล่าวขึ้น ทำให้เสี่ยวหมวยเดินไปนั่งข้าง ๆ พลางดูข้อมูลที่ตี๋น้อยกำลังทำอยู่

“โห.....เล่นสร้างทัพจตุรเทพเชียวหรอ แค่สร้างหน่วยเกราะเหล็กก็น่าจะชนะได้แล้ว”

ภาพที่ปรากฏตรงหน้าเสียวหมวย ได้ผ่านการครุ่นคิด วางแผน จากข้อมูลมากมายมหาศาล ทำให้เป็นกองทัพจตุรเทพอันประกอบด้วย หน่วยมังกรเขียว หน่วยพยัคฆ์ขาว หน่วยหงส์ไฟ และหน่วยเต่าดำ ซึ่งจะมีทั้งข้อมูลของประสิทธิภาพ ลักษณะหน่วย อาวุธ การฝึกหัด และอื่น ๆ อีกมากมาย เรียกว่าครบถ้วนทีเดียว

“เตรียมแผนการฝึกเอาไว้ก่อน ถ้าสงครามยืดเยื้อเราก็จะฝึกไปรบไป แต่ถ้าเรารบชนะ ก็จะเสียเวลาการสร้างกองทัพไปบ้าง เพราะต้องตามตีเมืองเพื่อยึดเมือง จากนั้นก็จะสร้างป้อมค่าย และอาวุธสำหรับป้องกันเมือง ทำการผูกมัดใจชาวเมือง และอื่น ๆ อีกมากมาย กว่าจะดำเนินการฝึกได้” ตี๋น้อยกล่าวยิ้ม ๆ ทำให้เสี่ยวหมวยกล่าวอย่างรู้ทันว่า

“พี่เลยเตรียมแผนนี้ไว้ เพื่อว่า ถ้าชนะจนต้องตามตียึดเมืองจริง ๆ จะได้ให้ข้อมูลนี้กับผู้ช่วยของพี่ไปจัดการฝึกคน 4 กลุ่มก่อน เพื่อเป็นต้นแบบ ใช่ไหม”

“ฮ่า ๆ ๆ.....คุยกับหมวยนี่ไม่ต้องพูดมากเลยนะ แค่แย้ม ๆ ก็รู้แล้ว....ถูกต้องแล้วคร๊าบบบ ท่านหัวหน้าหน่วยหงส์ไฟ”

ตี๋น้อยหัวเราะอย่างถูกใจ เพราะไม่ว่าจะเป็นในเกม นอกเกม ก็เห็นมีเสี่ยวหมวยคนนี้ที่ตามความคิดของเขาทัน ทำให้เขาลุกขึ้นยืน พลางคารวะแบบธรรมเนียมจีน ทำให้เสี่ยวหมวยหัวเราะ

“ยังไม่ถามเลยว่าจะรับ หรือไม่รับ แบบนี้ไม่มัดมือชกหรอ ท่านเจ้าสัว”

“อย่างเสี่ยวหมวยไม่ต้องมัดมือหรอก แค่มัดใจก็พอแล้ว”

“มัดใจ...แล้วใช้อะไรมัดละ”

“จะมัดใจหมวยได้ ก็ต้องใช้หัวใจของพี่ตี๋คนนี้เท่านั้นแหละ จริงไหม” ทั้งน้ำเสียง สีหน้า ท่าทาง และแววตาของตี๋น้อย ทำให้สาวเก่งอย่างเสี่ยวหมวยหน้าแดง ก่อนที่จะฝืนใจเปลี่ยนเรื่อง

“ตอนนี้กองพันปีศาจยังไม่เคลื่อนไหวเลย กบดานอยู่แต่ในค่าย” เสี่ยวหมวยที่ลงมือสืบข่าวเอง จึงรายงานให้ตี๋น้อยรู้

“อืม....พี่ก็คิดไว้แล้วเหมือนกัน ระดับคนอย่างจูสือว่านแล้ว ถ้าลงมือไม่ได้ผล ก็จะต้องเฟ้นหาแผนการที่จะโจมตีครั้งเดียวให้ได้ผล ซึ่งเป็นผลเสียจากการรบชนะจนไม่เคยแพ้ใครของเขา”

“พี่คิดว่าอย่างไร สำหรับแผนการรบของจูสือว่าน” เสียวหมวยจึงถามความรู้สึกของตี๋น้อย

