วรรณกรรมของหมื่นลี้
Group Blog
 
All Blogs
 

บทที่ 18 แผนย่อยในแผนใหญ่

ในค่ายทหารแห่งหนึ่ง หน้าดินถูกปรับจนราบเรียบ ค่ายคูประตูเมืองที่ทำจากไม้นั้นก็ดูแข็งแรงทนทานจนเหมือนกับค่ายกองทัพทั่ว ๆ ไป แต่แตกต่างจากค่ายทหารอย่างเดียวคือ ที่นี่ตั้งอยู่ในที่ราบลุ่มในป่าดงดิบ

ในคัมภีร์พิชัยสงครามซุนวู ได้กล่าวถึงความพลิกแพลงทั้ง 9 ซึ่งนำไปสู่ชัยชนะไว้ดังนี้คือ

1. ต้องได้รับโองการจากผู้ปกครองก่อน จึงรวบรวมไพร่พล

2. ต้องไม่ตั้งค่ายในที่ราบลุ่มอย่างเด็ดขาด

3. ต้องเปิดช่องการติดต่อสื่อสารเชื่อมโยงกับพันธมิตร

4. ต้องไม่รีรอในพื้นที่ถูกตัดขาดที่เปี่ยมด้วยอันตราย

5. เมื่อติดอยู่ในวงล้อม ต้องใช้กลยุทธ์ทุกอย่างเพื่อทะลวงออกมาให้ได้

6. ในพื้นที่ตาย ต้องรบอย่างไม่กลัวตาย

7. มีเส้นทางแห่งที่เดินทัพไม่ได้ มีข้าศึกบางกลุ่มที่ต่อกรด้วยไม่ได้

8. มีเมืองบางเมืองที่โจมตีไม่ได้ มีพื้นที่บางแห่งที่ช่วงชิงมาไม่ได้

9. มีคำสั่งบางอย่างของผู้ปกครอง ที่เชื่อฟังไม่ได้

นี่คือสิ่งที่เรียกว่า หัวใจของการพลิกแพลงของแม่ทัพ แต่ดูเหมือนว่าแม่ทัพผู้นี้จะไม่ได้ทำตามพิชัยสงครามแม้แต่น้อย อาจจะเนื่องจากว่า เชื่อมั่น และมีการสร้างสรรค์วิธีการใหม่ ๆ ของตัวเองเพื่อหลอกล่อคู่ต่อสู้ เหมือนดังที่ทิ้งคนที่เคยมีเรื่องกับศัตรูไว้กลางป่าถึง 16 คน เพื่อหลอกล่อให้ศัตรูไปติดกับ นี่คือสิ่งที่เรียกว่า ใช้เล่ห์โดยไม่หยั่งรู้ศัตรู ซึ่งในที่สุดก็จะเป็นภัยต่อตัวเอง

ในค่ายแห่งนี้ ภายในแบบออกเป็น 5 ส่วน คือกองหน้า กองหลัง ปีกซ้าย ปีกขวา และกองบัญชาการ

“ท่านครับ สัญญาณส่งมาจากจุดที่วางกับดักไว้ครับ” เสียงรายงานดังจากในกองบัญชาการที่มีอี่เทียนเป็นแม่ทัพในครั้งนี้

“ดีมาก รีบเรียกหยางฟงมาหาข้าที” อี่เทียนที่กำลังดูแผนที่ได้เงยหน้าขึ้นมามองทหารที่มารายงาน พลางสั่งการ

“หยางฟง ขอรายงานตัวกับท่านแม่ทัพ”

ชายร่างสูงใหญ่ ที่กล่าวรายงานตัวต่ออี่เทียนนั้น ดูจากลักษณะเป็นคนที่คล่องแคล่วว่องไว และน่าจะมีฝีมือในการต่อสู้เป็นอย่างดี โดยสังเกตจากง้าวใหญ่ในมือ ซึ่งเป็นอาวุธที่ใช้งานได้ยาก แต่คนที่ใช้ส่วนใหญ่มักจะเป็นยอดฝีมือทั้งสิ้น เพราะคนที่ไม่ใช่ยอดฝีมือมักจะตายก่อนที่จะได้ออกศึก

“นำกองกำลังล่วงหน้าไปก่อน 100 คนไปยังจุดที่วางเหยื่อล่อไว้โดยเร่งด่วน ข้าสังหรณ์ใจไม่ดีเพราะยังไม่มีรายงานการจับตัวของเป้าหมายส่งมา แล้วข้าจะจัดทัพรวมทั้ง 4 ทัพเพื่อเคลื่อนพลปิดล้อมจุดนั้น” อี่เทียนสั่งการณ์ตามแผนทันที

“แค่กำลัง 30 คนที่วางไว้ น่าจะจัดการกับมันได้นะครับท่าน” หยางฟงกล่าวอย่างคาดคะเน

“ข้าไม่ไว้ใจ เพราะท่านโจโฉกำชับมาว่า คนผู้นี้ฉลาดมาก ต้องระวังไว้”

“จะฉลาดแค่ไหนมันก็แค่เด็กตัวคนเดียวที่มาเล่นเกมนี้ใหม่ ๆ ไม่น่าจะมีพิษสงมากนักหรอก” หยางฟงทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ

“ป้องกันไว้ดีกว่ามาแก้ไขทีหลัง เจ้าไปได้แล้ว”

อี่เทียนต้องเตือนให้ระวัง เพราะพวกเขายกทัพมาเกือบพันคน ยังไม่พบร่องรอยของบุคคลผู้นี้ ยืนยันให้เห็นถึงความสามารถในการเอาตัวรอดของตี๋น้อยได้เป็นอย่างดี

“ครับท่าน” ร่างสูงใหญ่ของหยางฟงทำความเคารพ จากนั้นจึงออกไปปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งทันที


ภายหลังที่ได้รับการช่วยเหลือจากตี๋น้อย และผู้กล้าทั้ง 10 คน เหล่า 16 นงคราญก็ได้รับการรักษา และได้รับอาหารทำให้ได้รับการฟื้นฟูกำลังและเรี่ยวแรงกลับคืนมา กลายเป็นกระทิงถึกเหมือนเดิม

“อืม......แข็งแรงดังเดิมแล้วสินะ เอาละ พวกเจ้ากลับไปหาพรรคพวกของเจ้าได้ เพราะทั้งท่านเจ้าสัว และพวกเราก็ไม่อยากที่จะปล่อยให้คนตายไปโดยขาดอาหารหรอกนะ” เอี้ยฮุ้นที่มีรูปร่างสูงใหญ่พอ ๆ กับเหล่า 16 นงคราญ เพียงแต่ตัวเบากว่า กล่าวขึ้น

“ท่านเจ้าสัวนี่คือ ตี๋น้อย ที่กองทัพพวกเราตามล่าอยู่ใช่ไหม” เจินเจินถามอย่างสงสัย

“ก็คือคนที่พวกเจ้าเห็นนั่นแหละ” เอี้ยฮุ้นกล่าวพลางนำเสบียงอาหารมาให้เพิ่ม และกล่าวอีกว่า

“คงต้องแยกกันแล้วละ เพราะพวกข้าต้องไปปฏิบัติหน้าที่ก่อน พวกเจ้าเดินไปตามทางนี้ไม่นานก็จะถึงค่ายพักของกลุ่มทหารของท่าน” เอี้ยฮุ้นชี้บอกทาง แต่ทว่า ก่อนที่จะเดินจากไป เจินเจินได้กล่าวขึ้นก่อน

“เดี๋ยวก่อน ท่านนายพัน ข้าจำท่านได้ ไม่รู้ว่าทำไมท่านจึงต้องไปอยู่กับคนที่เป็นศัตรูกับท่านโจโฉ และถูกตามล่าจนไม่รู้ว่าจะรอดพ้นหรือเปล่า”

“ลิขิตฟ้าอยู่ที่คน วิถีแห่งตนอยู่ที่การตัดสินใจ ข้าตัดสินใจที่จะติดตามท่านเจ้าสัวเพราะปัญญา ความมีน้ำใจ และอุดมการณ์ของท่าน ซึ่งพวกเจ้าก็น่าจะเห็นแล้ว เช่นเดียวกับที่พวกข้าก็เห็นเจ้านายของเจ้าเหมือนกันว่าเป็นอย่างไร ดังที่พวกเจ้าก็น่าจะรู้ดี” เอี้ยฮุ้นกล่าวอย่างยิ้ม ๆ

“แต่.....เจ้านายใครใครก็รัก ข้ามิบังอาจที่จะวิจารณ์เจ้านายของเจ้าหรอกนะ ถ้าอย่างนั้น พวกข้าจะขอตัวก่อนก็แล้วกัน” เอี้ยฮุ้นกำลังจะไป แต่เจินเจินก็เรียกไว้อีกครั้งหนึ่ง

“ขออภัยที่ข้าจะขอร้องท่านสักอย่างได้ไหม รับรองว่าจะไม่ทำให้งานของพวกท่านเสียหายหรอก”

“อืม...งั้นก็ว่ามา ถ้าช่วยได้พวกข้าก็จะช่วย”

เอี้ยฮุ้นมองหน้าเจินเจินก่อนที่จะกล่าวขึ้น แปลกที่ว่า ในครั้งนี้ บรรดา 16 นงคราญคล้ายกับจะสงบเสงี่ยมเรียบร้อยขึ้น ไม่เอะอะมะเทิงเหมือนเดิม ราวกับว่า การเฉียดตายครั้งนี้ทำให้พวกเขาเปลี่ยนแปลงนิสัยใจคอไป

“พวกข้าขอเข้าร่วมกลุ่มของท่านได้ไหม” เจินเจินพูดขึ้น พร้อม ๆ กับคนที่เหลืออีก 15 คนพยักหน้ายืนยัน

“พวกข้ายังไม่อยากตายโดยที่ยังไม่ทันได้ต่อสู้อะไรเลย ถึงจะตายก็ขอให้ได้ต่อสู้อย่างเต็มที่สักครั้ง สำหรับเจ้านายที่โยนลูกน้องไปตายโดยไม่มีเหตุสมควรแบบนี้พวกข้าไม่ต้องการที่จะกลับไป แต่ข้าอยากได้เจ้านายแบบท่านเจ้าสัวมากกว่า” เจินจิงกล่าวยืนยัน

“อืม.....ท่าจะยากแฮะ ในระหว่างสงคราม สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือไส้ศึก ข้าคงช่วยไม่ได้” เอี้ยฮุ้นกล่าวอย่างอับจนปัญญา

“ถ้าอย่างนั้น พอจะมีทางทำให้พวกท่านเชื่อเราได้ไหม ว่าเราต้องการที่จะเขาร่วมกับกองกำลังท่านเจ้าสัวจริง ๆ” เจินเจินกล่าวอย่างขอร้อง

“มี แต่พวกท่านทำได้ไหม” เจี่ยอวี้ ซึ่งเป็นเสนาธิการประจำกลุ่มของอดีตผู้กล้าหาญแห่งเขาไท่ซาน กล่าวอย่างตัดบท ทำให้กลุ่ม 16 นงคราญกล่าวอย่างมีความหวังว่า

“ไม่ว่ายากเย็นแค่ไหน หรือต้องเสี่ยงชีวิตแค่ไหน พวกเราก็พร้อมที่จะทำ ดีกว่ามาตายอย่างมงายเพราะไอ้บ้าอำนาจอย่างอี่เทียน”

“ดี งั้นพวกท่านไปชะลอทัพของกลุ่มมังกร กลุ่มสิงโต กลุ่มจิ้งจอก กลุ่มพยัคฆ์ และกลุ่มกระเรียนอย่าให้มารวมกลุ่มกับทัพจอมฟ้าได้ หลังจากพวกข้าจัดการกับทัพจอมฟ้าเสร็จแล้ว จึงมาพบกับพวกเราที่นี่ แล้วข้าจะรับรองพวกท่านกับท่านเจ้าสัวเอง”

เจี่ยอวี้กล่าวอย่างหนักแน่น พลางชักชวนพรรคพวกทั้ง 10 จากไป ทิ้งให้บรรดา 16 นงคราญหันหน้าไปมองดูกันและกันราวกับจะสอบถามกันว่าจะเอาอย่างไรกันต่อไป


หยางฟงนำกองกำลังทั้ง 100 คนพุ่งมาอย่างรวดเร็วเพื่อจะดูให้เห็นกับตาว่า หน่วยซุ่มที่จัดไว้ทั้ง 30 คนนั้น ทำงานสำเร็จหรือไม่

“ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่ชัยภูมิ.....ตาย” คนที่เอ่ยปากขึ้นนั้นนั่งอยู่บนก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่ง ซึ่งด้านหลังเป็นพุ่มไม้ โดยไม่หวั่นเกรงกับกองกำลังทั้งร้อยคนที่ตีโอบเข้ามาหาเขาเพียงคนเดียว

“คงผิดหวังสินะที่ยังเห็นข้ายังอยู่ ไม่ได้ตายอย่างที่พวกเจ้าคิด” บุรุษผู้นั้นยังคงส่งเสียงบอกกล่าวกับร่างสูงใหญ่ของหยางฟงที่ถือง้าวใหญ่ด้วยท่าทางสง่างามราวกับกวนอู

“เป็นอย่างที่ท่านโจโฉบอกจริง ๆ เจ้านี่ไม่ใช่กระจอก ๆ อย่างที่คิด”

“คงไม่ใช่มั๊ง ข้าก็แค่หวาดกลัวจนไม่รู้จะไปไหนเท่านั้นเอง”

ร่างที่นั่งเฉยอยู่บนก้อนหินเอ่ยปากหัวเราะจนกองร้อยที่มุ่งมาเพื่อจะตามสังหารคนตรงหน้าเริ่มมองหน้าเขาราวกับเห็นตัวประหลาดพลันปรากฏตรงหน้า

“ประหลาด ประหลาดจริง ๆ” หยางฟงกล่าวเบา ๆ แต่ตี๋น้อยที่นั่งอยู่บนก้อนหินได้ยินก็ถามขึ้น

“มีอันใดประหลาดหรือ”

“ทหาร 30 คนไปที่ไหนแล้ว” หยางฟงถามขึ้น

“ตายหมดแล้ว” ตี๋น้อยยักไหล่ตอบแบบไม่ในใจ

“เป็นอะไรตาย”

“ถูกฆ่า”

“ใครฆ่า” หยางฟงขมวดคิ้วถามขึ้น

“ข้าเอง” เสียงดุดัน และเข้มแข็งดังขึ้นด้านหลังกองทหารของหยางฟง

“ระวังการโจมตี” หยางฟงร้องขึ้น พร้อม ๆ กับเสียงการโจมตีที่ดังขึ้น

เฟี้ยว...................เฟี้ยว......................

