" IT'S TIME FOR HAPPY RETURNS "
Group Blog
 
All blogs
 

ดึกแล้ว :: แพรพิณ

“ดึกแล้ววววว .. ข่มตานอนแต่หัวใจรุมเร้า ออกมายืนหาดาว ช่วยปลอบจายยยยย.....” เสียงร้องเพี้ยน ๆ ผิดคีย์ดังขึ้นข้างหลัง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเจ้าของเสียงนี้เป็นใคร


“อี๋.. เพลงเค้าเสียหมด เพลงนี่ยังไงนะ ชื่อ เพลงแท้ ๆ แต่ร้องเพลงหลงตลอดเลย” คนฟังหันไปเปลี่ยนเรื่อง ทำทีไม่สนกับความหมายของเนื้อเพลงที่มีคนมาร้องแซว


‘เพลง’ มองหญิงสาวที่หน้าตาเหมือนเธออีกคนยิ้ม ๆ 3 เดือนมานี้ แพรพิณน้องสาวฝาแฝดของเธอดีขึ้นมาก หน้าตาไม่ทุกข์ระทม เหมือนวันแรก ๆ ที่เธอรู้ข่าวเลิกราของน้องกับคนรัก บางที..คงเป็นเพราะเวลาที่ช่วยเยียวยา หรือบางทีคงเป็นเพราะ..เขาคนนั้น


“ใช่ซี้ ก็เพลงเป็นคนร้องนี่ มันจะซึ้งได้ยังไง ต้องคนนู้นนนน” เพลงออกท่า’คนนู้นน’ ปากยื่นยาวจนคนฟังอดหัวเราะขำไม่ได้ ก่อนจะถาม “แล้วทำไมยังไม่นอนอีก รอคุณอิฐเหรอ”


“ใช่ ๆ เลยว่าจะมานั่งคุยกับพิณ แต่เข้ามาก็เห็นพิณนั่งทำตาเป็นประกายวาว แข่งกะดาวอยู่พอดี เลยร้องเพลงให้นางเอกมิวสิคซะหน่อย” เพลงล้อยั่ว ๆ พลางหลบหมอนใบโตที่เขวี้ยงมา


“นั่งชมวิวริมระเบียงแค่เนี้ยะนะ นางเอกมิวสิค เพลงนี่ช่างอินจริง มิน่าล่ะ คุณอิฐถึงบอก เพลงเหรอ บางทีอ่านนิยายพระเอกแอบไปมีกุ๊กมีกิ๊ก ก็มาคาดคั้นถาม อิฐมีกิ๊กที่ไหนรึเปล่า” พูดจบแพรพิณก็หัวเราะคิก กระโดดลงจากเก้าอี้หลังจากหมอนใบเดิมถูกอีกคนเหวี่ยงคืนมาทันที


และก่อนที่สงครามหมอนจะเริ่ม เสียงประตูหน้าบ้านก็เป็นเสียงระฆังแยกสองสาวซะก่อน
“เพลงไปรับอิฐก่อนนะ .. อ้อ ฝากบอกพี่ชนาด้วยนะว่าเพลงคิดถึง” ตัวคนบอกยิ้มเจ้าเล่ห์ใส่ตา วิ่งจู๊ดออกจากห้อง ทิ้งให้เจ้าของห้องส่ายหัวขำ ๆ ก่อนจะนั่งลงยิ้มบนเก้าอี้ตัวเดิม


ใกล้จะ 4 ทุ่มแล้ว เวลาที่เสียงของความอบอุ่นของใครอีกคนจะวิ่งผ่านสายโทรศัพท์มาทายทักเธอก่อนนอนเหมือนทุก ๆ วัน อดคิดนิด ๆ ไม่ได้ว่าที่ ‘คนช่างอิน’ ขะยั้นขะยอให้พากลับไปขอบคุณเจ้าของรีสอร์ทนั้น แค่นั้นจริง ๆ หรือมีแผนอะไรแอบซ่อนอยู่


.

.

“เฮ้ย ..คุณ ทำบ้าอะไร คิดจะมาตายตรงเนี๊ยนะ” แรงกระชากไม่เบาที่ต้นแขน ทำให้ร่างเล็กหงายหลังพรวดลงมานั่งทับเจ้าตัวคนดึงเต็มที่ ตอนนี้หน้าของแพรพิณขาวซีด ปากคอสั่น และดวงตาเบิกกว้าง


หญิงสาวหันไปมองหน้าคนดึงที่กำลังตาเขียวปั๊ด และอ้าปากเตรียมจะโวยออกมาอีกชุดใหญ่ ก่อนจะน้ำตาร่วงเป็นทำนบแตก กอดเขาไว้ทั้งตัว และนั่นทำให้อีกคนอ้าปากค้าง ชะงักกึก กลืนคำที่เตรียมไว้มากมายลงคอ ได้แต่โอบร่างบางที่สั่นเทาในอ้อมกอดอย่างงง ๆ


อึดใจใหญ่ทีเดียวกว่าร่างเล็กจะค่อย ๆ ถอนอาการสะอื้น ปาดน้ำตาที่ตอนนี้เปียกโชกไปทั้งอกเสื้อเขา เงยหน้าขึ้นพูดขาด ๆ หาย ๆ “ ขอบ..อึก ๆ คุณ... ที่มาช่วยฉัน”


เขาได้แต่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ หมดแรงจะดุจะว่าคนน้ำตามอมตรงหน้า “ยังคิดจะตายอยู่อีกไหม ไอ้หมอนั่นมันมีดีขนาดทำให้คุณถึงกับต้องฆ่าตัวตายเชียวเหรอ” เขาถามเบา ๆ อย่างอ่อนใจ


“ฉัน .. ไม่ได้จะฆ่าตัวตายนะ เธอ..เธอต่างหากที่จะพาฉันไป” ถึงตอนที่หญิงสาวนึกขึ้นมาได้ว่า “อะไร” ที่เกิดกับเธอเมื่อกี๊ ก็หน้าซีดขึ้นมาอีกรอบ สองมือขยุ้มอกเสื้อเขาแน่นอย่างไม่ยอมจะให้เขาหนีหายไปไหน ทั้ง ๆ ที่ลืมไปว่าตอนนี้เธอกำลังนั่งทับเขาไว้ทั้งตัว


“ ใครจะมาพาคุณไปไหน ตอนผมมาถึงผมไม่เห็นใครเลยนะ นอกจากตัวคุณนั่นแหละที่กำลังจะเดินลงผานั่นไป” ได้ฟังคำตอบ หญิงสาวก็ส่ายหน้าพรืด


“ไม่ ผู้หญิงคนนั้น .. คนที่ฉันคุยด้วยเมื่อกี๊น่ะ เขา .. เขา เขาไม่ใช่คน เขาจะพาฉันไปอยู่ด้วย ฉันกลัว.. คุณอย่าทิ้งฉันนะ” หญิงสาวชี้มือที่สั่นระริกไปตรงพื้นใต้เงาไม้ใหญ่ที่นั่งเมื่อกี๊ ก่อนเงยหน้าขึ้นมองเขา


“ถ้าคุณไม่เชื่อ นี่ไง .. รอยที่เธอดึงฉัน” แพรพิณชูข้อมือเล็กไปตรงหน้าชายหนุ่ม รอยแดงยังคงปรากฎชัดเจนบนข้อมือขาว และถ้าแสงของเวลาโพล้เพล้ยามเย็นไม่หลอกตาแล้วล่ะก็ สิ่งที่เขาเห็นก็คือ ‘รอยนิ้วมือ’ แน่ ๆ





เขามองหญิงสาวด้วยความเป็นห่วง อยากจะพาเธอกลับที่พักให้เร็วที่สุด ด้วยคิดว่าอย่างน้อยกลับไปอยู่ในที่ปกติ เธอคงจะพูดจาอะไรรู้เรื่องกว่านี้


