วรรณกรรมของหมื่นลี้
Group Blog
 
All Blogs
 
บทที่ 32 บทเรียนจากห้องสุนัข

“ใน สงคราม นโยบายที่ดีที่สุดคือ การยึดประเทศของศัตรูโดยไม่ทำความเสียหาย การทำลายบ้านเมืองของศัตรูให้ย่อยยับนั้นไม่ใช่สิ่งที่ดี การล้อมจับกองทัพศัตรูดีกว่าการทำลายล้างกองทัพนั้น การมีทหารข้าศึกมาสวามิภักดิ์ห้าคน ย่อมดีกว่าการทำลายล้างทหารได้ทั้งกองทัพ” ซุนวู


งื๊ด..................งื๊ด.........................

สุนัข ประมาณร้อยกว่าตัวพากันแห่กันมาประจบจ้าวเซวียนหยวน และทำให้ผู้เป็นเจ้าเมืองต้องตบหัวสุนัขบางตัวที่อยู่ข้างหน้า และพูดจาแบบอ่อนโยนกับพวกมันทั้งหมด ทำให้พวกมันกระดิกหางอย่างดีใจ

แฮ่................โฮ้ง....................

แต่พอสองหนุ่มเดินเข้ามาบ้าง กลับได้รับการต้อนรับจากเสียงเห่า และเสียงคำราม และบางตัวแทบจะกระโจนเข้ากัด ทำให้ทั้งสองต้องปล่อยรังสีอำมหิตออกมา จึงทำให้เหล่าสุนัขทั้งหลายพากันถอยหลังไป

“น่ารักไหม” จ้าวเซวียนหยวนเห็นท่าทีของสุนัข กับคนทั้งสองที่รักกันแทบจะกลืนกิน จึงถามขึ้น

“น่ากินมากกว่าครับ” วังกงลู่พูดขึ้น เล่นเอากวัวจินเทียนคู่หูเดินถอยห่าง พลางกล่าวว่า

“ร้อยกว่าตัวเนี่ยนะ น่ากิน ไม่รู้ใครจะกินใครกันแน่”

“นั่นนะสิ ว่าแต่ท่านเจ้าเมืองต้องการให้พวกเรามาทำอะไรที่ห้องนี้ครับ” วังกงลู่จึงเอ่ยขึ้นอย่างเป็นงานเป็นการ

“ข้าอยากจะให้พวกท่านตีสนิทกับพวกสุนัขทั้งร้อยกว่าตัวนี้” จ้าวเซวียนหยวนเอ่ยขึ้นราวกับเป็นเรื่องปกติ

“หา.....ตีสนิทกับสุนัข” ทั้งสองขุนพลพูดขึ้นพร้อมกันราวกับนัดแนะกันไว้

“ใช่ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”

“เออ...ไม่น่าจะมีนะ แต่ก็ไม่แน่ว่าจะไม่มีเหมือนกัน”

กวัวจินเทียนชักสับสนในชีวิต เพราะอย่าว่าแต่สุนัขเลย แม้แต่แมวสักตัวเขาก็ไม่เคยเลี้ยง แล้วจะหาวิธีไหนไปทำความคุ้นเคยกับพวกสี่ขากลุ่มนี้

“งั้นก็ฝากด้วยนะ ถ้าต้องการอะไรก็กระตุกเชือกที่ข้างฝานั่น ก็จะมีคนเข้ามาบริการเอง ส่วนที่มุมห้องมีที่นอนอยู่สองที่ พร้อมอาหาร แล้วพรุ่งนี้เช้าเจอกัน แล้วข้าจะมาถามว่า แต่ละตัวเป็นอย่างไร มีนิสัยอย่างไรบ้าง และชื่ออะไรกันบ้าง”

จ้าวเซวียนหยวนเอ่ยขึ้น เพราะได้เวลาที่เขาจะต้องออฟไลน์แล้ว จึงปล่อยให้สองสหายพยายามหาวิธีกันเอง โดยไม่ทิ้งไว้ให้แม้แต่คำบอกใบ้ เหมือนคนที่เข้ามาในห้องชุดก่อนหน้านั้น

“เอาไงดี จะตีสนิทพวกมันอย่างไงดี” กวัวจินเทียนพึมพำอย่างไม่รู้ว่าจะจัดการกับปัญหาตรงหน้าอย่างไร

