วรรณกรรมของหมื่นลี้
Group Blog
 
All Blogs
 
บทที่ 18 แผนย่อยในแผนใหญ่

ในค่ายทหารแห่งหนึ่ง หน้าดินถูกปรับจนราบเรียบ ค่ายคูประตูเมืองที่ทำจากไม้นั้นก็ดูแข็งแรงทนทานจนเหมือนกับค่ายกองทัพทั่ว ๆ ไป แต่แตกต่างจากค่ายทหารอย่างเดียวคือ ที่นี่ตั้งอยู่ในที่ราบลุ่มในป่าดงดิบ

ในคัมภีร์พิชัยสงครามซุนวู ได้กล่าวถึงความพลิกแพลงทั้ง 9 ซึ่งนำไปสู่ชัยชนะไว้ดังนี้คือ

1. ต้องได้รับโองการจากผู้ปกครองก่อน จึงรวบรวมไพร่พล

2. ต้องไม่ตั้งค่ายในที่ราบลุ่มอย่างเด็ดขาด

3. ต้องเปิดช่องการติดต่อสื่อสารเชื่อมโยงกับพันธมิตร

4. ต้องไม่รีรอในพื้นที่ถูกตัดขาดที่เปี่ยมด้วยอันตราย

5. เมื่อติดอยู่ในวงล้อม ต้องใช้กลยุทธ์ทุกอย่างเพื่อทะลวงออกมาให้ได้

6. ในพื้นที่ตาย ต้องรบอย่างไม่กลัวตาย

7. มีเส้นทางแห่งที่เดินทัพไม่ได้ มีข้าศึกบางกลุ่มที่ต่อกรด้วยไม่ได้

8. มีเมืองบางเมืองที่โจมตีไม่ได้ มีพื้นที่บางแห่งที่ช่วงชิงมาไม่ได้

9. มีคำสั่งบางอย่างของผู้ปกครอง ที่เชื่อฟังไม่ได้

นี่คือสิ่งที่เรียกว่า หัวใจของการพลิกแพลงของแม่ทัพ แต่ดูเหมือนว่าแม่ทัพผู้นี้จะไม่ได้ทำตามพิชัยสงครามแม้แต่น้อย อาจจะเนื่องจากว่า เชื่อมั่น และมีการสร้างสรรค์วิธีการใหม่ ๆ ของตัวเองเพื่อหลอกล่อคู่ต่อสู้ เหมือนดังที่ทิ้งคนที่เคยมีเรื่องกับศัตรูไว้กลางป่าถึง 16 คน เพื่อหลอกล่อให้ศัตรูไปติดกับ นี่คือสิ่งที่เรียกว่า ใช้เล่ห์โดยไม่หยั่งรู้ศัตรู ซึ่งในที่สุดก็จะเป็นภัยต่อตัวเอง

ในค่ายแห่งนี้ ภายในแบบออกเป็น 5 ส่วน คือกองหน้า กองหลัง ปีกซ้าย ปีกขวา และกองบัญชาการ

“ท่านครับ สัญญาณส่งมาจากจุดที่วางกับดักไว้ครับ” เสียงรายงานดังจากในกองบัญชาการที่มีอี่เทียนเป็นแม่ทัพในครั้งนี้

“ดีมาก รีบเรียกหยางฟงมาหาข้าที” อี่เทียนที่กำลังดูแผนที่ได้เงยหน้าขึ้นมามองทหารที่มารายงาน พลางสั่งการ

“หยางฟง ขอรายงานตัวกับท่านแม่ทัพ”

ชายร่างสูงใหญ่ ที่กล่าวรายงานตัวต่ออี่เทียนนั้น ดูจากลักษณะเป็นคนที่คล่องแคล่วว่องไว และน่าจะมีฝีมือในการต่อสู้เป็นอย่างดี โดยสังเกตจากง้าวใหญ่ในมือ ซึ่งเป็นอาวุธที่ใช้งานได้ยาก แต่คนที่ใช้ส่วนใหญ่มักจะเป็นยอดฝีมือทั้งสิ้น เพราะคนที่ไม่ใช่ยอดฝีมือมักจะตายก่อนที่จะได้ออกศึก

