All Blog
แหม่มแก้มแดง ตอนที่ 5



เมธาวีเปิดประตูร้านเข้ามาด้วยอาการซึมๆ จากความผิดหวัง เธอเดินซังกะตายผ่านหน้าอนามิกากับอัธวุธที่มองอย่างเป็นห่วง เมธาวีเดินไปถึงที่โต๊ะก็ยกคอกเทลสีฟ้าในแก้วขึ้นมากระดกแก้กลุ้ม อนามิกากับอัธวุธมองตาค้าง

อนามิกากับอัธวุธเอ่ยเสียงหลง “ยัยเมธาวี”
อนามิกากับอัธวุธรีบปราดเข้ามาหา เมธาวีจะเทเครื่องดื่มสีฟ้าจากเหยือกลงแก้วของเธอ
“นี่มันเหล้านะยะ ไม่ใช่น้ำหวาน” อัธวุธปราม “เดี๋ยวก็ได้เมาเละหรอก มา..เอาผ้าพันคอมานี่ เดี๋ยวฉันเก็บให้” อัธวุธดึงผ้าพันคอของเมธาวีมาเก็บไว้
อนามิกาดึงเมธาวีมาปลอบ “เม..ไหวหรือเปล่า”
เมธาวีฝืนยิ้ม “เมแฮปปี้ดีค่ะ เลี้ยงส่งพี่อะนาทั้งที เมจะเศร้าได้ยังไง”
อนามิกายิ้มแล้วพยักหน้ารับทราบ ถึงในใจจะหวั่นและห่วงเมธาวีอยู่ก็ตาม
“พี่อะนา” จ๊อดเรียกเสียงดังแล้ววิ่งตรงมากอดอนามิกาด้วยความดีใจ
“อ้าว...ยัยอะนา มาแล้วเหรอยะ” พนิดาเดินเข้ามาทัก
“ว่าไงจ๊อด” อนามิกาหันมาพูดกับพนิดา “หวัดดีค่ะเจ๊ เป็นไง พอฉันไม่อยู่ ร้านเจ๊ขายดีเลยใช่มั้ย”
“ใครบอกล่ะ เจ๊เหนื่อยจะตาย พอไม่มีเธออยู่เนี่ย” พนิดาบอก
“เจ๊...ไม่ต้องมาทำเป็นพูดเอาใจเลย ตอนนั้นเจ๊แหละ ที่ไล่ฉันออกเอง” อนามิกาพูดยิ้มๆ
“แหม..ก็ต้องเข้าใจเจ๊บ้าง การปกครองคนมันต้องมีกฏมีระเบียบกันบ้าง เจ๊บอกทุกคนว่าใครทะเลาะกะลูกค้า เจ๊ไล่ออก แล้วจะให้เจ๊เลือกปฏิบัติได้ไง”
“จ้ะๆ ฉันเข้าใจเจ๊จ้ะ ไม่คุยเรื่องซีเรียสแล้วนะ” อนามิกาพูดกับอัธวุธและเมธาวี “มา..พวกเรา หาอะไรกินกันดีกว่า”
อนามิกากับอัธวุธมีท่าทางร่าเริง ทั้งสองรีบจัดแจงหาของกิน ส่วนเมธาวียังนั่งซึม

ณดลเดินมาที่ประตูบ้านณภัทรหลังจากได้ยินเสียงกดกริ่งย้ำๆ หลายครั้ง
“มาแล้ว...มาแล้ว...ไหนบอกไปเลี้ยงส่งกัน แล้วจะกลับมาทำไม”
ณดลเปิดประตูออกก็เห็นนลิณาที่แต่งตัวสวยกำลังยืนส่งยิ้มให้ ณดลชักสีหน้าด้วยความประหลาดใจ
“นีน่า...มาหาใครเหรอ”
“แหม...จะมาหาใครล่ะคะ ก็มาหาคุณณดลน่ะสิ กำลังทำอะไรอยู่เหรอคะ” นลิณาถาม
“ผมกำลังแพ็คกระเป๋าเตรียมกลับบ้านน่ะ คุณมีธุระอะไรหรือเปล่า”
“นีน่าจะชวนคุณณดลไปปาร์ตี้น่ะค่ะ เห็นยัยเกดโทรมาบอกว่าคุณณดลยังไม่ได้ไปที่นั่น นีน่าก็เลยแวะมาหา”
“คืออันที่จริง ผมกะว่าจะไม่ไปอยู่แล้ว เพราะทุกคนน่าจะสนุกกันเต็มที่กว่า ถ้าไม่มีผมอยู่ด้วยน่ะ”
“โอ๊ย...ไม่จริงหรอกค่ะ คิดมากไปหรือเปล่า นี่งานเลี้ยงส่งน้องชายคุณนะคะ ถ้าคุณไม่ไป ก็งานกร่อยแย่สิ”
“แต่ว่า...” ณดลลังเล
นลิณาเกาะแขนออดอ้อน “ไม่เอาน่า...อย่าเครียดนักสิคุณ ไป..รีบเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วออกไปสนุกกันดีกว่า”
ณดลยังคงลังเลว่าจะไปหรือไม่ไปดี

เกตนิการ์นั่งป้อนอาหารเข้าปากณภัทรอยู่ในร้านพนิดา แต่เธอป้อนเลอะมุมปากทำเอาเธอและณภัทรหัวเราะออกมาด้วยกัน เกตนิการ์เอียงตัวไปอิงณภัทรอย่างใกล้ชิดสนิทสนม ส่วนอนามิกา อัธวุธ และเมธาวีกำลังยืนอยู่โต๊ะวางอุปกรณ์ทำส้มตำ
“ฉันว่านะ...ยัยเกดนี่ต้องคิดอะไรกับอีตาภัทรแน่ๆ” อนามิกาโพล่งขึ้น
“นี่...เพิ่งรู้เหรอยะ เค้ารู้กันหมดแล้ว นี่..ยัยเมยังรู้เลย” อัธวุธบอก
“อ้าว...เหรอ” อนามิกาหันไปหาเมธาวี “รู้กันหมดแล้วเหรอ”
เมธาวีพยักหน้าตอบอย่างเซ็งๆ
“แล้วยัยนีน่ารู้รึยัง”
“ยางง!! ขืนรู้ก็คงระเบิดลง ตบกันตายไปข้างสิ มีอย่างที่ไหน ยัยนีน่าอยากให้นายภัทรหมั้นกับน้องตัวเอง แต่เพื่อนสนิทดันจ้องจะคาบไปกินซะ” อัธวุธบอก
“อ้าว..นั่นยัยนีน่ากับพี่ณดลนี่” เมธาวีชี้ชวนให้ทุกคนมองออกไปที่ประตู ณดลกับนลิณาเดินเข้ามาในร้าน
“อะไรกันเนี่ย แค่เห็นยัยเกดฉันก็งงแล้ว นี่ยังมากันทั้งยัยนีน่า กะอีตาณดลด้วยเรอะ” อนามิกาเซ็ง
“ชักสังหรณ์แล้วสิว่าปาร์ตี้เลี้ยงส่งวันนี้ จะจบไม่ค่อยสวยน่ะ” เมธาวีหวั่นใจ
“โอ๊ย..กลัวอะไร คนพรรค์นี้ อย่าไปยอมหงอมันเชียว” อนามิกาบอก
ณดลกับนลิณาเดินตรงเข้ามา ณภัทรรีบลุกขึ้นมาทักทายทันที
นลิณาแสร้งยิ้มทักทายทุกคน “สวัสดีจ้ะทุกคน แหม..ปาร์ตี้น่าสนุกจังนะจ๊ะ”
“สนุกแน่ๆ หละจ้ะ ถ้าเธอจะไม่มาป่วนให้เละ อ้อ! แล้วนี่ไม่ทราบว่าใครเชิญเธอมาเนี่ยย” อนามิกาหันไปหาอัธวุธกับเมธาวี “เอ๊ะ!นี่พวกเรามีใครจุดธูปอะไรหรือเปล่า”
“มากไปแล้วนะอะนา นีน่าเค้าก็เป็นเพื่อนกับนายภัทรเหมือนกัน ทำไมเค้าจะไม่มีสิทธิ์มาเลี้ยงส่งเพื่อนเค้าล่ะ” ณดลว่า
นลิณาแสร้งทำเป็นคนดีทันที “ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณณดล นีน่ารู้ว่าอะนาเค้าแค่พูดเล่น”
“ฉันพูดจริงจ้ะ ไม่ได้พูดเล่น” อนามิกาย้ำ
ณดลตวาด “อะนา! ฉันบอกให้หยุด”
“ไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะคุณณดล ใครจะคิดยังไง นีน่าคงห้ามไม่ได้ แต่ถึงยังไงนีน่าก็ยังมีมิตรภาพและความเป็นเพื่อนให้กับทุกคน”
“อู๊ย...ไม่ต้องมาสร้างภาพเป็นนางงามมิตรภาพหรอกจ้ะ ฟังแล้วขนลุก” อนามิกาทำท่ารังเกียจ
“เฮ้อ...พอทีเถอะน่า เธอจะหาเรื่องนลิณาเค้าไปถึงไหน” ณดลหันไปพูดกับณภัทร) ไอ้ภัทร มาดูแลเมียแกหน่อยซิ ฉันขอตัวไปห้องน้ำก่อนหละ”
พูดจบณดลก็เดินผละออกไป พอณดลเดินลับตา นลิณาก็เปลี่ยนสีหน้ามาจ้องตาอนามิกาอย่างอาฆาตมาดร้าย
“มองหน้าหาอะไรไม่ทราบ อยากทำอะไรก็รีบๆ หน่อยนะ ฉันจะกลับเมืองไทยแล้ว” อนามิกาท้าทาย
“นี่แกท้าฉันเหรอ? เอาซี้..แน่จริงออกไปเจอกันข้างนอกเลยดีกว่า” นลิณาโกรธ