“สมกับชื่อกองพันปีศาจ ใช้ด้านมืดของมนุษย์มาโจมตีจิตใจของคนในกองทัพ และใช้คนในกองทัพ มาก่อให้เกิดความแตกแยกในกองทัพ จนกระทั่งความแข็งแกร่งของความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันนั้นหายไป จึงสามารถพิชิตได้ทุกกองทัพในโลกนี้” ตี๋น้อยวิเคราะห์

“แล้วทำไมยุทธวิธีของพวกมันใช้ไม่ได้กับกองทัพของเรา”

“เพราะกองทัพของเราอยู่บนเนินเขา ไม่อาจที่จะจับกุมคนได้มาก อีกอย่าง กองทัพของเรานั้น ได้รับการปรับจิตใจ ทำให้ความจงรักภักดี และความสามัคคีในกองทัพสูงมาก เพราะพี่เน้นสร้างจิตใจ ก่อนที่จะสร้างกองทัพ ทำให้พวกมันหาไส้ศึกไม่ได้ ยุแยงตะแคงรั่วก็ไม่ได้ แถมยังไม่สามารถใช้คนของเรามาเป็นโล่เพื่อสร้างความระส่ำระสายขึ้นในกองทัพได้อีก เมื่อสิ้นอาวุธเหล่านี้ไป พวกมันก็เป็นแค่กองทัพผีเร่ร่อนเท่านั้น” ตี๋น้อยสรุปยุทธวิธีของกองทัพปีศาจ

“แต่ทหารของพวกมันแต่ละคนก็มีความเก่งกล้าสามารถมากพอ ๆ กับเหล่าแม่ทัพนายกองของเราเลยนะ นับว่าเป็นกองทัพที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในแผ่นดินก็ว่าได้”

“มันก็จริง แต่ว่า....กองทัพที่จะไร้ผู้เทียมทานได้นั้นไม่ใช่แค่เก่ง แต่ต้องพลิกแพลงแปรเปลี่ยนจนศัตรูไม่อาจหยั่งคาดได้ แต่กองทัพปีศาจพวกนี้เอะอะก็ขี่ม้าถือทวน ทำราวกับว่า ทั้งทุกคนในกองทัพเป็นแม่ทัพใหญ่ ทั้ง ๆ ที่เป็นแค่ทหารเลว ทำให้บางพื้นที่ บางยุทธภูมิ เกิดความเสียเปรียบ จนอาจจะนำไปสู่ความพ่ายแพ้ได้”

“ถ้าอย่างนั้น การเอาชนะก็ไม่ใช่เรื่องยากสิ”

“การเอาชนะไม่ใช่เรื่องยากหรอก แต่การเอาชนะอย่างง่ายดายต่างหากที่ยาก และเป็นเป้าหมายของพี่ เหมือนที่ซุนวูกล่าวไว้ว่า ไม่เพียงแค่รบชนะ แต่ต้องชนะอย่างง่ายดายด้วย และเป้าหมายสูงสุดของพี่ก็คือ ชนะโดยไม่ต้องรบ”

ตี๋น้อยกล่าวอย่างมุ่งมั่น ทำให้เสียวหมวยนั่งมองอย่างชื่นชมในความคิดที่เปี่ยมไปด้วยประสิทธิผล และไม่เหมือนใครของตี๋น้อย


ยามนี้ ที่เก๋งน้อยที่ทั้งสองนั่งพูดคุยกันอยู่นั้น เหล่าผู้นำทั้ง 10 คน ได้เดินมาหาตี๋น้อย ทำให้ตี๋น้อยปิดข้อมูลการฝึก และเปิดข้อมูลแผนเหนือเมฆที่เขาวางแผนเอาไว้ และบอกให้ทุกฝ่ายเตรียมตัวในช่วงเย็น ก่อนที่จะให้ไปนอน

“ทุกอย่างเรียบร้อยครับท่าน ตอนนี้ให้ทหารที่จะปฏิบัติการไปนอนหลับพักผ่อนแล้ว” เอี้ยวจิ้งเจิงรายงาน ทำให้ตี๋น้อยกล่าวขอบคุณพวกเขาทุกคน

