วรรณกรรมของหมื่นลี้
Group Blog
 
All Blogs
 
บทที่ 29 เดิมพันชีวิตของสองขุนพล

“ยุทธวิธีชั้นยอดคือการโจมตีจิตใจ ส่วนยุทธวิธีขั้นต่ำคือ การโจมตีเมือง” ซุนวู

เมืองขุมทรัพย์ตั้งแต่เหตุการณ์ทุกอย่างกลับมาเป็นปกตินั้น เหล่าชาวบ้านก็ได้รับการแจกจ่ายเสบียงอาหารจากกองกำลังของตี๋น้อยเดิม ซึ่งตอนนี้เป็นกองกำลังของจ้าวเซวียนหยวน เจ้าเมืองคนใหม่

นอกจากนั้นแล้ว ท่านเจ้าเมืองยังให้การดูแลชาวบ้านอย่างดี ลงทุนไปสอบถาม และให้จัดทำสำมะโนครัวประชากรทุกคน เพื่อที่จะได้ดูแลได้ทั่วถึง และจัดสรรที่ดินทำกิน ให้กับทุกคน แต่มีข้อแม้ว่า คนที่จะได้รับที่ดินนั้น จะต้องมีแผนการที่จะทำประโยชน์ในที่ดินจริง ๆ ซึ่งทางเมืองก็จะจัดสรรเป็นเขต ๆ ไป เช่นเขตเลี้ยงสัตว์ เขตทำนา เขตทำไร่ และเขตปลูกพืชผักผลไม้ เป็นต้น ทำให้ชาวบ้านชาวเมืองรักเจ้าเมืองคนนี้มาก แม้พึ่งจะทำการได้ไม่กี่วันก็ตาม

วันนี้ ที่ปราสาทของท่านเจ้าเมือง ซึ่งมีขนาดใหญ่โตมโหฬารราวกับปราสาทขุนนางชั้นผู้ใหญ่ เนื่องจากช่วงที่เป็นเมืองฝึกฝนนั้น ทางเกาะต้องการที่จะสร้างความยิ่งใหญ่อลังการให้ปรากฏแก่สายตาของผู้เล่นที่พึ่งเข้ามาในเกม

ที่หน้าประตูปราสาทที่มีทหารยืนเฝ้าด้านหน้าอยู่ 4-5 คน ปรากฏร่างของสองขุนพลซ้ายขวาเดินเข้ามาหาทหารที่เฝ้าอยู่หน้าประตู เนื่องจากกำหนดการเดินทางไปลกเอี๋ยงถูกเลื่อนออกไป เนื่องจากติดพายุ ซึ่งคงจะไม่สงบในวันสองวันนี้แน่ ๆ

“ท่านเจ้าเมืองขอเชิญท่านขุนพลทั้งสองให้เข้าไปพบยังห้องรับแขกคะ”

เสี่ยวหลัน ซึ่งเป็นผู้ดูแลทั่วไปในปราสาทท่านเจ้าเมืองได้ปรากฏกายขึ้นที่ประตู พลางกล่าวเชิญขุนพลทั้งสอง ทำให้ทั้งสองตกใจมาก เพราะที่พวกเขามานี่ก็ไม่ได้บอกใครมาก่อนว่าจะมา แล้วท่านเจ้าเมืองรู้ได้อย่างไร


“อ๋อ...เรื่องนั้นก็ง่าย ๆ ครับ ท่านขุนพลทั้งสองคงจะไปหาท่านขุนพลจูสือว่านก่อนที่จะมาที่นี่ใช่ไหม” จ้าวเซวียนหยวนได้ตอบข้อข้องใจของสองขุนพลที่ได้มานั่งอยู่ที่ห้องรับแขกด้วยการตั้งคำถามกลับ

“ใช่ครับ แสดงว่าท่านรู้แล้วว่า พวกข้าจะต้องมาสอบถามสิ่งที่ได้คุยกับท่านขุนพลกับท่านแน่ ๆ ใช่ไหมครับ” กวัวจินเทียนกล่าวถามขึ้น

