วรรณกรรมของหมื่นลี้
Group Blog
 
All Blogs
 
บทที่ 22 ขุนพลปีศาจ จูสือว่าน

“เมื่อข้าต้องการรบ แม้ว่าศัตรูจะหลบอยู่หลังค่ายคูประตูกลที่เข้มแข็ง ก็จะถูกบังคับให้ออกมาต่อตีกับข้า  เพราะข้าโจมตีในตำแหน่งที่สำคัญที่สุดของศัตรู  แต่เมื่อข้าไม่ต้องการรบ ข้าก็เพียงแต่ขีดเส้นขวาง และเบี่ยงเบนความสนใจของศัตรู โดยการโยนสิ่งที่ทำให้ศัตรูแปลกใจ และคาดคิดไม่ถึงไปให้” ซุนวู

กลางป่าดงดิบ ดินแดนที่ไร้ผู้คนอยู่อาศัย มีแต่ฝูงสัตว์ร้าย และอันตรายชุกชุมทุกฝีก้าว แต่ในดินแดนแห่งนี้ได้ปรากฏมนุษย์ขึ้นสามคน เพราะมนุษย์ก็ยังเป็นมนุษย์อยู่วันยังค่ำ แม้ป่าที่อันตรายที่สุดยังไม่อาจที่จะขวางกั้นจากการบุกรุกของมนุษย์ได้ ดังคำกล่าวของคัมภีร์ไบเบิลที่กล่าวว่า พระเจ้าได้มอบหมายให้มนุษย์เป็นผู้ปกครองดูแลโลกใบนี้ และมนุษย์ด้วยกันเท่านั้นที่จะช่วงชิงอำนาจการปกครองมาจากพวกเขาได้

คนทั้งสามใส่ชุดดำทะมัดทะแมง และสะพายอาวุธคู่มือมาด้วย โดยคนแรกใช้กระบี่สองเล่ม คนที่สองใช้ดาบใหญ่ คนที่สามใช้ง้าวใหญ่เป็นอาวุธ

“เรารีบเดินทางไปกันเถอะ จะได้กลับมาทันดูป้อมค่ายใหม่ของเรา” ชายร่างสูงสะพายง้าวเล่มใหญ่กล่าวขึ้น

“นักรบชาญศึกของโจโฉน่าจะมาถึงตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว วันนี้พวกมันอาจจะยกทัพมาโจมตีเราแล้ว แต่ทำไมไม่เห็นมีกองทัพมาเลย” ชายที่ใช้กระบี่สองเล่มพูดขึ้นมาอย่างสงสัย

“กำลังสร่างเมาอยู่หรือเปล่า เพราะเจ้าเมืองซือหลงน่าจะจัดการเลี้ยงดูปูเสื่อให้อย่างถึงใจ เลยไม่อาจจะตัดใจจากสาวงามที่อยู่เคียงข้างได้ละมั๊ง” ชายที่สะพายดาบใหญ่หัวเราะอย่างลามก ทำให้คนที่สะพายง้าวใหญ่ตำหนิขึ้นว่า

“หม่าชิง อย่าคิดเหลวไหล มันจะทำให้เราประมาทคู่ต่อสู้ และความประมาทนั้นจะนำหายนะมาถึงพวกเราได้”

คนใช้กระบี่กล่าวเตือนขึ้น ที่แท้ทั้งสามคนนี้คือ สามทหารผู้เชี่ยวชาญการสืบราชการลับ คือ หวังซื่อ หม่าชิง และหมิงสง นั่นเอง

“อืม....ไม่เสียทีที่สามารถพิชิตข้าศึกที่มีกำลังมากกว่าตนเองได้ น่าสน ๆ” เสียงดังกังวานอย่างคนมีอำนาจได้สอดแทรกขึ้น ทำให้ทั้งสามคนรีบชักอาวุธออกมาถือไว้ทันที

“ไม่ต้องตกใจ ข้าแค่อยากถามพวกเจ้าเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่างเท่านั้น”