แผงธนูจำนวนมากเด้งขึ้นมารอบทิศ ทำให้ธนูจำนวนมากมายมหาศาลพุ่งเข้าใส่กองร้อยทหารที่หยางฟงนำมา ส่งผลให้เหล่าทหารบาดเจ็บล้มตายลงเป็นจำนวนมากเพราะไม่รู้ว่าจะป้องกันอย่างไร เพราะธนูมาทุกทิศทาง

“บุกเข้าไปฆ่าตี๋น้อยข้างหน้า เร็ว”

หยางฟงที่กวัดแกว่งง้าวอย่างคล่องแคล่วว่องไว ทำให้ไม่มีธนูสามารถผ่านอาวุธง้าวของเขาไปได้ ทำให้เขาและกลุ่มทหารประมาณ 30-40 คน บุกตะลุยเข้าไปหาตี๋น้อยอย่างรวดเร็ว

แวบ........................

พุ่มไม้ด้านหลังตี๋น้อยล้มครืนลง และปรากฏกระจกทองเหลืองใบใหญ่สะท้อนแสงอาทิตย์ส่องเข้าหน้าของเหล่าทหารที่บุกตะลุยเข้ามาทันที

เฟี้ยว..................เฟี้ยว...................

ธนูถูกยิงออกมาจากรอบข้าง แต่คราวนี้ไม่ใช่จากแผงกับดัก แต่ยิงออกมาจากยอดฝีมือทั้งสิบ ส่งผลให้เหล่าทหารที่ถูกแสงส่องเข้าตาต้องล้มตายราวกับใบไม้ร่วง เพราะใช้มือบังตาจนไม่ได้ปกป้องตัวเองจากฝนธนู

วูบ.....................วูบ....................

แต่หยางฟงยังคงฉับไวเสมอ เมื่อเห็นแดดส่องเข้าตาเขาก็รู้แล้วว่าต้องกล ทำให้เขาพลิกตัวกลิ้งหลบไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว

ฝุบ...........................

เสียงเหมือนเป่าลมดังขึ้น แต่หยางฟงยังหน้ามืดไปพักใหญ่ จึงได้ยินแต่เสียงโดยไม่รู้ว่าเป็นอะไร แต่เขายังคงกวัดแกว่งง้าวใหญ่ไปมาเพื่อป้องกันตัว จนกระทั่งมองเห็นอีกครั้งหนึ่ง

“เก่งนี่ นายชื่ออะไรหรือ”

เสียงตี๋น้อยดังขึ้น ทำให้ร่างสูงใหญ่ค่อย ๆ หันไปมองหน้าตี๋น้อยที่ได้เก็บกระจกทองเหลืองแล้ว ทำให้ไม่มีแสงอาทิตย์สะท้อนมาอีก แต่รอบตัวของเขาบัดนี้คือ 10 ยอดฝีมือถืออาวุธรอบล้อมตัวเขา

“หยางฟง”

“ข้าชอบใจฝีมือนาย มาทำงานให้ข้าดีไหม” ตี๋น้อยกล่าวด้วยความจริงใจ

“ทำไมต้องการข้า”

“เพราะข้าเห็นความเป็นทหารอาชีพในตัวนาย”

“ทหารไม่ทรยศต่อเจ้านาย”

“แต่ถ้าเจ้านายของเจ้าตายละ”

“นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง”

“งั้นตกลง ข้าจะเก็บเจ้าไว้จนถึงวันที่เจ้านายของเจ้าตายไป แล้วจึงจะมาขอคำตอบจากเจ้าใหม่”

“ใครจะมาจับข้าได้”

“ทุกคนสามารถจับตัวเจ้าได้หมด เพราะสภาพของเจ้าตอนนี้ไม่อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์แบบแล้ว”

สิ้นเสียงของเจ้าสัว หยางฟงก็ค่อย ๆ ทรุดร่างลงกับพื้น และสลบไปในที่สุด มองเห็นลูกดอกปักอยู่ที่คอ และกระบอกเป่าลูกดอกอยู่ในมือของเจ้าสัว

“เก็บกวาดทุกอย่างให้เรียบร้อย”

ตี๋น้อยสั่ง ทำให้สิบผู้กล้าทำการเก็บกวาดของทุกอย่างที่ตกเกลื่อนกราดอยู่ที่พื้นเข้าในกระเป๋ามิติทันที ดังหลักการของการรบที่ว่า ใช้สิ่งของศัตรู เพื่อให้รางวัลกับทหาร และตัดกำลังศัตรู

“หวังซื่อ หม่าชิง หมิงสง” สิ้นเสียงของตี๋น้อย ร่างที่ว่องไวทั้งสามก็ปรากฏกายที่ด้านหน้าของตี๋น้อย

“ครับท่าน”

“ส่งข่าวไปทัพหลักของเราให้มาหาข้าที่นี่” ตี๋น้อยสั่งการพร้อมกับบอกเพิ่มเติมว่า

“อย่าลืมบอกท่านเอี้ยวจิ้งเจิงด้วยว่า ในสมรภูมิป่าดงดิบ อาวุธที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือ ธนู และหน้าไม้”

“ครับท่าน พวกข้าจะรีบไปรีบกลับ” หวังซื่อกล่าวขึ้นโดยไม่ได้ไถ่ถามถึงแผนการที่เปลี่ยนไป เพราะเชื่อมั่นในตัวชายหนุ่มผู้นี้อย่างเต็มเปี่ยม และพริบตานั้น ร่างของทั้งสามก็หายลับไปจากสายตาของทุกคน




 

Create Date : 15 ตุลาคม 2554    
Last Update : 15 ตุลาคม 2554 21:21:37 น.
Counter : 294 Pageviews.  

บทที่ 17 เริ่มแผนซ้อนแผน

แผนที่หยาบ ๆ ที่ตี๋น้อยได้ใช้ไม้ถ่านขีดเขียนขึ้นบนแผ่นหินนั้นเป็นแผนที่ของป่าดงดิบ ซึ่งทำให้เหล่าทหารที่มาสวามิภักที่ยืนห้อมล้อมอยู่นั้นฮือฮาในความรอบรู้ของผู้นำของพวกเขา

“นี่คือแผนที่ในป่าดงดิบนี้ ตอนนี้เราอยู่ที่นี่ ส่วนค่ายลับของเราน่าจะอยู่ที่นี่ ใช่ไหม ท่านเอี้ยฮุ้น”

“อืม...ใช่ เพราะเมืองอยู่ตรงนี้ เราพากันรวมพลที่นี่ และท่านเอี้ยวจิ้งเจิงน่าจะพากันตั้งค่ายที่นี่” เอี้ยฮุ้นที่ทึ่งกับแผนที่ที่วาดอย่างคร่าว ๆ แต่ก็มีส่วนที่สำคัญครบถ้วนของตี๋น้อยกล่าวตอบ

“งานนี้เราต้องประสานกันทั้งในส่วนของเรา และส่วนของค่ายเรา เริ่มแผนตัดกำลัง ซึ่งจะนำไปสู่แผนรวบหัวรวบหาง”

ตี๋น้อยอธิบายยิ้ม ๆ เพราะชื่อแผนที่สองของเขานี่มันทะแม่ง ๆ แต่พอดีไม่มีผู้เล่นอยู่ด้วย ทำให้คนเหล่านี้ไม่คิดมากกับชื่อแผน

“ตอนนี้เราก็รอแค่คนที่ไปสืบข่าวกลับมา ก็จะวางแผนการต่อไปได้แล้ว”

“รู้สึกว่า หน่วยหาข่าวจะมาแล้ว”

อุ้ยต่งจิ้นที่ยืนมองทางขึ้นเขาได้กล่าวขึ้น
ร่างของหวังซื่อ หม่าชิง และหมิงสง ซึ่งเคยเป็นทหารในหน่วยของเอี้ยฮุ้น และเคยร่วมปฏิบัติการแหกคุกมากับอุ้ยต่งจิ้น ได้ปรากฏตัวขึ้นจากการไปลาดหาข่าว และเข้ามารายงานตี๋น้อย

“ในจุดนี้ที่เป็นแอ่งกระทะเป็นที่ตั้งค่ายของทัพกลางของมันทั้ง 400 คน”

หมิงสงได้ใช้ไม้ถ่านในมือขีดวาดเป็นวงกลุ่มเพื่อกำหนดที่ตั้งทัพของกลุ่มโรงเรียนจอมฟ้า ซึ่งอยู่ห่างจากภูเขาลูกนี้ออกไปอีกประมาณสองลี้

“ส่วนปีกซ้ายขวาของมันจะอยู่ตรงนี้ และกองหน้าทั้งซ้ายทั้งขวาจะอยู่ตรงนี้ แยกกันเป็น 5 กลุ่มด้วยกัน”

หมิงสงขีดวาดวงกลมอีก 4 วง ใกล้ ๆ กัน ทำให้ตี๋น้อยมองดูจุดที่หมิงสงขีดไว้ พลางนึกเปรียบเทียบกับภูมิประเทศจริง ๆ

“อืม......หน้าตาเจ้าคนที่เป็นแม่ทัพมาคราวนี้ก็ดูหน้าตาดี มีสง่าราศีอยู่หรอก ทำไมมันจึงไร้ปัญญาเช่นนี้นะ” ตำราพิชัยสงครามนั้นห้ามการตั้งทัพในที่ลุ่มอย่างเด็ดขาด ทำให้เอี้ยฮุ้นสรุปออกมาอย่างนั้น

“มันไม่ใช่แค่ไร้ปัญญาอย่างเดียวนะ แต่มันบ้าไปแล้ว มีอย่างที่ไหน ปล่อยให้ลูกน้องกลุ่มหนึ่งถูกทิ้งไว้ในป่าเพื่อรอวันตาย” หม่าชิงเสริมขึ้น ทำให้ตี๋น้อยตาเป็นประกายก่อนที่จะถามขึ้นว่า

“กลุ่มคนที่ถูกทิ้งไว้มีกี่คน”

“16 คนครับ แต่บอกไม่ได้ว่าเป็นผู้หญิง หรือผู้ชาย มันเป็นแบบแปลก ๆ ครับท่าน” หม่าชิงรายงาน ทำให้ตี๋น้อยนึกรู้ทันทีว่าเป็นโจทย์เก่า

“ทั้ง 16 คนอยู่ตรงจุดไหน แล้วมีสภาพเป็นอย่างไรบ้าง” ตี๋น้อยสอบถามข้อมูล ซึ่งหม่าชิงก็บอกให้รู้

“อยู่ตรงนี้ครับ ดูเหมือนจะพยายามตามกองทัพให้ทัน แต่เพราะความอ่อนแรง และบาดเจ็บจากทาก และพวกขวากหนามต่าง ๆ ทำให้หมดแรง นอนรอความตายอยู่ตรงนี้”

ขณะที่หม่าชิงรายงาน ในหัวของตี๋น้อยก็วาดแผนการต่าง ๆ ออกมาได้ทันที ทำให้เขาเรียกคนทั้งหมดมา และมอบหมายงานให้ทำ

“อุ้ยต่งจิ้น กับ เลี่ยงเซิน ขอให้กลับไปส่งข่าวที่ค่ายของเรา เพื่อดำเนินการตัดเสบียงของกองทัพเหล่านี้ เพื่อให้อ่อนล้า แล้วข้าจะหาคนเข้าไปปั่นป่วนในกองทัพเอง” ตี๋น้อยสั่งการ

“ส่วนหวังซื่อ หม่าชิง และหมิงสง หลังพักผ่อนให้มีแรงแล้ว ให้กลับไปหาข่าวกองทัพเหมือนเดิม จำไว้ว่า แม้พวกมันจะตั้งค่ายที่ผิดจากพิชัยสงคราม แต่นั่นให้สงสัยไว้ก่อนว่า พวกมันจะทำให้พวกเราประมาท และดูถูกพวกมัน ทำให้เราเลินเล่อจนอาจจะนำไปสู่ความพ่ายแพ้ได้ ดังนั้น จงไปสืบให้รู้ลึกถึงแผนการพวกมัน จะได้ตลบหลังพวกมันได้” เมื่อเห็นตี๋น้อยกำชับอย่างนั้น ทำให้ทุกคนระมัดระวังตนเองทันที