อนามิกากระเด็นออกมาจากประตูร้านที่ปิดอยู่ นลิณาปราดตามมาสาวมือตบตีอุตลุด อนามิกาตบสวนแบบไม่ยอมเสียเปรียบนลิณา
“ขอตบสั่งลาให้หายแค้นทีเหอะ” นลิณาฉุน
ณภัทรกับอัธวุธรีบปราดออกมาห้าม แต่ก็โดนลูกหลงกันไปคนละนิดละหน่อย
“อย่า...นลิณา...อนามิกา โอ๊ย!” ณภัทรโดนลูกหลง
“สองคนนี้มันแค้นกันมาแต่ชาติปางไหน” อัธวุธโดนฝ่ามือเข้าที่หน้า “โอ๊ย! เจ็บนะยะ หยุด!!”
เกตนิการ์ดึงณภัทรกับอัธวุธให้ออกมา “ก็ปล่อยให้เค้าเคลียร์กันเหอะน่า”
ฝรั่งชายและหญิงวัยกลางคนเดินผ่านมาหยุดยืนดูอย่างรู้สึกไม่ดี
“หยุด!! พอแล้ว อายฝรั่งเค้าบ้าง” อัธวุธหันไปพูดกับฝรั่ง “สองคนที่ตบกันนี่ไม่ใช่คนไทยนะ She’s not Thai. โอ๊ย...ไม่รักษาอิมเมธาวีจประเทศไทยกันบ้างเล๊ย”
ณภัทรดึงอนามิกาเอาไว้ ส่วนอัธวุธก็ดึงนลิณาให้แยกออกมา
“ปล่อย! อย่าห้ามฉัน” นลิณาพยายามดิ้น
“เข้ามาสิ วันนี้ฉันจะไม่ยั้งมือให้แล้ว” อนามิกาโกรธ
นลิณากับอนามิกาสะบัดตัวจนหลุดจากที่ถูกจับตัวไว้ แล้วก็กระโจนเข้าจิกผมตบตีกันต่อ
เมธาวีชักเห็นท่าไม่ดีจึงพูดกับอัธวุธและณภัทร
“เมไปตามเจ๊มาดีกว่า”
แล้วเมธาวีก็รีบวิ่งผละออกไป

พนิดากำลังหั่นผักสลัดอยู่ในครัว โดยมีจ๊อดช่วยล้างผักอยู่ใกล้ๆ อย่างขี้เกียจ
“นี่ ไอ้จ๊อด! ทำอะไรน่ะให้มันแข็งขันหน่อยได้มั้ย เร๊ว!” พนิดาเร่งลูกชาย
“แม่! จ๊อดช่วยแม่นี่ก็ดีแค่ไหนแล้ว ใช้แรงงานเด็กนี่ผิดกฏหมายสหราชอาณาจักรนะ”
“โอ้โห..มันจำใครมาพูดเนี่ย”
ทันใดนั้นเมธาวีก็วิ่งเข้ามาเรียกด้วยเสียงตื่นตกใจ “เจ๊...เจ๊!!”
พนิดากับจ๊อดหันไปมอง
“ข้างนอกมีเรื่องกันใหญ่แล้ว เจ๊รีบออกไปเร็ว” เมธาวีบอก
พนิดาได้ยินก็พลอยตื่นตระหนกไปด้วย

ณภัทรจับตัวอนามิกาไว้ ในขณะที่อัธวุธจับแขนของนลิณา ส่วนเกตนิการ์ยืนดูอยู่ไม่ห่าง
“แกยังโชคดีที่มีคนมาห้ามไว้ ไม่งั้นฉันตบแกตายแน่” นลิณาพูดอย่างฉุนเฉียว
“ขอโทษ! ใครจะตบใครตายไม่ทราบ ไปส่องกระจกดูหน้าตัวเองซะไป๊ แดงเป็นปื้นเลย” อนามิกาสวนกลับ
“ก็ลองมาตบกันอีกทีมั้ยล่ะ” นลิณาหันไปบอกอัธวุธ “นี่ ปล่อยฉัน”
“ได้เลย” อนามิกาหันไปบอกณภัทร “ภัทร ปล่อยฉัน”
“พอเหอะน่าอะนา” ณภัทรปราม
อนามิกาหันไปที่ประตูก็เห็นพนิดาเดินนำเมธาวีออกมา เธอก็พลันฉุกคิดขึ้นได้จึงรีบพูด
“คราวก่อนที่เธอมาหาเรื่องฉันถึงในร้าน ก็ทำให้ฉันโดนไล่ออกไปทีแล้ว เธอยังไม่สะใจพอเหรอ ถามจริงๆ นะ วันนั้นเธอหาเรื่องฉันทำไม”
นลิณาไม่เห็นพนิดาจึงสวนกลับไป “ไม่มีเหตุผลย่ะ! คนอย่างแกน่ะ แค่เห็นหน้า ฉันก็ของขึ้นแล้ว”
อนามิกาทำเสียงเว้าวอนให้เหมือนตัวเองเป็นเหยื่อที่โดนกลั่นแกล้ง “ทำไมต้องคอยแต่กลั่นแกล้ง แล้วก็หาเรื่องฉัน” อนามิกาแกล้งทำเป็นเพิ่งเห็นพนิดา “อ้าว! เจ๊แพนด้า เจ๊มาตั้งแต่เมื่อไหร่”
พนิดาเดินอย่างขึงขังเข้ามา “ก็มาทันได้ยินว่าวันนั้น...” พนิดาเดินเข้ามาจ้องหน้านลิณา “ยัยนี่เป็นคนหาเรื่องเธอก่อนน่ะ”
“เจ๊ ใจเย็นๆ” เมธาวีปราม
“ฉันไม่เย็นแล้ว ดูซิ! เพราะเธอแท้ๆ ที่ทำให้ฉันเข้าใจผิด ไล่ยัยอะนาออกไป แล้วเป็นไง พอมันออก ฉันก็ทำงานหัวหมุน เหนื่อยแทบอ้วกอยู่คนเดียว แหม..พูดแล้วมันอารมณ์เสีย ขอซักทีได้มะ”
พนิดาปราดจะเข้าไปตบนลิณา เกตนิการ์กับเมธาวีต้องเข้ามาช่วยกันจับ
“ถ้าไม่อยากแก่ตาย ก็เข้ามาสิป้า” นลิณาท้าทาย
“หรือเธอเรียกฉันว่าป้าเหรอ” พนิดาฉุนกึก
นลิณากับพนิดา ดิ้นพราดๆ จะเข้าใส่กัน ทุกคนต้องยื้อยุดกันอุตลุด อนามิกาอมยิ้มอย่างสะใจ

ณดลเพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำ พอเขาเดินมาถึงในร้านก็งงที่เห็นในร้านไม่มีใครอยู่เลย
“หายไปไหนกันหมดเนี่ย”
ณดลหันไปเห็นจ๊อดเดินมายืนใกล้ๆ จึงก้มลงไปถาม
“โทษนะ หนูรู้มั้ย ว่าพวกพี่ๆ เค้าหายไปไหนกันหมด”
“ผู้ใหญ่ยังไม่รู้ แล้วเด็กจะรู้ได้ไง” จ๊อดตอบ
ณดลผงะกับคำตอบแล้วจึงส่ายหัวด้วยความเอ็นดู
สักพักประตูก็เปิดเข้ามา อัธวุธจับแขนนลิณาลากถูลู่ถูกังเดินเข้ามา ส่วนพนิดาถูกเมธาวีกับเกตนิการ์คอยจับไว้เดินตามเข้า ปิดท้ายด้วยอนามิกาที่มีณภัทรคอยจับแขนรั้งไว้
“โอ๊ย...เร๊ว..รีบเอาคู่กรณีมาข้างในก่อน ขืนตีกันข้างนอก เดี๋ยวโปลิศก็แห่มาหรอก ว๊าย” อัธวุธร้องตกใจเพราะนลิณาสะบัดตัวจนหลุดออกไป
นลิณาสะบัดจนหลุดจากอัธวุธแล้วตรงเข้าไปตบหน้าอนามิกาฉาดใหญ่
“อย่า! นีน่า” ณภัทรร้องห้ามแต่ไม่ทัน
“โอ๊ย!” อนามิการ้อง แล้วหันไปดุณภัทร “ปล่อยฉันได้แล้ว”
อนามิกากับนลิณายื้อยุดกันอยู่ พนิดาเห็นก็อยากจะเข้ามาช่วยอนามิกาจึงหันไปบอกเมธาวีกับเกตนิการ์
“ปล่อยฉัน”
“ใจเย็นเจ๊ ลูกชายเจ๊อยู่ตรงนี้นะ” เมธาวีกล่อม
พนิดาหันไปเห็นจ๊อด “อ้าว...”
ณดลเห็นเหตุการณ์ก็โวยเสียงดัง
“นี่มันอะไรกันเนี่ย หยุดได้แล้ว”
นลิณากับอนามิกายังคงยื้อยุดมาถึงโต๊ะทำส้มตำ นลิณาค้ำคออนามิกาไว้ อนามิกาถอยหลังมาติดโต๊ะจึงหันไปคว้าเอาเส้นมะละกอดิบมาโปะหน้าของนลิณาจนเส้นมะละกอติดเต็มปากนลิณา
นลิณาพูดทั้งที่มีเส้นมะละกอในปาก “แก...จะเล่นอย่างงี้ใช่มั้ย”
นลิณาคว้ามะเขือเทศที่ใช้ตำส้มตำขึ้นมาบดใส่หน้าอนามิกา อนามิกาโต้ตอบด้วยการหยิบถั่วฝักยาวมาฟาดหน้านลิณา นอกจากนั้นทั้งกะหล่ำปลีและมะนาวที่หั่นไว้ก็ถูกใช้มาเป็นอุปกรณ์ในการตบตีด้วย นลิณาคว้าเส้นมะละกอมาโปะศีรษะของอนามิกา อนามิกาคว้าเส้นมะละกอเงื้อจะปาใส่ ณดลปราดเข้ามาร้องห้ามเสียงดัง
“ฉันบอกให้หยุด อุ๊บ!” ณดลยังพูดไม่จบก็ถูกเส้นมะละกอโปะเต็มหน้าและศีรษะ ณดลทำหน้าตาบอกบุญไม่รับ นลิณากับอนามิกาหันมามองแล้วก็หยุดชะงัก
“คุณณดล” นลิณาชะงัก
ทันใดนั้น อนามิกาก็คว้าชามปูเค็มมาโปะใส่ศีรษะของนลิณา
“กรี๊ด” นลิณาร้องลั่น
“อนามิกา!! เกินไปแล้วนะ” ณดลตวาด
นลิณารีบแสร้งทำเหมือนโดนกลั่นแกล้งรีบโผเข้าเกาะแขนณดลแล้วออดอ้อน
“คุณณดลขา ช่วยนีน่าด้วย นีน่าไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว”
“ได้...เดี๋ยวผมไปส่ง” ณดลพูดเสียงดังให้ทุกคนได้ยิน “พอทีเถอะนะ ฉันขอ”
“คุณก็แค่พายัยนีน่าออกไปก็หมดเรื่องแล้วหละ” อนามิกาบอก
“ไม่เอาน่า...อะนา” ณภัทรปราม
นลิณาออดอ้อนณดลต่อทันที
“นีน่าอยากกลับบ้านอาบน้ำสระผมน่ะค่ะ อี๋!!..เหม็นปูเค็มอ่ะ”
“ใครจะไปคิดนะว่าอุตส่าห์มาถึงลอนดอน แล้วยังโดนปูเค็มไต่หัว ฮ่าๆๆ” อัธวุธเยาะเย้ย
ณดลตวาด “หุบปากได้แล้ว”
อัธวุธสะดุ้งโหยงรีบเม้มปากทันที
“จะสนุกสนานอะไรกัน ก็อย่าให้มันเกินเลยจนไปทำร้ายคนอื่นเค้า” ณดลหันมาดุอนามิกา “แล้วเธอน่ะ สนุกให้พอนะ เพราะเดี๋ยวกลับเมืองไทยไปอยู่บ้านฉันเมื่อไหร่ เธอจะสนุกไม่ออก”
อนามิกามีสีหน้าหวาดหวั่นเมื่อนึกถึงเรื่องที่จะต้องกลับไปอยู่บ้านเดียวกับณดล และพ่อแม่ของณภัทร