ขาดคำ ชายกลางคนบังคับม้ามาขวางทางไว้ รูปร่างหน้าตาของชายคนนี้เหมือนคนทั่ว ๆ ไป ไม่ได้มีความพิเศษแต่อย่างใด แต่เสียงที่กล่าว ท่าทาง ความคล่องแคล่วว่องไว และความเชี่ยวชาญในการขี่ม้า ทำให้คนทั้งสามระวังตัวมากขึ้น

“ระวังนะ นี่เป็นยอดฝีมือในยอดฝีมือ”

หวังซื่อกล่าวเตือนเพื่อนทั้งสองคน หลังจากจับสัญญาณแห่งยอดฝีมือจากร่างของคนผู้นี้ได้ ซึ่งทั้งสองก็ส่งเสียงรับ โดยที่สายตาไม่ยอมห่างจากร่างของชายคนนั้น

“กล่าวเกินไปหรือเปล่า ข้าก็แค่เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ได้วิเศษวิโสมาจากไหน ยิ่งไม่ได้เก่งกาจอย่างที่พวกเจ้าคิดด้วย” ชายกลางคนพยายามทำให้คนทั้งสามผ่อนคลาย แต่คนทั้งสามยังคงระวังตัวแจ

“ข้าเชื่อเฉพาะสัญชาตญาณของข้า ไม่ต้องมาพูดมากหรอก มีอะไรก็ว่ามา” หวังซื่อกล่าวขึ้นอย่างหมดความอดทน ทำให้ชายคนนั้นหัวเราะ

“ยอดเยี่ยมจริง ๆ เจ้าเป็นคนน่าสนใจมาก ไม่น่าจะต้องไปทำงานกับคนที่ไม่มีหลักแหล่งอย่างคนผู้นั้นหรอก”

“ท่านเป็นหน่วยสืบข่าวของทหารชาญศึกโจโฉหรือ” หวังซื่อถามไถ่ชายแปลกหน้าผู้นั้น

ในสถานการณ์อันตราย เพื่อนทั้งสองจะมอบความไว้วางใจให้หวังซื่อ เพราะมีไหวพริบปัญญาที่สามารถแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าได้เป็นอย่างดี

“ใช่ และท่านทั้งสามก็น่าจะเป็นคนสืบข่าวของกองกำลังของท่านเจ้าสัวสินะ”

คำพูดของชายคนนั้นทำให้ทั้งสามคนตกใจ เพราะไม่เคยมีใครในพรรคพวกของโจโฉรู้ถึงชื่อตี๋น้อยในเกม แต่คนผู้นี้กลับสามารถสืบทราบมาได้ นับว่าไม่ธรรมดา

“ท่านนับว่าอันตรายเกินไปแล้ว พวกข้าคงจะต้องขอล่วงเกิน” หวังซื่อกล่าวพลางส่งสัญญาณให้เพื่อนทั้งสองคนโจมตี

ควับ.................แก๊ง.................แก๊ง...........................

อาวุธของชายคนนี้เป็นหอกที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนหอกทั่ว ๆ ไป ไม่ได้มีอะไรพิเศษแม้แต่น้อย แต่ทว่า ความพิเศษอยู่ตรงคนที่ใช้มัน ซึ่งสามารถรับมือยอดฝีมือทั้งสามได้อย่างสบาย โดยที่ไม่ได้ลงจากม้า และไม่ได้ควบขับม้าเข้าโจมตีแต่อย่างใด

“ฝีมือดีนี่ แต่แค่นี้ยังเอาชนะข้าไม่ได้หรอก แค่พอจะสูสีกับเหล่าทหารของข้าเท่านั้น”

ชายประหลาดบนหลังม้ายังคงสามารถพูดคุยสนทนาได้อย่างปลอดโปร่ง โดยไม่ได้ถูกกดดันจาการกลุ้มรุมโจมตีของคนทั้งสามแม้แต่น้อย

“ฝีมือของท่านน่าจะอยู่ในระดับขุนพล ไม่น่าจะเป็นแค่คนหาข่าว ข้าพูดถูกไหม”