“ไปพักผ่อนกันก่อนดีกว่า กินข้าว นอน แล้วพรุ่งนี้ค่อยคิดกัน” วังกงลู่พูดขึ้น พลางเดินแหวกวงล้อมของเหล่าสุนัขทั้งตัวโตตัวเล็กไปยังมุมห้อง

“เฮ้ย....ลงไปจากเตียงข้าได้แล้ว โน่น ของพวกเอ็งบนพื้นโน่น”

กวัว จินเทียนคำรามอย่างอารมณ์เสีย เมื่อเห็นเหล่าสุนัขประมาณสิบกว่าตัวนอนเหยียดยาวบนที่นอนของเขา ดีแต่ว่า อาหารนั้นอยู่บนโต๊ะสูง ทำให้พวกมันแย่งกินไม่ได้

คร่อก..............................

วังกงลู่นั่งอยู่บนเตียงตัวเอง พลางส่ายหน้ากับการหลับอย่างง่ายดายของคู่หูตนเอง ส่วนรอบ ๆ เตียงนั้นมีสุนัขนอนเต็มไปหมด

“ตีสนิทกับสุนัข มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน”

ชายชาตินักรบผู้เกิดในตระกูลขุนพล และไต่เต้าขึ้นจากพลทหาร จนสามารถเป็นมือขวาของขุนพลปีศาจแห่งกองพันปีศาจ ได้พึมพำกับตนเองอย่างครุ่นคิด

“แต่.... ท่านจ้าวเซวียนหยวนไม่เคยสั่งอะไรเหลวไหล เรื่องอย่างนี้มันต้องมีบทเรียนอะไรสักอย่างซ่อนอยู่เบื้องหลัง และเราต้องจัดการให้ได้ตามที่ท่านต้องการ บทเรียนนั้นจึงจะตามมา” วังกงลู่สรุปเรื่อง พลางล้มตัวนอน ในเวลาที่คิดไม่ออก สิ่งที่ควรทำมากที่สุดคือ นอนหลับ........

“มา มานี่เร็ว เจ้าตูบ เจ้าด่าง เจ้าขาว เจ้าลาย เจ้าดอก” กวัวจินเทียนตื่นเช้าขึ้นมาด้วยพลังที่จะทดลองสิ่งใหม่ ๆ แต่ผลปรากฏว่า.....หมาเมิน

“น่าจะเป็นการให้อาหาร จะได้สนิทกันได้ง่าย ๆ” วังกงลู่พูดพลางยื่นเนื้อชามใหญ่ให้กับกวัวจินเทียน ส่วนตัวเองเอาไว้ชามหนึ่ง

ตุบ.....................

วังกงลู่โยนเนื้อออกไปให้สุนัข ซึ่งก็ได้ผล พวกมันแห่กันมากิน

แฮ่.................แง่ง.......................

แต่ผลปรากฏว่า พวกมันกัดกันเองซะงั้น ทำให้กวัวจินเทียนที่จะโยนออกไปต้องชะงัก

“โน่นไงพี่กงลู่ ใช่ชามอาหารของพวกมันหรือเปล่า” กวัวจินเทียนพูดพลางชี้ให้ดูอีกด้านหนึ่งของห้อง ซึ่งมีชามอาหารวางไว้ พร้อมกับเขียนชื่อกำกับด้วย

“มานี่ เจ้าเสือน้อย”

กวัว จินเทียนหยิบอาหารไปวางบนชามตัวที่ชื่อเสือน้อย สักพัก สุนัขลายเสือก็เดินอาด ๆ เข้ามายืน ทำให้กวัวจินเทียนต้องเดินหลบออกไป เพื่อให้มันสบายใจที่จะต้องกินอาหาร แต่ทว่า มันกลับมองหน้ากวัวจินเทียนอย่างไม่ไว้ใจนัก

“พี่กงลู่ ทำไมมันไม่มากินละ ดูเหมือนมันหวาดระแวงพวกเราอยู่นะ”

“อืม......น่าจะเป็นเพราะพวกเราปล่อยรังสีอำมหิตหรือเปล่า แต่ถ้าไม่ปล่อย พวกมันก็จะรุมขย้ำพวกเรานะสิ” วังกงลู่วิเคราะห์