ณดลกับนลิณาเดินออกมาหน้าร้าน นลิณายังใช้กระดาษทิชชู่ เช็ดศีรษะและเนื้อตัวอยู่
“เสียมู้ดหมดเลยนะคะ นึกว่าจะได้มาดื่มเลี้ยงส่งคุณณดลกลับเมืองไทย งั้นเอางี้มั้ยคะ พอกลับไปถึงที่ห้องนีน่า เราก็ดื่มกันสองคน”
“เอ่อ...อย่าดีกว่า คืออันที่จริง ผมดื่มไม่ค่อยได้น่ะ” ณดลบอก
“พูดเป็นเล่น”
“จริงๆ แต่นานๆ ครั้งก็พอได้ซัก 2-3 แก้ว แต่ถ้ามากกว่านั้น ก็ไม่ไหวเหมือนกัน”
“แหม...เพราะเหล้ายาไม่แตะแบบนี้ใช่ไหมคะ ถึงได้หน้าใสแบบนี้”
เกตนิการ์พรวดพราดออกมาจากร้านแล้ววิ่งตามมาส่งเสียงเรียก
“นีน่า...รอฉันด้วยสิ”
นลิณาหันมา “อ้าว! ก็ฉันไม่รู้ว่าเธอจะกลับ นึกว่าจะอยู่ต่อ”
“อยู่ต่อกะผีสิ เธอไปเปิดสงครามกับพวกเค้าขนาดนั้น แล้วจะให้ฉันนั่งอยู่หัวเดียวโด่เด่ในนั้นเนี่ยนะ ไม่ไหวหละจ้ะ” เกตนิการ์บอก

แก้วคอกเทลสีสวยของทุกคนถูกชูขึ้นมาชนกันตรงกลางวง
“เอ้า!!!...โชน!!!”
ทุกคนชนแก้วแล้วเตรียมจะยกแก้วขึ้นดื่ม แต่ก็พลันชะงัก เพราะพนิดาร้องห้ามไว้
“เฮ้ย!! เดี๋ยวๆๆ”
“อะไรคะเจ๊” เมธาวีถาม
“คือคราวก่อนโน้นที่พวกเธอมีเรื่องกะยัยนีน่าอะไรนั่น เจ๊ดันไล่เธอออกไป เพราะฉะนั้น เพื่อเป็นการขอโทษจากใจเจ๊ คืนนี้ กินฟรี เจ๊เลี้ยงเอง” พนิดาประกาศ
ทุกคนร้องเฮลั่น ก่อนจะยกแก้วขึ้นชนแล้วดื่มพร้อมกัน อัธวุธยกเหยือกเครื่องดื่มคอกเทลสีฟ้าขึ้นมารินแจกทุกคน
“เอ้า! ของฟรีนานๆ มีครั้ง อย่าได้ยั้ง อย่าได้หยุด” อัธวุธบอก
ณภัทรกับเมธาวียื่นแก้วมาขอให้อัธวุธรินเพิ่ม แล้วทั้งสองก็ชะงักมองไปที่ประตู อัธวุธหันมองตาม ทั้งหมดเห็นณดลเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่
“พี่ณดล มาได้ไงเนี่ย” ณภัทรตกใจ
“นั่นสิ แล้วไม่ต้องไปส่งแม่นีน่าสุดเลิฟของคุณแล้วเหรอ” อนามิกาถามทั้งๆ ที่ยังถือแก้วอยู่ในมือ
“ก็มีเกดกลับไปด้วยกันแล้ว ฉันก็เลยขอตัวกลับมานี่ แล้วเธอรู้มั้ยว่าฉันมานี่ทำไม” ณดลถามกลับ
“ไม่รู้อ่ะ” อนามิกาตอบ
ณดลตอบเสียงดุ “ฉันก็มาจับตาดูเธอน่ะสิ” ณดลชี้ที่แก้วในมืออนามิกา “แก้วในมือเธอน่ะวางลงเดี๋ยวนี้เลย”
อนามิกางง “วางทำไม เลี้ยงส่งกันทั้งที ทำไมฉันต้องวางแก้วด้วยล่ะ”
ณดลตวาด “ยังมีหน้ามาถามอีก เธอเคยสำนึกบ้างมั้ย ว่าคนท้องเนี่ย เค้าห้ามกินเหล้า”
“เออแฮะ เกือบลืม” อนามิกาทำเป็นนึกขึ้นได้
ณดลตวาด “เกือบลืมอะไร”
“เกือบลืมว่าท้อง เอ๊ย! เกือบลืมว่าคนท้องกินเหล้าไม่ได้”
“เดี๋ยวนะๆ” พนิดารีบทักขึ้น “อนามิกา นี่เธอท้องเหรอ ไปไงมาไงเนี่ย”
“เจ๊...เรื่องมันยาว ไว้ฉันเล่าให้ฟังทีหลังนะ”
พูดจบอนามิกาก็มองแก้วในมือ แล้วยื่นให้ณดล ณดลนิ่งๆ งงๆ อนามิกาจึงพูดต่อ
“เอาไปสิ ฉันท้องอยู่ กินเหล้าไม่ได้ งั้นคุณเอาไป”
“เดี๋ยวๆๆ คือพวกเหล้าฉันไม่ค่อยถนัดหรอกนะ มีอย่างอื่นมะ” ณดลบอก
เมธาวียกเหยือกน้ำส้มมาให้ “งั้นกินน้ำส้มกะเมก็ได้ค่ะ”
อนามิกายกมือปรามเมธาวี “เมธาวี! ไม่ต้อง” อนามิกาพูดกับณดล “นี่เค้าเลี้ยงส่งกันทั้งที จะมากินน้ำส้ม หน้าตาท่าทางก็ออกจะแมน แต่ถ้าปอดนัก ก็กลับบ้านตอนนี้ยังทันนะ”
“ฉันไม่ได้ปอด ก็แค่ไม่ถูกโรคกับแอลกอฮอล์ ฉันดื่มไม่ค่อยได้” ณดลบอก
“อุ๊ยตาย!” อนามิกาหันไปทางเพื่อนๆ “พวกเราได้ยินมั้ย ดื่มไม่ได้ แหม..เด็กอนามัย คุณหนูสุดๆ “
ทุกคนหัวเราะออกมาพร้อมกัน โดยเฉพาะอัธวุธกับพนิดาที่หัวเราะเยาะอย่างเปิดเผย
ณดลกลัวเสียหน้าจึงรีบบอก “ก็ไม่ถึงขนาดน้าน.. มา!เอามาก็ได้ แค่แก้วสองแก้ว ฉันไม่รู้สึกอะไรหรอก”
ทุกคนส่งเสียงเฮรับ แล้วทุกคนก็ชนแก้วแล้วดื่มกัน

เวลาผ่านไป ขวดเหล้าและเครื่องดื่มในเหยือกพร่องจนเกือบหมดวางอยู่บนโต๊ะตัวใหญ่ ทุกคนนอกจากอนามิกานั่งโงนเงนอย่างคนเมา พนิดาขยับจะลุกขึ้นแต่ก็โงนเงน
พนิดาพูดด้วยน้ำเสียงงัวเงีย “เจ๊ไม่ไหวแล้ว เดี๋ยวขึ้นนอนก่อน” พนิดาหันมาพูดกับอนามิกาและเมธาวี “ฝากร้านด้วยนะ ตอนออกไปก็ล็อกประตูให้เจ๊ด้วย”
“เจ๊...เดี๋ยวก่อนสิ” อนามิกาเรียก
“อย่าเพิ่งไปสิเจ๊ อีกแป๊บนึง” เมธาวีก็เรียกด้วย
พนิดาไม่ฟังเสียง เธอลุกเดินโซเซชนโต๊ะโน้นโต๊ะนี้เข้าร้านไป ทุกคนเม้าธ์ตามหลังทันที
“ดูสภาพเจ๊แล้ว ฉันว่าให้ไปนอนแหละดีแล้ว” รภัทรพูดด้วยเสียงอ้อแอ้
“ใครเมาก็ไปนอน มา!พวกเรา มาดวลกันต่อดีกว่า” ณดลตอบด้วยเสียงอ้อแอ้
“แหม...ปากดี ไหวมั้ยเนี่ย คออ่อนแล้วยังทำซ่า” อนามิกาว่า
“เธอว่าใครคออ่อน มา! รินมาเลย ฉันขอสั่งว่าทุกคนต้องหมดแก้ว” ณดลเสียงดัง
“โอ๊ย..จะเผด็จการไปไหน ขนาดกินเหล้ากันขำๆ ยังออกคำสั่ง” อนามิกาว่า
“เธอไม่ต้องยุ่ง เด็กและสตรีมีครรภ์ห้ามดื่ม” ณดลพูดกับทุกคน “เร็วสิ ชนแก้วกับฉัน ใครไม่หมดแก้ว ฉันไม่ยอมนะ”
“อะๆๆ เอากะเค้าหน่อย เอ้า...ทุกคน หมดแก้ว!” อัธวุธพูดเสียงดัง
ทุกคนชนแก้วแล้วกระดกจนหมดแก้วก่อนจะส่งเสียงเฮลั่นร้าน สิ้นเสียงเฮ ณดลก็ฟุบหน้าลงบนโต๊ะอย่างหมดสภาพ
“เฮ้ย!” อนามิกาหันไปพูดกับณภัทร “ภัทร พี่นายหมดสภาพแล้ว เก็บศพกลับบ้านด้วย”
ณภัทรพูดด้วยเสียงเมาไม่แพ้ณดล “ฉันไม่แปลกใจหรอก ปกติไม่เคยเห็นพี่ณดลกินเหล้าเกินสองแก้ว”
“ฉันว่านะ สมควรแก่เวลาแล้ว ดูแต่ละคนก็ท่าจะไม่ไหวกันแล้ว งั้นพวกเราแยกย้ายกันกลับบ้านดีกว่า” อนามิกาบอก
อัธวุธนั่งคอพับหมดสภาพ แล้วชูคอมายกมือโบกลา “งั้นกลับกันไปเลย ฉันนอนนี่แหละ”
เมธาวีพูดด้วยท่าทางที่เมาน้อยกว่าคนอื่น “เฮ้ย..พี่อาร์ท ไหงเอาตัวรอดงี้ล่ะ ไม่ได้นะ”
เมธาวีฉุดอัธวุธให้ลุกขึ้น แล้วมายืนใกล้ๆ ณดลที่ฟุบอยู่ ก่อนจะหันมาถามอนามิกา
“เอาไงดีล่ะ ใครจะประคองล่ะเนี่ย”
ณภัทรอาสาด้วยเสียงอ้อแอ้ “มา..ฉันช่วย...ประคอง...เอง”
ณภัทรเดินขาปัดล้มไปเอง เมธาวี อัธวุธ และอนามิการู้สึกเจ็บแทนณภัทร แล้วหันมองหน้ากันแหยๆ
“คงต้องเป็นหน้าที่ของเราสามคนแล้วหละ” อนามิกาบอก