หากแต่ เพียงจะลุก ทั้งเขาและเธอ ก็ได้เห็น เถาวัลย์เส้นไม่เล็กนักพันแน่นอยู่ที่ข้อเท้าข้างหนึ่งของหญิงสาว ปลายอีกข้างหนึ่ง โรยตัวหายลับไปตามผาชันตรงหน้า


“อึก .. อึก ..” แพรพิณ เริ่มใจเสีย หน้าซีดน้ำตาปริ่ม สะอื้นฮักขึ้นมาอีกรอบ
“ไม่เป็นไร ๆ แค่บังเอิญน่ะ เดี๋ยวผมเอาออกให้ อย่าร้อง อย่าร้องนะครับ” ชายหนุ่มพูดเสียงอ่อนโยน หยิบมีดพับเล็ก ๆ ในกระเป๋าออกมาจัดการทันที




ลมยามเย็นหวีดหวิว ต้นไม้ไหวเสียงสวบสาบ สองข้างทางมีแต่เงาวูบไหวชวนให้ใจสั่น คนตัวเล็กพยายามเดินติดคนตัวใหญ่


“คุณเดินไหวไหม” เขาถามเมื่อเห็นเธอเดินกระปรกกระเปรี้ยเหลือเกิน
“ไหวค่ะ ไปกันต่อเถอะ เริ่มมืดแล้ว ฉันไม่รู้ว่าฉันเดินมาไกลขนาดนี้เลยนะเนี่ย”


แพรพิณเดินเหลียวหน้าเหลียวหลังอย่างหวาด ๆ ก่อนเอื้อมมือไปจับชายเสื้อเขาเดินตามไปติด ๆ คนตัวใหญ่ได้แต่เหลือบตามอง หัวเราะในคอเบา ๆ ก่อนเอื้อมมือมาปลดมือเล็กจากชายเสื้อและจับจูงไปตลอดทาง


.
.

“เจอดีเข้าแล้วไง คุณพิณ นึกยังไงถึงได้เดินท่อม ๆ เข้าป่าไปคนเดียวยังงั้นคะ” ป้ามณีลูบหัวลูบหลังเธออย่างจะให้ขวัญกลับมา


“นั่นน่ะ นังเพ็ญ เด็กคนงานของรีสอร์ทถัดไปน่ะค่ะ มันมาโดดผาตรงนั้นตายไปเมื่อ 2 ปีก่อน เพราะน้อยใจที่ผัวมันเข้าไปทำงานกรุงเทพฯ แล้วก็เงียบหายไป


มารู้ข่าวอีกทีก็รู้ว่าผัวมันไปมีเมียใหม่เป็นสาวโรงงานเดียวกัน แถมกำลังท้องอ่อน ๆ มันร้องไห้เสียใจอยู่หลายวันก็หายตัวไป กว่าชาวบ้านจะรู้ว่ามันมาโดดผาตรงนี้ตายก็ปาไปเป็นอาทิตย์


เฮ้อ.. ส่วนใหญ่น่ะเขามักจะได้ยินแต่เสียงร้องไห้ ไม่ก็เห็นเป็นเงาแว้บ ๆ คุณพิณนี่จะเรียกว่าโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่นะถึงได้เจอเป็นตัวมานั่งพูดนั่งคุยอะไรกันขนาดนั้น” ป้ามณี พูดอย่างอ่อนใจ หากหญิงสาวกลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่




“จะโชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่รู้ค่ะ แต่พรุ่งนี้พิณจะกลับแล้ว ว่าจะหาวัดแวะทำบุญให้เพ็ญเขาด้วย พิณอยากให้เขาได้ไปเกิดใหม่ซะที อยู่ตรงนั้นมาตั้ง 2 ปี ยังไม่ยอมไปไหน


น่าสงสารนะคะ ทั้ง ๆ ที่ถูกทรยศ ถูกหักหลังยังไง แต่ก็คงยังทั้งรักทั้งห่วง หรือคงรอว่าเขาจะกลับมาซักวัน และสุดท้ายคงเหงาน่ะค่ะป้า ถึงได้มาชวนพิณไปอยู่ด้วย” ชายหนุ่มมองหญิงสาวที่พูดช้า ๆ นึกในใจ เออ..หนอ ผู้หญิง ถึงจะกลัวแต่ก็อดสงสารไม่ได้


.
.


“ขับรถดี ๆ นะครับ” ชายหนุ่มพูดหลังจากบริการยกกระเป๋าของหญิงสาวใส่ท้ายรถให้เรียบร้อย


“ค่ะ ขอบคุณคุณชนา อีกทีนะคะ ถ้าไม่ได้คุณช่วย ป่านนี้ฉันคงแย่ นอกจากขอบคุณแล้วฉันจะขอโทษด้วย ที่พูดจากับคุณไม่ดีก่อนหน้านั้น” หญิงสาวตัวเล็กยิ้มแหย ๆ


“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมไม่ได้โกรธคุณหรอก จริง ๆ ผมเองก็ปากหมาไปหน่อย ที่ไปพูดจากับผู้หญิงแบบนั้น”


“ฉันไม่เคยคิดว่าคุณขนาดนั้น แค่แอบคิดว่า ปากร้าย หน่อย ๆ เท่านั้นเอง” หญิงสาวบอกเสียงอ่อย ในขณะที่เขากำลังหัวเราะร่วนเลยทีเดียว


“งั้นก็หายกันล่ะกันครับ ผมก็เคยคิดว่าคุณเป็นผู้หญิงที่ ฮืมม .. งี่เง่า คนนึง เหมือนกัน” เขาบอก ยักคิ้วน้อย ๆ ให้กับอีกคนที่ทำตาโต อ้าปากค้างด้วยนึกไม่ถึงว่าเขาจะกล้า ก่อนจะหัวเราะออกมาในที่สุดเช่นกัน


“ โอเค ฉันแอบว่าคุณ คุณแอบว่าฉัน หายกันค่ะ” หญิงสาวพูดทั้ง ๆ ที่ยังยิ้มกว้าง ตายิบหยี จนคนมองอดเอ็นดูไม่ได้




“ถึงตอนมาผมจะไม่ได้กล่าวต้อนรับคุณ แต่ก่อนจะกลับผมอยากให้คุณรู้ไว้ว่าชนาวุธรีสอร์ทยินดีที่ได้ต้อนรับคุณและจะยินดีมากที่ได้ต้อนรับในวันข้างหน้าอีก”


เขาเอื้อมมือส่งมาให้เธอจับ รอจนหญิงสาวยิ้มน้อย ๆ ส่งมือมาให้ ช้า ๆ ในที่สุด...



.
.


เมื่อดาวโคจรมาเจอะกัน ฤดูก็เปลี่ยนผัน การหมุนก็ผันแปร เมื่อเธอกับฉันมาเจอะกัน ชีวิตก็เปลี่ยนผัน เปลี่ยนไปจากเดิม เปลี่ยนจังหวะหมุนของหัวใจ เสียงเรียกเข้าดังขึ้นตรงเวลาเป๊ะ ทำเอาเจ้าของโทรศัพท์อดยิ้มก่อนกดรับไม่ได้ เสียงนุ่มทุ้มที่คุ้นเคยดังขึ้นตามสาย




“สวัสดีครับ พิณ”






ถือเป็นภาคต่อของเรื่อง "หลอน" แล้วกันค่ะ
เป็นดึกแล้ว .. ที่จันทร์ฉายส่อง ดาวทอประกาย
และฟ้าหอบความคิดถึงเป็นลมอุ่น
ส่งมาให้อีกใจไม่เหน็บหนาว





 

Create Date : 20 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 20 กรกฎาคม 2552 23:06:13 น.
Counter : 688 Pageviews.  