“ส่วนคนที่เหลือให้ตามข้ามา เราจะไปยังที่ที่ 16 คนอยู่ ให้ทุกคนเตรียมพร้อม และทำตามแผนการที่ข้าวางไว้ให้อย่างเคร่งครัด เพราะข้าไม่เชื่อว่าพวกมันจะทำอย่างนั้นอย่างไร้ประโยชน์”

“ครับ ท่านเจ้าสัว”

เหล่าทหารทั้ง 15 คนรับคำ และแยกย้ายกันออกปฏิบัติตามทันที ท่ามกลางความพอใจของตี๋น้อยที่ได้ทหารชั้นเลิศมาอยู่ในความดูแล ทำให้งานของเขาง่ายขึ้นมาก


“นี่ ๆ ตัวเอง เคยดูโฆษณาทีวีชุดหนึ่งไหม จิงช๊อบชอบ” เจินจิงสาวน้อยเทียม ๆ ร่างเล็กกว่าช้างนิดหน่อยนอนหมดสภาพอยู่กับพื้นเนื่องจากใช้แรงในการวิ่งตามกองทัพจอมฟ้าจนหมด

“มันมีตั้งหลายโฆษณา แล้วจะรู้ไหมละ ว่าโฆษณาไหน” นังหมีน้อยตอบกลับมาอย่างคนอารมณ์ไม่จอย เพราะหมดสภาพกันทั้งสิบหกคน

“เดี๋ยว ๆ ๆ อย่าพึ่งเฉลยนะ นังจิน ขอเจ๊เดาก่อน” เจินเจินพี่ใหญ่ในสิบหกนงคราญยังอุตส่าห์ประคับประคองร่างยักษ์ขึ้นมาชะลอการเฉลยกิจกรรมของเจินจิง

“เจ๊ก็รีบตอบสิ ไม่ตอบคนอื่นมันจะขาดใจตายเพราะอยากรู้” เจินจินที่นั่งพิงต้นไม้ใหญ่อยู่รีบพูดขึ้น

“โฆษณาที่เจ้านายพาลูกสุนัขไปเที่ยวใช่ไหมอะ” เจ๊เจินเดาปุ๊บ เจินจิงก็ตอบปั๊บทันทีว่า

“ถะ...ถะ....ถูกต้องแล้วคร๊าบบบ ว่าแต่เจ๊ช่วยเล่าให้มันได้อารมณ์ของเรื่องหน่อยสิ มันเข้ากับบรรยากาศตอนนี้จังเลย”

“ได้สิ เดี๋ยวเล่าให้ฟังนะ”

เจ๊เจินก็ยุขึ้น เพราะคนทั้ง 16 คนนี้ไม่มีอะไรจะทำแล้ว ได้แต่รอวันตาย แต่ด้วยนิสัยที่ร่าเริงสนุกสนาน จึงทำให้ไม่ยอมร้องไห้ฟูมฟายก่อนตาย

“ครั้งหนึ่ง มีลูกสุนัข 16 ตัว เกิดมาในบ้านของมหาเศรษฐีคนหนึ่ง” เออ....เจ๊ครับ มันจะเข้าบรรยากาศไปไหมเนี่ย……

“ช่วงแรก ๆ มหาเศรษฐีคนนั้นก็ดูจะรู้สึกชอบลูกสุนัขเหล่านั้นมาก แต่พอนานไปก็เริ่มรู้สึกว่า เอ.....มันก็ไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้เรา เลี้ยงเสียข้าวสุกเปล่า ๆ สงสัยต้องเอามันไปเที่ยวได้แล้วละมั๊ง” เรื่องราวเริ่มเข้มข้น ทำให้เหล่า 16 นงคราญที่รอวันตายได้เอาใจจดจ่อกับเรื่องราวของสุนัขน้อยเหล่านั้น

“ดังนั้น มหาเศรษฐีจึงให้คนใช้นำลูกสุนัขทั้ง 16 ตัวนี้ขึ้นรถเบนซ์ไปเที่ยว พวกมันดีใจมาก ต่างพากันชูหน้าชูตาอยู่ในรถเบนซ์ราวกับลูกสุนัขของพระราชา”
พูดถึงตอนนี้เสียงสะอื้นดังมาจากเหล่าคนที่ฟัง เพราะมันเข้ากับชีวิตของพวกเขาที่คิดว่ามีเกียรติที่ได้เรียนในโรงเรียนจอมฟ้า จึงพากันชูคอเย่อหยิ่ง

“เมื่อมาถึงหน้าวัดแห่งหนึ่ง คนขับรถก็พาเหล่าลูกสุนัขทั้ง 16 ตัวออกมาเดินเล่น และเที่ยวชมวัด ลูกสุนัขทั้ง 16 ตัวพากันเพลิดเพลินกับความสวยงามที่พบเห็น จนมันมองไม่เห็นรถเบนซ์ที่เคลื่อนตัวออกไป จนกระทั่งเมื่อมันพบกับสุนัขขี้เรื้อนที่อาศัยอยู่ในวัด สุนัขขี้เรื้อนตัวนั้นก็บอกกับมันว่า.....”

“ไอ้ลูกหมาเอ๊ย.....เอ็งรู้ไหมว่า เอ็งถูกทิ้ง......” สิ้นเสียงสรุปปิดเรื่อง สาวเทียมร่างยักษ์ทั้ง 16 คนก็ปล่อยโฮออกมาพร้อม ๆ กัน


“มันไม่ใช่การทิ้งหรอก แต่เป็นกับดักมากกว่า” เสียงนุ่ม ๆ และแฝงแววรู้ทันผู้คนดังขึ้น ทำให้เหล่า 16 นงคราญพยายามผงกหัวขึ้นมาดู

“ตี๋น้อย ตี๋น้อยที่พวกนั้นต้องการตัวนี่ ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้” เจินเจินพยายามยันร่างเพื่อลุกขึ้น

“แม้จะรู้ว่าเป็นกับดัก แต่ผมไม่อาจปล่อยให้พวกคุณตายหรอก เพราะถ้าผมไม่ออกมา พวกคุณต้องตายแน่ ๆ” ตี๋น้อยพูดขึ้นพลางโยนถุงขนาดใหญ่ ลงตรงหน้าของเจินเจิน เสียงดังโครมบอกให้รู้ถึงน้ำหนักของถุงนั้น

ทันใดนั้นเอง ทหารราว ๆ สัก 30 คนก็ได้โผล่ขึ้นมาจากแนวซุ่มในป่ารอบด้าน ทำให้ตี๋น้อยหัวเราะเบา ๆ ออกมา

“กินซะ จะได้รอดตาย เนื้อวัวย่างร้อน ๆ พร้อมกับน้ำเย็น ๆ แล้วในถุงนั่นยังมีสมุนไพรที่จะช่วยรักษาแผล และขจัดพิษของแมลงต่าง ๆ ด้วย”

ตี๋น้อยยังคงหันไปบอกกล่าวกับเจินเจินราวกับไม่เห็นทหารที่อยู่รอบตัว ทำให้ทหารที่เป็นหัวหน้าหมู่เริ่มไม่พอใจ

“นี่เจ้ายังไม่สำนึกอีกหรือว่า เจ้าถูกกลศึกของพวกเราแล้ว และถึงเวลาตายของเจ้าด้วย”

หัวหน้าหมู่ผู้ถือดาบใหญ่ยักษ์ได้กล่าวขึ้น พลางสั่งให้ทหารที่อยู่ล้อมรอบกระชับวงล้อมเข้ามา ทำให้เหล่า 16 นงคราญตกอยู่ในวงล้อมด้วย

“นี่ ปล่อยพวกเราออกไปก่อนได้ไหม แล้วค่อยล้อมมาใหม่” เจินจิงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากขอร้อง

“คำสั่งของท่านอี่เทียนคือ ไม่ต้องสนใจเหยื่อล่อ แค่สามารถกำจัดเป้าหมายได้ก็เป็นพอ” คำตอบของหัวหน้าหมู่นั้นทำให้เหล่า 16 นงคราญเทียมต้องสะอึก

“ฆ่ามัน”

สิ้นเสียงสั่ง เหล่าทหารทั้ง 30 คนก็โห่ร้องพลางเข้าวิ่งเข้าไปหมายจะฆ่าตี๋น้อยทันที

เฟี้ยว.......................เฟี้ยว......................

พริบตานั้นเอง ลูกศรจำนวนมากก็พุ่งเข้าเสียบร่างของทหารที่โห่ร้องเข้ามา ทำให้ทหารร่วงลงไปนับสิบคน

“ระวัง “

นายหมู่หัวหน้าทีมร้องบอกได้เท่านั้นก็ต้องรีบยกดาบใหญ่รับหอกของตี๋น้อยที่พุ่งเข้าใส่อย่างรวดเร็ว

เฟี้ยว.................เฟี้ยว.....................

ธนูยังคงถูกระดมยิงออกมาจากรอบด้าน ทำให้ทหารทั้ง 30 คนไม่รู้ว่าจะหลบตรงไหน และจะปัดป่ายธนูที่มาจากรอบด้านได้อย่างไร จึงถูกธนูสังหารไปทั้งหมด ยกเว้นนายหมู่ที่กำลังรับมือกับตี๋น้อยอยู่

“พวกคุณทั้ง 16 คน รีบกินเนื้อวัว และใช้สมุนไพรรักษาแผลซะ เพราะไม่
นานพวกของคุณก็จะมาเพิ่ม ทำให้พวกเราช่วยคุณไม่ได้ แล้วจะพากันตายไปอย่างงมงายไม่รู้เรื่องรู้ราว”

ตี๋น้อยร้องบอกเหล่า 16 นงคราญทำให้หอกที่จู่โจมหยุดชะงักไปนิดหนึ่ง ซึ่งก็เพียงพอที่จะให้นายหมู่ได้พลิกสถานการณ์ขึ้นมาได้

ย๊ากกกกกก....................

มันตะโกนก้องพลางใช้ดาบใหญ่ในมือพลิกออกฟันใส่ตี๋น้อยทันที

ควับ.............ครืน......................

แม้พลังมหาศาลจากดาบจะดูน่าหวาดหวั่น เพราะแค่เหวี่ยงดาบฟันก็ทำให้ใบไม้รอบข้างสั่นไหว และแรงลมทำให้เสื้อผ้าของตี๋น้อยสั่นกระพือขึ้นจนดังพึ่บพั่บ

วูบ................วูบ......................

ท่าเท้าเบญจธาตุทำให้ตี๋น้อยหลบไปมาท่ามกลางพายุดาบได้ โดยที่ตัวของเขาได้แนบหอกไว้หลังข้อศอก โดยไม่ได้ใช้แรงต่อต้านแม้แต่น้อย ทำให้เจ้าของดาบใหญ่ฮึกเหิมยิ่งนัก จนมองไม่เห็นเหล่านักรบที่แต่งชุดดำพากันเคลื่อนไหวออกจากราวป่า และจัดการเก็บทรัพย์สินเงินทองของทหารทั้ง 30 คนจนหมดสิ้น จากนั้นจึงช่วยเหล่า 16 นงคราญจากไป

พรึบ....................

พริบตาที่เหล่า 16 นงคราญถูกช่วยไปแล้ว ดาบใหญ่ของนายหมู่ก็ฟันออกกะจะให้ตี๋น้อยขาดกลางตัว แต่ตี๋น้อยก้มหัวหลบทัน จากนั้นก็พุ่งหอกออกมาจากด้านหลังที่ก้มลงนั้น ทำให้หอกพุ่งเข้าเสียบลำคอของนายหมู่ทหารอย่างเม่นยำ จนมันตาเหลือกค้างอย่างไม่เชื่อสายตา

“ไม่ต้องมองอย่างนั้น เจ้าเอาแต่ใช้แรง ไม่ได้ใช้สมอง อีกสักครู่สินะที่หัวหน้าของเจ้าจะมา แล้วเขาก็จะได้พบกับการซ้อนกลจากข้าแน่นอน”

ไร้เสียงตอบจากนายหมู่ทหาร เนื่องจากร่างนั้นได้กลายเป็นร่างที่ไร้วิญญาณเสียแล้ว เพราะวิญญาณของผู้เล่นก็คือคลื่นสมอง เมื่อผู้ใดตาย คลื่นสมองก็จะสูญหายไปจากเกมนี้ ทำให้ตัวละครถูกลบไป เหลือแต่ทรัพย์สิน และร่างจำลองที่อยู่ในเกมนี้ซึ่งไม่นานก็จะจางหายไปด้วยเช่นกัน




 

Create Date : 15 ตุลาคม 2554    
Last Update : 15 ตุลาคม 2554 21:15:10 น.
Counter : 247 Pageviews.  