“แสดงว่า พวกท่านรู้แล้วว่า ข้าคือใคร ในใจอาจจะไม่ยินยอม แต่ก็ไม่อยากที่จะตัดรอนความหวังดีของท่านขุนพลที่แนะนำท่านให้มาทำงานให้ข้า ดังนั้น จึงอยากที่จะขอทดสอบอะไรบางอย่างกับข้า ข้าพูดถูกไหม”

คำถามของผู้ที่พวกเขารู้ว่าเป็นใคร แต่ไม่อาจจะบอกได้นั้น ทำให้ขุนพลทั้งสองตกตะลึงในสติปัญญา และการหยั่งคาดของเจ้าเมืองคนนี้ที่พวกเขารู้ว่าเป็นใคร แต่บอกไม่ได้

“การพูดกับคนที่มีสติปัญญานั้นสะดวกรวดเร็วจริง ๆ ทำให้ไม่ต้องคุยกันมากมายหลายคำจริง ๆ ดูท่าพวกข้าต้องเปิดอกพูดแล้วสินะว่า พวกข้าข้องใจฝีมือของท่าน” วังกงลู่กล่าวอย่างตรง ๆ ทำให้จ้าวเซวียนหยวนต้องหัวเราะออกมา

“นึกว่าข้องใจเรื่องอะไร ถ้าข้องใจเรื่องอื่นนั่นต้องอธิบายกันยาว แต่ถ้าเรื่องนี้ก็ง่าย ๆ” จ้าวเซวียนหยวนลุกขึ้นจากเก้าอี้ พลางเชิญสองขุนพลว่า

“ตามข้ามาที่ห้องฝึกซ้อมฝีมือสิ ข้าจะพิสูจน์ให้ท่านเห็น พร้อมกับการเดิมพันแบบเดียวกับที่ข้าเคยเดิมพันกับท่านขุนพล”

“ได้ แต่ขอเปลี่ยนเดิมพันเล็กน้อยได้ไหม” กวัวจินเทียนกล่าวขึ้นอย่างมาดมั่น

“ได้สิ ท่านจะขอเดิมพันอะไรว่ามา”

“ผู้ชนะเป็นเจ้า ผู้แพ้เป็นทาส ตกลงไหม” กวัวจินเทียนตอบประโยคที่ได้ตกลงกับวังกงลู่ ทำให้จ้าวเซวียนหยวนชะงักเล็กน้อย

“โห....เล่นแรงเลยนะเนี่ย ขนาดท่านขุนพลจูสือว่านข้ายังต้องการให้ท่านเป็นขุนพลให้กับข้า แต่นี่ พวกท่านจะยอมเป็นทาสข้าเชียวหรือ” ประโยคที่มองดูว่าเย่อหยิ่ง และถือดีในฝีมือทำให้สองขุนพลมองตาเขาราวกับจะค้นหาอะไรสักอย่าง

“ดูท่านมั่นใจเหลือเกินนะ ถ้าท่านแพ้มาแล้วอย่ามาร้องไห้คร่ำครวญทีหลังก็แล้วกัน เพราะข้าไม่ใจดีกับทาสของข้าหรอกนะ” หน้าคมเข้ม และดูเย็นชาของวังกงลู่ เขม้นมองคู่สนทนา ก่อนที่จะกล่าวอย่างเป็นเชิงตักเตือน

“ทำได้หรือไม่ได้ ลงมือก็จะรู้เอง” จ้าวเซวียนหยวนตอบยิ้ม ๆ

ห้องฝึกฝนฝีมือเป็นห้องที่เป็นห้องโถงโล่ง ๆ ใกล้ ๆ ผนังจะเรียงรายไว้ด้วยแคร่อาวุธทุกชนิด ผนังอีกด้านจะเป็นเป้าซ้อมธนู ส่วนด้านข้างทั้งสองข้างเปิดเชื่อมต่อกับสวนไม้ดอก และไม้ผลที่งดงาม และส่งกลิ่นหอมไปทั่วบริเวณ ทำให้คนทั้งสามรู้สึกผ่อนคลายลง