หวังซื่อหยุดมือเป็นคนแรก ทำให้เพื่อนทั้งสองหยุดมือด้วย เพราะเขาแค่ต้องการหยั่งเชิงคนผู้นี้ แม้ว่าจะลงมือเต็มที่ แต่ก็ไม่ได้ลงมือหวังที่จะเข่นฆ่า

ดังนั้น เมื่อเห็นฝีมือชายผู้นี้แล้ว ไม่เห็นทางที่จะเอาชนะได้ และไม่รู้ว่าจะมีพลซุ่มไว้หรือไม่จึงสอบถามขึ้นมา เพื่อที่จะหาทางล่อหลอก และดึงให้พลซุ่มออกมา

“เห็นแก่สายตาของเจ้า ข้าจะให้ทางเลือก 2 ทางแก่เจ้า หนึ่งคือยอมจำนน สองคือตายยย !!!”

ชายปริศนาคนนี้เหมือนจะรู้ว่าหวังซื่อคิดอะไรอยู่ จึงกล่าวดักคอพลางปรบมือดังก้อง ทำให้เหล่าทหารม้าอีก 12 คนเดินออกมาจากจุดซุ่มเข้ามาล้อมคนทั้งสามไว้กึ่งกลาง

“เรื่องการยอมจำนนไม่อยู่ในหัวของข้า ส่วนเรื่องตายคงต้องเอาไว้คุยกันทีหลังก็แล้วกัน” หวังซื่อกล่าวทีเล่นทีจริง ทำให้ชายคนนั้นหัวเราะอย่างชอบใจ

“นานแล้วที่ข้าไม่เห็นคนหนุ่มที่รอบคอบเช่นเจ้า ส่วนใหญ่มักจะยอมหักไม่ยอมงอ ใช้แต่กำลังโดยปราศจากปัญญา แต่เจ้าต่างจากคนทั่วไป ใช้ปัญญาแม้ในสถานการณ์ที่ฉุกเฉิน แต่ข้าหวังให้เจ้าทบทวนข้อเสนอข้าแรกของข้าด้วย”

“เพราะอะไร”

หวังซื่อถามขึ้น แต่สายตาคอยสอดส่องหาทางหนีออกจากวงล้อมของทหารม้าทั้ง 13 คนนี้

“ข้าอยากให้เจ้ามาเป็นที่ปรึกษาให้ข้า แล้วข้าจะให้รางวัลเจ้าอย่างงาม พร้อมด้วยยศถาบรรดาศักดิ์ และทรัพย์สมบัติอีกนับไม่ถ้วน”

“ท่านต้องการชักชวนข้า แต่ข้ายังไม่รู้นามที่ยิ่งใหญ่ของท่านเลย”

หวังซื่อกล่าวเหมือนจะอ่อนน้อม แม้ว่าเพื่อน ๆ ทั้งสองก็วางใจในหวังซื่อ และพวกเขาก็ไม่ได้กล่าวอะไรแทรกขึ้นมา เพราะเขารู้ว่า ตนเองนั้นเหมือนกับคนที่ชายกลางคนนี้พูดถึง คือไม่ใช้ปัญญาในการเผชิญหน้ากับสถานการณ์ต่าง ๆ

“ข้าคือ จูสือว่าน ผู้นำกองพันจู่โจมเร็ว ทหารประจำตัวของมหาอุปราชโจโฉ” เสียงอุทานของทั้งสามดังขึ้นทันทีที่จูสือว่านประกาศตัว

“มิน่าละ พวกข้ารวมตัวกันยังไม่อาจจะชนะท่านได้ และพวกข้านึกว่าเคลื่อนไหวลึกลับแล้ว ยังไม่อาจที่จะพ้นสายตาของท่านได้”

หวังซื่อส่งเสียงแผ่ว ๆ ออกมาอย่างหมดหวัง แต่ใช้ขาสะกิดเพื่อน ๆ ทั้งสองโดยไม่ให้กลุ่มทหารม้าของจูสือว่านรู้