“นำกองกำลังล่วงหน้าไปก่อน 100 คนไปยังจุดที่วางเหยื่อล่อไว้โดยเร่งด่วน ข้าสังหรณ์ใจไม่ดีเพราะยังไม่มีรายงานการจับตัวของเป้าหมายส่งมา แล้วข้าจะจัดทัพรวมทั้ง 4 ทัพเพื่อเคลื่อนพลปิดล้อมจุดนั้น” อี่เทียนสั่งการณ์ตามแผนทันที

“แค่กำลัง 30 คนที่วางไว้ น่าจะจัดการกับมันได้นะครับท่าน” หยางฟงกล่าวอย่างคาดคะเน

“ข้าไม่ไว้ใจ เพราะท่านโจโฉกำชับมาว่า คนผู้นี้ฉลาดมาก ต้องระวังไว้”

“จะฉลาดแค่ไหนมันก็แค่เด็กตัวคนเดียวที่มาเล่นเกมนี้ใหม่ ๆ ไม่น่าจะมีพิษสงมากนักหรอก” หยางฟงทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ

“ป้องกันไว้ดีกว่ามาแก้ไขทีหลัง เจ้าไปได้แล้ว”

อี่เทียนต้องเตือนให้ระวัง เพราะพวกเขายกทัพมาเกือบพันคน ยังไม่พบร่องรอยของบุคคลผู้นี้ ยืนยันให้เห็นถึงความสามารถในการเอาตัวรอดของตี๋น้อยได้เป็นอย่างดี

“ครับท่าน” ร่างสูงใหญ่ของหยางฟงทำความเคารพ จากนั้นจึงออกไปปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งทันที


ภายหลังที่ได้รับการช่วยเหลือจากตี๋น้อย และผู้กล้าทั้ง 10 คน เหล่า 16 นงคราญก็ได้รับการรักษา และได้รับอาหารทำให้ได้รับการฟื้นฟูกำลังและเรี่ยวแรงกลับคืนมา กลายเป็นกระทิงถึกเหมือนเดิม

“อืม......แข็งแรงดังเดิมแล้วสินะ เอาละ พวกเจ้ากลับไปหาพรรคพวกของเจ้าได้ เพราะทั้งท่านเจ้าสัว และพวกเราก็ไม่อยากที่จะปล่อยให้คนตายไปโดยขาดอาหารหรอกนะ” เอี้ยฮุ้นที่มีรูปร่างสูงใหญ่พอ ๆ กับเหล่า 16 นงคราญ เพียงแต่ตัวเบากว่า กล่าวขึ้น

“ท่านเจ้าสัวนี่คือ ตี๋น้อย ที่กองทัพพวกเราตามล่าอยู่ใช่ไหม” เจินเจินถามอย่างสงสัย

“ก็คือคนที่พวกเจ้าเห็นนั่นแหละ” เอี้ยฮุ้นกล่าวพลางนำเสบียงอาหารมาให้เพิ่ม และกล่าวอีกว่า

“คงต้องแยกกันแล้วละ เพราะพวกข้าต้องไปปฏิบัติหน้าที่ก่อน พวกเจ้าเดินไปตามทางนี้ไม่นานก็จะถึงค่ายพักของกลุ่มทหารของท่าน” เอี้ยฮุ้นชี้บอกทาง แต่ทว่า ก่อนที่จะเดินจากไป เจินเจินได้กล่าวขึ้นก่อน

“เดี๋ยวก่อน ท่านนายพัน ข้าจำท่านได้ ไม่รู้ว่าทำไมท่านจึงต้องไปอยู่กับคนที่เป็นศัตรูกับท่านโจโฉ และถูกตามล่าจนไม่รู้ว่าจะรอดพ้นหรือเปล่า”

“ลิขิตฟ้าอยู่ที่คน วิถีแห่งตนอยู่ที่การตัดสินใจ ข้าตัดสินใจที่จะติดตามท่านเจ้าสัวเพราะปัญญา ความมีน้ำใจ และอุดมการณ์ของท่าน ซึ่งพวกเจ้าก็น่าจะเห็นแล้ว เช่นเดียวกับที่พวกข้าก็เห็นเจ้านายของเจ้าเหมือนกันว่าเป็นอย่างไร ดังที่พวกเจ้าก็น่าจะรู้ดี” เอี้ยฮุ้นกล่าวอย่างยิ้ม ๆ