“ขอบคุณพวกท่านมาก แล้วพวกท่านยังไม่นอนหรือ ไปนอนเถอะ ข้าจะวางแผนอะไรนิดหน่อยก่อน แล้วจะไปนอนเหมือนกัน”

“ข้าต้องขอบคุณท่านมากกว่า เพราะถ้าแผนการนี้สำเร็จ ก็จะทำให้พวกเรากลายเป็นกองกำลังที่ดีที่สุดในแผ่นดินแทน แถมยังได้แก้แค้นให้กับท่านเอี้ยวจิ้งเจิง และหม่าชิง กับหมิงสงด้วย” เอี้ยฮุ้นกล่วขึ้น ทำให้ตี๋น้อยยิ้มรับ

“ถ้าทุกคนฝึกซ้อมแผนการทุกอย่างจนชำนาญแล้ว ข้าก็ขอยืนยันว่า จะไม่มีทางผิดพลาดเป็นอันขาด แต่ถึงแม้ว่าจะมีผิดพลาดบ้าง ก็จะมีแผนสองรองรับอยู่แล้ว แต่ขอให้ทุกคนจำไว้ว่า พลิกแพลงแปรเปลี่ยน รุกรับตามสถานการณ์ ถึงแม้ว่า กองกำลังของเราจะยังใหม่ แต่ท่านเอี้ยฮุ้น กับท่านเอี้ยวจิ้งเจิงเป็นผู้เชี่ยวชาญ และมีประสบการณ์ ข้าเชื่อว่า พวกท่านทั้งสองจะรับมือกับสถานการณ์ทุกอย่างได้” ตี๋น้อยกล่าวกับยอดทหารหลวง กับยอดขุนโจร ก่อนที่จะหันไปยังหัวหน้าทั้ง 6 กลุ่ม

“ข้าอยากจะขอร้องท่านให้พวกท่านเป็นผู้ช่วยท่านทั้งสองก่อน เพื่อฝึกฝนความชำนาญ และประสบการณ์ ข้าเชื่อว่า ด้วยศักยภาพ และความสามารถของพวกท่าน จะทำให้พวกท่านโดดเด่นขึ้นมา และจำไว้ว่า พวกเราเป็นทีมเดียวกัน” ตี๋น้อยกล่าวจบก็หันหน้ามายังทุกคน

“แม้กองพันปีศาจจะเก่งกาจ แต่พวกมันรู้จักแต่ทำตามคำสั่ง สำหรับพวกเราแล้ว ข้าเน้นย้ำให้ทุกคนใช้จินตนาการ และความคิดสร้างสรรค์ของทุกคน ให้สอดคล้องกับแผนการโดยรวม ซึ่งจะทำให้พวกเรามีความหลากหลาย และความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในตัวเอง และจะทำให้การพลิกแพลงแปรเปลี่ยนนั้นซับซ้อนจนยากแก่การคาดคำนวณ จนกลายเป็นปัจจัยที่นำเราไปสู่ชัยชนะ” เมื่อจบคำกล่าวของตี๋น้อย ทุกคนรับคำด้วยดวงตาเป็นประกายเปี่ยมด้วยความมั่นใจ และศรัทธาในตัวเอง และในตัวของตี๋น้อย


ยามสาม (04.00 – 06.00) เป็นช่วงที่คนหลับลึกที่สุด และผ่อนคลายที่สุด โดยเฉพาะเหล่าทหารที่ยืนยามรักษาการ เนื่องจากความตึงเครียดในยามค่ำคืนเริ่มผ่านไป และเป็นช่วงเวลาที่ง่วงที่สุดของผู้ที่ยืนยาม เพราะเป็นรอยต่อระหว่างกลางคืน และกลางวัน

กร๊อบ....................กร๊อบ.......................

เสียงฝีมือการบิดคอหักกระดูก วิชาเฉพาะตัวของกลุ่มเอี้ยฮุ้น ที่บัดนี้ได้ถูกถ่ายทอดให้กับหน่วยสังหารของกองกำลังตี๋น้อย ซึ่งได้ย่องเงียบเข้าจัดการกับหน่วยซุ่มตามทางไปสู่ป้อมค่ายของกองพันปีศาจ

ค่ายของกองพันปีศาจนั้น สร้างจากไม้ซุงทั้งท่อน เหมือนกับของค่ายฮกหลง แต่การรักษาการณ์กลับแตกต่างกันยิ่งนัก เพราะของค่ายฮกหลงนั้นมีทางขึ้นแค่ทางเดียว แต่ถึงกระนั้นก็ยังติดโคมไฟจนสว่างรอบกำแพง แต่ที่นี่ เป็นเนินเขาที่เปิดกว้างทุกทิศ แต่มีโคมไฟเฉพาะตรงป้อมแปดป้อม ในแปดทิศเท่านั้น

แกรก........................วูบ.........................