อนามิกากับอัธวุธหิ้วปีกณดลที่เมาคอพับแทบไม่รู้สึกตัวมาตามถนนในลอนดอนยามค่ำคืน ในขณะที่เมธาวีประคองณภัทรที่ยังพอเดินได้ตามมา
ณภัทรพูดด้วยเสียงอ้อแอ้ “แหม...น่าจะต่ออีกซักหน่อยนะ”
“พอเหอะภัทร แค่นี้ก็จะแย่แล้ว” เมธาวีปราม
“ไม่ไหวเลยพี่น้องคู่นี้ คออ่อนทั้งคู่ แล้วนี่มันโลกยุคไหน ทำไมผู้ชายต้องป้อแป้ให้ผู้หญิงหิ้วปีกกลับบ้านแบบนี้” อนามิกาบ่น
“นั่นสิยะ โอ๊ย...หนักก็หนัก หนาวก็หนาว ฉันเองก็ไม่ใช่ว่าไม่เมานะ” อัธวุธบอก
อนามิกากับอัธวุธหิ้วปีกณดล เมธาวีประคองณภัทรเดินต่อไป ทั้งหมดเดินสวนกับฝรั่งสองคนที่หันมองจนเหลียวหลัง

อนามิกากับอัธวุธหิ้วปีกณดลเข้ามาในบ้านอย่างทุลักทุเล ทั้งสองเริ่มหอบด้วยความเหนื่อย เช่นเดียวกับเมธาวีที่ประคองณภัทรเดินเข้ามา ทั้งณดลทั้งณภัทรอยู่ในอาการเมาและหลับไหลไม่ได้สติ
“แล้วยังไงต่อยะเนี่ย” อัธวุธถาม
“ก็แยกย้าย ห้องใครห้องมัน” อนามิกาพูดกับอัธวุธ “เรามาทางนี้” แล้วเธอก็พูดกับเมธาวี “เมไปทางโน้น”
“โอเค” เมธาวีรับคำแล้วหันมาถามณภัทร “ไหวมั้ยภัทร อ้าว! หลับไปแล้วมั้ง”
เมธาวีประคองณภัทรแยกไปทางห้องณภัทร ส่วนอนามิกากับอัธวุธก็หิ้วปีกณดลไปที่ห้องนอนณดล

ร่างของณดลถูกอนามิกาและอัธวุธทิ้งลงมาคว่ำหน้าลงบนเตียง
“เอ้า! เดี๋ยวก็หายใจไม่ออกพอดี อาร์ท ขอแรงหน่อย” อนามิกาบอกเพื่อน
อนามิกาจับร่างของณดลพลิกให้นอนหงาย โดยมีอัธวุธช่วยอีกแรง
อนามิกาผงะ เพราะเหม็นกลิ่นเหล้า “อื้อหือ...กลิ่นเหล้าหึ่งเลย...แหวะ! ฉันขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ เดี๋ยวมา”
อัธวุธพยักหน้ารับ อนามิกาเดินออกไป อัธวุธยื่นหน้ามาดมๆ ใบหน้าและหน้าอกของณดล แล้วทำหน้าเหยเก
“หือ...รูปร่างหน้าตาโอเคแล้ว แต่กลิ่นต้องปรับปรุงนะยะ ถอดออกดีกว่าเสื้อเนี่ย มีแต่กลิ่นเหล้า”
อัธวุธถอดเสื้อให้ณดล พอเห็นแผ่นอกขาวแน่น เขาก็ชะงักเพราะรู้สึกห้ามใจจะไม่ไหว
“เอ่อ...แหม..ขาวเว่อร์ไม่เกรงใจกันบ้างเลยนะ” อัธวุธจะเอามือไปลูบไล้ แต่ก็ชักมือกลับ “ไม่ได้ เราจะทำอย่างงั้นไม่ได้” อัธวุธพูดกับณดล “เดี๋ยวเช็ดตัวให้นะ”
อัธวุธเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้ณดลนอนถอดเสื้อหมดสภาพอยู่บนเตียง
เมธาวีประคองณภัทรที่เตียงก่อนจะพยุงร่างของณภัทรให้นั่งลงบนเตียง เมธาวีถอนใจอย่างเหนื่อยอ่อน
“เฮ่อ...ไหล่แทบทรุด”
เมธาวีจับท่อนแขนของณภัทรที่กำลังโอบรอบคอของตน
“ปล่อยแขนสิภัทร ว๊าย!”
เมธาวีจะปลดแขนณภัทรออกแต่กลายเป็นว่าแขนณภัทรโน้มคอเธอจนหน้าคะมำลงไป จุ๊บที่แก้มของณภัทรแนบชิดจนแทบจะฝังหน้าลงไป เมธาวีตกใจก่อนที่แววตาของเธอจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นมีความสุข
ทันใดนั้น อนามิกาก็เปิดประตูพรวดเข้ามาพอเห็นภาพดังกล่าวเธอก็ร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ “เม!”
เมธาวีตกใจที่เห็นอนามิกาเพราะปากเธอยังจุ๊บแก้มณภัทรอยู่ เมธาวีรีบผงะออกมาทันที
“ทำอะไรน่ะ” อนามิกาถาม
เมธาวีลนลานรีบปฏิเสธ “ปะ..เปล่านะ เมไม่ได้ทำอะไร”
“ก็เห็นๆ ว่าเมจูบนายภัทรอยู่น่ะ” อนามิกาบอก
“เปล๊า...พี่อะนาเอาอะไรมาพูด”
“ก็นี่ไง...หลักฐานยังอยู่เต็มๆ เนี่ย”
อนามิกาชี้ที่แก้มของณภัทรซึ่งมีรอยลิปสติกของเมธาวีเป็นรูปปากติดอยู่อย่างชัดเจน
เมธาวีลนลานรีบหาข้อแก้ตัว “เอ่อ..คือว่ามันเป็นอุบัติเหตุนะพี่อะนา คือเมพยุงนายภัทรเค้ามาที่เตียงอย่างงี้” เมธาวีทำท่าประกอบไปด้วยอย่างลนลาน “แล้วแขนเค้าโน้มคอเมลงไป เมก็เลย...”
อนามิกาแทรกขึ้น “เอาหละๆ ฉันรู้ ฉันเข้าใจ ฉันรู้จักแกดีน่ะยัยเม”
“ขอบคุณนะที่เข้าใจ”
อนามิกาแกล้งหยอก “แต่ทีหลังก็อย่าหาเศษหาเลยกับนายภัทรเค้าแบบนี้อีกล่ะ”
เมธาวีร้องเสียงหลง “พี่อะนา”
“พี่พูดเล่น...โอ๋ๆๆๆ ฮ่าๆๆ”
เมธาวีอมยิ้มแต่ทั้งงอนทั้งเขิน

อัธวุธนั่งอยู่ที่เตียง เขาใช้ผ้าผืนเล็กๆ ชุบน้ำในชามที่วางอยู่ใกล้ๆ แล้วบิด ก่อนจะนำมาเช็ดตัวลูบไล้หัวไหล่และแผ่นอกของณดล โดยที่อัธวุธพยายามสะกดอารมณ์หื่นสุดฤทธิ์
“โอ๊ย...ไม่คิดเลยนะเนี่ยว่าจะซ่อนรูปขนาดเนี้ย คนอะไร น่ากินไปทั้งตัว ไม่ไหวแล้ว ไม่ช๊งไม่เช็ดตัวแล้ว”
อัธวุธโยนผ้าทิ้งแล้วกระโดดขึ้นคร่อมร่างของณดล เขากำลังจะโน้มใบหน้าลงไปฟัดแต่ก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงอนามิกา
“นั่นแกจะทำอะไรน่ะ”
อัธวุธเด้งออกมายืนข้างเตียง “เปล๊า...ฉันเปล่านะแก ฉันแค่เช็ดตัวให้เค้า”
อนามิกาเดินมาหยิบผ้าที่อัธวุธโยนทิ้งแล้วชูขึ้น “เช็ดตัวอะไรแก ผ้ายังอยู่ตรงนี้”
อัธวุธยิ้มแหยๆ “ก็แหม...ฉันมาอยู่เมืองนอกเป็นปี มันก็มีมู้ดแบบ...อยากจะกินของไทยบ้างอะไรงี้”
“ไม่ต้องเลยนะแก ออกไปเลย น่าเกลียดที่สุด เมาแล้วหื่นไม่เลือก”
“ย่ะ...งั้นฉันกลับหละนะ งั้นหล่อนก็เช็ดตัวให้คุณณดลเค้าต่อแล้วกัน”
อัธวุธเดินสะบัดออกไป อนามิกาถือผ้าในมือด้วยหน้าตาเหรอหรา
“อ้าว! กลายเป็นหน้าที่ฉันไปแล้วเรอะ”
อนามิกาหน้าเหยเกเพราะไม่เต็มใจทำ แต่ครู่หนึ่งเธอก็จำใจเอาผ้าชุบน้ำเช็ดตัวให้ณดลด้วยมือไม้ที่สั่นและไม่ค่อยกล้ามองตรงๆ เพราะว่าเขินอายเนื่องจากไม่เคยเช็ดตัวให้ใครแบบนี้
“ทำไมต้องฉันต้องมาทำให้คุณแบบนี้ด้วยนะ อี๋...เกิดมาฉันเคยเช็ดตัวใครแบบนี้ซะที่ไหนล่ะ”
ณดลขยับตัวแล้วไอกระแอมเบาๆ โดยที่ยังหลับตาอยู่ อนามิกาหันมานั่งมองหน้าของณดลนิ่ง
“นอนหลับปุ๋ยเป็นเด็กเลย...”
อนามิกาเอาผ้าชุบน้ำแล้วบิด ก่อนจะค่อยๆ เช็ดใบหน้า ให้ณดลอย่างนุ่มนวล
“...ดูๆ ไปก็ไม่เห็นจะเหมือนคนชอบดุ ชอบออกคำสั่งเลยนี่นะ”
อนามิกาค่อยๆ เอามือจัดเส้นผมของณดลที่ปรกลงมาบริเวณใบหน้าอย่างอ่อนโยน เธอนั่งมองณดลแล้วเหมือนตกอยู่ในภวังค์
อนามิกาเผลอใจ ใช้นิ้วค่อยๆ ไล้ไปตามสันจมูกโด่งคมและไล้อย่างแผ่วเบามาที่ริมฝีปากได้รูปของเขา สักพักเธอก็ได้สติจึงรีบชักมือกลับ “นะ..นี่เราเป็นอะไรไปเนี่ย บ้าที่สุดเลย”
อนามิกาหน้าแดงเพราะเขินอายกับสิ่งที่ตนเองทำลงไป
“พอ! พอ! เดี๋ยวฉันหาเสื้อตัวใหม่ให้ใส่แล้วพอกันที”
อนามิกาลุกขึ้นแล้วยกชามแก้วจะไปเทน้ำทิ้ง แต่จังหวะที่จะหันตัวเพื่อก้าวไปเกิดสะดุดขาตัวเองเสียจังหวะ ทำให้เธอเอียงเทน้ำจากชามลงไปที่เป้ากางเกงของณดล “ว๊าย!”
อารามตกใจ อนามิกาทำชามคว่ำลงบนเป้ากางเกงของณดลอีก
อนามิกาตกใจ “ตายแล้ว! เป็นอะไรรึเปล่าเนี่ย”
ชามแก้วยังครอบอยู่ที่เป้าที่เปียกแฉะของณดล อนามิกาหน้าแหยๆ อย่างรู้สึกผิด เธอขยับมาเล็งอยู่ใกล้ๆ ชามแล้วเปิดชามดูอย่างลุ้นระทึก
“โทษนะ” อนามิกาค่อยๆ แง้มชามดู “ไม่มีอะไรบุบสลายนะ”
อนามิกาถอนใจโล่งอก แล้วยืนมองเป้ากางเกงณดลอย่างพิจารณา
“เปียกแฉะไปหมดอย่างงี้ ฉันต้องเปลี่ยนทั้งเสื้อทั้งกางเกงให้คุณใช่มั้ยเนี่ย”
อนามิกามีสีหน้าหนักใจสุดๆ