บทที่ 16 แผนการของอัจฉริยะ

“เกมสามก๊กออนไลน์เป็นเกมที่สถาบันพัฒนาธุรกิจระหว่างประเทศ ( BDTI.) ได้พัฒนาขึ้นด้วยมูลค่ามหาศาล องค์กร BDTI. เป็นองค์กรระหว่างประเทศที่เน้นการจัดการธุรกิจระหว่างประเทศสมาชิก ที่มีสมาชิกเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเกือบจะเท่ากับสมาชิกของสหประชาชาติ นอกจากนั้นแล้ว อิทธิพลในโลกขององค์นี้นับว่าเหนือกว่าองค์กรสหประชาชาติที่เน้นแต่เรื่องการเมือง เพราะองค์กรนี้กุมหัวใจของโลกใบนี้ไว้ได้ นั่นคือ เรื่องของธุรกิจ และทรัพยากรของโลก

เกมนี้จึงเน้นในเรื่องของการจัดตั้ง และพัฒนาองค์กร การแข่งขันระหว่างองค์กร รวมทั้งการพัฒนา และจัดการทรัพยากรที่มีอยู่ในเกมอีกด้วย

ประชากรในเกมนี้จึงประกอบไปด้วย ผู้เล่น ที่เป็นคนจริง ๆ ซึ่งเกิดจากการใช้เครื่องจับคลื่นสมองเข้ามาสร้างร่างเสมือนของตนเองขึ้นในโลกยุคสามก๊ก และประชากรที่เป็น AI หรือที่รู้จักในชื่อไทยว่า ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) ซึ่งจะถูกโปรแกรมค่าความคิด ความสามารถ และการพัฒนาไว้เหมือนกับคนในยุคสามก๊ก หรือประมาณ เกือบสองพันปีที่แล้ว

ด้วยเหตุนี้ ศักยภาพของ AI จึงมีสูงมาก โดยเฉพาะด้านร่างกาย และการเอาตัวรอดในป่า รวมทั้งความเชี่ยวชาญในด้านของสงคราม ด้วยเหตุนี้เอง จึงต้องมีส่วนที่เรียกว่า การฝึกฝนของผู้เล่นในช่วง 4 เดือนที่อยู่ในเกาะฝึกฝน เพื่อให้สามารถพัฒนาศักยภาพให้เทียบเท่า หรือเหนือกว่าเหล่า AI

แม้ว่า เหล่า AI จะถูกโปรแกรมมาว่า เหล่าผู้เล่นคือ เชื้อสายแห่งเทพ ที่มีร่างกายที่อาจจะอ่อนแอกว่าคนทั่วไปในตอนแรก แต่พวกเขาสามารถพัฒนาได้ และเป็นมนุษย์ที่พิเศษกว่าชาวบ้านทั่วไป จึงทำให้เวลาสร้างองค์กร ถ้าคุณมีความสามารถ และพิชิตใจเหล่า AI ได้ คุณก็จะเป็นคนหนึ่งที่พร้อมที่จะสร้างก๊กของคุณเองขึ้นมา จนนำไปสู่การเป็นเจ้าเมือง เป็นเจ้าผู้ครองแคว้น จนถึงระดับการเป็นจักรพรรดิเหนือดินแดนโบราณแห่งนี้”


“ดูอะไรอยู่หรอ ตี๋น้อย อ๋อ...ข้อมูลเกมหรอ เห็นนายคร่ำเคร่งกับเรื่องนี้มากเลย แต่พวกเราก็เข้าใจนาย และเชื่อว่านายต้องทำได้แน่ ๆ” เจ้าเหน่ง ที่เดินมานั่งข้าง ๆ ตี้น้อยในบ้านพร้อมกับเพื่อน ๆ เอ่ยขึ้น

วันนี้เพื่อน ๆ จะมาลาตี๋น้อยไปกรุงเทพเพื่อที่จะเข้าไปทำเรื่องการขอรับทุนนักกีฬาจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง ซึ่งพวกเพื่อน ๆ ต้องกระจายกันไปอยู่ตามหาวิทยาลัยชื่อดังต่าง ๆ และอาจจะเป็นคู่แข่งในด้านกีฬากันในอนาคต แต่ก็อาจจะร่วมทีมกันอีกก็ได้ ถ้าได้ติดทีมชาติ

“อือ....นี่เราก็ได้ทหารมาเป็นพวกด้วยประมาณร้อยกว่าคนแล้ว” ตี๋น้อยเอ่ยขึ้น ทำให้เพื่อน ๆ ฮือฮากันยกใหญ่

“พึ่งเข้าไปได้ไม่ถึงเดือนในเกมก็สร้างกองทหารได้แล้วหรอ” เจ้าเอก อดีตประธานนักเรียนเอ่ยขึ้นอย่างทึ่งในตัวของเพื่อนคนนี้

“ใช่ รู้สึกจะเป็นการส่งเสริมมาจากเจ้าพี่ชายตัวดีด้วยนะ หนอย ...ไม่บอกว่าเป็นใหญ่เป็นโตในเกมนี้ กะจะฆ่าเราทิ้งตั้งแต่ก่อนที่จะเก่งซะแล้ว ดีแต่ว่า มีกลุ่มที่ไม่ชอบมันได้ช่วยเราไว้นะ ไม่งั้นก็แย่แน่ ๆ” ตี๋น้อยบอกความจริงกับเพื่อน ๆ ทำให้ทุกคนกัดฟันกรอดด้วยความโกรธ

“มันเล่นแมว ๆ อย่างนี้หรอ สงสัยจะอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้แล้ว” เจ้าโย่งพูดด้วยความโกรธ

“ไม่ต้องห่วงหรอกนะ ปล่อยให้มันหลงละเลิงไปก่อน เดี๋ยวขอใช้เวลาสร้างตัวในเกมสักปีสองปี ไม่นานมันจะต้องไร้แผ่นดินให้เหยียบในเกมนั้นแน่ ๆ แล้วเรื่องนี้ก็จะดังไปทั่วโลก ซึ่งจะทำให้มัน เงยหน้าละอายฟ้า ก้มหน้าละอายดิน อยู่ในประเทศไม่ได้ ไปต่างประเทศไม่รอด แล้วมันก็จะรู้ว่า นรกมีจริง”

ตี๋น้อยกล่าวเสียงดังธรรมดาทั่ว ๆ ไป แต่ในกระแสเสียงนั้น เพื่อน ๆ จับได้ว่า เขาจะทำตามที่พูดไว้จริง ๆ ทำให้จากความโกรธเปลี่ยนเป็นความสะใจที่จะเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้า

“ต้องให้มันได้อย่างนี้สิ ไม่ต้องทำตัวเป็นพระเอก หรือนางเอกน้ำเน่าที่ยอมให้เหล่าร้ายข่มเหงรังแกอยู่เรื่อย ๆ และไม่ต้องรอให้ผลกรรมตามสนอง เพราะลิขิตฟ้าหรือจะสู้แผนการของอัจฉริยะ” เจ้าเอกชักจะอินไปกับแผนการของตี๋น้อย ทำให้วิญญาณแห่งความเป็นนักวิเคราะห์วิจารณ์โผล่ขึ้นมาทันที

“ใช่แล้วละเอก นักหมากรุกระดับทั่วไปมองล่วงหน้า 4-5 ตา เซียนหมากรุกมองล่วงหน้าถึง 10 ตา แต่อัจฉริยะอย่างตี๋น้อย มองล่วงหน้าได้ทั้งกระดาน” เจ้าชัยที่ชอบเล่นหมากรุกจนได้ชื่อว่าเป็นชั้นเซียน แต่มาเล่นกับตี๋น้อยทีไร โดนแค่เบี้ยรุกฆาต วิจารณ์ขึ้นบ้าง

“ใช่ เจ้าตี๋ใหญ่มันก็แค่นักหมากรุกระดับทั่วไป เก่งหน่อยก็แค่เซียนหมากรุก มองล่วงหน้าแค่ไม่กี่ตา เจอตี๋น้อยมองล่วงหน้าต้นแต่ต้นเกมไปถึงปิดเกม รับรอง มันต้องหนาววว” เจ้าโย่งเริ่มโชว์ลีลาการพูดขึ้นมาบ้าง

“ไม่ต้องชมกันมากหรอก เดี๋ยวเราเหลิงแล้วแผนจะเสีย เพราะเราต้องฝึกฝนอีกมาก เนื่องจากร่างกายของคนที่เป็นเอไอในเกมนี้แข็งแกร่งมาก ยิ่งถ้าเป็นระดับพวกเอไอในตำนานอย่างพวกจูล่ง กวนอู เตียวหุย หรือแม้แต่นักรบระดับรอง ๆ ลงมาที่ร่างกายสูงสองเมตรกว่า ถืออาวุธหนัก 40-50 กิโล ยิ่งไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะต่อสู้ด้วย” ตี๋น้อยบอกข้อมูลในเกมที่ทำให้เพื่อน ๆ คอย่นกันเป็นแถว ๆ

“แล้วนี่เคยต่อสู้กับพวกนี้หรือยังละ” เจ้าเหน่งถามอย่างเป็นห่วง

“เคยแล้ว ดีนะที่เราใช้วิชาไทเก๊กที่อาก๋งที่ห้องสมุดสอนให้ตั้งแต่เด็ก ทำให้พอเข้าไปฝึกเพิ่มในเกม สิ่งที่ไม่เคยทำได้ในชีวิตจริงก็สามารถทำได้ในเกม เพราะเกมนี้จะโปรแกรมค่าการพัฒนาร่างกายในเกาะฝึกฝนให้อยู่ในระดับสูง จึงสามารถใช้เคล็ดปาด ติดพัน และชักนำ จนสามารถสะเทินแรงโจมตีของพวกเขาออกและสะท้อนแรงนั้นให้ย้อนกลับไปทำร้ายพวกเขา จนเอาชนะได้ เพราะถ้าขืนไปปะทะกับแรงพวกนั้น สงสัยได้กลับมาทำสมุนไพรอยู่กับบ้านเพื่อหาเงินกลับเข้าไปเล่นใหม่แน่ ๆ” ตี๋น้อยพูดถึงเบื้องหลังการสามารถสร้างกองทหารมาได้

“ดีนะที่สมัยสามก๊กสำนักเสี่ยวลิ้มยี่ กับสำนักบู๊ตึงยังไม่เกิด ไม่อย่างนั้น การต่อสู้มันจะยากกว่านี้อีก” ตี๋น้อยทบทวนการต่อสู้ที่ผ่านมาก็อดที่จะพึมพำขึ้นมาไม่ได้ ทำให้เพื่อน ๆ ถามว่าทำไม

“วิชาการต่อสู้ในสมัยนั้นก็จะเน้นแรง และท่วงท่าการออกอาวุธ คนที่แรงเยอะกว่า เร็วกว่า และมีท่วงท่าลีลามากกว่าก็จะเป็นผู้ชนะ แต่พอถึงยุคที่สำนักเสี่ยวลิ้มยี่ และสำนักบู๊ตึงกำเนิดขึ้นมา วิชาการต่อสู้ของจีนก็เปลี่ยนเป็นการใช้กำลังภายใน การสะเทินแรง และการจับพลังของต่อสู้เพื่อหาจุดอ่อนจู่โจม ทำให้ต้องใช้ความเชี่ยวชาญในการสู้กับคนพวกนี้” ตี๋น้อยอธิบายให้สั้น ๆ และเข้าใจง่าย ทำให้เพื่อน ๆ พยักหน้าเข้าใจ

“พวกนายจะไปกรุงเทพวันนี้ใช่ไหม อย่าลืมเรื่องที่เราฝากให้ทำด้วยละ เพราะมันจะช่วยโรงงาน และเสริมรายได้ให้พวกนายด้วย”

ตี๋น้อยกล่าวขึ้น พร้อมทั้งพาเพื่อน ๆ ไปยังโรงงานที่เป็นอาคารไม้ แต่ปรุด้วยแผ่นยิบซัมอย่างดี มีความสะอาด อากาศถ่ายเทได้สะดวก และจัดสุขลักษณะอย่างดีมาก แม้จะใช้เงินในการก่อสร้างไม่มากก็ตาม

“ไม่ลืมหรอก เพราะลูกอมสมุนไพรของนายนี่มันสุดยอดมาก เรียบง่าย แต่แปลก แตกต่าง และโดนใจสุด ๆ” เจ้าเหน่งให้ความมั่นใจกับตี๋น้อย

“พูดถึงเรื่องลูกอมสมุนไพรแล้ว พวกนายเอาตัวอย่าง โบชัวร์ และนามบัตรไปด้วยแล้วใช่ไหม” ตี๋น้อยเอ่ยถามเรื่องงานที่เขาไหว้วานเพื่อน ๆ หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ หางานอดิเรกให้เพื่อน ๆ ทำ

“เอาไปแล้วละ ดีนะที่ตี๋น้อยฝึกหลักการขายให้พวกเราก่อน ไม่อย่างนั้น พวกเราเจอหน้าพวกนายห้างใหญ่ ๆ หรือเจ้าของร้านต่าง ๆ ที่กรุงเทพฯ พวกเราคงได้แต่ยืนสั่นอยู่อย่างนั้นแน่ ๆ” พูดเสร็จเจ้าโย่งก็หยิบลูกอมสมุนไพรรสมะขามป้อมมาอมหน้าตาเฉย

“เฮ้ย....แล้วมันจะเหลือถึงลูกค้าไหมเนี่ย” เจ้าเอกโวยวาย เล่นเอาเจ้าโย่งขอโทษขอโพย

“ไม่เป็นไรหรอก ถ้ากลัวไม่พอก็เอาไปเพิ่มก็ได้ แล้วบอกพวกเขาด้วยว่า แม้พวกเราจะเป็นโรงงานใหม่ แต่ก็มี อย. และเครื่องหมายฮาลาล นอกจากนั้น โรงงานเรายังมีโครงการจะส่งออกไปประเทศลาว เขมร เวียดนาม และพม่าด้วย เออ...ลืมบอก ถ้าเขาสนใจสั่งซื้อ ขอเงินล่วงหน้ามาครึ่งหนึ่งมัดจำด้วยนะ โดยแลกกับส่วนลดพิเศษให้พวกเขา ไม่อย่างนั้น เงินทุนหมุนเวียนในการซื้อวัตถุดิบของเราไม่พอแน่ ๆ”