ในมุมมืดของค่าย กลุ่มคนราว ๆ สัก 100 คน กำลังใช้เครื่องมือแบบตะขอร้อยเชือก โยนขึ้นเกี่ยวกำแพง และดึงตัวขึ้นไปบนกำแพง เมื่อขึ้นไปหมดแล้วก็จัดแบ่งทีมกันออกตามหน้าที่ โดยจุดมุ่งหมายคือ ป้อมด้านหน้า ซึ่งมีหม่าชิง และหมิงสง ถูกจับมัดให้ยืนอยู่ด้านหน้าเพื่อตากแดดตากลม โดยไม่ให้พักแต่อย่างใด

กร๊อบ...............กร๊อบ.......................

หน่วยล่าสังหารยังคงทำหน้าที่ได้อย่างดีเลิศ จนสามารถกำจัดทหารที่อยู่ในป้อมทั้งแปดได้จนหมดสิ้น ทำให้หน่วยโจมตีอีก 300 คน พากันปีนขึ้นบนกำแพง


ที่ด้านนอกกำแพง ทหารราว 400 คน กำลังรอคอยสัญญาณจากทหารด้านใน และทหารหน่วยล่าสังหารประมาณ 10 คน ได้นำหม่าชิง กับหมิงสงมาส่งให้ ก่อนที่จะไปรวมกลุ่มกับทีมของตนเพื่อปฏิบัติภารกิจที่สำคัญต่อ

“หม่าชิง หมิงสง พวกเจ้าไม่เป็นไรนะ” เอี้ยฮุ้นกล่าวอย่างดีใจที่ทั้งสองถูกช่วยมาได้ เมื่อจะอ่อนเพลียเพราะถูกมัดตากแดดตากลม แต่ทั้งสองก็มีกำลังใจเต็มเปี่ยม

“ไม่เป็นไร แค่ขอข้าวขอน้ำกินก็พอ แต่พวกข้าทั้งสองไม่กลับค่ายนะ จะขอดูหน้าไอ้ปีศาจนั่นมันพ่ายแพ้”

ทั้งสองมองเห็นกองทหาร และการจัดวางกองกำลังก็รู้ว่า กองทัพพวกเขาจะทำอะไร จึงบอกกับเอี้ยฮุ้น ที่กำลังจะสั่งทหารให้คุ้มครองพวกเขาไปส่งค่าย

“ถ้าต้องการอย่างนั้นก็ได้ อย่างไรซะ บุรุษเหล็กอย่างพวกเจ้าก็ทนได้อยู่แล้ว” เอี้ยฮุ้นกล่าว

“เสียดายที่ท่านเจ้าสัวเปลี่ยนแผนกะทันหันนะ พวกข้าเลยไม่ได้แสดงความสามารถ”

ร่างในชุดเกราะเหล็กทั้งตัว มือทั้งสองถือโล่ 2 อัน และรอบโล่ทั้งสองนั้นมีหนามแหลมคมติดโดยรอบ ทำให้มองดูน่ากลัวมากกว่าโล่ และหอกแบบเดิม เดินเข้ามาทักทายทั้งสอง

“เจินเจิน อย่าน้อยใจไปเลย แผนการวันนี้ ถ้าไม่มีพวกเจ้าก็จะไม่สำเร็จอย่างเด็ดขาด เพราะมันไม่ใช่การช่วยเหลือทั้งสอง แต่เป็นการแก้แค้นแทนทั้งสอง” เอี้ยฮุ้นที่เข้าใจความรู้สึกของเจินเจินจึงกล่าวให้กำลังใจ

“ท่านเจ้าสัวละ ข้าอยากขอบคุณท่านหน่อย ไม่รู้ว่าท่านจะว่างไหม” หมิงสงกล่าวขึ้นอย่างนึกได้ ทำให้เจินเจินรีบตอบเองว่า