“แล้วนอกจากรังสีอำมหิตนี่ มันยังมีรังสีอะไรอีกไหมที่จะช่วยไม่ให้พวกนี้ขย้ำ และยังทำให้พวกมันไม่หวาดระแวงพวกเรา” กวัวจินเทียนถามขึ้นทีเล่นทีจริง

“ก็มีเพียงรังสีอีกอย่างหนึ่ง ที่ข้าเรียกมันว่า รังสีมิตรภาพ” เสียงทุ้ม ๆ นุ่ม ๆ ดังขึ้นที่หน้าประตู

“ท่านเจ้าเมืองตื่นเช้านะครับ” วังกงลู่เอ่ยขึ้น

“รังสีมิตรภาพนี่ มันเป็นรังสีอะไรหรอครับ” กวัวจินเทียนที่ยังสงสัยอยู่ จึงเอ่ยถามขึ้น

“เป็น รังสีที่ข้ากำลังใช้อยู่นี่ไง และพวกสุนัขนี้ก็จะมีรังสีชนิดนี้อยู่ในตัวด้วย ซึ่งจะช่วยให้พวกมันสามารถสื่อสารกับมนุษย์ได้ และทำให้มนุษย์ที่มีจิตอ่อนไหวหลงรักพวกมัน”

“แล้วทำอย่างไงถึงจะมีรังสีที่ว่านี้ละครับ” ขุนพลขวาวังกงลู่เอ่ยถามขึ้นบ้าง

“ท่านสัมผัสอะไรในตัวข้า” จ้าวเซวียนหยวนย้อนถามสองสหาย

“ความอบอุ่น น่าเคารพ และพึ่งพาได้” วังกงลู่ตอบ

“แล้วท่านสัมผัสอะไรในตัวสุนัขได้” ผู้เป็นเจ้าของทฤษฏีรังสีแห่งมิตรภาพถามอีกครั้ง

“ความน่ารัก หา....ข้าสัมผัสถึงความน่ารักของพวกมันหรือนี่” วังกงลู่ร้องขึ้นอย่างไม่เชื่อในสัมผัสของตน

“ท่านสัมผัสถูกแล้ว ลองคิดตามข้าสิว่า ถ้าเรามองเห็นความน่ารักของสุนัข เราควรที่จะมีท่าทีอย่างไรกับมัน แต่ไม่ต้องพูดออกมา ให้คิดในใจ และใช้ร่างกายของท่านสื่อสารให้รู้ว่า ท่านคิดอย่างไรกับพวกมัน”

จ้าว เซวียนหยวนแนะนำ เพราะว่า ในช่วงเวลานี้กำลังจะอยู่ในช่วงใช้คน ต้องเร่งรัดหลักสูตร แต่ต้องครบถ้วน เพราะมันจำเป็นในการสงบแผ่นดินนี้ให้สงบสุขจากภัยสงคราม

วังกงลู่ และกวัวจินเทียนเริ่มทรุดตัวลงนั่งสมาธิ และพยายามที่จะจับสัมผัสแห่งความน่ารักของสุนัข ซึ่งพวกเขาก็เริ่มที่จะสัมผัสได้ทีละน้อย ๆ โดยมีจ้าวเซวียนหยวนทำหน้าที่เป็นสื่อกลางเชื่อมโยงดวงจิตของทั้งสองกลุ่ม เข้าหากัน

ฝุบ................วูบ..........................

ทัน ใดนั้น ความรู้สึกของทั้งสองขุนพลก็เริ่มมีความรัก และปรารถนาดีในตัวสุนัขที่อยู่ล้อมรอบตัวเขาในขณะนี้ และความรู้สึกนั้นก็แปรออกมาเป็นความอบอุ่นแห่งมิตรภาพครอบคลุมทั่วร่าง

งื๊ด........................งื๊ด...........................