ตี๋น้อยพยายามกำชับ ทำให้เพื่อน ๆ รับคำอย่างแข็งขัน พลางมองหน้าตี๋น้อยอย่างยกย่อง เพราะเป็นที่รู้กันว่า ขั้นตอนการขอเครื่องหมาย อย. และฮาลาลนั้น ต้องใช้เวลาในการเดินเรื่อง และต้องใช้เงินทองในการเดินเรื่อง แต่ตี๋น้อยสามารถทำให้สำเร็จได้เพียงไม่กี่วันเท่านั้นเอง ทั้งในการจัดตั้งโรงงาน และการดำเนินเรื่องจนได้เครื่องหมายทั้งสอง ซึ่งนับว่าเร็วที่สุดเป็นประวัติศาสตร์ทีเดียว

“ไม่ต้องห่วงหรอกตี๋น้อย ลูกอมโรงงานเรามีคุณภาพทั้งรูปร่าง รสชาด และเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย แถมราคายังพอ ๆ กับลูกอมที่เป็นน้ำหวานปรุงรสของบริษัทใหญ่ ๆ ด้วย แบบนี้พวกเราหลับตาไปนำเสนอ อย่างไงพวกเขาก็ต้องซื้ออยู่แล้ว ใครละจะไม่อยากให้ร้านของตัวเองมีสินค้าใหม่ ๆ ที่นำสมัยแบบนี้” เอกพูดอย่างเป็นงานเป็นการ แต่เจ้าเหน่งก็พูดอย่างเป็นรสเป็นชาดบ้างว่า

“นี่เอก...จะหลับตาไปนำเสนอจริงหรอ ได้ข่าวว่า พวกสาว ๆ ออฟฟิซที่กรุงเทพสวยนะ โดยเฉพาะฝ่ายจัดซื้อ ถ้าหลับตาแล้วจะเห็นความขาว สวย หมวย อึ๋มหรอ โอ๊ย....” คนพูดเลยโดนมะเหงกเขาหัว โทษฐานพูดเล่นไม่เป็นเรื่อง

“แหม....พูดเล่นแค่นี้ทำเป็นซีเรียส แล้วระวังเวลาเห็นสาว ๆ นุ่งสั้น ๆ อย่าให้ตาถลนออกมาละ เสียมาดประธานหมดนะ....จะบอกให้”

พูดเสร็จก็ใช้ความไวของศูนย์หน้าตัวยิงประตูแทรกเบียดเพื่อน ๆ และยืนแอบเพื่อน ๆ ไว้ ป้องกันมะเหงกที่อาจจะตกใส่หัวแทนลูกฟุตบอล


ภายในโรงงานที่สะอาดเรียบร้อย มีระบบระเบียบ ถึงแม้ว่า พนักงานส่วนใหญ่จะอยู่ในวัยกลางคน เพราะส่วนใหญ่จะเป็นแม่บ้าน เนื่องจากเป็นงานที่สร้างรายได้เสริมให้กับทางบ้าน หลังจากลูก ๆ ไปโรงเรียน และสามีไปทำงาน แต่การแต่งกายของทุกคนก็สะอาด ทั้งเสื้อผ้า ผมเผ้าที่ใส่หมวกครอบคลุมไว้เรียบร้อย มีผ้ากันเปื้อน และถุงมือยางที่ขาวสะอาด

ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนการคัดแยก การอบ การบด การผสม และการบรรจุของโรงงานนี้ ล้วนแต่มีระบบ มีระเบียบ และมีความสะอาดในขั้นที่เรียกว่าสูงมากทีเดียว นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้เครื่องหมายทั้ง อย. และฮาลาล ต่างมอบให้อย่างรวดเร็ว นอกจากนั้นแล้ว เครื่องจักรที่ใช้งานอยู่นี้ก็เป็นเครื่องจักรของวิทยาลัยเทคนิคอุดรธานีที่กำลังวิจัยอยู่ ตี๋น้อยที่รู้ข่าวจึงรีบทำโครงการขอเป็นต้นแบบในการทำ และพึ่งจะได้รับอนุมัติก่อนที่จะพาเพื่อน ๆ ไปแข่งขันกีฬาเขต ดังนั้นเพื่อน ๆ ทุกคนจึงไม่มีใครรู้เรื่องนี้ จนกระทั่ง ตี๋น้อยชักชวนมาทำ จึงรู้ว่าตี๋น้อยทำโครงการ และเตรียมงานต่าง ๆ ไว้เรียบร้อยแล้ว

แม้ว่า แผนการของตี๋น้อยจะต้องเพิ่มโครงการเกมสามก๊กออนไลน์ เข้ามาแทรกด้วย แต่แผนการดั้งเดิมที่จะเข้าสู่วงการธุรกิจของเขาก็ไม่ได้หยุดชะงักลงแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม เมื่อคู่สัญญาซื้อขายของเขารู้ว่า เขาเล่นเกมนี้อยู่ด้วย ต่างก็ยินดีที่จะสนับสนุนสินค้าของเขา เพราะถ้าตี๋น้อยโด่งดังในเกม ย่อมจะการันตีถึงคุณภาพการบริหารงานด้านธุรกิจของเขา และธุรกิจของเขาก็จะมีโอกาสในการตีตลาดต่างประเทศ ซึ่งจะทำให้เขาสามารถดึงธุรกิจที่ให้การสนับสนุนเขาตอนตั้งตัวขึ้นไปได้ด้วย

หลังจากที่ตี๋น้อยทานข้าวกับเพื่อน ๆ และอำลาเพื่อนๆ แล้วก็เข้านอน เพื่อเข้าเล่นเกมสามก๊กออนไลน์ เมื่อเวลา 13.15 น. ซึ่งภายในเกมเป็นเวลา 05.00 น. เป็นเช้าวันใหม่ อากาศที่สดชื่น และเสียงนกที่ร้องบนต้นไม้ด้านนอก ทำให้เขาออกมาจากเต้นท์ พลางเก็บเต้นท์เข้ากระเป๋ามิติของเขา

“เชื้อสายเทพนี่มีอะไรที่แปลกประหลาดจังเลยนะ”

ผู้พันเอี้ยฮุ้นซึ่งกำลังย่างเนื้อวัวป่าตัวใหญ่บนกองไฟโดยใช้ไม้เสียบทะลุตัว และทำขาหยั่ง พลางหมุนราวกับวัวย่าง 5 ดาว ได้เอ่ยขึ้น หลังจากที่เห็นการกระทำของตี๋น้อย

“พวกเราไม่แข็งแรงเท่ากับพวกท่าน จึงต้องมีเครื่องมือทุ่นแรงบ้าง ว่าแต่ออกไปล่าสัตว์มาตอนไหนหรือ”

ตี๋น้อยที่ได้กลิ่นหอมของวัวย่างก็เริ่มรู้สึกหิว แม้ว่าตอนนี้จะเป็นตอนเช้าตรู่ และในโลกแห่งความเป็นจริงแล้ว เขาจะทานข้าวมาแล้วก็ตาม

“พลังฝีมือของท่านเจ้าสัวนี่ก็ประหลาดจังเลยนะ ดูเผิน ๆ แล้วคล้าย ๆ กับการร่ายรำที่สวยงาม และดูไม่ค่อยจะออกแรงมาก ไม่เหมือนวิชาการต่อสู้ส่วนใหญ่ แต่กลับเอาชนะวิชาการต่อสู้ของพวกเราได้อย่างไม่น่าเชื่อ”

เอี้ยฮุ้นชวนผู้ที่เขายอมสวามิภักดิ์ด้วยคุย ซึ่งความจริงเขาจะแสดงความเคารพตามแบบนายทหารเคารพผู้เป็นเจ้านายต่อตี๋น้อย แต่ตี๋น้อยไม่ยอม เพราะต้องการให้ทุกคนอยู่ในฐานะของพี่น้องกันมากกว่าจะเป็นฐานะของเจ้านายกับลูกน้อง ทำให้จิตใจของคนเหล่านี้ยอมสวามิภักดิ์อย่างถวายหัว

“นี่เป็นวิชาที่อาศัยหลักการของอี้จิง และหลักของการบำเพ็ญเพียรเป็นหลัก คือหลักของปากั๊ว หรือแปดสัญลักษณ์ ผสมผสานกับการก้าวเดินแบบห้าหมู่ธาตุ รวมเป็น 13 ท่า” ตี๋น้อยนั่งที่ขอนไม้ซึ่งเหล่าทหารจัดทำขึ้น พลางเอื้อมมือรับใบไม้ที่ห่อเนื้อวัวย่างจากมือของเอี้ยฮุ้น

“วิชานี้มีชื่อเรียกว่าอะไรครับท่าน พวกข้าไม่เคยเห็นใครใช้มาก่อน”

เลี่ยงเซิน ผู้เคยเป็นมือปราบวังหลวง และมีชื่อเสียงในยุทธภพ ทำให้เขาได้มีโอกาสสัมผัสกับวิชาการต่อสู้ที่หลากหลาย แต่ก็ยังไม่เคยเห็นใครใช้วิชาอย่างตี๋น้อยเลยสักครั้ง

“เรียกว่า โฮ่ว เทียน ฝ่า” ตี๋น้อยต้องบอกชื่อที่เป็นวิชาคล้ายคลึงกับไทเก๊ก แต่เกิดขึ้นก่อนไทเก๊ก ซึ่งเป็นวิชาที่เหล่าเซียนในตำนานได้คิดค้นขึ้น

“โฮ่วเทียน (สถาวะหลังการบังเกิดของจักรวาล) สมกับชื่อเรียกจริง ๆ แต่ชื่อนี้ฟังดูเหมือนกับวิชาของเซียนผู้วิเศษเลย ถึงว่าสิ ท่านเจ้าสัวไม่ต้องใช้แรงก็สามารถสะเทินแรงโจมตีของพวกเราให้สลายไป และบางท่วงท่ายังสามารถสะท้อนแรงโจมตีให้กลับมาทำร้ายผู้โจมตีได้ด้วย” เลี่ยงเซินผงกหัวพลางนึกทบทวนลีลาท่าทางของตี๋น้อยในตอนที่พิชิตเขา และเอี้ยฮุ้น

“เฮ้อ....ยิ่งนึกก็ยิ่งไม่รู้ว่าจะหาวิธีไหนมาชนะวิชานี้ได้นะ” เลี่ยงเซินผู้ชมชอบในการประลองยุทธ์เพื่อให้ได้ชัยชนะต้องกล่าวยอมรับในความพ่ายแพ้

“ความจริงแล้ว วิชานี้ยังมีท่วงท่าเกี่ยวกับดาบ กระบี่ หอก และง้าวด้วย เอาไว้ข้ามีเวลาจะฝึกให้พวกท่านตามแต่ความถนัดของแต่ละคน” ตี๋น้อยเห็นความนิยมชมชอบของเหล่านักรบทั้งสอง จึงเอ่ยขึ้น

“จริงหรือครับท่าน อย่างนี้พวกเราก็สามารถบุกตะลุยฝ่าทหารนับพันนับหมื่นได้โดยไม่สิ้นเปลืองเรี่ยวแรงเลยสิ วิเศษไปเลย”

เสี่ยงเซินร้องขึ้น โดยมีเอื้ยฮุ้นสนับสนุนด้วย ทำให้เหล่าทหารที่เหลืออีก 13 คนเข้ามาร่วมกลุ่ม และสอบถาม พอรู้เรื่องก็โห่ร้องอย่างดีใจ

“ดีแล้วที่พวกท่านชอบ เอาไว้พวกเรายึดเกาะนี้ได้ และจัดการป้องกันให้เกาะนี้จนเข้มแข็งเหมือนกับกระดองเต่า จนกลายเป็นซุ่มฝึกฝนกำลังคนของพวกเราอย่างดีเมื่อไร ข้าจะฝึกสอนให้กับทุกคนตามความถนัดทันที”

ตี๋น้อยเอ่ยปากกล่าวถึงแผนการของตนเองขึ้นมา ทำให้นักรบทุกคนประสานมือคารวะ และรับคำอย่างหนักแน่น และกระตือรือร้นที่จะทำให้แผนการนี้สำเร็จลงในเร็ววัน




 

Create Date : 15 ตุลาคม 2554    
Last Update : 15 ตุลาคม 2554 21:10:05 น.
Counter : 256 Pageviews.  