หลอน :: แพรพิณ

“นั่นเขามากับกรุ๊ปไหนน่ะป้า ทำไมปล่อยให้เขานั่งหง่าวยังงั้นล่ะ” ชายหนุ่มก้าวเข้ามา
เคาะเคาเตอร์ถามป้ามณี ผู้ใหญ่ที่เขาเห็นมาแต่เล็กแต่น้อย และก็เป็นผู้ดูแลที่นี่แทนเขาในหลาย ๆ เรื่อง

“ไหนคะ .. อ๋อ คุณพิณเธอมาคนเดียวค่ะคุณชนา เธอบอกว่าอยากจะมาพักผ่อนเงียบ ๆ ซัก 3-4 วัน ขอไม่ลงไปร่วมกิจกรรมทุกอย่างค่ะ”

ชายหนุ่มเลิกคิ้ว อาการนั่งเปลญวนเหม่อ ๆ ตาลอย หนังสือในมือในมือคว่ำคาตัก ยังงี้ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าอกหักมา

หากอะไรบางอย่างก็ทำให้เขารู้สึกแปลก ๆ เขาเห็นเธอนั่งอยู่ตรงนั้น แต่ทำไมถึงได้รู้สึกราวกับว่าเธอพร้อมจะหายไปกับสายลมได้ทุกเมื่อ
.
.



“น้ำกระเจี๊ยบเย็น ๆ บริการพิเศษจากทางรีสอร์ทครับ” เขายิ้มน้อย ๆ หากหญิงสาวส่ายหน้าเบา ๆ ขมวดคิ้วอย่างรำคาญกระทั่งประโยคแรกที่เขาทักทาย

“ไม่ล่ะค่ะ ขอบคุณ” หญิงสาวตอบ ก้มหน้าเปิดหนังสือพรึบ ออกอาการไม่อยากเสวนาด้วยเต็มที่

“ไม่ไปดูเขาเล่นดนตรีกลางลานหรือครับ อากาศยามเย็นแบบนี้นั่งฟังสบายดีนะผมว่า จะได้ไม่เหงาไง” เขายังใจเย็น พยายามชวนคุยต่อ


“ฉันอยากพักผ่อน ‘เงียบ ๆ’ คนเดียวมากกว่าค่ะ และถ้าคุณจะกรุณา ...” หญิงสาวเน้นคำว่า เงียบ ๆ อย่างจงใจ ก่อนจะทิ้งประโยคค้างไว้ และแทนที่ด้วยอาการ ‘ฉันอยากให้คุณหยุดพูดและไปซะที’


“โอเคครับ ผมก็แค่รู้สึกว่า แทนที่จะมานั่งเศร้า เหงา จมอยู่กับไอ้ความทุกข์ที่คุณแบกมาจากกรุงเทพฯน่ะ สู้คุณเอาเวลาไปทำโน่นทำนี่ ให้มันหายฟุ้งซ่านยังจะดีกว่า” ชายหนุ่มโคลงศีรษะ ก่อนยอมลุกไปโดยไม่ทันเห็นสายตาวาว ๆ ของหญิงสาวตามมา




เขาวางแก้วเครื่องดื่มหน้าป้ามณี พลางบอก”เฮอะ..ผู้หญิง ไอ้เราอุตส่าห์หวังดี กะอีแค่อกหักนี่มันจะอะไรกะนักกะหนานะป้า คอยดูอย่าให้มาฆ่าตัวตายที่นี่เข้าล่ะ” เขาบอกฉุน ๆ ก่อนจะได้ยินเสียง


“ถึงฉันจะอกหัก แล้วมันไปหนักอกคุณตรงไหนไม่ทราบถึงต้องมายุ่งมาวุ่นกับฉันน่ะ แล้วขอบอกนะว่าคนอย่างฉันไม่มีวันโง่ที่จะฆ่าตัวตายเพราะเรื่องอะไรทั้งนั้นแหละ รู้ไว้ซะด้วย คนบ้า” หญิงสาวสะบัดหน้าพรืด ออกแรงเดินจ้ำ ๆ อย่างไม่อยากจะอยู่ให้เห็นหน้าคนป่วนประสาทอีกซักวินาทีนึงแล้ว



.
.



ทุ่งหญ้ากว้างข้างทาง สายลมอ่อนที่พัดโชย อารมณ์ร้อนระอุที่เริ่มเย็นลงจนเกือบเป็นหงอยเหงา ทำให้ แพรพิณตัดสินใจมุดลอดรั้วไม้ที่กั้นแค่อกเข้าไป

ต้นไม้ใหญ่หลายต้นให้ร่มเงาสบาย หากก็ชวนให้ดูมืดครื้มในยามเย็น ถ้าไม่เพราะหญ้าที่ถูกถางเรียบเป็นทางแล้วหญิงสาวคงไม่กล้าเข้ามาเดินแน่ เพราะมันก็ไม่ต่างอะไรกับป่าน้อย ๆ เลยทีเดียว


ด้วยความคิดที่ยังคงหมุนวนอยู่ในวันวาน ถึงวันที่เคยรัก วันที่เคยร้องไห้ วันที่ต้องร้างลา หญิงสาวไม่รู้ตัวว่าสองเท้าพาตัวเองเดินลึกเข้าไปเรื่อย ๆ นานเท่าที่ลมหอบใหญ่จะพัดวูบผ่านตัว กลิ่นเหม็นราวกับซากศพเน่าคลุ้งกระจาย ก่อนจางหายอย่างรวดเร็วราวกับอุปทาน


กิ่งไม้แห้งในมือที่แกว่งไกวหยุดชะงักกึกกับเสียงร้องไห้ครวญครางแว่ว ๆ หญิงสาวกวาดตามองซ้ายขวาก่อนจะเห็นร่างเล็กนั่งหันหลังร้องไห้สะอื้นตัวโยนอยู่ใต้เงาไม้ใหญ่ตรงหน้าไม่ไกลนัก






“น้อง เป็นอะไรหรือเปล่าคะ” แพรพิณตัดสินใจเดินเข้าไปถามเบา ๆ นั่งยอง ๆ ลงข้าง ๆ



“แฟนหนูไม่มา เขาบอกว่าจะมารับหนูแต่เขาก็ไม่มา เขาไม่รักหนูแล้ว .. ฮือ ๆ เขาทำกับหนูยังงี้ได้ยังไง เขาทิ้งหนูไปมีผู้หญิงอื่นได้ยังไง .. เขาทรยศหนู ฮือ ๆ ๆ “ ราวกับเข็มที่แทงพรวดเข้าสู่ใจ แพรพิณนั่งแปะลงบนพื้น นั่นสินะ ทรยศกันยังงี้ได้ยังไง



“หนูอยากตาย ฮือ ๆ พี่คะ หนูอยากตาย” เด็กสาวที่เพิ่งได้พบยังปิดหน้าร้องไห้กระซิกรำพึงรำพัน กลิ่นคาวชวนคลื่นเหียนแปลก ๆ เริ่มอวลวนจาง ๆ อีกครั้งในความรู้สึกของแพรพิณ ลมที่เคยรู้สึกพัดเย็นกลับหนาวยะเยือกจนกายสะท้าน ขนลุกเกรียว



“ อย่านะ ถึงเราจะไม่มีค่าในสายตาเขา แต่เราก็มีค่าสำหรับคนอื่น ๆ ที่รักเราอีกมากมาย ไหนจะพ่อแม่ พี่น้อง ถ้าเราทำโง่ ๆ อย่างนั้นคิดดูว่าพวกเขาจะเสียใจแค่ไหน”



“ฮือ ๆ ๆ ๆ ... หนูรู้ว่าพ่อแม่เสียใจแค่ไหน หนูไม่น่าทำเลย ฮือ ๆ หนูไม่น่าทำเลย.. ฮึก ไม่เลย ต่อให้ตาย..ก็ไม่หายทุกข์ทรมาน ..ฮึก ๆ หนูไม่อยากตายแล้ว ..ฮึก ๆ ไม่อยากทุกข์ทรมานคนเดียวอย่างนี้อีกแล้ว” เสียงสะอึกสะอื้นขาด ๆ หาย ๆ