“ฮ่า ๆ ๆ ข้าจะบอกให้ว่า แม้ป้อมค่ายของพวกท่านจะดูหนาแน่น และยากต่อการบุกรุก แต่การจับงูนั้นไม่ต้องเข้าไปในถ้ำงู แค่รอหน้าปากถ้ำก็พอ”

จูสือว่านหัวเราะชอบใจ แต่ทำให้หวังซื่อ และเพื่อนทั้งสองตึงเครียดจนต้องกระชับอาวุธไว้แน่น เพราะศัตรูซุ่มอยู่หน้าทางเข้าออก แต่พวกเขาไม่อาจที่จะรู้ นี่จึงเป็นอันตรายอย่างแท้จริงต่อกองกำลังที่ไม่ได้รู้จักศัตรู ดังนั้น แม้จะต้องตายก็ต้องหาทางไปส่งข่าวให้ได้

“ซ้าย”

เห็นศัตรูหึกเฮิม หวังซื่อจึงกล่าวเบา ๆ ซึ่งเป็นสัญญาณที่รู้กันว่า ให้บุกไปทางขวา จึงเห็นหม่าชิงกลิ้งตัวใช้ดาบใหญ่ออกไปด้วยดาบเลียดพสุธา คือฟันกวาดเลียดไปตามพื้นดินเพื่อฟันขาม้า

ฮี้ ๆ ๆ

ม้าศึกที่ถูกจู่โจมยกขาขึ้นอย่างกะทันหันด้วยความตกใจ ทำให้คนบนหลังม้าถูกม้าของตัวเองปิดบังสายตา ทำให้มองไม่เห็นหมิงสงที่ทะยานร่างขึ้น แล้วใช้ง้าวใหญ่ของเขาฟันสะพายแล่งขาดกลางทั้งคนทั้งม้า

วูบ....................ฉึก..........................

ท่ามกลางความตกตะลึงของหน่วยกองพันปีศาจที่เหลือ หวังซื่อคุมกระบี่ทะยานร่างขึ้นเหยียบบ่าของหมิงสง และดีดร่างออก ทำให้ทั้งคนทั้งกระบี่พุ่งเข้าเสียบร่างของทหารที่อยู่ข้าง ๆ โดยกระบี่เล่มซ้ายกดทวนคู่ต่อสู้เอาไว้ และกระบี่มือขวาเสียบคอของคู่ต่สู้

ผั๊วะ......................พรึบ...................

หวังซื่อที่ร้ายกาจยังคงไม่หยุดยั้ง ใช้เท้าเตะกวาดคนตายลงจากหลังม้า และตัวเองเข้านั่งแทนทันที

“ไป”

หวังซื่อตะโกนบอกเพื่อน เพราะช่วงเวลาที่เกิดขึ้นนั้นเร็วมาก การลงมือสอดประสานของทั้งสามนั้นไร้ซึ่งจุดอ่อน ดังนั้น พอทหารตั้งตัวได้ หวังซื่อก็นั่งบนหลังม้าและ โดยมีหม่าชิง และหมิงสงคอยคุ้มครองอยู่ด้านล่าง

“หวังซื่อ รีบไปส่งข่าวให้ท่านเจ้าสัว ไม่ต้องห่วงพวกข้า ไม่อย่างนั้น เราทั้งสามต้องไม่รอดแน่ ๆ”

หม่าชิงร้องตะโกนบอกหวังซื่อ พร้อมทั้งใช้ดาบเลียดพสุธาฟันขาม้าที่พยายามจะพุ่งขึ้นมาโจมตีหวังซื่อ ในขณะที่หมิงสงใช้ง้าวฟันซ้ำทหารที่ถูกม้าสลัดตกจากหลังจนขาดกลางตัว

“รุมล้อมเอาไว้ อย่าให้หนีรอด”

เสียงสั่งของของจูสือว่าน ทำให้เหล่าทหารพากันตีวงล้อมโอบ

ป้าบ............................