ในช่วงแรก ๆ นั้น สุนัขที่อยู่ข้าง ๆ ตัวของสองขุนพลได้เข้ามาคลอเคลียกับทั้งสอง จากนั้นไม่นาน พวกที่อยู่ไกล ๆ ก็เริ่มเข้ามาอ้อนบ้าง ทำให้ทั้งสองขุนพลต้องร้องทักทายพวกมัน และนำอาหารไปวางไว้บนชามทุกชาม และมองดูพวกมันจนพวกมันกินอาหารหมดสิ้น

“ไม่น่าเชื่อนะครับ ว่าพวกเราทั้งสองจะเป็นคนรักสุนัข นึกไม่ถึงจริง ๆ” กวัวจินเทียนเอ่ยขึ้นอย่างเขิน ๆ

“นี่แหละบทเรียนที่สำคัญที่สุดที่ข้าอยากให้พวกท่านได้เรียนรู้ก่อนที่จะทำงานใหญ่ร่วมกัน” จ้าวเซียนหยวนที่นั่งลูบหัวเจ้าเสือน้อยที่มาคลอเคลียอยู่ข้าง ๆ พูดขึ้น

“จำไว้อย่างหนึ่งว่า งานที่ข้าจะให้พวกท่านไปทำนี้ ไม่ใช่ให้ไปทำลาย แต่ให้ไปสร้างสรรค์ ดังนั้น พวกท่านจะต้องสร้างรังสีนี้ให้อยู่ติดตัวไปตลอดเวลา ซึ่งจะทำให้คนเห็นคนหลง คนได้คุยด้วยหลงรัก และงานของท่านก็จะสำเร็จได้อย่างง่ายดาย”

จ้าว เซวียนหยวนผู้คิดหลักสูตรพิสดารเอ่ยขึ้น ทำให้ทั้งสองขุนพลรับคำ จากนั้น พวกเขาก็เริ่มผ่อนคลาย และเล่นกับพวกสุนัขที่น่ารักเหล่านั้น ซึ่งพวกมันก็ช่วยให้ทั้งสองมีจิตใจที่อ่อนโยนมากยิ่งขึ้น


“พวกท่านคิดอย่างไรเกี่ยวกับจิตใจที่อ่อนโยน กับจิตใจที่แข็งกร้าว” จ้าวเซวียนหยวนเริ่มสนทนาอย่างเป็นกันเองกับสองขุนพลที่ปล่อยตัวไปกับการกอดรัดฟัดเหวี่ยงกับเหล่าสุนัข

“ถ้าเป็นเมื่อก่อน ข้าคิดว่า ความอ่อนโยนคือความอ่อนแอ ถ้าอยากเข้มแข็ง จะต้องมีจิตใจที่แข็งกร้าวไว้ตลอดเวลา เพราะมันจะหมายถึงการฝึกฝนตนเอง และการระมัดระวังตัวตลอดเวลา” กวัวจินเทียนรีบพูดเพราะกลัวเพื่อนรุ่นพี่จะแย่งพูด ทำให้จ้าวเซวียนหยวนยิ้ม ๆ ก่อนที่จะถามต่อว่า

“แล้วตอนนี้ ท่านกวัวคิดอย่างไร”

“แข็งแกร่งอย่างเดียวก็จะทำให้แตกร้าวได้ง่าย อ่อนอย่างเดียวก็จะทำให้ไร้ซึ่งพลัง ในแข็งต้องมีอ่อน และในอ่อนต้องมีแข็ง จึงจะเป็นสุดยอดของวิทยายุทธ์” กวัวจินเทียนยืดอกตอบอย่างมั่นใจ ทำให้จ้าวเซวียนหยวนชมเชยขึ้น

“ยอดเยี่ยมจริง ๆ นี่แหละคือสิ่งที่ข้าต้องการให้ท่านได้เรียนรู้ และสิ่งหนึ่งที่ข้าจะเพิ่มเติมให้จากคำพูดของท่านกวัวคือ...”

“ในบางครั้งต้องอ่อนให้ถึงที่สุด และในบางครั้งต้องแข็งให้ถึงที่สุดด้วย ดังนั้น เราจะต้องอ่อนก็ได้ แข็งก็ได้ หรือทั้งอ่อนทั้งแข็งก็ได้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในขณะนั้น ๆ” จ้าวเซวียนหยวนเอ่ยถาม พลางเอ่ยถามสองสหายว่า

“ผ่านด่านมา 3 ด่านแล้ว พวกท่านได้อะไรกันบ้าง”