คำพูดที่ฟังไม่รู้เรื่อง ทำเอาแพรพิณเริ่มเป็นห่วงเด็กสาวตรงหน้าอย่าจับใจ และก่อนจะเอื้อมมือไปจับไหล่บอบบางนั้น หญิงสาวก็ต้องชะงักกับหยาดน้ำสีน้ำตาลคล้ำที่ไหลลงมาตามร่องนิ้ว แขน ศอก และหยดหยาดลงบนพื้นหญ้า


แพรพิณขมวดคิ้วก่อนชะงักมือค้าง อ้าปาก ตาเบิกโพลง ไร้เรี่ยวแรง และไม่อาจเปล่งเสียงใด ๆ กับภาพตรงหน้า ที่กำลังเห็นเด็กสาวเงยหน้าที่บวมอืดเขียวคล้ำ ตาแดงก่ำ กระโหลกหน้าผากยุบไปด้านขึ้นมองเธอ


มือปกติอย่างที่ได้เห็นเมื่อครู่ แปรเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวหักงอ เสื้อคอปาดสีเทา กางเกงผ้ายืดสี่ส่วนสีดำ กลายสภาพเป็นเศษผ้าขาดวิ่น สองเท้าดำมอมกรังไปด้วยคราบเลือด


ร่างทั้งร่างแข็งราวกับถูกสะกด แพรพิณหลับตา กัดปากส่ายหัวกับความขยะแขยงของมือเย็น ๆ หนืด ๆ ของอีกฝ่ายที่ยื่นมากำข้อมือของเธอ ก่อนจะกระตุกเฮือกเมื่อรู้สึกถึงแรงดึง ข้อมือถูกบีบแรงจนเจ้าตัวปวดแทบขาดใจ ขาทั้งสองข้างหนักอึ้งแต่ก็ลากไปข้างหน้าทีละก้าว



' ไปด้วยกันนะ ไปด้วยกัน .. ไป ..ไป ..ไปด้วยกัน' เสียงเล็ก ๆ ดังขึ้นในโสตประสาท ย้ำถี่ราวกับบทสวด



แพรพิณได้แต่ภาวนา เมื่อรู้ว่าเท้าของเธอเหยียบสุดผืนดินแล้ว อีกเพียงก้าวเดียว ร่างของเธอก็คงไม่ต่างอะไรกับเด็กสาวตรงหน้านี้ ‘แม่ขา พ่อขา เพลง พิณคงไม่รอดแล้ว’ และในห้วงความคิดสุดท้าย แพรพิณได้ยินเสียงที่ฉาบไปด้วยรอยยิ้ม





“ดีจัง ในที่สุด พี่ก็มาอยู่เป็นเพื่อนหนู”













 

Create Date : 06 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 20 กรกฎาคม 2552 8:41:13 น.
Counter : 768 Pageviews.  

เพลงพิณ - ความรัก น้ำตา และความไร้เหตุผล






สวัสดีจ้า เพลง

ขอโทษที่พิณเกเรไม่ส่งข่าวมาเลยนะจ๊ะ ขอโทษเป็นพันครั้งเลยจริง ๆ ที่ทำให้ต้องเป็นห่วง
ช่วงที่ผ่านมา พิณมีแต่เรื่องวุ่น ๆ เต็มไปหมด ทั้งเหนื่อยกายเหนื่อยใจ
แต่ก็นะ พิณอยากจัดการปัญหาต่าง ๆ ด้วยตัวเอง
เพราะที่ผ่านมาพิณพึ่งเพลงมาเยอะแล้ว
พึ่งตั้งแต่ให้เพลงดันก้นพิณออกจากท้องแม่เลยละมั้ง 555


อ่ะ เข้าเรื่อง ๆ รู้น่าว่าคนอ่านทางโน้นใจร้อนอยากจะรู้เรื่องเต็มทีแล้ว
จริง ๆ ก็ไม่มีอะไรมากนะ แค่..พิณเลิกกับยศแล้ว ก็เท่านั้น ...
เพลงคงรู้จักพิณดี ..ใช่ เพิ่งจะตอนนี้นี่แหละ ที่พิณพูดว่า “เท่านั้น” ได้
ถ้าเป็นเมื่อตอนเลิกกันใหม่ ๆ พิณแทบบ้า รู้อย่างเดียวว่า ยศทรยศพิณ มันเจ็บมากเลยนะเพลง
กับคนคนนึงที่เราคิดจะร่วมอนาคตกัน แล้วภาพฝันนั้นมันก็พังทลาย รวมทั้งใจของพิณด้วย


ถ้าเพลงพอจำได้ ที่พิณเคยเล่าถึงผู้หญิงลึกลับที่โทรมาเล่าเรื่องยศให้พิณฟัง
ยังมีคนเห็นยศไปเดินซื้อของ ช้อปปิ้งกับผู้หญิง เดินซื้อของเข้าบ้านน่ะเพลง นึกภาพออกไหม
แต่นะ พิณไม่ตัดสินยศจากคำพูดของคนที่พิณไม่รู้จัก
หรือสายตาของคนอื่นหรอก


..........................................



“เป็นอะไรไปคนดี ทำไมวันนี้ทำหน้าอย่างนี้ล่ะ” เขาเอานิ้วเกี่ยวผมทัดหูให้อย่างอ่อนโยนเหมือนที่ทำเวลาปลอบโยนฉันเสมอ


“มีเรื่องกลุ้มใจนิดหน่อยน่ะค่ะ” ฉันยิ้มน้อย ๆ ชั่งใจกับคำพูดที่จะพูดออกไปในวันนี้ เพราะบางทีมันอาจจะเป็นวันสุดท้าย..ระหว่างเรา


“กลุ้มเรื่องอะไรคะ บอกผมหน่อยสิ งานหรือ” คราวนี้ฉันยิ้มได้กว้างขึ้นอีกนิด นั่นสินะ ทุกครั้งที่หัวใจของฉันกำลังไหวหวั่น ปัญหาของฉันจะคือ เรื่องงานเสมอ


“เปล่าค่ะ เรื่องอื่นน่ะ ว่าแต่..เมื่อวานยศไปไหนมาคะ โทรไปก็ปิดเครื่อง ช่วงนี้ปิดเครื่องบ่อยจัง” ประโยคที่ฉันพยายามคิดเรียบเรียงจะให้เป็นประโยคแรกหายไปไหนไม่รู้ ตอนนี้ฉันก็แค่ถามในสิ่งที่อยากจะถามมานาน


“ก็ไม่ได้ไปไหนนี่ เออ..ไม่สิ ผมแวะไปซื้อหนังสือที่ห้างมาแป๊ปน่ะ แต่แบตผมหมด แถมโทรศัพท์ผมออกอาการจะเจ๊งเอาอีกต่างหาก อย่าบอกนะว่างอนเรื่องนี้น่ะ” เขาจับหัวฉันโยกเบาๆ


“พิณไม่ได้งอนหรอกค่ะ แล้วได้หนังสือเรื่องอะไรมาคะ ทำไมไม่โทรมาชวนพิณล่ะ ก็รู้นี่น่าว่าอาทิตย์นี้พิณว่าง ไปเป็นเพื่อนยศได้อยู่แล้ว” ฉันตอบยิ้ม ๆ ดีใจหน่อย ๆ ที่ยังคงควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ดี


“หนังสือการเมืองน่ะพิณ ไม่ได้ชวนเพราะจะไปแป๊ปเดียว ตั้งใจไว้อยู่แล้วว่าจะซื้อเรื่องอะไร รีบไป รีบซื้อ เสร็จก็กลับครับ” เขาว่าพลางเอื้อมมือไปหยิบหนังสือที่เบาะหลังมายื่นให้ดู


“ไปคนเดียวหรือคะ” ฉันพลิกหนังสือผ่าน ๆ สบตาเขาระหว่างรอคำตอบ
“เอ่อ ..ไปกับเพื่อนที่ทำงานครับ พอดีคุยกันเขาก็อยากซื้อหนังสือ เลยชวนไปด้วยกัน” ฉันรับคำตอบนั้นด้วยการพยักหน้าเบา ๆ มองท้องฟ้าข้างนอกที่กำลังครึ้ม ฝนคงใกล้จะตกเต็มทีแล้ว