หมิงสงพลันตัดสินใจเด็ดขาด พลันใช้ง้าวด้านแบนฟาดเข้าที่ก้นของม้าหวังซื่อ ทำให้ม้าตกใจจนวิ่งเตลิดออกไปอย่างรวดเร็วทันที

“เหลือขุนเขา และแมกไม้...ไยวิตก ไร้ฟืนไฟ”

หมิงสงตะโกนลั่นตามหลัง ทำให้หวังซื่อน้ำตาคลอด้วยความรักในน้ำใจเพื่อนร่วมเป็นร่วมตายทั้งสอง กัดฟันควบม้าวิ่งวกวนตามทางในป่าดงดิบ เพราะไม่ให้ทหารที่วิ่งไล่ตามมา 5 คนนั้นไล่ทัน และป้องกันการถูกโจมตีด้วยธนูทางด้านหลังของตนเอง

ส่วนในด้านของหม่าชิง และหมิงสงนั้น ได้ถูกล้อมโดยทหาร 4 คน โดยมีจูสือว่านคอยกำกับอยู่ โดยทหารเหล่านั้นคอยควบขับม้าหลบหลีกดาบเลียดพสุธา และง้าวผ่าฟ้า ของทั้งสอง แต่คอยใช้หอกแหย่ และทิ่มแทงให้ทั้งสองไม่อาจที่จะหลบหนีจากวงล้อม และไม่ให้สามารถทำอันตรายใครได้

“ยังไม่ทิ้งอาวุธยอมแพ้อีก”

จูสือว่านควบม้ามาเผชิญกับคนทั้งสองด้วยความเดือดดาล เพราะด้วยระดับฝีมือของเขา ยังถูกคนทั้งสามที่อยู่ด้านหน้าหลอกลวงให้คิดว่ามีฝีมือไม่เท่าไร ทำให้ทหารที่สุดยอดของเขาถูกวางราบถึง 3 คน

ส่วนคนทั้งสองนั้น ได้คอยดูเชิงอยู่กลางวงล้อม เพราะรู้ตัวว่าหนีไม่รอดแน่ ๆ เพียงแต่รอโอกาสที่จะดึงเหล่าทหารให้ตายตามตัวเองไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ยิ่งถ้าเป็นขุนพลเฒ่าคนนี้ยิ่งดี

“อาวุธอยู่ในมือของพวกข้า มีความสามารถก็มาเอาไปเถิด อย่ามัวยืนม้าอยู่เฉยเลย” หมิงสงกล่าวอย่างท้าทาย ทำให้จูสือว่านกระชับทวนขึ้น และก้าวลงจากหลังม้า

“รับมือกับพวกเจ้าไม่ต้องใช้ม้า ข้าก็สามารถจะจับพวกเจ้าได้”

คำพูดของขุนพลปีศาจจูสือว่าน ทำให้ทั้งสองคนหัวเราะออกมา แต่ในใจเริ่มก่นด่าเจ้าปีศาจที่ไม่ยอมตายคนนี้แล้ว เพราะถ้าใช้ม้า พวกเขาจะได้เปรียบ เนื่องจากแม้ว่าจะเก่งแค่ไหน ม้ามันก็ไม่สามารถป้องกันตัวเองได้ แต่ถ้าลงจากหลังม้า ดาบเลียดพสุธา และง้าวผ่าฟ้าของเขาก็ยากที่จะได้เปรียบยอดฝีมือในยอดฝีมือผู้นี้ได้

“เข้ามา”

ขุนพลปีศาจที่มีความสูง และรูปร่างเหมือนคนทั่ว ๆ ไป ในสมัยนั้น แต่พอตั้งท่าต่อสู้ พลังความเกรี้ยวกราดของเขาก็พุ่งทะลักออกมาคุกคามสองสหายทันที ทำให้ทั้งสองต้องสะบัดอาวุธออกควงขับไล่พลังคุกคามนั้น เพื่อไม่ให้จิตใจหวาดหวั่นต่อขุนพลปีศาจผู้นี้



Create Date : 18 ตุลาคม 2554
Last Update : 18 ตุลาคม 2554 20:55:01 น. 0 comments
Counter : 438 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Muen Li
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add Muen Li's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.