บทที่ 15 ฝึก ฝึก ฝึก และ ฝึก

“ใช้จิตสำนึกภายใน  ไม่ใช่ท่าทางภายนอก”   จาง ซัน เฟิง ปรมาจารย์สำนักบู๊ตึง

“ปรปักษ์ไม่อาจตรวจสอบความตั้งใจของท่าน แต่ท่านล่วงรู้และเข้าร่วมกับความตั้งใจของเขา ผู้ใดสำเร็จหลักการข้อนี้ จะเป็นผู้ที่ไร้เทียมทาน”    หวัง จง เยว่  ผู้ก่อตั้งไทเก๊กตระกูลหวัง


”อืม.....สามก๊กเกิดปี คศ.220-280 หลังจากนี้ไปอีก 250 ปี เส้าหลินจึงเกิด และถัดมาจากเส้าหลิน 850 ปี วิชาไทเก๊กจึงเกิดขึ้น”

ในเนินเขาที่ลี้ลับแห่งหนึ่ง บนเนินเขาสูงนั้นมีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่ทำให้บริเวณนั้นดูร่มรื่น บนก้อนหินใหญ่ใต้ต้นไม้ ตี๋น้อยนั่งดูข้อมูลอย่างสบายอารมณ์ ซึ่งข้อมูลที่ดูจะเป็นข้อมูลของวิชาการต่อสู้ต่าง ๆ

“มิยาโมโต้ มุซาชิ กล่าวไว้ในคัมภีร์ห้าห่วงว่า รู้เพียงหนึ่ง รู้ซึ้งถึงหมื่น สงสัยต้องเลือกวิชาการต่อสู้แค่อย่างเดียวให้ชำนาญซะแล้ว”

“มวยไทยโบราณ รุนแรง ฉับไว พลิกแพลง และไร้เทียมทาน”

ตี๋น้อยดูข้อมูลของมวยไทยโบราณ โดยเฉพาะหลักการจับ หัก ทับ ทุ่ม ที่ขาดหายไปจากมวยไทยปัจจุบัน โดยวิชานี้จะเน้นการใช้แรงเสริมจากศัตรูจู่โจมศัตรู และการใช้ประโยชน์จากพลังแห่งวงจร เช่นเดียวกับวิชามวยไทเก๊ก

“ไทเก๊ก ยืดหยุ่น พลิกแพลง และซ่อนเร้นร่องรอย นอกจากนั้นยังเน้นการฝึกกำลังภายในเพื่อให้มีสมาธิที่ดีอีกด้วย”

ในบรรดาวิชาที่มีมากมายในโลกนั้น ตี๋น้อยชอบที่สุดก็คงจะเป็นวิชามวยไทยโบราณ และวิชาไทเก๊ก หรือที่รู้จักกันทั่วโลกว่า ไท่ จี๋ เฉวียน(Tai Chi Chuan)

“เสียดายมวยไทยแฮะ แต่คงต้องฝึกวิชาไทเก๊กที่้เรามีพื้นฐานมาแล้ว เพราะที่นี่เป็นเมืองจีน และวิชาไทเก๊กก็คล้าย ๆ กับวิชาของเซียนผู้วิเศษ เนื่องจากผสมผสานการหายใจแบบเต๋าเอาไว้ด้วย ซึ่งตรงกันข้ามกับวิชามวยไทยที่เป็นวิชาของนักสู้ผู้กร้าวแกร่ง ดังนั้น เมื่อเราจะทำตัวให้ผู้คนยอมรับนับถือ ก็คงจะต้องเลือกวิชาที่พวกเขาเคารพนับถือด้วย”

ตี๋น้อยสรุปวิชาที่ต้องฝึก ซึ่งนับว่าถูกต้อง เพราะมวยไทยต้องใช้สถานที่ฝึกซ้อมแบบเฉพาะ แต่ไทเก๊กนั้นแค่มีพื้นที่นิดหน่อยก็สามารถฝึกได้ โดยเฉพาะตี๋น้อยที่เริ่มจะมีเวลาฝึกฝนน้อยลงไปทุกทีจึงต้องเลือกวิชาที่เขามีพื้นฐานดีอยู่ก่อนแล้ว เพราะข้าศึกเริ่มยกทัพมาตามล่ากระชั้นเข้ามาทุกขณะ

เฮิง..............ฮ่า.................

บนก้อนหินใหญ่ที่ราบเรียบ มองเห็นตี๋น้อยกำลังฝึกฝนวิชา ไท่ จี๋ ชี่ กง ซึ่งเป็นกำลังภายในของวิชาไท่เก๊ก มองเห็นตี๋น้อยกำลังอยู่ในท่ายืน และหายใจแบบไท่เก๊ก เพื่อฝึกลมปราณ หรือพลังชี่ เห็นมือยกขึ้น ขยับลงแบบช้า ๆ จนครบทั้ง 14 ท่า
เมื่อครบทั้ง 14 ท่า มองเห็นร่างที่สูงเพียวราวกับนายแบบกำลังยืนสงบนิ่ง เป็นการทำสมาธิจากท่ายืน ผ่านไปครึ่งชั่วโมง จึงเห็นตี๋น้อยค่อย ๆ นั่งลงแบบท่าดอกบัวเต็มเพื่อเข้าสมาธิในท่านั่ง ซึ่งท่าดอกบัวเต็มนี้ถ้าฝึกฝนจนชำนาญ จะสามารถนั่งท่าขัดสมาธิเพชร ที่เป็นวิชาสมาธิของทางพุทธ

แม้ว่าบัดนี้เป็นเวลาเที่ยงแล้ว แต่บนก้อนหินใต้ร่มไม้ใหญ่บนทิวเขาลี้ซานยังคงร่มรื่น และมองเห็นชายหนุ่มรูปงามสมส่วนกำลังร่ายรำมวยไทเก๊กในแบบโบราณ คือมวยไทเก๊ก 13 ท่าที่เป็นแบบดั้งเดิม ซึ่งเป็นหลักวิชาที่เน้นพลังทั้งแปดมากกว่าท่าทาง

พลังทั้งแปดในวิชาไทเก๊กนั้นเรียกว่า ปาเหมิน หรือแปดประตู ประกอบด้วย สี่ทิศตรงคือ ปัดออก ดึงกลับหลัง กดไปข้างหน้า และผลัก สี่ทิศเฉียงคือ การใช้ศอก การแยก ฉุดลงล่าง และใช้ไหล่

ด้วยความสูง187 ซม.ของชายหนุ่มผู้นี้ดูจะเป็นความสูงที่ปกติสำหรับคนในยุคสามก๊กนี้ ยกเว้นนักรบบางคนที่อาจมีความสูงถึง 2 เมตรกว่าเช่น เตียวหุย และกวนอู เป็นต้น

ตี๋น้อยได้ใช้สถานที่นี่เป็นที่ฝึกหัดกำลังภายใน และวิชาไทเก๊กเป็นเวลาถึง 2 อาทิตย์แล้ว เนื่องจากเป็นสถานที่เงียบสงบ และการขึ้นมาที่นี่ต้องลำบากในการปีนป่าย ซึ่งเขาคิดว่า เหล่าทหารที่มาจากกลุ่มต่าง ๆ ในเมืองฝึกฝนคงไม่ตะเกียกตะกายมาที่นี่

แกรก......................

เสียงดังแผ่วเบาดังมาจากด้านเชิงเขา และกำลังมุ่งตรงมาทางนี้ แต่ตี๋น้อยยังคงร่ายรำมวยไท่เก๊กต่อจนจบรอบ

“ไม่นึกว่าจะมีแขกมาเยี่ยม ยินดีต้องรับเข้าสู่นิวาสสถานของเจ้าสัว” ตี๋น้อยหันไปมองผู้ที่สวมชุดทหารประจำเมืองฝึกฝนทั้ง 15 คน ซึ่งมีอยู่ 4-5 คนที่เขาจำได้ลาง ๆ

“อืม....ดูเยือกเย็น และไม่ลนลาน แต่วันนี้คงต้องขอหัวของท่านไปยื่นให้กับโจโฉซะแล้ว” ร่างของชายผอมสูงใช้ดาบเป็นอาวุธได้กระโดดขึ้นมาบนก้อนหิน พร้อมกับตวัดดาบเข้าใส่ตี๋น้อยทันที

ควับ...................วูบ..........................

ร่างของตี๋น้อยเพียงแค่เอียงตัวออกด้านหลังไปเล็กน้อยก็รอดจากดาบไวไปได้ ทำให้เจ้าของดาบรีบวาดดาบเพื่อหวังจะโจมตีอีกครั้ง แต่ไม่ทันร่างของตี๋น้อยที่ย่างก้าวเข้ามาด้วยท่ารุดหน้าที่ดูเหมือนเชื่องช้า แต่แวบเดียวกับเข้าใกล้กับชายผู้ใช้ดาบไว จนเข้ามาใกล้เกินที่จะใช้ดาบฟาดฟันได้

วูบ....................วูบ.....................

แต่ชายที่ใช้ดาบไวก็ร้ายกาจยิ่งนัก เขาสามารถที่จะดึงแขนเข้ามา แล้วตวัดดาบด้วยข้อมือ ทำให้วงจรของดาบสั้นลง แต่ตี๋น้อยก็ยังสามารถใช้มือสัมผัสตัวดาบ เพื่อชักนำให้ดาบนั้นสูญเสียทิศทาง ก่อนที่จะก้าวเท้าเข้ามากึ่งกลางระหว่างขาของชายที่ใช้ดาบ พร้อมกับใช้ไหล่โจมตี และมือข้างที่ใช้ไหล่โจมตีนั้นก็โค้งงอเพื่อจะปล่อยพลังฉันซือจิ้ง หรือพลังรังไหมเข้าใส่ปรปักษ์ด้วยศอก

วูบ....................พรึบ.....................

ชายผู้ใช้ดาบไวก็ร้ายกาจยิ่งนัก รีบปล่อยดาบ พร้อมกับพุ่งตีลังกากลับหลัง พร้อม ๆ กับหอกที่พุ่งเข้าเสียบร่างของตี่น้อย แต่ตี๋น้อยที่ร้ายกาจตั้งแต่ตีความวิชาไทเก๊กที่เคยฝึกแต่เล็กได้นั้นก็ใช้มือที่จะตีศอกนั้นหมุนวนจนหอกเปลี่ยนทิศทาง

พรึบ.....................วูบ......................

เจ้าของหอกสามารถดึงหอกกลับหลัง ทำให้หลุดพ้นจากวงจรพลังของเขาได้ และพุ่งหอกเข้ามาเสียบที่ขาของเขาอย่างรวดเร็ว

ตี๋น้อยจำได้ว่า ผู้ที่ใช้หอกนี้เป็นนายทหารที่ดูแลประตูทิศตะวันออก และเป็นคนที่บอกทางลับให้กับเขา

วูบ.....................วูบ.......................

เมื่อเข้าถึงหลักของความจริง-เท็จ อ่อน-แข็ง ว่าง-เต็ม หนัก-เบา ของวิชาไทเก๊กแล้ว ไม่มีทางที่ศัตรูจะสามารถทิ่มแทงเท้าของเขาได้ เพราะเท้าทั้งสองข้างสามารถเป็นได้ทั้งจริง และเท็จ ซึ่งแค่ขยับเล็กน้อย หอกที่แทงเข้ามานั้นก็พลาดเป้าหมาย และยังถูกตี๋น้อยใช้เท้าสอดหอกหมุนแล้วเตะจนหอกกระดกขึ้น เปิดให้เห็นช่องว่างตรงหน้าอก

“เดี๋ยวก่อนครับ ท่านตี๋น้อย พวกผมมาดี”

เอี้ยฮุ้นที่กำลังจะพลาดท่ารีบพูดออกมาทันที และฝ่ามือของตี๋น้อยจ่ออยู่ที่หน้าท้องของเขา มองเห็นหน้าของตี่น้อยอยู่แทบจะชิดหน้าของเขา และทันใดนั้น ร่างของเขาก็ลอยพ้นจากพื้นพุ่งลงไปเบื้องล่างทันทีด้วยพลังถอนรากปรปักษ์ทันที

ควับ........................อุ๊บ...........................

ผู้ที่อยู่ด้านล่างก้อนหินรีบปล่อยอาวุธ และรับตัวของเอี้ยฮุ้นที่ถูกสยบ และกำลังจะหล่นลงพื้น แม้ว่าจะรับเอี้ยฮุ้นได้ แต่ก็ทำให้เอี้ยฮุ้นจุกจนพูดไม่ออก ด้วยพลังฉันซือจิ้งที่แฝงมากับฝ่ามือนั้น

“พวกเรามาดีครับ เพียงแต่พวกเราอยากเห็นฝีมือของท่านก่อน แต่นั่นไม่ได้เป็นความคิดของผู้พันนะครับ เป็นความคิดของข้าเอง” เลี่ยงเซินที่เก็บดาบเข้าฝัก ได้น้อมกายคารวะ

“ข้ารู้ว่าพวกท่านแค่ทดสอบฝีมือของข้า ไม่อย่างนั้นคงไม่แสร้งเดินเหยียบไม้แห้งก่อนจะเข้ามาที่นี่หรอก” ตี๋น้อยคารวะตอบ พร้อมกับบอกความคิดเห็นของเขาให้ฟัง

“อีกอย่าง ท่วงท่าของดาบ และหอกของท่านแม้ร้ายกาจ แต่ไม่มีรังสีอำมหิตคิดฆ่าฟัน ดังนั้นข้าจึงเชื่อว่า พวกท่านต้องการมาหาข้าเพื่อเหตุผลอื่น ไม่ใช่การจับกุมข้า”

“ข้าเอี้ยฮุ้น อดีตผู้พันเมืองฝึกฝน น้อมคารวะท่านเจ้าสัว พวกเรามีกำลังรบหลัก 132 คน ยินดีที่จะรับใช้ท่านเจ้าสัว อนุญาตให้พวกเราติดตามท่านด้วยนะครับ”
เมื่อพิสูจน์ทราบถึงฝีมือการต่อสู้ ไหวพริบ และสติปัญญาแล้ว ผู้นำกลุ่มอย่างเอี้ยฮุ้นก็ยอมรับใช้ตี๋น้อยอย่างเต็มใจทันที

“ข้าอุ้ยต่งจิ้น อดีตทหารเมืองฝึกฝน ทำหน้าที่เสนาธิการของกลุ่ม ยินดีที่จะรับใช้ท่านเจ้าสัว”