“แล้วหนังล่ะคะ สนุกไหม” คำถามธรรมดาที่ถามต่อเนื่องลอย ๆ อย่างที่คนถาม พยายามไม่ใส่ใจอาการชะงักไปของเขา นานพอที่จะรู้ว่าคงไม่มีคำตอบใด ๆ แน่ ฉันหันมามองเขาที่กำลังทำสีหน้าลำบากใจ


“ยศคะ ช่วยตอบพิณตรง ๆ ทีเถอะ ว่ายศกำลังคบคนอื่นอย่างที่กำลังคบพิณหรือเปล่า” ฉันถอนใจถามเขา ช้า ๆ ชัด ๆ ตบหลังมือเขาเบา ๆ


“พิณรับได้นะยศ ไม่ว่าคำตอบของยศจะเป็นอะไร ตลอดเวลาที่ผ่านมา พิณรักยศ ให้ความเชื่อใจ และให้เกียรติยศเสมอ วันนี้พิณขอแลกความซื่อสัตย์ของพิณกับความจริงใจในคำตอบของยศเท่านั้น ยศจะให้พิณได้ไหม”


“ผม .. พิณ .. ถึงผมจะมีใคร แต่ผมก็รักพิณนะ” เท่านี้เองที่ฉันต้องการ .. ขอแค่ได้ยินจากปากเขาเท่านั้น ฉันได้แต่เอนตัวพิงเก้าอี้อย่างอ่อนล้า ไม่รับรู้ถึงมือใหญ่ที่กำลังกุมมือ หากเห็นเพียงเม็ดฝนที่ร่วงหล่นลงบนกระจกอย่างพร่างพรู


“ความรักที่พิณมีให้ยศมันไม่มากพอหรือ หรือถ้าพิณไม่ใช่สำหรับยศ ทำไมไม่บอกกันตรง ๆ มันคงจะเจ็บน้อยกว่านี้ ถึงตอนนี้ยศจะไม่รักพิณ แต่ยศก็ทำร้ายคนที่เคยรักได้ขนาดนี้เชียวหรือ” ฉันหยิบรูปถ่ายใบเล็กที่ถูกคั่นในหนังสือหน้าหนึ่งออกมาวางหน้ากระจก แน่นอนว่าผู้ชายในรูปนั้นฉันรู้จักดี ส่วนผู้หญิงที่เขากำลังโอบบ่า เอาหัวชนกันและยิ้มอยู่นั่น .. กลับไม่ใช่ฉัน


“ ไม่พิณ .. พิณไม่ใช่คนที่ผมเคยรัก ผมยังรักพิณเหมือนเดิม พิณเชื่อผมสิ เราลืมเรื่องที่คุยกันวันนี้ แล้วกลับมาเป็นเหมือนเดิม อย่าทิ้งผมนะพิณ” เขาพลิกรูปคว่ำลง พูดร้อนรน ตาแดงก่ำ


“ถึงผมจะมีเขา แต่ผมก็รักพิณ เขาแค่มาเติมเต็มในส่วนที่พิณไม่มีเท่านั้นเอง” นั่นล่ะเหตุผลของเขา ที่พูดออกมาง่าย ๆ ‘เท่านั้นเอง‘ แม้ภาพจะพร่าไปด้วยหยาดน้ำ แต่ฉันก็เงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างเต็มตา เป็นครั้งสุดท้าย


“ใครบ้างที่สมบูรณ์แบบ .. ยศ แม้แต่ตัวยศเองสมบูรณ์แบบหรือ แล้วทำไมพิณรักยศอย่างที่ยศเป็นได้ล่ะ อย่าพยายามหาเหตุผลอะไรเลย สำหรับพิณมันก็แค่สั้นๆ ง่าย ๆ รัก และ หมดรัก ก็เท่านั้น “


ฉันปลดมือเขาออกช้า ๆ วางแหวนทองคำขาวที่สลักชื่อเขาลงบนเบาะ ก่อนก้าวออกจากรถ เงยหน้ารับเม็ดฝนเย็นเยียบให้ชะหยาดน้ำตาที่ไหลรินจากก้นบึ้งของใจ

.
.


‘บ้านของเราในอนาคตนะพิณ ผมว่าจะหาแบบที่พอมีสนามซักหน่อย เผื่อมีลูกจะได้มีที่วิ่งเล่น ไม่งั้นก็หาชิงช้ามาวางซักตัว นั่งรับลมตอนเย็น ๆ กันเนอะ พิณชอบต้นโมกใช่ไหมเอาไว้เราไปหามาลงกัน’


‘คนเรานี่ชอบเอาชื่อพ่อแม่มารวมกันตั้งเป็นชื่อลูกเนอะ ถ้าเรามีลูก.. พ่อชื่อ ยศ แม่ชื่อพิณ ลูกออกมา..ก็ต้อง ชื่อ “ยิน” โอย..ตลกตายเลย พิณตั้งดีกว่าชื่ออะไรก็รู้ว่ามาจากความรักของพ่อกับแม่ทั้งนั้นล่ะ'


‘อ้าว..พิณ แหวนไปไหนล่ะ นั่นแหวนแทนตัวผมนะถอดได้ไง น้อยใจนะนี่ ผมยังไม่เคยถอดแหวนของพิณเลย’


.....................................................



…. ก็เท่านั้นเองเพลง เท่านั้นเอง
ไม่มีข้าวของอะไร คำสัญญาใด ๆ จะมั่นคงเลย ถ้าใจเรายังเปลี่ยนไป

แต่เพลงไม่ต้องเป็นห่วงนะ มันก็เป็นเพียงบทเรียนบทหนึ่ง บททดสอบความแข็งแรงของชีวิตช่วงหนึ่งที่พิณต้องผ่านมันไปให้ได้

และตอนนี้พิณสบายใจดี กินลง นอนหลับ ยิ้มได้ และคิดถึงเพลงมาก เอาไว้พิณจะลางานขึ้นไปหาเพลงที่เชียงใหม่นะ


คิดถึง และอยากกอดเพลงที่สุดในโลก
พิณ


.........................................................




“อ่านอะไรอยู่ครับเพลง ทำไมยังไม่นอนอีก” ชายหนุ่มก้าวเข้ามาหอมแก้มภรรยาสาวจากด้านหลัง ก่อนอ้าแขนรับร่างเล็ก ที่หมุนตัวกลับมากอดเขาไว้ทั้งตัว



“ หือ เป็นอะไร เดี๋ยวให้ผมไปอาบน้ำก่อนดีกว่า คราวนี้จะให้กอดไม่ปล่อยเลย” ชายหนุ่มกระเซ้าขำ ๆ อย่างอดแปลกใจหน่อยๆ ที่อ้อมกอดยังไม่ผ่อนแรงลง เขาลูบผมยาวสลวยก่อนก้มลงหอมแรง ๆ อีกฟอดอย่างมันเขี้ยว


“เป็นอะไรบอกได้หรือยัง หือ” เขาโยกร่างเล็ก เบา ๆ เหลือบตามองตัวหนังสือเป็นพรืดบนหน้าจอคอมพิวเตอร์


“อิฐรักเพลงไหม” เสียงเล็ก ๆ อู้อี้จากอกเขา
“รักสิครับ โธ่ .. แอบคิดอะไรคนเดียวอีกล่ะเด็กน้อย ที่ผมกลับดึกนี่ก็นั่งทำงานอยู่ที่ทำงานน๊า เอ.. สงสัยวันหลังผมต้องขอเบอร์ลุงยามไว้ให้มาเป็นพยานให้ผมแล้วนะนี่ เมียเริ่มไม่ไว้ใจแล้ว ” เขาล้อยั่ว ก่อนจะได้รับหมัดเล็ก ๆ ตุ๊บ 2 ตุ๊บ พร้อมคำท้วง ‘ บ้าดิ อิฐก็ ‘ และก็เป็นอย่างที่คาด เรื่องราวที่มากกว่าแค่เรื่องที่เขากลับดึกก็เริ่มหลั่งไหล