“แต่.....เจ้านายใครใครก็รัก ข้ามิบังอาจที่จะวิจารณ์เจ้านายของเจ้าหรอกนะ ถ้าอย่างนั้น พวกข้าจะขอตัวก่อนก็แล้วกัน” เอี้ยฮุ้นกำลังจะไป แต่เจินเจินก็เรียกไว้อีกครั้งหนึ่ง

“ขออภัยที่ข้าจะขอร้องท่านสักอย่างได้ไหม รับรองว่าจะไม่ทำให้งานของพวกท่านเสียหายหรอก”

“อืม...งั้นก็ว่ามา ถ้าช่วยได้พวกข้าก็จะช่วย”

เอี้ยฮุ้นมองหน้าเจินเจินก่อนที่จะกล่าวขึ้น แปลกที่ว่า ในครั้งนี้ บรรดา 16 นงคราญคล้ายกับจะสงบเสงี่ยมเรียบร้อยขึ้น ไม่เอะอะมะเทิงเหมือนเดิม ราวกับว่า การเฉียดตายครั้งนี้ทำให้พวกเขาเปลี่ยนแปลงนิสัยใจคอไป

“พวกข้าขอเข้าร่วมกลุ่มของท่านได้ไหม” เจินเจินพูดขึ้น พร้อม ๆ กับคนที่เหลืออีก 15 คนพยักหน้ายืนยัน

“พวกข้ายังไม่อยากตายโดยที่ยังไม่ทันได้ต่อสู้อะไรเลย ถึงจะตายก็ขอให้ได้ต่อสู้อย่างเต็มที่สักครั้ง สำหรับเจ้านายที่โยนลูกน้องไปตายโดยไม่มีเหตุสมควรแบบนี้พวกข้าไม่ต้องการที่จะกลับไป แต่ข้าอยากได้เจ้านายแบบท่านเจ้าสัวมากกว่า” เจินจิงกล่าวยืนยัน

“อืม.....ท่าจะยากแฮะ ในระหว่างสงคราม สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือไส้ศึก ข้าคงช่วยไม่ได้” เอี้ยฮุ้นกล่าวอย่างอับจนปัญญา

“ถ้าอย่างนั้น พอจะมีทางทำให้พวกท่านเชื่อเราได้ไหม ว่าเราต้องการที่จะเขาร่วมกับกองกำลังท่านเจ้าสัวจริง ๆ” เจินเจินกล่าวอย่างขอร้อง

“มี แต่พวกท่านทำได้ไหม” เจี่ยอวี้ ซึ่งเป็นเสนาธิการประจำกลุ่มของอดีตผู้กล้าหาญแห่งเขาไท่ซาน กล่าวอย่างตัดบท ทำให้กลุ่ม 16 นงคราญกล่าวอย่างมีความหวังว่า

“ไม่ว่ายากเย็นแค่ไหน หรือต้องเสี่ยงชีวิตแค่ไหน พวกเราก็พร้อมที่จะทำ ดีกว่ามาตายอย่างมงายเพราะไอ้บ้าอำนาจอย่างอี่เทียน”

“ดี งั้นพวกท่านไปชะลอทัพของกลุ่มมังกร กลุ่มสิงโต กลุ่มจิ้งจอก กลุ่มพยัคฆ์ และกลุ่มกระเรียนอย่าให้มารวมกลุ่มกับทัพจอมฟ้าได้ หลังจากพวกข้าจัดการกับทัพจอมฟ้าเสร็จแล้ว จึงมาพบกับพวกเราที่นี่ แล้วข้าจะรับรองพวกท่านกับท่านเจ้าสัวเอง”

เจี่ยอวี้กล่าวอย่างหนักแน่น พลางชักชวนพรรคพวกทั้ง 10 จากไป ทิ้งให้บรรดา 16 นงคราญหันหน้าไปมองดูกันและกันราวกับจะสอบถามกันว่าจะเอาอย่างไรกันต่อไป


หยางฟงนำกองกำลังทั้ง 100 คนพุ่งมาอย่างรวดเร็วเพื่อจะดูให้เห็นกับตาว่า หน่วยซุ่มที่จัดไว้ทั้ง 30 คนนั้น ทำงานสำเร็จหรือไม่

“ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่ชัยภูมิ.....ตาย” คนที่เอ่ยปากขึ้นนั้นนั่งอยู่บนก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่ง ซึ่งด้านหลังเป็นพุ่มไม้ โดยไม่หวั่นเกรงกับกองกำลังทั้งร้อยคนที่ตีโอบเข้ามาหาเขาเพียงคนเดียว

“คงผิดหวังสินะที่ยังเห็นข้ายังอยู่ ไม่ได้ตายอย่างที่พวกเจ้าคิด” บุรุษผู้นั้นยังคงส่งเสียงบอกกล่าวกับร่างสูงใหญ่ของหยางฟงที่ถือง้าวใหญ่ด้วยท่าทางสง่างามราวกับกวนอู

“เป็นอย่างที่ท่านโจโฉบอกจริง ๆ เจ้านี่ไม่ใช่กระจอก ๆ อย่างที่คิด”

“คงไม่ใช่มั๊ง ข้าก็แค่หวาดกลัวจนไม่รู้จะไปไหนเท่านั้นเอง”

ร่างที่นั่งเฉยอยู่บนก้อนหินเอ่ยปากหัวเราะจนกองร้อยที่มุ่งมาเพื่อจะตามสังหารคนตรงหน้าเริ่มมองหน้าเขาราวกับเห็นตัวประหลาดพลันปรากฏตรงหน้า

“ประหลาด ประหลาดจริง ๆ” หยางฟงกล่าวเบา ๆ แต่ตี๋น้อยที่นั่งอยู่บนก้อนหินได้ยินก็ถามขึ้น

“มีอันใดประหลาดหรือ”

“ทหาร 30 คนไปที่ไหนแล้ว” หยางฟงถามขึ้น

“ตายหมดแล้ว” ตี๋น้อยยักไหล่ตอบแบบไม่ในใจ

“เป็นอะไรตาย”

“ถูกฆ่า”

“ใครฆ่า” หยางฟงขมวดคิ้วถามขึ้น

“ข้าเอง” เสียงดุดัน และเข้มแข็งดังขึ้นด้านหลังกองทหารของหยางฟง

“ระวังการโจมตี” หยางฟงร้องขึ้น พร้อม ๆ กับเสียงการโจมตีที่ดังขึ้น

เฟี้ยว...................เฟี้ยว......................

แผงธนูจำนวนมากเด้งขึ้นมารอบทิศ ทำให้ธนูจำนวนมากมายมหาศาลพุ่งเข้าใส่กองร้อยทหารที่หยางฟงนำมา ส่งผลให้เหล่าทหารบาดเจ็บล้มตายลงเป็นจำนวนมากเพราะไม่รู้ว่าจะป้องกันอย่างไร เพราะธนูมาทุกทิศทาง

“บุกเข้าไปฆ่าตี๋น้อยข้างหน้า เร็ว”

หยางฟงที่กวัดแกว่งง้าวอย่างคล่องแคล่วว่องไว ทำให้ไม่มีธนูสามารถผ่านอาวุธง้าวของเขาไปได้ ทำให้เขาและกลุ่มทหารประมาณ 30-40 คน บุกตะลุยเข้าไปหาตี๋น้อยอย่างรวดเร็ว

แวบ........................

พุ่มไม้ด้านหลังตี๋น้อยล้มครืนลง และปรากฏกระจกทองเหลืองใบใหญ่สะท้อนแสงอาทิตย์ส่องเข้าหน้าของเหล่าทหารที่บุกตะลุยเข้ามาทันที

เฟี้ยว..................เฟี้ยว...................

ธนูถูกยิงออกมาจากรอบข้าง แต่คราวนี้ไม่ใช่จากแผงกับดัก แต่ยิงออกมาจากยอดฝีมือทั้งสิบ ส่งผลให้เหล่าทหารที่ถูกแสงส่องเข้าตาต้องล้มตายราวกับใบไม้ร่วง เพราะใช้มือบังตาจนไม่ได้ปกป้องตัวเองจากฝนธนู

วูบ.....................วูบ....................

แต่หยางฟงยังคงฉับไวเสมอ เมื่อเห็นแดดส่องเข้าตาเขาก็รู้แล้วว่าต้องกล ทำให้เขาพลิกตัวกลิ้งหลบไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว

ฝุบ...........................