เมธาวีใช้กระดาษทิชชู่ซับน้ำในแก้ว แล้วนำมาเช็ดที่ใบหน้าของณภัทร พลางพูดไปด้วย
“แล้วพรุ่งนี้จะต้องบินกลับเมืองไทยแล้วนะภัทร นี่นายจะไหวมั้ยเนี่ย”
ณภัทรตอบเสียงงัวเงีย “ไหวสิ”
“ไหวก็ดีแล้ว เมเช็ดให้แต่หน้านะ ตรงอื่นไปเช็ดเอาเอง นี่ถ้าไม่ชอบไม่ทำให้หรอกนะ”
“อือ...ขอบใจนะ”
“ไม่เป็นไร” เมธาวีนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วก็ตาโตเพราะเพิ่งนึกขึ้นได้ “เฮ้ย!” เมธาวีรีบหันมามองหน้าณภัทรทันที
ณภัทรยังพริ้มตาสะลึมสะลือเหมือนคนละเมอ
“นี่ภัทรได้ยินที่เมพูดออกมาหมดเลยเหรอเนี่ย”
ณภัทรขยับพยักหน้าแบบสะลึมสะลือ “อือ..”
“งั้น...นายก็ได้ยินแล้วสิ ที่ฉันบอกว่า..ชอบ...นาย” เมธาวีเขิน
“อือ...”
“แล้ว...ถ้างั้น...นายล่ะ? นายรู้สึกยังไงกับฉัน...หือ?” เมธาวีตัดสินใจถาม
ณภัทรนอนหลับตาขยับปากแจ๊บๆ อย่างคนที่หลับและไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร
“อ้าว...หลับไปแล้วเหรอ” เมธาวีหันมาบ่นต่อโดยไม่ได้มองหน้าณภัทร “ขี้โกงชะมัด ทีตอนฉันบอกความในใจ นายก็รับฟัง แต่พอฉันถามกลับไปมั่ง นายก็หลับหนีไปซะงั้น อย่างงี้มันเรียกเอาเปรียบกันรู้มั้ย ถ้าจะให้แฟร์ ตอนฉันถามว่านายคิดยังไง ชอบฉันมั้ย นายก็ต้องตอบฉันสิ”
ณภัทรโพล่งเสียงงัวเงียขึ้นมา “ชอบสิ”
เมธาวีตาโตรีบหุบปากสนิท แล้วหันขวับไปมองหน้าณภัทร เธอเห็นณภัทรนอนหลับตา อมยิ้มน้อยๆ อยู่
“จริงเหรอ” เมธาวีถาม ณภัทรไม่ตอบ “ที่นายพูดเมื่อกี้น่ะจริงเหรอ...นายชอบฉันจริงๆ เหรอภัทร...ว้า...หลับไปซะแล้ว”
เมธาวีเช็ดหน้าให้ณภัทรอย่างทะนุถนอมพร้อมกับอมยิ้มอย่างสุขใจ

อนามิกาหลับตาปี๋แล้วค่อยๆ หรี่ตามองก่อนจะค่อยๆ ปลดกระดุมกางเกงแล้วรูดซิปให้ณดล โดยที่ณดลยังใส่กางเกงบ๊อกเซอร์เอาไว้ข้างใน
อนามิกาเบือนหน้าหนี “ทำไมฉันต้องมาทำอะไรอย่างงี้ด้วยนะ อี๋...”
ขณะที่อนามิกากำลังถอดกางเกงของณดลที่นอนหลับไม่รู้เรื่องอย่างทุลักทุเล เธอกำลังจะถอดกางเกงให้พ้นปลายขาของณดล ณดลก็ตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย พอเขาเหลือบมองที่เท้า แล้วเห็นอนามิกากำลังถอดกางเกงของตนอยู่เขาก็งงอยู่พักหนึ่ง
“ฝันอะไรแปลกๆ วะเรา” ณดลพึมพำ
แล้วณดลก็หลับตา แล้วพลันลืมตาโพลงอย่างนึกขึ้นได้ “เฮ้ย!”
อนามิกาตกใจ “ว๊าย!”
“เธอทำอะไรน่ะ”
อารามตกใจ อนามิการีบปฏิเสธ “เปล่า ฉันไม่ได้ทำอะไร”
ณดลขยับลุกขึ้นนั่ง แล้วถอยกรูดไปสุดหัวเตียง
“ไม่ได้ทำอะไรเนี่ยนะ แล้วกางเกงในมือเธอล่ะ”
“ไหน...” อนามิกามองกางเกงณดลในมือตัวเอง “ว้าย!”
“ฉันถามว่าเธอคิดจะทำอะไร”
“ก็...” อนามิกาใช้สองมือจับกางเกงชูให้ณดลดู “ถอดกางเกงคุณน่ะสิ”
“หา!? นี่ยอมรับแล้วใช่มั้ย แล้วเธอถอดกางเกงฉันทำไม” ณดลนึกขึ้นได้ก็ทำตาโตแล้วหันมาที่อนามิกา “อย่าบอกนะว่าเธอกำลัง...คิดมิดีมิร้ายกับฉัน”
อนามิการ้องเสียงหลง “จะบ้าเหรอ คนอย่างฉันเนี่ยนะ จะไปคิดอะไรกับคุณ”
“ถ้าไม่คิด แล้วจู่ๆ มาถอดกางเกงฉันทำไม”
“ก็เนี่ย...ดูสิยะ” อนามิกายกกางเกงให้ดู “เมาหมดสภาพซะเป้ากางเกงเปียกแบบนี้ ไอ้เรารึก็อุตส่าห์ใจดี จะถอดให้”
“แล้ว...ทำไมกางเกงฉันถึงเปียกอย่างงี้ล่ะ”
“ก็...เอ่อ...” อนามิกาแกล้งทำฟอร์ม “จะไปรู้เหรอ เมาแล้วฉี่ราดที่นอนล่ะมั้ง”
“เฮ้ย! เกิดมาฉันยังไม่เคยฉี่รดที่นอนเลยนะ” ณดลขยับไปดึงกางเกงกลับมา แล้วยื่นจมูกไปดมฟุดฟิดๆ “ไม่ใช่อ่ะ ไม่ใช่แน่ๆ”
“ไม่รู้ไม่ชี้ โอ๊ย...รู้งี้ฉันปล่อยให้หลับไปทั้งอย่างงี้ซะก็ดี อุตส่าห์ช่วย ดันหาว่าฉันคิดลามกซะงั้น” อนามิกาบ่น
“ถ้าเธอไม่ได้คิดอะไร งั้นฉันก็ขอโทษที แต่ตอนนี้เธอรีบกลับไปนอนห้องเธอดีกว่า เดี๋ยวใครมาเห็นฉันถอดกางเกงอยู่กับเธอแบบนี้ มันจะไม่ดี”
อนามิกาตอบห้วนๆ “งั้นฉันขอตัวนะ”
อนามิกาเดินหน้าเข้มออกมา พอหันหลังให้ณดลเธอก็เป่าปากด้วยความโล่งใจ

เช้าวันใหม่ อนามิกาที่นอนอยู่ค่อยๆ ตื่นลืมตาขึ้นอย่างสะลึมสะลือ เธอนิ่งเพื่อเรียกสติสักพัก แล้วจึงค่อยๆ หันตะแคงไปด้านข้างก็เห็นร่างๆ หนึ่งนอนหันหลังให้โดยมีผ้าห่มบังไว้ทำให้เธอไม่รู้ว่าเป็นใคร
อนามิกาบ่นด้วยน้ำเสียงงัวเงีย “ภัทร...มานอนอะไรบนนี้ ไปนอนโซฟาโน่น เราตกลงกันตั้งแต่วันแรกที่ฉันแกล้งมาอยู่กับนายแล้วนะ ว่านายต้องนอนที่โซฟาน่ะ ภัทร...ภัทร” อนามิกาชักรำคาญจึงลุกขึ้นนั่งบนเตียงแล้วจับร่างนั้นพลิกมา
พอพลิกตัวมาอนามิกาก็เห็นว่าเป็นณดล
อนามิกาตกใจ “หา! คุณ...มาอยู่บนเตียงฉันได้ยังไง”
ณดลขยับตัวจนหัวไหล่โผล่ออกมาจากผ้าห่มทำให้เห็นว่าไม่ได้ใส่เสื้อ เขาเอามือท้าวคาง มองอนามิกาอย่างกรุ้มกริ่ม
“อย่ามาทำเป็นแบ๊วเลย จำไม่ได้เหรอว่าเธอเป็นคนถอดกางเกงฉันเอง” ณดลบอก
“หา?! ไม่ใช่นะ ก็ฉันบอกแล้วไงว่าฉันแค่จะเปลี่ยนให้ ไม่ได้คิดอะไร” อนามิกาฉุกคิดขึ้นได้ “หา!!...นี่...อย่าบอกนะว่า...คุณ...แก้ผ้า...”
อนามิกาค่อยๆ เอื้อมมือจับผ้าห่มอย่างลุ้นระทึก เธอรวบรวมสติแล้วเปิดพรวดทันที แล้วอนามิกาก็ต้องตาโตด้วยความตกใจสุดขีด “กรี๊ด!”