“ข้าหวังซื่อ อดีตทหารเมืองฝึกฝน ยินดีที่จะรับใช้ท่านเจ้าสัว”

“ข้า หม่าชิง อดีตทหารเมืองฝึกฝน ยินดีที่จะรับใช้ท่านเจ้าสัว”

“ข้าหมิงสง อดีตทหารเมืองฝึกฝน ยินดีที่จะรับใช้ท่านเจ้าสัว”

“ข้าเลี่ยงเซิน อดีตมือปราบวังหลวง และรองหัวหน้าผู้กล้าหาญแห่งเขาไท่ซาน ยินดีที่จะรับใช้ท่านเจ้าสัว”

“ข้า ปังอี้เซียง ผู้กล้าหาญแห่งเขาไท่ซาน ยินดีที่จะรับใช้ท่านเจ้าสัว”

“ข้า เจี่ยอวี้ ผู้กล้าหาญแห่งเขาไท่ซาน ยินดีที่จะรับใช้ท่านเจ้าสัว”

“ข้า หูเห่ยหนาน ผู้กล้าหาญแห่งเขาไท่ซาน ยินดีที่จะรับใช้ท่านเจ้าสัว”

”ข้า เคอซิน ผู้กล้าหาญแห่งเขาไท่ซาน ยินดีที่จะรับใช้ท่านเจ้าสัว”

“ข้า ซิวเสินจวี้ ผู้กล้าหาญแห่งเขาไท่ซาน ยินดีที่จะรับใช้ท่านเจ้าสัว”

“ข้า ลิ่วมู ผู้กล้าหาญเขาแห่งไท่ซาน ยินดีที่จะรับใช้ท่านเจ้าสัว”

“ข้า ไซ่จิว ผู้กล้าหาญเขาแห่งไท่ซาน ยินดีที่จะรับใช้ท่านเจ้าสัว”

“ข้า ยู่ฟ่าน เป็นอดีตนายร้อยกองกำลังรักษาคุกลับ ยินดีที่จะรับใช้ท่านเจ้าสัว”

“ลูเขียน อดีตกองกำลังรักษาคุกลับ ยินดีที่จะรับใช้ท่านเจ้าสัว”

“เชิญนั่งบนก้อนหินใหญ่นี่ก่อน เราผู้มีนามว่าเจ้าสัวไม่มีสมบัติติดตัวใด ๆ เหตุใดพวกท่านจึงอยากที่จะมาเข้าร่วมกับข้า” ตี๋น้อยที่คารวะตอบทุกคน และจดจำชื่อ และหน้าตาท่าทางของแต่ละคนไว้อย่างขึ้นใจ จึงเอ่ยถามขึ้นอย่างแปลกใจ

“เพราะท่านเป็นคนแรกที่โจโฉกลัว จนต้องสั่งทหารพิเศษมาเก็บก่อนที่ท่านจะจบการศึกษาจากที่นี่ไป ย่อมแสดงให้เห็นว่า ท่านจะต้องเป็นคนที่มีความสามารถมาก และความจริงจากการทดสอบของพวกเราก็ยืนยันให้เห็นว่า พวกเราคิดถูกต้องที่สุด” อุ้ยต่งจินตอบแทนกลุ่ม ทำให้ตี๋น้อยยิ้มแย้มด้วยความดีใจ

“พวกท่านมีทั้งความกล้าหาญ ฝีมือ และความเฉลียวฉลาด นับเป็นบุญของเราที่พวกท่านยอมเข้าร่วมกับเรา ความเป็นจริงแล้ว โจโฉกับเราเป็นพี่น้องคนละแม่ แต่นิสัยของโจโฉไม่ยอมให้ใครที่จะแย่งชิงสิ่งที่เขาคิดว่าเขาสมควรได้ เขาจึงคิดจะกำจัดเราตั้งแต่เริ่มแรก เพื่อไม่ให้เราได้รับการยอมรับจากพ่อ และรับมรดกจากทรัพย์สินมหาศาลของพ่อข้า” ตี๋น้อยเปิดอกคุยกับเหล่ายอดฝีมือทั้ง 15 คน

“แต่ต้องพูดอีกว่า ข้าเองก็อยากที่จะกำจัดโจโฉจากโลกใบนี้เหมือนกัน เพราะถ้าปราศจากโจโฉ โลกใบนี้ก็จะสงบสุข และทุกคนก็จะมีความสุขกันมากกว่าที่เป็นอยู่นี้ ดังนั้น ข้าจะต้องปราบโจโฉ และสงบแผ่นดินให้ได้”

ตี๋น้อยประกาศออกมาด้วยสำเนียงที่ทรงอำนาจ ทำให้เหล่ายอดฝีมือทั้ง 5 คนต่างคุกเข่าลงคำนับด้วยความพึงพอใจในผู้นำที่พวกเขาเลือกที่จะถวายชีวิตให้






Free TextEditor




 

Create Date : 15 ตุลาคม 2554    
Last Update : 15 ตุลาคม 2554 16:04:13 น.
Counter : 352 Pageviews.  

บทที่ 14 ปล่อยให้สายน้ำเชี่ยวไหลผ่านไป

“เมื่อกระแสน้ำไหลหลั่งถั่งโถมเข้ามา จงปล่อยให้ไหลไปตามทางอย่าขวางกั้น เพราะน้ำที่ไหลเชี่ยวนั้นมีพลังที่แรงกล้านัก แต่เมื่อไรที่น้ำเริ่มอ่อนแรง จึงจะสร้างเขื่อนกั้นเพื่อล้อมกักเอาไว้ใช้สอยต่อไป”

เป็นคำกล่าวของตี๋น้อยก่อนที่จะลับหายไปจากแนวป่า เพื่อเข้าสู่การฝึกวิชาของตนเองในที่ลึกลับกลางป่าดงดิบ โดยไม่ได้สนใจเหล่ากองทัพที่กำลังไล่ล่า เพื่อรอวาระ และโอกาสที่จะมาถึงในเวลาไม่นานนี้

ภายในป่าดงดิบ เหล่าผู้เล่นใหม่ที่ยังไม่เคยผ่านวิชาการทหาร แม้บางคนจะเคยเรียนทางทฤษฏีมาแล้ว แต่เมื่อมาพบกับสภาพที่โหดร้ายของป่าดงดิบ ก็ต้องเดิน ๆ หยุด ๆ เนื่องจากไม่ได้เตรียมการสำหรับจะผจญกับภัยอันตรายในป่าแห่งนี้นั่นเอง

“อี่เทียน พวกเราจะไม่ไหวแล้วนะ ตัวเอง” เจิงเจิน 1 ใน 16 นงคราญพยุงร่างอันใหญ่โตโซเซมายังอี่เทียนที่กำลังกางแผนที่อ่านอยู่บนหลังม้า

“เราพึ่งเดินมาได้ไม่กี่ลี้เอง ถ้าเดิน ๆ หยุด ๆ อย่างนี้ เมื่อไรเราจะสามารถจับกุมเจ้าตี๋น้อยกลับไปให้ท่านโจโฉได้”

อี่เทียนมองนงคราญเทียมอย่างเจิงเจินแล้วอึดอัด การเรียนโรงเรียนจอมฟ้าแม้ว่าจะมีระบบการเรียนการสอนที่ดีเลิศ แต่เสียอยู่อย่างเดียวคือ ให้นักเรียนสบายเกินไป ทำให้ไม่สมบุกสมบั่นเหมือนในยุคแรก ๆ ดังนั้น เมื่อนักเรียนเรียนจบออกไปจึงไปรับราชการมากกว่าการบุกเบิกแนวทางตัวเองเหมือนนักเรียนรุ่นแรก ๆ

“เรื่องนั้นเอาไว้ทีหลังเถอะนะ ตอนนี้แก้สถานการณ์เฉพาะหน้าไปก่อนเถอะ ไม่รู้ว่าเป็นไร เหมือนจะหมดแรงอย่างไรไม่รู้ ไม่เคยเป็นมาก่อน”

เจิงเจินหน้าเริ่มซีดขาว และเหงื่อเริ่มทะลักออกมาเต็มหน้า แต่ทว่า อี่เทียนไม่ได้สังเกตสนใจในรายละเอียดของลูกน้อง คิดแต่ว่าลูกน้องชอบอู้ จึงสั่งให้เดินทางต่อไป จนกระทั่ง......

โครม..........................

ร่างที่ใหญ่ยักษ์อย่างเจิงเจินได้ล้มฟาดลงกับพื้น ทำให้ขบวนทหารที่เดินอย่างมีระเบียบต้องหยุดยั้งลงทันที

“อี่เทียนหยุดก่อนค๊า” เจิงจิน พยุงหุ่นนักซูโม่ของตนวิ่งตามม้าที่เดินออกหน้าทหาร

“อี่เทียน เจิงเจินเป็นลม รีบมาช่วยกันก่อนเถอะ”

“16 นงคราญอยู่พยาบาลพรรคพวกของตัวเองก่อน แล้วที่เหลือเร่งเดินทางค้นหาเป้าหมายต่อ” สิ้นเสียงสั่งของอี่เทียน เจิงจินแทบล้มทั้งยืน แต่ยังฝืนใจร้องถามด้วยน้ำตาคลอว่า

“ทำไม.....ทำไมไม่เห็นใจพวกเรา”

“ในกองทัพ ทุกคนต่างมีหน้าที่ และถ้าหากใครไม่รักษาหน้าที่ของตนเองย่อมมีโทษตามกฎของกองทัพ บัดนี้ข้าอุตส่าห์ผ่อนผันให้กับพวกเจ้า ไม่ลงโทษที่ทำให้งานล่าช้า เพราะฉะนั้น จงสำนึกเอาไว้ด้วย”

อี่เทียนบอก พลางสั่งกองทัพเพื่อให้ค้นหา โดยการจัดแถวเป็นหน้ากระดาน ใช้หอกและดาบค้นหาเป้าหมายตามที่รกทึบราวกับไล่ล่าโจรป่าที่หมดทางสู้จนต้องซุ่มซ่อนตัวในที่รกทึบ ซึ่งยิ่งทำให้ทหารมีความยากลำบากมากกว่าปกติ และเคลื่อนที่ได้ช้ากว่าเดิม และพบอันตรายได้มากกว่าปกติ

“เกิดอะไรขึ้นกับยัยเจิน”

เจิงจินที่เดินคอตกกลับมา เห็นเสื้อผ้าของเจิงเจินที่สลบอยู่ถูกถอดออก และมีรอยเลือดที่ขาทั้งสองข้างจนเลือดโชก และข้าง ๆ นั้น เพื่อน ๆ กำลังช่วยกันก่อไฟ

“ทาก” เจิงเชียน หรือที่เพื่อน ๆ พากันเรียกใหม่ว่า นังหมีน้อย พูดสั้น ๆ เล่นเอาเจิงจินขนหัวลุก

นังหมีน้อยได้ใช้ท่อนไม้เล็ก ๆ เท่านิ้วมือ จ่อเข้ากับกองไฟเพื่อให้ไฟติดลุกแดงที่ปลายไม้ จากนั้นก็นำมาจ่อเข้ากับตัวทาก

ฟู่..................ฟู่......................ตุบ...........................

เมื่อทากโดนความร้อนก็งอตัว และหลุดจากขาของเจิงเจินร่วงหลุดลงพื้น และโดนเหล่าเพื่อน ๆ เจิงเจินที่โกรธแค้นคว้าดุ้นฟืนมาเผาจนตาย มองเห็นนังหมีน้อยได้ใช้น้ำล้างแผลของเจิงเจิน และทายาให้จนเลือดหยุดไหล

“เฮ้อ.....กระเทยใหญ่ โดน กระเทยเล็กกัดจนได้เรื่อง” นังหมีน้อยพูดขึ้น จนคนที่เหลือทำหน้าสงสัย

“เอ๊า.....มัวแต่สงสัยอยู่นั่นแหละ ถอดชุดออกสิ คนที่ทั้งเหนื่อยทั้งโดนทากดูดจนเลือดไหลไม่หยุดมันก็จะเกิดโรควูบได้นะ”

สิ้นเสียงของนังหมีน้อย ทั้งหมดก็ถอดชุดออกมา สำรวจร่างกายตนเอง พบว่า โดนทากกัดที่ขาไป 3 คน โดนเจาะที่คอไปอีก 1 คน เล่นเอาวี๊ดว๊ายกระตู้หู้กันไปเป็นแถว ๆ

“เป็นไงยะ เคยแต่ดูดคนอื่น โดนดูดมั๊งเป็นไงละ พวกทากนี่มันก็เหมือนพวกเรานะแหละ มีสองเพศในตัวเอง เรียกว่ากระเทยจิ๋วก็ได้” นังหมีน้อยสาธยายสรรพคุณของสัตว์ประเภทเดียวกับตนเอง จนคนฟังทำหน้าแหยเก

“มัวแต่ว่าคนอื่น ไม่เห็นแกถอดชุดเลย ปานนี้มันไม่เจาะเข้าไปในช่องแปลงเพศแกแล้วหรอ นังหมีน้อย” เจิงเจิง หรือ นังเจิงของเพื่อน ๆ สวนกลับนังหมีน้อยทันที ทำให้คนที่รู้จักกับทากรีบถอดเสื้อผ้าทันที