“การเดินทางของความรักยังไงล่ะเพลง ล้มบ้าง พักบ้าง ระหว่างทางมันไม่สวยงามเสมอไป แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เจอความหอมหวานเลย ต่อให้เราเองก็เหมือนกัน ถึงแต่งงานกันแล้วก็ใช่ว่ามันจะเรียกว่าเป็นจุดหมายปลายทาง มันก็ยังคงเป็นระหว่างทางที่เราต้องอาศัยความรัก ประคับประคองกันเดินต่อไปอยู่ดี ต่อให้ใครต่อใครเซไปบ้างเหนื่อยไปบ้าง แต่ถ้าหันไปมองข้าง ๆ เราก็จะเห็นอีกคนคอยส่งมือให้จับ คอยอ้าแขนให้กอด เอาไหล่ให้พิง และผมเชื่อว่าซักวันนึงพิณเขาก็ต้องเจอใครอีกคนที่พร้อมจะออกเดินทางไปด้วยกันกับเขา”



“ขอบคุณที่รักกันนะอิฐ” คำพูดที่มาพร้อมตาหวาน ๆ รอยยิ้มหวานๆ ของคนตัวเล็ก เริ่มเปลี่ยนเป็นตาขุ่น ปากยื่น เมื่อได้ยินเขาหัวเราะในคอ และนั่นก็ทำให้อิฐต้องรีบอธิบาย



“ เปล่า ๆ ผมขำอีกคนที่พูดประโยคแบบเดียวกันเมื่อตอนบ่ายต่างหาก เอ้า.. อย่ามองอย่างงั้น ใครจะมาบอกผมล่ะ ผมมีเพลงคนเดียวนี่ ภีมไง จำไอ้หมอที่มันมาจีบยัยเอมได้ไหมล่ะ หนุ่มที่รอมาเป็นปีน่ะ สุดท้ายยัยเอมก็แพ้ใจรับรักไปเรียบร้อย ผมอดไม่ได้เลยถาม ว่าตอนเขารู้ว่ามันรับรักเนี่ย ถึงขั้นกระโดดตัวลอย ร้องไชโยไปสามบ้านแปดบ้านไหม ยัยเอมมันบอกไงรู้ไหม ‘ บ้าดิพี่อิฐ ภีมเขาบอกว่า ขอบคุณครับเอม ขอบคุณที่รักกัน ต่างหาก’ ตอนนั้นผมยังขำ ว่าภีมมันน้ำเน่าเลย แต่พอได้ฟังเองนะ แหมมม .. มันชื่นใจ “ ชายหนุ่มทำหน้ากรุ้มกริ่มแบบจะแอบชื่นใจตามที่ปากพูดเข้าจริง ๆ ก่อนถูกหยิกหมับเข้าให้หลาย ๆ ที


“ นี่แนะ นี่ ๆ ๆ น้ำเน่าเหรอ เพลงว่าภีมออกจะน่ารักมากกว่า ชักชอบล่ะสิ เมื่อไหร่จะได้เจอตัวเป็น ๆ บ้างน๊า ” หญิงสาวทำหน้ากรุ้มกริ่มเลียนแบบก่อนจะตั้งท่าระวังตัวเมื่อเห็นยักษ์ตัวโตเริ่มปั้นหน้าโหด ๆ


“หนอย แอบนอกใจกันเห็น ๆ แบบนี้ ... ฮึ่มมมมม .......มาให้ทำโทษซะดี ๆ “ เสียงคำรามฮึ่มของคนตัวใหญ่ เสียงหวีดเล็ก ๆ ของคนตัวเล็กดังขึ้นก่อนค่อย ๆ แปรเปลี่ยนไปเป็นเสียงหัวเราะที่สอดประสานกันในที่สุด









ความรัก ...
บางทีก็ทำให้เราสุข
บางครั้งก็ทำให้เราเศร้า
ทำให้เราคิดถึงใครซักคนแล้วหัวเราะได้
หรือแค่ได้ยินเสียงใครบางคนน้ำตาก็ไหล
แต่ ความรัก .. ก็คือความรัก ที่ยากจะหาคำนิยาม
หากต้องใช้ “ใจ” สัมผัส .. แล้วคำนิยามใด ๆ ก็ไร้ความหมาย






 

Create Date : 22 มิถุนายน 2552    
Last Update : 22 มิถุนายน 2552 8:42:49 น.
Counter : 909 Pageviews.  

ฤดูร้อน .. ฤดูรัก






น้ำเต้าหู้ถุงใหญ่กับปาท่องโก๋ 2-3 ตัวที่อยู่ในถุงเล็ก ๆ ข้างกัน ทำให้หญิงสาวเจ้าของโต๊ะอดที่จะอมยิ้มไม่ได้ ไม่ว่าเมื่อไหร่ เขาก็ยังเหมือนเดิม ..ใส่ใจ ดูแล และอยู่เคียงข้างเธอเสมอ
.
.

เมษายน 2551

“ภีม” ชายหนุ่มธรรมดา ๆ คนหนึ่งก้าวเข้ามาทำให้เธอรู้สึกหวามไหว อบอุ่น และในขณะเดียวกันก็สร้างความสับสนให้เกิดขึ้นในหัวใจ

“เอมมิกา” ผู้หญิงขี้ขลาด ที่ไม่กล้าจะเผชิญหน้ากับความรัก เพราะกลัวที่จะต้องกลับไปเจอความผิดหวังที่แสนเจ็บปวด อีกครั้ง และอีกครั้ง เธอเลือกที่จะผลักไสความรักนั้น ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วก็เจ็บปวดไม่ต่างกัน

……………………………….............





“ ความรู้สึกของผมไม่ได้หายไปเพราะคำพูดของเอมหรอก ถ้าผมบอกว่าผมรักเอม ต่อให้เอมบอกว่าไม่รักผม ผมก็รักเอมอยู่ดี ที่ผมตัดสินใจบอกเอมวันนี้ก็เพียงแค่อยากให้รับรู้ความรู้สึกของผมไว้ และรับรองว่า ผมยังคงจะเป็นเพื่อนที่ดีสำหรับเอมเหมือนเดิม” และแม้เวลาจะผ่านไปกี่ปี ประโยคนี้ก็ยังคงดังก้องอยู่ในหัวเหมือนเพิ่งผ่านไปเพียงแค่วันวาน

.
.


“ ผมมีอะไรมาให้ เอมยังจำเจ้านี่ได้ไหม เจ้าช๊อคโกจุ๊บของเอมไง” ในมือของชายหนุ่มมีต้นกระบองเพชรต้นหนึ่งที่คลับคลายคลับคลาเหมือนต้นเก่าของเธอ ผิดแต่ว่ามันโตแข็งแรง และที่สำคัญ มันกำลังออกดอก ต่างกับเจ้าต้นเก่าที่เธอโยนทิ้งถังขยะ เพราะยิ่งเลี้ยงมันยิ่งกลายร่างประหลาดขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนล่างของต้นผอม ก่อนไปอ้วนกลมตรงส่วนบนสุด ดูไปดูมายิ่งเหมือนลูกอมช๊อคโกจุ๊บ


“ .........” ตอนนั้นเธอได้แต่ส่ายหน้าเหมือนไม่เชื่อ


“จริง ผมแอบเก็บมันขึ้นมาจากถังขยะในวันที่เอมโยนมันทิ้งนั่นแหละ เอ..แต่จะว่าโยนก็คงไม่ได้นะ เพราะผมเห็นเอมถือแล้วก็มองมันอยู่ตั้งนาน ถ้าจำไม่ผิดเหมือนมีการบอกลากันยืดยาวด้วยก่อนจะบรรจงวางลงก้นถัง นี่ถ้าไม่เห็นว่าเป็นถังขยะนี่ผมไม่รู้ว่าเอมทิ้งเลยนะเนี่ย เห็นทะนุถนอมเหลือเกิน” เขาล้อด้วยเสียงนุ่ม ๆ ก่อนค่อย ๆ ใช้นิ้วยันกระถางใบน้อยมาอยู่ตรงหน้าเธอที่ยังพูดอะไรไม่ออก