อนามิกาซึ่งนอนอยู่บนเตียงกรีดร้องขึ้นมาพร้อมกับยกขาเตะถีบเป็นพัลวัน
“กรี๊ดดด!! ไม่จริ๊ง!!!...”
ณภัทรชะโงกหน้า ลุกจากโซฟา “อะนา...เป็นอะไร” ณภัทรเรียกเสียงดัง “อะนา”
อนามิกาลุกพรวดขึ้นมานั่ง เธอค่อยๆ ลืมตา มองไปรอบๆ เพื่อเรียกสติกลับมา
อนามิกาถอนใจด้วยความโล่งอก “เฮ่อ...โล่งอก ฉันฝันไปเองนี่”
“เธอฝันว่าอะไรเหรอ”
“ก็ฝันว่าพี่นายมานอนโป๊...อุ๊บส์” อนามิกานึกได้ก็รีบเม้มปากสนิท
ณภัทรตาโตและหายง่วงทันที “ฝันว่าไงนะ...เมื่อกี้เธอว่าไงนะ”
“ปะ..เปล่า” อนามิกาทำเป็นเหวี่ยงใส่ “ไม่มีอะไร..ก็ฝันไปเรื่อยเปื่อยไร้สาระ ไม่ต้องมาสนใจฉันได้มั้ย รีบเก็บข้าวของให้เรียบร้อยไป๊ วันนี้จะต้องเดินทางกลับแล้วนะ”
“จ้า!..ทราบแล้วจ้า เมียจ๋า”
อนามิกาค้อนใส่ ณภัทรรีบชิ่งออกไป ทิ้งให้อนามิกายืนทบทวนตนเองอยู่คนเดียว
“เป็นบ้าอะไรไปนะเรา สงสัยภาพอีตาณดลโป๊เมื่อคืนจะติดตาซะแล้ว”
อนามิกาขยี้ตาคล้ายต้องการจะขับไล่ภาพที่ติดตาออกไป

รถแท็กซี่จอดอยู่ที่หน้าบ้านณภัทร คนขับรถกำลังช่วยณดลกับณภัทร เอากระเป๋าใส่ท้ายรถอยู่ อนามิกายืนร่ำลาเมธาวีและอัธวุธอยู่บนฟุตบาธ
“ไม่ต้องห่วงนะยะ ถ้าแกหลงลืมอะไร ฉันจะเก็บกลับไปให้เอง” อัธวุธบอก
เมธาวีจับแขนอนามิกา “อีกไม่กี่วันเมกับพี่อาร์ทก็จะกลับแล้วเหมือนกัน ไว้เราไปเจอกันที่เมืองไทยนะ”
ณดลยืนอยู่ที่แท๊กซี่ ส่งเสียงดุเรียก “อนามิกา!”
อนามิกา เมธาวี และอัธวุธหันไปที่ณดล
ณดลพูดเสียงแข็งๆ “เราต้องไปกันแล้วนะ จะลากันอีกนานมั้ย”
อนามิกา เมธาวี และอัธวุธ หันมาซุบซิบกัน
“ดู๊..ดู...ตั้งแต่วันแรกยันวันสุดท้ายที่นี่ คุณพี่แกก็ดุร้ายได้เสมอต้นเสมอปลายจริงๆ นะยะ” อัธวุธว่า
“งั้นพี่อะนารีบไปดีกว่า ไปอยู่บ้านเค้าน่ะ ต้องดูแลตัวเองดีๆ นะ เมเป็นห่วง”
“อืม...ขอบใจ เมก็เหมือนกัน เทคแคร์นะ” อนามิกาหันมายกมือลาอัธวุธ “ฉันไปแล้วอาร์ท”
อนามิกาเดินไปที่แท็กซี่ ณภัทรยืนเปิดประตูรถรอให้อนามิกาก้าวขึ้นรถ
ณภัทรโบกมือให้อัธวุธกับเมธาวี “อาร์ท เม ไว้เจอกันที่กรุงเทพฯ นะ”
อัธวุธกับเมธาวีโบกมือตอบ จากที่ยิ้มแย้มทั้งสองก็เริ่มใจหายเพราะรู้สึกอาลัย
อนามิกาขึ้นรถแท็กซี่ ณภัทรขึ้นตามแล้วปิดประตู รถเคลื่อนไปได้ประมาณสิบเมตรก็เบรกเอี๊ยด อัธวุธกับเมธาวีมองหน้ากันอย่างงงๆ อนามิกาเปิดประตูรถแท็กซี่แล้ววิ่งรี่กลับมาแทรกกลางทั้งสอง เธอใช้สองแขนกอดคอทั้งเมธาวีและอัธวุธแล้วปล่อยโฮออกมาด้วยความอาลัย เมธาวีกับอัธวุธก็พลอยต่อมน้ำตาแตกไปด้วย
อนามิกาพูดเสียงเครือ “สองปีมานี่เราได้เจอกันทุกวัน กลับไปคราวนี้ ฉันต้องคิดถึงแกสองคนแน่ๆ”
อนามิกา อัธวุธ และเมธาวียืนกอดกันกลม ครู่หนึ่งอนามิกาจึงขยับออกแล้ววิ่งกลับไปขึ้นรถแท็กซี่ โดยที่ก่อนขึ้นรถเธอก็หันไปโบกมือลาเพื่อนอีกที เมธาวีกับอัธวุธก็โบกมือลาจนรถแท็กซี่วิ่งลับตาไป

เครื่องบินแลนดิ้งลงบนรันเวย์ของสนามบินสุวรรณภูมิ พนารัตน์ยืนชะเง้อรออยู่บริเวณพื้นที่รอผู้โดยสารขาเข้า ท่าทางของเธอดูร้อนใจ กระวนกระวาย ขณะที่กอบชัยยืนอยู่ข้างๆ
“นี่ฉันจะได้เจอหน้านังผู้หญิงที่ท้องกับลูกชายฉันแล้วใช่มั้ย” พนารัตน์เปรยขึ้น “ฉันไม่รู้จะทำหน้ายังไงจริงๆ นะคุณ แหม...นี่ถ้าเป็นลูกเป็นเต้าจะตบสั่งสอนจริงๆ ปล่อยให้ท้องได้ไง รักสนุก แต่ไม่รู้จักป้องกัน”
กอบชัยปราม “คุณ...ชู่ว..หยุดได้แล้ว”
“ทำไมต้องหยุด ฉันพูดอะไรผิด อยากจะเห็นหน้านังผู้หญิงคนนี้เหมือนกันว่ามันจะหนา จะด้านขนาดไหน”
“พอเถอะคุณ ลูกๆ เรามากันโน่นแล้ว” กอบชัยชี้ไป
ณดลกับณภัทรเดินเข็นรถเข็นกระเป๋าเดินทางออกมา ทั้งสองบังอนามิกาที่อยู่ด้านหลังทำให้พนารัตน์กับกอบชัยยังมองไม่ให้เห็น
“ไหนล่ะ นังนั่นล่ะ” พนารัตน์ชะเง้อหา “ฉันว่านะ มันต้องขี้เหร่มากๆ ถึงต้องจับผู้ชายด้วยวิธีนี้ เชื่อฉันสิ รูปร่างหน้าตามันต้องแย่ๆ เน่าๆ”
พนารัตน์เห็นณดลกับณภัทรเดินแยกออกมา เผยให้เห็นอนามิกาที่เข็นรถเข็นกระเป๋าเดินทางอยู่ตรงกลาง พนารัตน์อึ้งเมื่อเห็นว่าอนามิกาสวยและดูดีผิดคาด อนามิกาเดินเข้ามายกมือไหว้อย่างอ่อนช้อยสวยงาม พนารัตน์ อ้าปากหวอไม่รู้ตัว กอบชัยหันมามองแล้วต้องสะกิดจนพนารัตน์สะดุ้งจากภวังค์
“ขา?!..ว่าไงนะคุณ”
“เค้าไหว้คุณอยู่น่ะ” กอบชัยบอก
พนารัตน์หันมามอง เห็นอนามิกายิ้มและไหว้สวยงามอย่างมารยาทดี
“สวัสดีค่ะคุณแม่”
พนารัตน์จิกสายตา แสดงความไม่เป็นมิตรอย่างแรง
“เรียกฉันว่าแม่เนี่ย ปรึกษาฉันรึยัง ว่าฉันอนุญาตมั้ย”
ณภัทรเดินมากอดพนารัตน์อย่างเกรงๆ
“คุณแม่ครับ...เอ่อ...นี่...อนามิกาครับ...เค้าเป็น...เอ่อ...”
ณดลพูดเสียงแข็งๆ “ก็บอกไปสิ ว่ายัยอะนาคือเมียท้องอ่อนๆ ของแก”
อนามิกาเหล่มองณดลเคืองๆ ในขณะที่ยังพนมมือจรดไหว้อยู่
“ณดล...” พนารัตน์ชี้ที่อนามิกา “เดี๋ยวช่วยพาคนๆ นี้กลับบ้านไปนะลูก แม่กับพ่อจะต้องพาตาภัทรไปพบกับใครบางคน”
“ใครเหรอครับคุณแม่ แต่ผมเพิ่งกลับมาเหนื่อยๆ อยากจะกลับบ้านก่อน” ณภัทรบอก
พนารัตน์ตวาดสวนขึ้น “ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้นแล้วไปกับแม่”
ณภัทรหน้าเสีย เขาหันไปทางกอบชัยกับณดลก็เห็นทั้งสองพากันเย็นชาใส่โดยไม่ช่วยอะไร