“ขอท่านจ้าวแนะนำด้วย”

วังกงลู่ชักหอกออกมาจากแคร่ พลางคารวะเจ้าเมืองคนใหม่ ซึ่งได้หยิบกระบี่อ่อนขึ้นมา กระบี่ชนิดนี้จะใช้ลำบากสำหรับคนที่ไม่คุ้นเคย เพราะความอ่อนของมัน แต่ทว่า สำหรับผู้มีฝีมือนั้น กระบี่แบบนี้จะทำให้สามารถพลิกแพลงแปรเปลี่ยนได้ไม่มีที่สิ้นสุด

“เชิญ”

จ้าวเซวียนหยวนถือกระบี่อย่างผ่อนคลาย ทำให้คู่ต่อสู้สงสัย เพราะปกติกระบี่จะเสียเปรียบหอก เนื่องจากความยาว และพลังทำลายที่แตกต่างกัน แต่สำหรับขุนพลชาญศึกอย่างวังกงลู่แล้ว นี่คือโอกาสของเขา

ฝุบ...................วูบ........................

ขุนพลขวาใช้ออกด้วยการแทงต่อเนื่องอย่างรวดเร็ว และรุนแรง แต่ทว่า ร่างของเจ้าเมืองคนใหม่กลับใช้วิธีที่คู่ต่อสู้คิดไม่ถึงมาตอบโต้ เมื่อกระบี่ได้กลายสภาพเป็นเชือก ทำการตวัดรัดหอกที่แทงเข้ามา จากนั้นก็ตวัดปัดป่ายแรงให้พ้นทาง

วูบ..................วูบ...................

วังกงลู่รีบถอยอย่างรวดเร็ว เพราะร่างที่ใช้กระบี่ปัดหอกให้หลีกทางนั้น ได้ก้าวเข้าประชิดตัวเจ้าของหอก จนต้องรีบถอยห่างอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะตวัดด้ามหอกออกตวัดปัดป่ายร่างนั้น

เคว้ง...........เคว้ง......................

กระบี่อ่อนในเมืองจ้าวเซวียนหยวนยังทำหน้าที่ในการเปลี่ยนทิศทางของหอกได้อย่างดีเยี่ยม ทำให้วังกงลู่รู้สึกเปลืองเรี่ยวแรงในการบังคับอาวุธของตนเองเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังต้องระวังการปราดเข้ามาในระยะประชั้นชิดของจ้าวเซวียนหยวนด้วย

หมับ......................วูบ.........................

เมื่อได้จังหวะที่หอกเริ่มเสียจังหวะ ทำให้จ้าวเซวียนหยวนใช้มือซ้ายรวบจับหอกกระชากกลับหลัง เมื่อฝ่ายขุนพลวังกงลู่กระชากกลับ ร่างของจ้าวเซวีนหยวนก็พุ่งไปตามแรงดึงทันที พร้อมกับกระบี่ที่เหยียดตรง และจู่เข้าที่คอของวังกงลู่ที่หมดทางหลบหลีก

เคว้ง...................ตุบ....................

หอกในมือของวังกงลู่หล่นลงกับพื้นทันทีที่รู้ผลแพ้ชนะ และร่างของผู้แพ้ก็ยืนนิ่งด้วยความคาดไม่ถึง ทำให้กวัวจินเทียนต้องเดินเข้ามาหา และโอบไหล่ของผู้เป็นทั้งเพื่อนที่รู้ใจ และเพื่อนร่วมอาชีพ

“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวข้าจะแก้ให้ท่านหลุดพ้นจากเดิมพันทาสเอง”

เสียงปลอบของขุนพลซ้ายทำให้วังกงลู่รู้สึกตัวว่าเสียมารยาทไป จึงคารวะเจ้าเมือง และเดินกลับไปด้านข้าง ปล่อยให้กวัวจินเทียนที่กระชับหอกไปมือได้ต่อสู้เป็นคนต่อไป

วูบ......................หมับ........................