“วันนั้น ผมหยิบมันขึ้นมาดู และคิดว่ามันน่าจะรอดก็เลยเอาไปเลี้ยง เปลี่ยนดินให้ใหม่ แล้ววันนี้มันก็ออกดอก” ตอนนี้เจ้าแคสตัสดอกสีขาวสวยเลื่อนมาตั้งตรงหน้าเธอพอดี หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองคนข้างโต๊ะ


“แล้วภีมเอามาให้เอมทำไม เอมทิ้งไปแล้ว ถ้าภีมเก็บเอาไปตั้งแต่วันนั้น มันก็เป็นของภีมแล้วล่ะ” เธอจำได้ว่าตอบเขาออกไปอย่างนี้


“ถ้าเป็นของผม ก็ถือว่าผมให้เอมล่ะกัน ขออย่างเดียวผมเลี้ยงมาซะสวยขนาดออกดอกได้แบบนี้แล้ว เอมอย่าเรียกแคสตัสของผมว่า ช๊อคโกจุ๊บอีกล่ะกัน” ภีมหัวเราะ


“หึหึ กลับมาอยู่กะเอม ก็กลับเป็นช๊อคโกจุ๊บอีกนั่นแหละ” เธอหัวเราะบ้าง


“ไม่หรอก แล้วผมจะสอนให้ว่ามันชอบน้ำชอบแดดแบบไหน ไม่ยากหรอก เอมเอามันไปวางไว้ข้างหน้าต่างตรงนั้นก็ได้ รับแดดดี” เขาชี้ไปที่ว่าง ๆ ตรงขอบหน้าต่าง ข้างโต๊ะทำงาน


“เอมทึ่งนะเนี่ย เกิดมาในชีวิต เอมยังไม่เคยเลี้ยงแล้วมันมีดอกแบบนี้เลย” เธอพูดขึ้นระหว่างที่จัดเจ้าต้นไม้ต้นเล็ก ให้ทำมุมสวยอยู่ข้างหน้าต่าง พลางมองออกไปข้างนอก แสงแดดที่สาดส่องที่เคยไม่ค่อยชอบ วันนี้เธอกลับยินดีที่มันได้ฉายความอบอุ่นเผื่อมายังเจ้าแคสตัสต้นเล็กของเธอ และอาจรวมทั้งหัวใจของเธอในตอนนี้ด้วย


“มันอยู่ที่ความชอบของแต่ละคนน่ะ ถ้าให้ผมไปปลูกกุหลาบ ต้นกุหลาบผมอาจจะไม่มีดอก แถมอาจจะใบร่วงโกร๋นด้วยล่ะมั้ง แต่ถ้าเป็นอะไรที่รักที่ชอบแล้ว ผมก็จะดูแลใส่ใจเต็มร้อยเลยทีเดียว ที่ผ่านมาพอจะพิสูจน์ให้เอมเห็น ได้บ้างไหม” ประโยคธรรมดา ๆ ที่ชวนให้ตีความได้หลายอย่าง แม้ตัวคนพูดจะทำหน้าพยักพเยิดไปที่ต้นไม้ต้นเล็กของเธอ แต่เธอก็รู้ความนัยของมันมีมากกว่านัก


“ รู้ไหมมีคนเคยบอกว่า เอมเหมือนแคสตัสล่ะ กระบองเพชรที่ใครต่อใครบอกว่า มันเลี้ยงง่าย ไม่ต้องดูแลอะไรมากมันก็อยู่เองได้ เพราะมันเป็นต้นไม้ที่แข็งแรง การที่เอมไม่เรียกร้อง ไม่ร้องไห้ฟูมฟาย แต่ปวดร้าวไปทั้งอก คงเป็นความเข้มแข็งสำหรับเขา กระบองเพชรที่มีหนาม ไว้ป้องกันตัว ก็เหมือนเกราะที่เขาบอกว่าเอมสร้างขึ้นมาตลอดอีกเหมือนกัน”


“ และรอยยิ้มสวย ๆ ของเอมก็เหมือนดอกของเจ้าแคสตัสที่กำลังเบ่งบาน” ภีมเอ่ยต่อจนราวกับว่ามันเป็นประโยคเดียวกัน
“และผมรักแคสตัส .. มากกว่ากุหลาบ มากกว่ากล้วยไม้” เขาเอ่ยต่อเขิน ๆ เมื่อเห็นสายตารู้ทันของเธอ


“ภีม ขอบคุณที่รักกันนะ” เสียงเธอเอ่ยขึ้นเบา ๆ
“ครับ ๆ รู้แล้วครับ แต่ว่าผมขอฟังแค่นี้ได้ไหม อย่ามีแต่ เหมือนคราวที่แล้วเลย จำไม่ได้เหรอว่าเอมพูดให้ผมใจพองฟู แล้วก็แฟบได้ในประโยคเดียวกันเลยนะ อย่าลืมสิ” ภีมท้วงด้วยท่าโอดโอยที่ทำให้เธอขำขึ้นมา


ก็นะเธอเคยพูดแบบนี้จริง ๆ และถ้าจะให้เหมือนเป๊ะ ๆ ก็คงต้องมีประโยคต่อมาที่ว่า ‘แต่..เอมยังไม่คิดจะมีใคร ภีมอย่ามารอ อย่ามารักเอมเลย ไปรักคนอื่นดีกว่า เอมให้คำตอบไม่ได้หรอกว่าถ้าภีมรอ แล้ววันนึงเอมจะรักภีมไหม อาจะรัก และอาจจะไม่มีวันรัก’




......................................................



“เป็นอะไรไปเอม ยืนยิ้มกับถุงน้ำเต้าหู้ทำไม” ผมเห็นเธอตั้งแต่เธอก้าวเข้ามาแล้ว ดีใจเพียงแค่เห็นเธออมยิ้มกับมื้อเช้าที่ผมจะนึกถึง และหิ้วมาฝาก แต่หลังจากเห็นเธอไม่มีท่าทีจะขยับตัวทำอะไร ก็ทำให้ผมเอะใจจนต้องเดินเข้ามาทัก และก็ต้อง งง เพราะเธอกำลังยิ้ม



“ภีม ถ้าเอมบอกว่า รัก..ภีมล่ะ จะยังอยากฟังอยู่ไหม” เสียงเบา ๆ ของผู้หญิงตัวเล็กข้าง ๆ เขา ที่อยู่ดี ๆ ก็ดังขึ้น ทำเอาหัวใจเขากระตุกวูบ อึ้งไปสนิท ส่วนหญิงสาวที่ก้มหน้าก้มตาที่แดงก่ำอยู่นานก็ชักเอะใจที่ไม่มีเสียงใด ๆ ตอบกลับมา เลยได้แต่กลั้นใจเงยหน้าขึ้นไปมอง ก่อนจะหลบตาแทบไม่ทัน เมื่อเจอกับสายตาพราวของชายหนุ่มที่มันบอกอะไรได้มากมายกว่าคำพูดนัก



“ขอบคุณจริง ๆ เอม ขอบคุณที่รักกัน” มืออุ่นใหญ่เอื้อมมากุมมือเล็กไว้หลวม ๆ แต่เท่านั้นก็เพียงพอแล้วที่กระแสความอบอุ่นจะพุ่งขึ้นไปถึงหัวใจ









หลังจากที่พยายามค้นกล่องความทรงจำ
หาฤดูที่ตัวเองชอบอยู่นาน และไม่เจอ ซักที
เลยพา ภีม และ เอมมาร่วมโครงการแทนค่ะ
ลองตั้งโจทย์ถึงฤดูที่โรแมนติกน้อยที่สุด
ที่ไม่ต้องอาศัยลมหนาว และอ้อมกอดอุ่นๆ
ไม่ต้องมีร่มคันเล็กและ 2 ไหล่ที่แอบอิง ..
เลยได้ออกมาเป็นความรักฉบับฤดูร้อน
แบบนี้ล่ะค่ะ









 

Create Date : 08 มิถุนายน 2552    
Last Update : 8 มิถุนายน 2552 8:26:42 น.
Counter : 1055 Pageviews.  