ณดลกับอนามิกาเข็นรถเข็นกระเป๋าเดินทางมาตามทางเดินในสนามบิน
“ภัทรเค้าต้องไปพบใครเหรอ ที่คุณแม่คุณจะพาไปน่ะ” อนามิกาถามขึ้น
“ไม่ใช่เรื่องของเธอ...เธอไม่ต้องรู้ก็ได้” ณดลตอบห้วนๆ
“ฉันก็แค่ถาม คุณก็แค่ตอบมาไม่ได้เหรอ ทำไมต้องทำให้มันมากเรื่อง”
ณดลหยุดเข็นแล้วหันมาจ้องหน้าดุใส่อนามิกา
“ใช่! ฉันมากเรื่อง” ณดลขู่เสียงเข้ม “แล้วฉันก็จะเรื่องมากกับเธอให้ยิ่งกว่านี้อีก”
อนามิกาอึ้งและพูดไม่ออก “เอ่อ...”
“ตอนอยู่ลอนดอน ฉันยังไม่อยากจะวุ่นวายกับเธอมาก แต่ตอนนี้เธอมาอยู่บ้านฉันแล้ว” ณดลใช้สองนิ้วชี้ตาตัวเอง แล้วชี้ไปที่อนามิกา “ฉันจะจ้องจับผิดเธอไม่ให้คลาดสายตา คอยดูสิ”
ณดลตีหน้ายักษ์ใส่ แล้วเข็นรถต่อไป อนามิกาชักกลัวๆ เธอเริ่มขยับปากขมุบขมิบพูดทวนที่ณดลพูดเชิงล้อเลียน พอณดลหันมาเธอก็รีบหุบปากสนิท แล้วเข็นรถตามไปทันที

ณภัทรนั่งหลังตรงตัวแข็งอยู่ระหว่างกอบชัยกับพนารัตน์ที่ดูเคร่งเครียดเหมือนรอคำพิพากษาอยู่ในห้องรับแขกบ้านเสรี เสรีนั่งหน้าเครียด เขาค่อยๆ ยกชาขึ้นจิบ แต่ก็ยังจ้องมองหน้าณภัทรไม่วางตา ณภัทร กอบชัยและพนารัตน์กลืนน้ำลายเอื้อกลงตอและหายใจไม่ทั่วท้อง
เสรีจ้องเขม็งแล้วพูดเสียงเครียด “พวกคุณจะเอายังไง แล้วพาลูกชายคุณมาพบผมเพื่อ..?”
กอบชัยกับพนารัตน์มองหน้ากันเหมือนเกี่ยงกันพูด ในที่สุดพนารัตน์ก็พยักเพยิดให้กอบชัยพูดก่อน
“เอ่อ...คือ...เราอยากจะมาเคลียร์กับคุณเสรี คือเราสองคนตั้งใจจริงที่จะรักษาสัญญา ที่จะให้ลูกชายเราหมั้นกับลูกสาวคุณเสรี แต่ว่า...”
เสรีจ้องหน้าณภัทร “แต่ว่าลูกชายคุณดันไปทำผู้หญิงท้อง และต้องรับเป็นเมีย อย่างงั้นใช่มั้ย”
กอบชัยกับณภัทรสะอึกแล้วก้มหลบตา ไม่กล้าขยับปากพูดอะไร พนารัตน์พยายามช่วย
“ก็ทันที่ตาภัทรบินกลับมา เราก็เลยคิดว่าจะพาตาภัทร มากราบขอโทษคุณเสรีที่นี่”
ณภัทรขยับจะเข้ามาคุกเข่ากราบ แต่แค่ขยับตัวเขาก็โดนตวาดจนต้องหยุดนิ่ง
“ไม่ต้อง!” เสรีตวาด
ณภัทรจ๋อยแล้วค่อยๆ นั่งลงตามเดิม
“จะกราบขอโทษทำไม ผมไม่รับคำขอโทษ เราสัญญากันเป็นเรื่องเป็นราวขนาดนี้ จู่ๆ จะมายกเลิก แล้วกราบขอโทษก็จบกันเนี่ยนะ มันไม่มักง่ายไปหน่อยเหรอ”
“แล้ว...ถ้างั้น...คุณเสรีอยากให้เราทำยังไงคะ” พนารัตน์ถาม
เสรีพูดอย่างใส่อารมณ์ “ก็ทำอย่างที่เราเคยสัญญากันไว้น่ะสิ แล้วพวกคุณจำไว้นะ คนอย่างผมไม่ได้เกิดมาเพื่อรับคำปฏิเสธ ถ้าคิดจะทำให้ลูกสาวผมขายหน้าหละก็...เราจะได้เห็นดีกัน!”
ทันใดนั้นเสียงแพรวาก็ดังขึ้น “คุณพ่อ...”
เสรีรีบเก็บอาการโกรธทำเป็นยิ้มแย้มเมื่อเห็นแพรวาเดินเข้ามาหา
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ...อ้าว!” แพรวายกมือไหว้พนารัตน์กับกอบชัย “สวัสดีค่ะคุณอา”
“จ้ะ...สวัสดีจ้ะหนูแพร” ทั้งสองรับไหว้
“นี่คุณภัทรกลับมาแต่เมื่อไหร่คะเนี่ย” แพรวาทัก
“เอ่อ...ก็...เพิ่งลงมาจากเครื่องเลยน่ะครับ” ณภัทรตอบ
แพรวาลงไปนั่งข้างๆ เสรี “แพรได้ยินคุณพ่อเสียงดัง ก็นึกว่าทะเลาะอยู่กับใครซะอีก”
“เปล่านี่...ไม่มี เราก็แค่คุยเล่นสนุกๆ กัน” เสรหันมาพูดกับแขกทั้งสาม “ใช่มั้ย”
“ใช่ๆๆ” กอบชัยกับพนารัตน์รีบตอบ
ทุกคนทำเป็นหัวเราะกลบเกลื่อนกัน
แพรวากระซิบบอกเสรี “คุณพ่อ ถ้าพวกคุณอากับคุณภัทรไม่รีบกลับ คุณพ่อก็ชวนให้อยู่ทานขนมกันก่อนสิคะ แพรจะได้โชว์ฝีมือทำขนมเค้กอร่อยๆ ให้ทาน”
“อืม...ก็ดีนะลูกแพร “ เสรพูดกับกอบชัย พนารัตน์และณภัทร “ไม่รีบไปไหนกันใช่มั้ยพวกเรา”
ทั้งสามรีบยิ้มแล้วพยักหน้ารับหงึกๆ เพราะไม่กล้าขัดใจเสรี

อนามิกายืนแหงนหน้ามองตัวบ้านของณดล กระเป๋าเดินทางใบโตวางอยู่ข้างตัว อนามิกาบ่นเบาๆ กับตัวเอง
“บ้านหรือคฤหาสน์เนี่ย อลังการซะ...เฮ่อ..จะไหวมะเรา รู้สึกอย่างกะเข้ามาอยู่บ้านทรายทอง”
ณดลเปิดประตูบ้านออกมาเห็นอนามิกายังยืนนิ่งก็พูดเสียงดัง
“ยืนทำอะไรอยู่ตรงนั้นน่ะ”
“อ้าว..แล้วกระเป๋าล่ะ” อนามิกาถาม
“ก็ยกเข้ามาเองสิ”
อนามิกาบ่นเบาๆ อย่างขัดใจ “อะไรวะ ทีตัวเองให้แม่บ้านยก ทีฉันต้องยกเอง”









Create Date : 03 เมษายน 2555
Last Update : 3 เมษายน 2555 0:01:27 น.
Counter : 748 Pageviews.

0 comment
แหม่มแก้มแดง ตอนที่ 5



ณดลกับณภัทรกำลังนั่งจิบชาอยู่ที่โต๊ะอาหารที่โรงแรม ณดลมีท่าทางเคร่งเครียดจริงจัง จู่ๆ เขาก็เอ่ยกับน้องชาย
“คืองี้นะภัทร ฉันรู้ว่าตอนนี้แกมีเรื่องบางอย่างอึดอัดคาใจ ฉันก็เลยอยากจะเคลียร์ให้แกสบายใจน่ะ”
ณภัทรงง เพราะเขาเองกำลังยิ้มแย้มแจ่มใสอย่างสบายใจอยู่
“เคลียร์อะไรพี่ ผมก็ไม่ได้อึดอัดคับข้องใจอะไรนี่พี่”
“แกอย่าปฏิเสธ ฉันรู้ เราเป็นผู้ชายด้วยกัน ฉันเข้าใจแกดี” ณดลบอก
ณภัทรยิ่งงงหนัก “พี่พูดอะไรของพี่เนี่ย ผมงงไปหมดแล้ว” ณภัทรยกชาขึ้นจิบ
“ก็...ฉันรู้ว่าแกไม่สบายใจเรื่องที่ฉันไปค้างคืนกับเมียแกน่ะสิ”
ณภัทรพ่นน้ำชาออกมา แล้วก็ต้องสะดุ้งเพราะน้ำชาลวกปากของเขา
“เฮ้ย...พี่ณดล พี่คิดมากไปรึเปล่า ผมไม่ได้คิดอะไร ผมสบายใจดี”
ณดลยื่นมือตบไหล่น้องชาย “ภัทร...แกไม่ต้องแกล้งพูดให้ฉันรู้สึกดีหรอก เราผู้ชายด้วยกัน ฉันเข้าใจดี ถ้ามีใครอยู่ค้างคืนกับเมียฉันสองต่อสอง ฉันก็คงต้องรู้สึกคาใจเหมือนกัน”
“เอ๊า...ไปกันใหญ่แล้ว”
“ฟังฉันนะภัทร ฉันจะเคลียร์กับแกว่า ฉันไม่ได้ล่วงเกินอะไรเมียแกจริงๆ โอเค..อาจจะมีแตะเนื้อต้องตัวกันบ้าง แต่ฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะ”
ณภัทรยิ้มขำๆ “โอ๊ย...พี่ พอเหอะ ผมไม่ได้คิดอะไรจริงๆ”
ณดลจะอ้าปากพูดต่อ ทันใดนั้นเมธาวีก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาขัดจังหวะ
“ภัทร...พี่ณดล เกิดเรื่องแล้วหละค่ะ”
ณภัทรกับณดลมีสีหน้าตื่นตกใจ