“โน้น.....บนกำแพงโน้น ท่านเจ้าสัว กับเสี่ยวหมวย นำทีมเอง โดยมีหยางฟง เอี้ยวจิ้งเจิง และเลี่ยงเซิน ตามไปด้วย ส่วนที่เหลือรอประตูเปิด และจู่โจมเข้าไปเข่นฆ่าพวกมันในค่าย โดยมีพวกข้าทั้ง 16 คุมหน่วยโล่เหล็ก 50 คน เป็นกองหน้า”

“น่าจะได้เวลาแล้วนะ ท่านเจินเจินไปเตรียมตัวได้แล้ว ชักช้าเดี๋ยวการณ์ของท่านจะเสียไป มันจะส่งผลกระทบต่อแผนการของพวกเรา” เอี้ยฮุ้นที่ยืนมองสถานการณ์ต่าง ๆ บนป้อมกล่าวขึ้น ทำให้เจินเจินคารวะทั้งสาม และกลับไปเตรียมการในหน่วยของตน

เมื่อเจินเจินออกไปแล้ว ทหารก็ได้นำอ่างน้ำขนาดใหญ่มาให้กับคนทั้งสองที่พึ่งจะถูกช่วยมาจากการเป็นเชลย พร้อมกับข้าวปลาอาหารอย่างสมบูรณ์ ทำให้หม่าชิงอดที่จะถามไม่ได้ว่า

“ข้าเห็นกองกำลังของเราครึ่งหนึ่งเข้าไปยึดกำแพงได้แล้ว แล้วการโจมตีจะไม่เริ่มขึ้นในฉับพลันนี้หรือ”

“ตอนนี้เป็นงานของพวกหน่วยสังหาร เหมือนกับในตอนที่เราเข้าไปปล้นคุกนั่นแหละ แต่ถ้าพวกมันรู้ตัวจึงจะเปิดศึกโจมตีขนาบ และประตูด้านหน้าค่ายก็จะเปิดออก และทัพเราจึงจะบุกตะลุยเข้าไปจู่โจม” อุ้ยต่งจิ้น ผู้ซึ่งมีส่วนในการวางแผนบุกครั้งนี้ด้วย กล่าวขึ้น

“มิน่าละ ว่าทำไมมันคุ้น ๆ กับแผนนี้ ที่แท้ต่งจิ้นน้อยของเราช่วยท่านเจ้าสัววางแผนด้วยนี่เอง อย่างนี้อีกหน่อยคงได้เป็นกุนซือฝีมือดีประจำกองทัพเทพของท่านเจ้าสัวแน่ ๆ” หมิงสงที่นั่งแช่ในน้ำอุ่นอย่างอารมณ์ดี พลางกินอาหารที่อยู่ในถาดเหนืออ่างอย่างหิวกระหาย พูดขึ้น

ตูม....................พรึบ............................

ไม่ทันที่อุ้ยต่งจิ้นจะเอ่ยปากตอบ เสียงการโจมตี และแสงไฟโชติช่วงขึ้นมา ทำให้เอี้ยฮุ้น กับอุ้ยต่งจิ้น รีบถลาออกไปบัญชาศึกทันที ส่วนสองหนุ่มรีบผลักอาหารออก และผลุดลุกใส่เสื้อผ้าทันที พร้อมกับดาบใหญ่ และง้าวที่เอี้ยฮุ้นจัดเตรียมไว้ให้ แม้จะไม่ถนัดมือเท่ากับอาวุธคู่ใจ แต่ก็นับว่ายังใช้การได้ดี

“ไอ้พวกปีศาจน่าตายพวกนี้มันรู้ตัวเร็วจริง ๆ ลอบสังหารมันยาก แต่เราจะตะลุยไปฆ่ามันให้ได้สักร้อยคน แล้วค่อยกลับมากินข้าวละกัน”

หมิงสงที่คว้าง้าววิ่งเข้ากองทัพ ทำให้หม่าชิงที่หยิบดาบใหญ่วิ่งไปข้าง ๆ หัวเราะดังลั่นอย่างชอบใจในความคิดของหมิงสง




Create Date : 19 ตุลาคม 2554
Last Update : 19 ตุลาคม 2554 23:10:02 น. 0 comments
Counter : 312 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Muen Li
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add Muen Li's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.