“ว๊าย ๆ ๆ โดนเหมือนกัน ดูสิ เลือดแดงเถือกไปหมด ยี้.......” นังหมีน้อยเต้นกรี๊ด ๆ ก่อนที่คนอื่นจะมีจับไว้ และเพื่อนอีกคนชื่อเจิงจิง หรือนังจิง เอาเกลือมาโรยใส่ทาก จนทากตกลงพื้นตายทันที

“ตายง่ายจัง มีวิธีนี้ด้วยหรอ” นังหมีน้อยอ้าปากค้าง เพราะนึกว่าจะโดนไฟจี้ซะแล้ว

“มีวิชาแต่ตัวเองหรือไงย่ะ คนอื่นก็มีเหมือนกันนะ เราเห็นมันคล้าย ๆ ปลิง ก็เลยลองใช้วิธีเดียวกับปลิงดู ใช้ได้ด้วย” นังจิงกระโดดโลดเต้นใหญ่ที่รู้ แต่แล้วกลับทำหน้าเศร้า แล้วร้องไห้ทันที

“ฮือ ๆ ๆ ๆ”

“เย้ย....ร้องไห้ทำไมอะ” เพื่อน ๆ สงสัย

“ก็พวกเราถูกทิ้งนะสิ สาวสวยทั้ง 16 คน โดนทิ้งไว้กลางป่าลึก ฮือ ๆ ๆ” พอคนหนึ่งร้องไห้ อีก 15 คนที่เหลือก็พากันร้องไห้ตามทันที จนเสียงร้องไห้ระงมไปทั้งป่า

มีคนกล่าวว่า อำนาจ ชื่อเสียง และทรัพย์สินเงินทอง ทำให้มนุษย์เปลี่ยนไป แต่ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้มนุษย์เราเปลี่ยนไปแม้แต่น้อย แต่....มันทำให้คน ๆ นั้นมีความเป็นตัวของตัวเองเด่นชัดขึ้นจนเผยธาตุแท้ของตัวเองออกมาต่างหาก

ด้วยว่า อำนาจ ชื่อเสียง และ ทรัพย์สินเงินทอง จะทำให้สิ่งที่กักเก็บไว้ในจิตใจไม่ว่าด้านดี หรือด้านชั่ว ปรากฏเด่นชัดออกมา ดังเช่นกรณีของอี่เทียน....


“มากันครบหรือยัง” เอี้ยฮุ้นที่เดินทางออกทางประตูทิศใต้ และได้มาที่จุดนัดพบชายป่าดงดิบทางทิศตะวันออก ซึ่งเป็นทิศทางเดียวกับที่ตี๋น้อย และกองกำลังไล่ล่าทั้ง 900 คนใช้เดินทาง

“ครบแล้วครับ ทั้งเหล่าทหาร และบรรดาครอบครัวของพวกเขา” อุ้ยต่งจิ้นกล่าวรายงาน

“เราจะเข้าไปตั้งหลักอยู่ที่เทือกเขาลี่ซาน ที่ทอดจากทิศตะวันออก ทอดผ่านลงไปทางใต้ ให้นายกองทั้ง 3 นำทหารซึ่งเป็นอดีตนักโทษ และครอบครัวทหารไปทางใต้ ตั้งค่ายอยู่แถบภูเขา ซึ่งจะมีแม่น้ำไหลผ่าน ให้รออยู่ที่นั่นจนกว่าพวกเราจะไปรับ และอย่าลืมจัดทีมลาดตระเวนเสบียงให้เรียบร้อย อย่าให้ขาดเหลือ หรือมีใครอดอยาก” เอี้ยฮุ้นสั่งการ

“ครับท่าน” เดงยี ตองสู และเชนบี ซึ่งเป็นนายกองของทหารรักษาคุกลับน้อมรับ

“ส่วนที่เหลือ เราจะเข้าไปตั้งทัพเพื่อปิดทางถอยของพวกทหารใหม่ที่ไปไล่ล่าท่านตี๋น้อย และให้จัดหน่วยเคลื่อนที่เร็วสัก 15 คน หลีกหลบทัพทหารเหล่านี้ตรงไปสมทบกับท่านตี๋น้อย และนำพาท่านมาที่นี่ เพราะจะได้หารือยุทธวิธีด้วยกัน” เอี้ยฮุ้นสั่งการขึ้น ทำให้เอี้ยวจิ้งเจิง อดีตหัวหน้าโจรเขาไท่ซานกล่าวเสริมขึ้นว่า

“หน่วยเคลื่อนที่เร็วคงต้องรบกวนท่านเอี้ยสักครั้ง เพราะว่าคนอื่น ๆ ไม่รู้จักท่านตี๋น้อย นอกจากท่านคนเดียว”

“จริงสิ ข้าลืมไป งั้นข้าขอตัวเลี่ยงเซินไปด้วยนะ จะขอพึ่งดาบไวของเขาสักหน่อย” เอี้ยฮุ้นพยักหน้าให้กับเอี้ยวจิ้งเจิงในความรอบคอบ

“ได้สิ งั้นข้าจะสร้างค่ายชั่วคราวหลบมุมในดงทึบนั่น จากประสบการณ์ของข้าแล้ว เหล่ากองทัพแม้ผ่านมาทางนี้ก็ไม่มีทางรู้หรอกว่า พวกเราตั้งค่ายอยู่ที่นี่”

“อืม...แล้วแต่การวินิจฉัยของท่าน และข้าขอให้ท่านจัดกำลังพลออกล่าเสบียงเตรียมไว้ให้มากหน่อย ข้าเชื่อว่า ไม่นานเสบียงเหล่าทหารใหม่ต้องหมดลง เมื่อนั้น เราอาจได้ใช้เสบียงมาซื้อตัวทหารเหล่านั้นก็เป็นได้” เอี้ยฮุ้นแนะนำ ทำให้เอี่ยวจิ้งเจิงหัวเราะขึ้นมา

“ท่านนี่มีนิสัยมองการณ์ไกลจริง ๆ ข้าชอบ แบบนี้สิ การร่วมงานของเราจะได้สนุกยิ่งขึ้น”

“แน่นอนอยู่แล้ว ยิ่งเราได้ท่านตี๋น้อยมาเป็นพวกด้วยแล้ว พวกเราจะเป็นพยัคฆ์ติดปีกทันที และความยิ่งใหญ่รอเราอยู่เบื้องหน้าอย่างแน่นอน เชื่อข้าเถอะ สายตาข้าแจ่มใสมองคนไม่ผิดหรอก”

สิ้นคำของเอี้ยฮุ้น อดีตหัวหน้าโจรหัวเราะชอบใจในเจ้านายที่เขาไม่เคยเห็นหน้า แต่สามารถสร้างความนับถือเลื่อมใสให้ผู้มีปัญญาและฝีมือเช่นนายพันทหารคนนี้ และยังสามารถสร้างความพะวักพะวง และความระแวงให้เกิดขึ้นกับโจโฉได้ นี่น่าจะเป็นเรื่องที่สนุกสนานในโลกนี้ต่อไป


“อุ้ยตี๋ ท่านคิดอย่างไรเกี่ยวกับขงหยง มันใช่ไร้ปัญญาหรือไม่ ที่ส่งทหารมาตายเช่นนี้” เอี้ยฮุ้นที่ตามรอยของทหารมา พร้อมกับหน่วยเคลื่อนที่เร็ว ซึ่งคัดมาแต่ทหารชั้นยอดจำนวน 15 คน

เมื่อเห็นร่องรอยของการเดินทัพของฝ่ายทหารใหม่เมืองฝึกฝน ทำให้เห็นความไร้ปัญญาของผู้นำทัพหลัก และความด้อยประสบการณ์ของทัพรอง ซึ่งระดับผู้เชี่ยวชาญด้านพิชัยสงครามอย่างเอี้ยฮุ้นย่อมหยั่งรู้ถึงอนาคตของทหารกลุ่มนี้ได้ไม่ยากนัก

“มันเป็นคนที่เยือกเย็น เหี้ยมเกรียม ฉลาด แต่ขาดเฉลียว เพื่อให้เป้าหมายสำเร็จไม่สนใจในวิธีใช้” คำตอบของอุ้ยต่งจินทำให้อดีตนายพันต้องถามขึ้นว่า
“หมายความว่าอย่างไร”

“หลักการตามล่าคนในป่าดงดิบ ต้องใช้พรานนำทางที่เชี่ยวชาญเส้นทางในป่าเดินนำหน้าเหล่าทหารหน่วยชาญศึก นอกจากนั้นแล้ว ต้องวางกำลังเสริมตามจุดต่าง ๆ ที่เป็นจุดหลัก ๆ ในป่า และเชื่อมโยงติดต่อกันให้ตลอดทั้งแนว เมื่อนั้น คนที่อยู่ในป่าดงดิบก็จะไปไหนไม่รอด” อุ้ยต่งจินวิเคราะห์หลักการให้ฟัง ทำให้เอี้ยฮุ้นต้องถามอีกว่า

“หลักการนี้ขงหยงน่าจะรู้ไหม”

“นี่เป็นหลักการประยุกต์ที่ผู้เล่าเรียนพิชัยสงครามต้องรู้จักอยู่แล้ว เมื่อเหล่าทหารชาญศึกจำนวนพันคนมา พวกมันคงจะใช้แผนการนี้ แต่ที่ข้าว่ามันขาดเฉลียวก็เพราะว่า มันคิดจะให้เหล่าทหารใหม่ไปหยั่งเชิงปัญญาท่านตี๋น้อย ซึ่งในที่สุดอาจเป็นการส่งกำลังคนไปให้กับท่านตี๋น้อย ทำให้แผนการล่าคนในป่าดงดิบต้องมีปัญหาเกิดขึ้นแน่นอน”

ทั้งสองคุยกันแผ่วเบา แต่ทหารที่เหลือก็ได้ยิน และให้ความสนใจด้วย เพราะล้วนแต่ผ่านการรบมาอย่างโชกโชนมาทั้งสิ้น

“พวกเราไม่เห็นการปะทะกันของทหารใหม่ กับท่านตี๋น้อย นี่หมายความว่า ท่านตี๋น้อยจะหนีหัวซุกหัวซุนหรืออย่างไรครับท่านอุ้ย” เลี่ยงเซิน อดีตมือปราบวังหลวงกล่าวขึ้นอย่างสงสัย

“อย่าเรียกข้าว่าท่านเลย เราเป็นเพื่อนกันดีกว่า ข้าอาจจะรู้พิชัยสงคราม แต่ด้านฝีมือการสู้รบยังต้องพึ่งพาท่านอีกมาก” อุ้ยต่งจิ้นกล่าวถ่อมตัว ก่อนที่จะตอบคำถามว่า

“นี่เป็นหลักพิชัยสงครามของการรบนอกแบบที่เรียกว่า น้ำเชี่ยวให้ถอยหลบ เมื่อศัตรูอ่อนแรงให้ก่อกวน เมื่อศัตรูไม่อาจสู้รบจึงสยบให้ยอมแพ้” คำตอบของอุ้ยต่งจินทำให้คนทั้งหมดพยักหน้าเห็นด้วย

“ผู้ที่มีปัญญา และไม่หวั่นไหวแม้มีกำลังเพียงคนเดียว นี่นับว่าเป็นเทพเจ้าแห่งสงครามแล้ว” เลี่ยงเซินกล่าวด้วยความรู้สึกที่นับถือ

“พวกเรารีบออกเดินทางกันเถอะ ข้าแน่ใจว่า ท่านตี๋น้อยต้องอยู่บนภูเขาสูงซึ่งเหล่าทหารกลุ่มนี้มองข้าม และไม่อาจจะขึ้นไปได้” อุ้ยต่งจิ้นกล่าวแนะนำ

“เพราะอะไร” ทั้งเอี้ยฮุ้น และเลี่ยงเซินถามขึ้นพร้อมกัน

“ฝึกฝนฝีมือ ซุ่มดูเหตุการณ์ ใช้ความสดชื่น รอคอยศัตรูที่เหนื่อยล้า และรอคอยจุดอ่อนของศัตรูที่เกิดขึ้นจากตัวของศัตรูเอง”

ดวงตาของอุ้ยต่งจิ้นฉายแววแห่งปัญญาออกมา เขาวิเคราะห์จากหลักของความเป็นมือใหม่ของตี๋น้อยที่ต้องฝึกฝนฝีมือ ความเป็นผู้มีปัญญาและเชี่ยวชาญพิชัยสงคราม ที่ต้องติดตามสถานการณ์ข้าศึก และใช้ความสดชื่นรอคอยความอ่อนล้าของข้าศึก

แม้เขาจะเป็นนายกองเล็ก ๆ ในมุมหนึ่งของประเทศ แต่ปัญญาเช่นนี้ไม่ด้อยกว่าใครเด็ดขาด เพราะบนแผ่นดินที่กว้างใหญ่ ผู้ที่มีปัญญา และฝีมือ แต่ไร้ซึ่งชื่อเสียงและไร้ซึ่งโอกาสย่อมมีอยู่ในทุกที่ พวกเขาขาดเพียงโอกาสเท่านั้น ดังนั้น ผู้ที่ปัญญา และรู้จักคุณค่าของพวกเขาจึงใช้แค่การหยิบยื่นโอกาสให้กับพวกเขาก็สามารถสร้างความเคารพนับถือให้เกิดขึ้นกับพวกเขาได้




 

Create Date : 15 ตุลาคม 2554    
Last Update : 15 ตุลาคม 2554 16:01:58 น.
Counter : 248 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  

Muen Li
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add Muen Li's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.