จ้าวเซวียนหยวนได้ใช้เท้าสะกิดหอกขึ้นมาในมือ พร้อมกับเก็บกระบี่ไว้ จากนั้นจึงกระชับหอกในมืออย่างหลวม ๆ และด้วยท่าทางสบาย ๆ พลางกล่าวว่า

“นี่คือวิชาหอกที่ท่านขุนพลจูสือว่านพลาดท่าเสียที ถ้าท่านแก้ได้ก็ลองดู”

“ย๊ากกกก.............”

กวัวจินเทียนร้องตวาดขึ้นพร้อมกับลงมือจู่โจมแทนการกล่าวตอบ ด้วยวิชาหอกของวังกงลู่นั้นเน้นความเร็ว ส่วนของจูสือว่านนั้นเน้นเรื่องความแกร่งกร้าว และอำมหิต แต่วิชาหอกของกวัวจินเทียนกลับเน้นความรุนแรง และแกร่งกร้าวถึงขีดสุด

เมื่อต้องพบกับหอกที่รุนแรง และแกร่งกร้าว จ้าวเซวียนหยวนกลับยิ่งผ่อนคลาย และร่ายรำหอกให้คล้ายกับมีพลังวงจรที่มากมายมหาศาลรอบ ๆ ตัวให้ก่อเกิดไม่มีวันสิ้นสุด

แกร๊ง...................วูบ..........................

หอกที่ปกติใช้การแทงเป็นหลัก แต่เมื่อมาอยู่ในมือกวัวจินเทียน กลับใช้มันเหมือนเป็นง้าว ทั้งฟัน ตวัด กระแทก แหย่ และแทง แต่ดูเหมือนว่า คู่ต่อสู้จะรับไว้ได้หมด แถมยังชักนำพลังของหอกให้เสียศูนย์ด้วย ทำให้ต้องใช้พลังมากกว่าปกติในการรักษาความสมดุลในการโจมตี

แกร๊ง........................แกร๊ง..............................

แม้กระนั้นก็ตาม ร่างสูงใหญ่ของกวัวจินเทียนก็ไม่ยอมแพ้ ยังคงตวัดหอกฟาดฟันอย่างคลุ้มคลั่ง ราวกับกำลังผ่าฟืนอยู่ก็ปาน

วูบ.................วูบ....................เฟี้ยว......................

จ้าวเซวียนหยวนที่อดจะนับถือความเป็นนักสู้ของกวัวจินเทียนไม่ได้ ดังนั้น จึงไม่อยากให้คู่ต่อสู้ได้รับบาดเจ็บ จึงใช้เคล็ดหมุนวน และถ่ายโอนแรง ทำให้หอกของคู่ต่อสู้หมุนวนตามการเคลื่อนแรงของเขา และเปลี่ยนทางของแรง ทำให้หอกในมือกวัวจินเทียนหลุดจากมือไปปักอยู่ในสวนดอกไม้ไกล ๆ ทันที

วูบ................................

หอกในมือจ้าวเซวียนหยวนจ่อที่คอของกวัวจินเทียน ทำให้วังกงลู่ตกตะลึงอีกครั้ง แต่กวัวจินเทียนกลับยิ้มออกมา

“โปรดรับการคารวะจากข้าทาสทั้งสองด้วย” กวัวจินเทียนคุกเข่าลงทันที ทำให้จ้าวเซวียนรีบเข้าไปประคอง

“ไม่ต้องคุกเข่าให้กับข้าหรอก ข้าไม่ได้ถือพวกท่านเป็นทาสแต่อย่างใด”

“ไม่ได้ เดิมพันต้องเป็นเดิมพัน” กวัวจินเทียนกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว ทำให้วังกงลู่ต้องทอดถอนใจกล่าวว่า