“ข้ารู้สึกเหมือนเป็นคนใหม่ รู้สึกว่า เมื่อก่อนนั้น โลกของข้าช่างแคบนัก ข้าคิดว่าข้าเก่งกว่าคนอื่น ฉลาดกว่าคนอื่น และข้าคิดว่า ข้าต้องอยู่เหนือคนอื่น ๆ ทุกคน ซึ่งเมื่อย้อนคิดกลับหลังไป ความคิดเมื่อก่อนนั้นช่างน่าละอายนัก” กวัวจินเทียนกล่าวขึ้น

“ข้า ก็คิดอย่างกับจินเทียนเหมือนกัน น่าแปลกมากที่ท่านสามารถเปลี่ยนความคิดของพวกเราได้ ในเวลาแค่ 2 วันเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่ความคิดเก่า ๆ นั้นติดตัวพวกเรามามากกว่า 20 ปีทีเดียว” วังกงลู่เอ่ยขึ้นอย่างชื่นชม

“นี่คือความมหัศจรรย์ทางความคิดของคนเรา ตามข้ามาสิ ข้าจะให้พวกท่านได้เปิดโลกทรรศ์ออกให้กว้างไกลมากขึ้นไปอีก จนเกินกว่าที่พวกท่านจะจินตนาการได้”

จ้าว เซวียนหยวนลุกขึ้น พลางชักชวนยอดขุนพลทั้งสอง ทำให้ทั้งสองส่งเสียงร่ำลาเหล่าสุนัขที่เดินคลอเคลียมาส่งตลอดทาง จนกระทั่งพวกเขาเข้าประตูลับที่อยู่ด้านในสุดของห้องสุนัข


“ยินดีด้วยกับขุนพลทั้งสองที่สำเร็จยอดวิชาทั้งสาม”

เมื่อทั้งสามเดินเข้ามาในห้อง เสียงของขุนพลจูสือว่านก็ดังขึ้นทันที ทำให้ทั้งสองรีบกล่าวขอบคุณ

ห้องที่สี่นี้เป็นห้องวางแผนยุทธการทหาร ซึ่งบนฝาผนังจะมีแผนที่ขนาดใหญ่ และมีร่องรอยการขีดเขียนไว้ โดยขีดแยกแบ่งออกเป็นส่วน ๆ ในแผนที่
และห้องที่ใหญ่โตนี้ แทบจะกลายเป็นสถานที่เล็กแคบไปในทันที เพราลำพังกลุ่มผู้นำ 29 คน กลุ่ม 16 นงคราญ และคนทั้งสามที่พึ่งเข้ามาใหม่ ทำให้คนทั้งหมดในห้องมีถึง 48 คน

จากนั้น จ้าวเซวียนหยวนก็แนะนำกลุ่ม 29 ผู้นำให้กับขุนพลทั้งสองรู้จัก ซึ่งกลุ่มนี้จะมีรายชื่อดังนี้คือ

จูสือว่าน เอี้ยฮุ้น อุ้ยต่งจิ้น หวังซื่อ หม่าชิง หมิงสง เอี้ยวจิ้งเจิง เลี่ยงเซิน ปังอี้เซียง เจี่ยอวี้ หูเห่ยหนาน เคอซิน ซิวเสินจวี้ หลิวมู่ ไซ่จิว ยู่ฟ่าน เดงยี ตองสู เชนบี ลูเขียน ชางมิน หยางฟง เฉินหนาน สือจิ๋น ปาหยง ลิ่วหยวน ลิ่วปา โหวอี่ และ เสี่ยวหมวย

ส่วน 16 นงคราญก็มีชื่อดังนี้คือ เจิงเจิน เจิงโหย่ง เจิงฟาง เจิงเชา เจิงจิน เจิงชาง เจิงวุ่ย เจิงวัง เจิงเซียน เจิงจาง เจิงลี่ เจิงฟั่น เจิงเจิง เจิงจิง เจิงฟู และ เจิงเอ๋อ

“เมื่อพวกท่านผ่านด่านทั้งสามมาแล้ว พวกเราคือพี่น้องกัน ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน และที่สำคัญคือ ร่วมอุดมการณ์เดียวกัน” จ้าวเซวียนหยวนนั่งในตำแหน่งประธาน ได้กล่าวขึ้นกับทุกคนที่อยู่ในห้อง