เธอ (หรือ..เขา) บนเส้นคั่นเวลา




“พี่ฟี่ ซื้อไอ้นั่นนะ”” ศิ น้องสาวของฉันเอ่ยขึ้นตรงกับที่ฉันกำลังชั่งใจอยู่พอดี
คนเดินถือตะกร้าใส่ ดอกจำปีที่ห่อด้วยใบตอง ดึงดูดสายตาสองพี่น้องได้มากกว่าดอกกุหลาบ
หรือพวงมาลัย ที่เห็นขายทั่วไปตามสี่แยก

ยื่นแบงค์ยี่สิบแลกกับกระทงดอกไม้มา 1 กระทง
ฉันหยิบเจ้าดอกสีเหลืองนวล ที่ส่งกลิ่นหอม และรูปลักษณ์แบบไทย ๆ
ขึ้นมาหมุนวน ตรงปลายจมูก

เห็นทีไรก็นึกถึง ...
.
.
.

“ฟี่ ตื่นได้แล้วลูก คุณตาเอาดอกไม้มาให้แล้ว ไปเร็ว ลุก เดี๋ยวดอกไม้หายไม่รู้น๊า”
แม่เขย่าปลุกเบา ๆ แต่ถ้อยคำนั้นต่างหากที่ทำให้ฉันตาสว่าง ‘เดี๋ยวดอกไม้หาย’

ฉันวิ่งตุบตับลงบันได หน้าตายังไม่ล้าง ก็เปิดประตูโผไปที่ช่องกำแพงหน้าบ้านที่ก่อด้วยอิฐบล็อคเป็นแถว มือเล็ก ค่อย ๆ ล้วง ‘ของสำคัญ’ ออกมาจากช่องเล็ก ๆ ของอิฐก้อนหนึ่งอย่างทะนุถนอม

ดอกจำปีสีเหลืองนวล 2-3 ดอก ส่งกลิ่นหอม อยู่ในมือเล็ก ๆ ข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งเกาะรั้ว
สอดส่องลูกตาหาคุณตาใจดีบ้านตรงข้าม ที่กำลังรดน้ำต้นไม้อยู่

“ขอบคุณนะคะคุณตา” เสียงเล็ก ๆ ตะโกนลอดช่องกำแพงออกไป คนมองย้อนมาคงตลก
ที่เห็นปากเล็ก ๆ ตาเล็ก ๆ โผล่ติดก้อนอิฐช่องนั้นที ช่องนี้ที
“ตื่นแล้วเหรอลูก” คุณตาตะโกนตอบยิ้ม ๆ ฉันโบกมือตอบ ส่งยิ้มกว้าง




ต้นจำปีต้นใหญ่ของบ้านตรงข้าม คุณตาใจดี .. ภาพที่หายไปนาน .. มาก..ในความรู้สึกผุดขึ้นมา
จำไม่ได้เหมือนกันว่าตั้งแต่เมื่อไหร่
ที่คุณตาจะเอาดอกจำปีมาวางให้ที่ช่องอิฐบล๊อคก้อนริมสุดของกำแพง ก้อนที่ไม่สูงนัก
พอที่จะให้เจ้าของดอกไม้ ตื่นและออกมาหยิบเองถึง ดอกไม้ที่มีมาวางรอ .. ทุกวัน
.
.

“แม่จ๋า ทำไมคุณตาไม่เห็นเอาดอกไม้มาให้ฟี่เลย มีคนมาหยิบไปหรือเปล่านะแม่”
ฉันวิ่งมาถามแม่ หลังจากพบแต่ความว่างเปล่าที่ช่องกำแพงหลายวันเข้า
“คุณตาไม่สบายลูก เลยไม่ได้เอาดอกไม้มาให้ คุณตาเดินไม่ไหว” แม่ตอบ

..

“เมื่อไหร่คุณตาจะหายล่ะแม่จ๋า”
“คุณตาไปสวรรค์แล้วลูก เอาดอกไม้มาให้ไม่ได้แล้ว แต่จะมองลงมาจากบนนู้นแทน”
แม่ลูบหัวเบา ๆ ชี้นิ้วขึ้นบนฟ้า
ส่วนฉันจ้องความว่างเปล่านั้นเงียบ ๆ รับรู้และเข้าใจแค่ว่า จะไม่มีดอกไม้อีกแล้ว




ตัวเลขนับเวลาถอยหลังของไฟแดงสี่แยกนั้นค่อย ๆ ลดลง
22 ..21 ..20 .. ฉันหลับตา นับถอยหลังในใจ
ถอย .. ย้อนไปในวันวาน
.
.
ใช้เวลานานแค่ไหนกันนะ ที่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งจะหยุดเฝ้ามองความว่างเปล่า
หยุดเฝ้ารอความเคยคุ้น เติบโต ก้าวและก้าว ปล่อยให้วันวานผ่านไปดังสายลม ..

ต้นจำปีต้นใหญ่ กำแพงอิฐบล๊อค เด็กผู้หญิงผมม้าในชุดกระโปรงนอนเท่าเข่า รอยยิ้มของคุณตา ..ล้วนจาง และลางเลือน




เมื่อลืมตา ไฟแดงเปลี่ยนเป็นเขียว
ฉันเข้าเกียร์ เหยียบคันเร่ง ชีวิต..ก็ยังคงต้องเดินหน้าต่อไป
คนที่ผ่านเข้ามาในช่วงเวลาหนึ่งถูกเก็บไว้ในกล่องความทรงจำที่สวยงาม..ดังเดิม
.
.
กลิ่นดอกจำปียังหอมอวล





ด้วยความระลึกถึง "คุณตา"
คนที่ผ่านเข้ามาให้ช่วงเวลาหนึ่ง
ของชีวิตเด็กผู้หญิงตัวน้อย ๆ
มีรอยยิ้มและมีความสุข

"หลับให้สบายนะคะ"









 

Create Date : 25 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 13 กันยายน 2552 21:50:10 น.
Counter : 1601 Pageviews.  

1  2  3  4  

Paulo
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




เค้าว่ากันว่า " สิ่งดี ๆ นั้นรออยู่และอาจพบเมื่อเราเปลี่ยนแปลง " ข้อความนี้คงจะจริง เพราะไม่ยังงั้น เราจะได้มาเจอกันเหรอ


Blog Update
"Paella ข้าวอบสเปน ที่เจ้านายสอนทำ"


"กุ้ง หอย ปู ปลา @ แดงโภชนา"


"กินลม ชมทะเล @ CHER Resort"


"แม่ปั้นดิน ชวนชิม "ไข่นายก"


"โฮมสเตย์ "แม่ปั้นดิน พ่อทำสวน" @ เชียงใหม่ (ภาค 2 )"

"โฮมสเตย์ "แม่ปั้นดิน พ่อทำสวน" @ เชียงใหม่"

"Anna & Charlie's Cafe"

"เมี้ยววว .. เค้าเรียกป๋มว่า "ลูกลิง"

"กระเป๋าน้องซู (ทรงหอยเชลล์) กับการหัดแอพพลิเคครั้งแรก "

"เงาเสน่หา .. นราเกตต์ "

"หมวกพระ.. บุญในหน้าหนาว "

"ตะลึ่งตึ่งโป๊ะ !!"

"โหมด : รำพัน"

<

Friends' blogs
[Add Paulo's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.