“แม้ข้าจะผิดหวังในการประลองครั้งนี้ แต่ข้าก็ไม่ผิดหวังในตัวของท่านเลย ทั้งฉลาด ทั้งเก่ง ให้พวกข้ายอมถวายชีวิตให้กับท่านอย่างนี้ ถึงตายข้าก็ไม่เสียดาย” จากนั้น วังกงลู่ก็คุกเข่าลงคำนับจ้าวเซวียนหยวน

“พวกท่านทั้งสองลุกขึ้นเถิด เรื่องการเป็นทาสข้ารับไม่ได้ เพราะพวกท่านคือขุนพลของข้า ข้าไม่อาจที่จะให้ผู้ที่เป็นขุนพลต้องกลายเป็นทาสเด็ดขาด ไม่อย่างนั้น ศักดิ์ศรีแห่งขุนพลแห่งข้าก็จะต้องมัวหมองไป” จ้ายเซวียนหยวนกล่าวอย่างเด็ดขาด ทำให้ขุนพลทั้งสองลุกขึ้นยืน และคำนับอีกครั้งว่า

“ขอบคุณท่านมาก แม้ท่านจะไม่ถือว่าข้าทั้งสองเป็นทาส แต่นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าทั้งสองจะนับถือท่านเป็นเจ้านายเพียงคนเดียว สั่งให้ตายก็จะตาย สั่งให้เป็นก็จะเป็น ไม่ว่าจะสั่งให้บุกน้ำลุยไฟ พวกข้าทั้งสองจะรุดไปตามคำสั่งของท่านจ้าว” วังกงลู่กล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว และหนักแน่น ทำให้จ้าวเซวี่ยนหยวนรู้สึกซาบซึ้ง

“ขอบใจท่านทั้งสองมาก ข้าคงจะไม่มีอะไรจะตอบแทนท่านทั้งสอง นอกจากสิ่งนี้ที่ข้าจะพาท่านไปรับเอาสิ่งนี้” จ้าวเซวียนหยวนกล่าวพลางเดินนำขุนพลทั้งสองไปยังห้องอีกห้องหนึ่ง

“ท่านจะใช้ข้าไปทำอะไร พวกข้าทั้งสองยินดีทำให้ท่านทุกอย่าง” ขุนพลทั้งสองเดินตามจ้าเซวี่ยนหยวนอย่างใกล้ชิด

“ข้ามีงานให้ท่านทำอยู่แล้ว แต่ก่อนอื่นต้องเพิ่มพลังฝีมือของพวกท่านทั้งสองให้สูงขึ้นกว่านี้ก่อน นี่คืองานแรก และเป็นสิ่งแรกที่ข้าจะให้กับพวกท่านทั้งสอง”

ผู้เป็นเจ้านายใหม่ของขุนพลทั้งสองกล่าวขึ้น ทำให้ทั้งสองมองหน้ากันอย่างสงสัยว่า เจ้านายใหม่จะเพิ่มฝีมือของพวกเขาอย่างไร เพราะพาออกมาจากห้องฝึกฝีมือเข้าไปในห้องที่มีฝูงแมลงวันเต็มไปหมด

“ข้าจะเพิ่มพลังฝีมือของท่านให้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ด้วยเวลาเพียงแค่ 1 วัน และห้องนี้คือบทเรียนแรกที่พวกท่านจะต้องเรียนรู้ และเมื่อผ่านบทเรียนนี้ไป ท่านทั้งสองจะสามารถบุกฝ่ากองทัพนับหมื่นได้ราวกับกำลังเดินเล่นในสวนดอกไม้ทีเดียว”

จ้าวเซวียนหยวนกล่าวอย่างจริงจังกับขุนพลหนุ่มทั้งสองที่กำลังสับสนกับชีวิตว่า ห้องที่มีแมลงวันเต็มไปหมด เกี่ยวข้องอะไรกับการเพิ่มพลังฝีมือของพวกเขา และจะทำให้พวกเขาเก่งได้อย่างไร



Create Date : 21 ตุลาคม 2554
Last Update : 21 ตุลาคม 2554 19:23:10 น. 0 comments
Counter : 231 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Muen Li
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add Muen Li's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.