“และอุดมการณ์ของพวกเราก็คือ สงบแผ่นดิน และสร้างสันติสุขให้มวลประชา”
“ดังนั้น ในวันนี้ ข้าจะขอเสนอแผนการหลัก ๆ ของพวกเรา ซึ่งข้าตั้งชื่อแผนนี้ว่า บันได 7 ขั้น นำสู่ศานติสุข”

จ้าวเซวียนหยวนพูดขึ้น พลางเดินมายังแผนที่ใหญ่ จากนั้นได้อธิบายแผนการต่าง ๆ ทั้งหมดอย่างคร่าว ๆ ให้กับทุกคนฟัง เพื่อให้รู้ว่า แต่ละคน แต่ละกลุ่มจะต้องมีหน้าที่อะไรบ้าง และจะประสานงาน และส่งข่าวกันได้อย่างไร

“พรุ่งนี้ กลุ่มแรกของเราก็จะเคลื่อนย้ายกำลังไปยังเมืองลกเอี๋ยง ซึ่งในกลุ่มนี้จะมี วังกงลู่ และกวัวจินเทียนเป็นหลัก ส่วนเอี้ยวจิ้งเจิง และเลี่ยงเซิน ให้ปฏิบัติการคู่ขนานไป นอกจากนั้นแล้ว ยังมี 16 นงคราญ ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญหลังจากที่งานของสองขุนพลลุล่วงไปแล้ว”

ทุกคนที่มีรายชื่อได้น้อมรับแผนการอย่างหนักแน่น เพราะพวกเขาเข้าใจในหน้าที่ตนเอง และรู้ว่า ส่วนอื่น ๆ ก็กำลังทำหน้าที่ของตนเองเช่นเดียวกัน

และ แผนการนี้ ถ้าส่วนหนึ่งส่วนใดล้มเหลว ส่วนที่เหลือก็จะยุ่งยากทันที ดังนั้น ในแผนการนี้ จ้าวเซวียนหยวน จึงได้ให้แต่ละกลุ่มออกปรึกษาหารือกัน และให้นำเสนอแผนงานต่าง ๆ ออกมาต่อหน้าทุกคน เพื่อสร้างความคุ้นเคยในแผนการกลุ่ม และให้ทุกคนหัดแยกแยะ ซอยย่อยแผนการรวมเพื่อสร้างความรู้สึกให้เป็นหนึ่งเดียวกันอย่างแท้จริง .....



Create Date : 26 ตุลาคม 2554
Last Update : 26 ตุลาคม 2554 7:43:36 น. 3 comments
Counter : 350 Pageviews.

 
ขออภัยที่ต้องขอหยุดพักสักเดือน

ขอหนีน้ำกลับต่างจังหวัดสักเดือนครับ ตอนนี้น้ำล้อมรอบผมจนเหมือนติดเกาะแล้ว หากช้ากว่านี้กลัวว่าจะออกไม่ได้ เพราะผมอยู่กรุงเทพฯ ตะวันออก ขนาดน้ำมวลใหญ่ยังไม่มายังหนักขนาดนี้

ผมอาจจะมาประมาณปลายเืดือนหน้าหรือไม่ก็ต้น ๆ เดือนธันวานะครับ แล้วจะมาลงตอนต่อไปอีกที

ขอบคุณครับที่ติดตามผลงาน


โดย: หมื่นลี้ (suvarnachati ) วันที่: 26 ตุลาคม 2554 เวลา:7:47:58 น.  

 
รับทราบค่ะ


โดย: Fah_T-LEX วันที่: 26 ตุลาคม 2554 เวลา:18:14:27 น.  

 
สนุก ได้สาระและแนวคิดที่น่าสนใจหลายๆด้านเลยครับ เผลอนั่งอ่านรวดเดียวจบ (ได้ใช้ความรู้จากห้องสมุดของเกาะนี้แล้ว) มีหลายเรื่องที่ผมคิดว่าจะสมารถนำไปพัฒนาตัวเองได้ด้วย ขอบคุณที่แบ่งปันความรู้ดีๆในแบบของนิยายนะครับ

ปล.ยังแต่งอยู่ไหมครับ


โดย: ผ่านมา IP: 183.89.97.137 วันที่: 27 กันยายน 2555 เวลา:22:31:36 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Muen Li
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add Muen Li's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.