เสียงเหมือนเป่าลมดังขึ้น แต่หยางฟงยังหน้ามืดไปพักใหญ่ จึงได้ยินแต่เสียงโดยไม่รู้ว่าเป็นอะไร แต่เขายังคงกวัดแกว่งง้าวใหญ่ไปมาเพื่อป้องกันตัว จนกระทั่งมองเห็นอีกครั้งหนึ่ง

“เก่งนี่ นายชื่ออะไรหรือ”

เสียงตี๋น้อยดังขึ้น ทำให้ร่างสูงใหญ่ค่อย ๆ หันไปมองหน้าตี๋น้อยที่ได้เก็บกระจกทองเหลืองแล้ว ทำให้ไม่มีแสงอาทิตย์สะท้อนมาอีก แต่รอบตัวของเขาบัดนี้คือ 10 ยอดฝีมือถืออาวุธรอบล้อมตัวเขา

“หยางฟง”

“ข้าชอบใจฝีมือนาย มาทำงานให้ข้าดีไหม” ตี๋น้อยกล่าวด้วยความจริงใจ

“ทำไมต้องการข้า”

“เพราะข้าเห็นความเป็นทหารอาชีพในตัวนาย”

“ทหารไม่ทรยศต่อเจ้านาย”

“แต่ถ้าเจ้านายของเจ้าตายละ”

“นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง”

“งั้นตกลง ข้าจะเก็บเจ้าไว้จนถึงวันที่เจ้านายของเจ้าตายไป แล้วจึงจะมาขอคำตอบจากเจ้าใหม่”

“ใครจะมาจับข้าได้”

“ทุกคนสามารถจับตัวเจ้าได้หมด เพราะสภาพของเจ้าตอนนี้ไม่อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์แบบแล้ว”

สิ้นเสียงของเจ้าสัว หยางฟงก็ค่อย ๆ ทรุดร่างลงกับพื้น และสลบไปในที่สุด มองเห็นลูกดอกปักอยู่ที่คอ และกระบอกเป่าลูกดอกอยู่ในมือของเจ้าสัว

“เก็บกวาดทุกอย่างให้เรียบร้อย”

ตี๋น้อยสั่ง ทำให้สิบผู้กล้าทำการเก็บกวาดของทุกอย่างที่ตกเกลื่อนกราดอยู่ที่พื้นเข้าในกระเป๋ามิติทันที ดังหลักการของการรบที่ว่า ใช้สิ่งของศัตรู เพื่อให้รางวัลกับทหาร และตัดกำลังศัตรู

“หวังซื่อ หม่าชิง หมิงสง” สิ้นเสียงของตี๋น้อย ร่างที่ว่องไวทั้งสามก็ปรากฏกายที่ด้านหน้าของตี๋น้อย

“ครับท่าน”

“ส่งข่าวไปทัพหลักของเราให้มาหาข้าที่นี่” ตี๋น้อยสั่งการพร้อมกับบอกเพิ่มเติมว่า

“อย่าลืมบอกท่านเอี้ยวจิ้งเจิงด้วยว่า ในสมรภูมิป่าดงดิบ อาวุธที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือ ธนู และหน้าไม้”

“ครับท่าน พวกข้าจะรีบไปรีบกลับ” หวังซื่อกล่าวขึ้นโดยไม่ได้ไถ่ถามถึงแผนการที่เปลี่ยนไป เพราะเชื่อมั่นในตัวชายหนุ่มผู้นี้อย่างเต็มเปี่ยม และพริบตานั้น ร่างของทั้งสามก็หายลับไปจากสายตาของทุกคน



Create Date : 15 ตุลาคม 2554
Last Update : 15 ตุลาคม 2554 21:21:37 น. 2 comments
Counter : 294 Pageviews.

 
สวัสดีอีกครั้งค่ะ

คุณอัพนิยายได้เร็วมากค่ะ วันนี้ตั้ง 3 บท คิดว่าคุณยังไม่ได้อัพเลยไม่ได้เข้า Blog

พอเข้ามาก็เห็นนิยายของคุณ อัพเพิ่ม เลยมาอ่านต่อค่ะ และก็ตามธรรมเนียม (ของเราเอง) อ่านจบทุกตอนแล้วค่อยมาวิจารณ์ทีเดียว

ขอบคุณที่ชอบคำวิจารณ์ของเรานะคะ คุณเป็นนักเขียนที่ดีค่ะ จำได้ว่าเคยอ่านคำนำของคุณทอฟฟี่ เจ้าของนามปากกา "ชญานณ์พิมพ์" (ไม่แน่ใจว่าพิมพ์ถูกไหมนะคะ นามปากกาเขียนยากมาก) ซึ่งคุณทอฟฟี่เอามาจากคุณวรรณ์วรรธอีกต่อหนึ่ง บอกว่า

"นักเขียนที่ดีไม่ควรมีอีโก้ เพราะถ้ามีอีโก้ก็เหมือนกับถืออีโต้ไว้บั่นคอตัวเอง"

ดังนั้นจึงไม่ควรถืออีโต้ไว้ในมือนะคะ

เอาล่ะมาถึงช่วงการติชมค่ะ

ตอนแรกที่อ่าน (อีกแล้ว) คิดว่าแนวของเรื่องคือ "สามก๊ก" และ "เกมส์ออนไลน์" แต่ดูเหมือนเราจะคิดผิดนะ

คุณได้สอดแทรกแนวคิดการทำธุรกิจเข้ามาในเรื่องได้อย่างแยบยล แบ่งภาคอย่างชัดเจนระหว่างตี๋น้อยกับเพื่อน ๆ (ที่ตอนแรกเราคิดว่าจะไม่มีบทบาทซะแล้ว)

บทที่ 16 ที่ชื่อตอนว่า "แผนการของอัจฉริยะ" ตี๋น้อยสมกับเป็นอัจฉริยะจริง ๆ ค่ะ (แต่ในความเป็นจริงคงหายากนะคะ ที่จะมีอัจฉริยะอย่างนี้) การทำธุรกิจที่สำคัญที่สุดคือการบริหาร "คน" ค่ะ ถ้าเรามีบุคลากรที่ทำงานให้เราจริง ๆ ธุรกิจของเรา องค์กรของเราก็จะก้าวหน้าต่อไปเรื่อย ๆ ค่ะ

เราคาดว่าอ่านเรื่องนี้จบคงสามารถเปิดธุรกิจได้สักอย่างหนึ่งแน่ เพราะนอกจากจะมีเรืองราวของสามก๊กแล้ว ยังมีทั้งกลยุทธ์การตลาด การบริหารจัดการธุรกิจอยู่ครบถ้วนอยู่ในเรื่องเดียว

และที่สำคัญที่สุดเห็นจะเป็นแนวคิดและปรัชญาต่าง ๆ ที่สอดแทรกอยู่ในเรื่อง

อ้อ บทที่ 16 มีคำผิดนะคะ
"หลงละเลิง" ไม่มีความหมายค่ะ
ต้องใช้คำว่า "หลงระเริง" ค่ะ
ใช้ในความเหมาย "หลงในความสนุกสนาน" นะคะ
สามารถค้นหาได้จาก : //www.palungjit.com/dict/search.php?search_sid=&kword=%CB%C5%A7

ส่วนบทอื่น ๆ อ่านแล้วยังไม่เจอนะคะ แต่บทนี้คำมันสะดุดตาน่ะค่ะ เลยหาเจอ

ขออนุญาตแต่งตั้งตัวเองเป็น คนตรวจบรู๊ฟ ให้ก็แล้วกันนะคะ คงไม่ว่าใช่ไหม ถ้าเราอ่านเจอเราจะบอกค่ะ ถ้าอ่านไม่เจอ ก็คือไม่มีนะคะ



โดย: Fah_T-LEX วันที่: 16 ตุลาคม 2554 เวลา:17:17:47 น.  

 
ขอบคุณครับที่ตรวจคำผิดให้ มีหาความหมายให้ด้วย ชอบครับ เพราะหลายคำที่ผมไม่แน่ใจก็จะตรวจหาความหมายและการเีขียนที่ถูกต้องตลอด แต่มันจะมีปัญหาตรงคำที่เราคิดว่า "ถูกต้อง" นี่แหละครับ ที่จะเป็นปัญหาของนักเขียน



โดย: หมื่นลี้ (suvarnachati ) วันที่: 16 ตุลาคม 2554 เวลา:23:56:40 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Muen Li
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add Muen Li's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.