อัธวุธเข้ามาแทรกกลางอยู่ระหว่างนลิณากับอนามิกา โดยที่ต่างฝ่ายก็ต่างจะตบกัน เลยทำให้สองสาวใช้ฝ่ามือตบแก้มอัธวุธจนหันไปมาซ้ายทีขวาที ส่วนเกตนิการ์ยืนคุมเชิงอยู่ไม่ไกล
“หยุด..พอแล้ว” อัธวุธร้องเพราะโดนลูกหลง “โอ๊ย!..หยุด...Stop!! เดี๋ยวเจ้าของโรงแรมก็ตามโปลิศมาหรอก โอ๊ย!..หยุดได้แล้ว โอ๊ย!! นี่ถ้าเธอสองคนไม่หยุด ฉันจะ...โอ๊ย! เหวี่ยงมาแต่ละฉาดนี่โดนแต่ฉันเลยนะยะ”
ทันใดนั้น ทั้งหมดก็ได้ยินเสียงเด็ดขาดจากณดล “หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
ทุกคนหยุดชะงักแล้วหันไปเห็นณดลเดินหน้าเครียดเข้ามา โดยมีณภัทรกับเมธาวีเดินตามมาข้างหลัง อนามิกาและนลิณาจึงยอมแยกจากกัน
“เกิดอะไรขึ้นอีกเนี่ย” ณดลถาม “เธอสองคนนี่ ดูเหมือนจะอยู่ใกล้กันไม่ได้เลยใช่มั้ย”
อนามิกากับนลิณาพูดพร้อมกัน “ก็มันหาเรื่องฉันก่อน!”
“เอาเข้าไป..!! พูดเหมือนกันซะอีก แล้วฉันจะเชื่อใครได้เนี่ย” ณดลเซ็ง
“แต่พี่อะนาพักในห้องนี้อยู่แล้ว คงไม่ต้องบอกนะคะว่าใครเป็นฝ่ายเข้ามา” เมธาวีบอก
“เอ๊ะ..ยัยเม เธอเข้ามาตอนมีเรื่องแล้วจะไปรู้อะไร” เกตนิการ์หันไปพูดกับณดล “พูดอย่างเป็นกลาง ไม่ได้เข้าข้างใครนะคะ นีน่าเค้าเข้ามาถามดีๆ แต่ดันเจอแม่อะนาเหวี่ยงใส่ อย่างงี้เรียกว่าใครเริ่มก่อนล่ะคะ”
“ถามดีๆ เนี่ยนะ” อนามิกาพูดกับณดล “คุณรู้มั้ยยัยนีน่าถามฉันว่าไง เค้าถามว่าเมื่อคืนฉันทำอะไรกับคุณบ้าง”
ณดลสะดุ้งแล้วหันขวับไปที่นลิณา “อ้าว! ไหงงั้นล่ะนีน่า”
นลิณาอึ้ง “เอ่อ..คือ...” นลิณาชักไปไม่เป็น รีบหันไปมองเกตนิการ์เพื่อขอให้เกตนิการ์ช่วย
“นีน่าเค้าแค่ถามเพราะเป็นห่วง” เกตนิการ์เอ่ยขึ้น “แล้วก็อยากรู้ว่าคุณณดลเป็นยังไงบ้าง”
“ใช่ๆๆ ทำไมคะ การที่นีน่าเป็นห่วงคุณณดลมันผิดตรงไหน มันเรียกว่าหาเรื่องตรงไหนเหรอคะ”
“เอาเหอะ..อยากพูดอะไรก็พูดไป โดนเธอตบฉันยังทนได้ แต่ได้ยินเธอสตรอเบอรี่แบบนี้ ฉันทนอยู่ต่อไปไม่ไหวแล้ว” อนามิกาจะเดินออกไป
“นั่นเธอจะไปไหน” ณดลถาม
“ออกไปไหนก็ได้ ที่ไม่ต้องทนฟังคำตอแหลในห้องนี้ คุณก็พอกัน ดันบ้าจี้เชื่อที่ยัยนีน่าพูด”
นลิณายิ้มเยาะ อนามิกาเดินผ่านนลิณาไปแล้วกำลังจะออกจากห้อง แต่ก็ต้องชะงักเพราะณดลโพล่งขึ้นมาก่อน
“ใครบอกว่าฉันเชื่อ”
อนามิกาหันมามองณดลด้วยความประหลาดใจ ส่วนนลิณาถึงกับสะอึก
ณดลพูดกับอนามิกา “ฉันคิดเป็นหรอกน่าว่าอะไรคืออะไร แต่คนเราควรมีความอดทนแล้วก็อดกลั้น ไม่ใช่พอมีเรื่องอะไรหน่อย ก็ต้องก่อเรื่องตบตีกันอุตส่าห์มาเรียนถึงเมืองนอกเมืองนา พวกเธอน่าจะละอายกันบ้าง”
“ใช่...เธอน่าจะรู้จักละอายบ้างนะอะนา” นลิณารีบเสริม
ณดลหันมาขึ้นเสียงกับนลิณา “คุณก็ด้วยเหมือนกันนีน่า”
นลิณาสะอึกแล้วมองประหลับประเหลือกกับเกตนิการ์ที่ยืนจ๋อยอยู่เหมือนกัน
“ทุกคนฟังนะ” ณดลประกาศ “ระหว่างที่ฉันยังอยู่ที่นี่ ฉันขอร้องอย่าให้มีการทะเลาะตบตีกันอีก หรือถ้าอยากจะลองดีกับฉัน...ก็ลองดู!”
ณดลเดินอย่างอารมณ์เสียออกไป ทุกคนจ๋อยๆ เหลือบมองกันแต่ไม่มีใครกล้าพูดอะไร

นลิณายืนกดโทรศัพท์ด้วยอาการร้อนรนอยู่ที่มุมที่โทรศัพท์วางอยู่บริเวณโรงแรม โดยมีเกตนิการ์ยืนอยู่ใกล้ๆ
นลิณากดแป้นโทรศัพท์พลางบ่นไปอย่างเคียดแค้น “ปล่อยไว้ไม่ได้แล้ว ต้องรีบให้คุณพ่อฉันจัดการมัน”
“ดี! ยัยอะนาจะได้ออกไปห่างๆ จากนายภัทรของฉันซะที” เกตนิการ์โพล่งออกมา
นลิณาสะดุดกึก “เมื่อกี้เธอว่าไงนะเกด เธอพูดว่า...นายภัทรของฉันเหรอ”
“อ๋อ...เอ่อ..ฉันหมายถึงนายภัทรของน้องแพรน่ะ นายภัทรก็ต้องเป็นของน้องสาวเธอสินีน่า”
นลิณาพยักหน้าหน้ารับ เธอกดโทรศัพท์แล้วรอสายปลายทางมารับ ขณะที่เกตนิการ์ถอนใจโล่งอกที่เผลอหลุดปากออกไปแต่นลิณาไม่สงสัยอะไร

เสรีกำลังพูดโทรศัพท์อยู่ที่บ้านของเขา
“อะไรนะ..ทำผู้หญิงท้อง นายภัทรลูกคุณกอบกับคุณรัตน์เนี่ยนะ” เสรีทวนคำที่ลูกสาวบอกมาทางโทรศัพท์
นลิณาใส่อารมณ์พูดโทรศัพท์ โดยมีเกตนิการ์นั่งฟังอยู่ข้างๆ
“ค่ะคุณพ่อ มันชื่ออนามิกา ที่แย่กว่านั้นคือนายภัทรก็ยินดีจะรับผิดชอบมันด้วย”
เสรีโกรธ “เฮ้ย! จะทำแบบนั้นได้ยังไง คุณกอบกับคุณรัตน์สัญญากับพ่อไว้แล้วว่าจะให้นายภัทรหมั้นกับน้องแพรของเรา สองคนนั้นเค้าไม่มีวันหักหลังพ่อหรอกนะ”
“แต่เค้ายังไม่รู้ไงคะคุณพ่อ นีน่าบอกคุณพ่อคนแรกเนี่ย กระทั่งน้องแพร นีน่ายังไม่บอกเลย”
“งั้นดีแล้ว อย่าเพิ่งบอกน้องแพร เดี๋ยวพ่อเคลียร์ให้เอง สบายใจได้นะลูก”
“จะสบายใจได้จริงๆ หรือคะคุณพ่อ”
“เชื่อพ่อสิลูก อย่าลืมว่าตอนที่คุณกอบกับคุณรัตน์ยังต๊อกต๋อย พ่อเคยช่วยเหลือเค้าไว้เยอะ แค่บุญคุณตรงนั้นมันก็เพียงพอที่เค้าจะไม่กล้าปฏิเสธพ่อแล้วหละลูก อืม...ดูแลตัวเองด้วยนะลูก พ่อก็รักลูกจ้ะ”
สีหน้าของเสรีเปลี่ยนเป็นเดือดดาลขึ้นมาทันที

พนารัตน์กับกอบชัยฟังเรื่องจากปากเสรีแล้วก็มีหน้าตาตื่นตกใจ
“คะ..คุณเสรีว่าไงนะคะ” พนารัตน์หันมาทางกอบชัย “นี่เรื่องจริงเหรอคุณ เจ้าภัทรลูกเราทำเรื่องแบบนี้จริงๆ เหรอ”
“ผมก็เพิ่งได้ยินพร้อมคุณนี่แหละ” กอบชัยหันมาพูดกับเสรี “คุณเสรีแน่ใจเหรอ”
“คนอย่างผม ถ้าไม่แน่ใจ ผมจะมาโวยถึงบ้านคุณแบบนี้มั้ยล่ะ ทำไมพวกคุณถึงลืมสัญญาที่เราเคยให้กันไว้ ฝ่ายผมน่ะเป็นลูกสาวนะ ไม่คิดบ้างเหรอว่าลูกสาวผมจะเสียหายขนาดไหน”
“คุณเสรีใจเย็นๆ ก่อน ฉันกับคุณกอบไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนจริงๆ” พนารัตน์บอก
“ก็รู้ซะสิ ดูแลลูกชายของคุณยังไง ผมไม่ยอมนะ คิดดูสิว่าผมกับลูกสาวจะไปสู้หน้าใครในสังคมได้”
“ขอเวลาให้ผมเคลียร์กับเจ้าณภัทรก่อนได้มั้ย ผมรับประกันว่าจะไม่ทำให้คุณเสรีผิดหวังแน่ๆ” กอบชัยบอก
“ผมจะเชื่อได้ยังไง ในเมื่อคุณปล่อยปละละเลยจนเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น อนาคตของลูกสาวผมต้องมาถูกทำลายเพราะลูกชายของคุณ” เสรีโกรธ
“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ฉันก็ต้องขอโทษคุณเสรี” พนารัตน์กล่าว
เสรีตวาดสวน “ผมไม่รับคำขอโทษ ถ้าลูกชายคุณล้มเลิกการหมั้น ทำให้ลูกสาวผมขายหน้าหละก็...เราจะได้เห็นดีกัน!”
เสรีเอาฝ่ามือทุบโต๊ะระบายอารมณ์ พนารัตน์กับกอบชัยนั่งหน้าจ๋อย ทั้งสองเหลือบมองตากันอย่างรู้สึกผิดและเกรงใจเสรี

ณดล อนามิกา และณภัทรหอบหิ้วกระเป๋าข้าวของเดินเข้ามาในบ้านณภัทร อนามิกากับณภัทรทิ้งตัวนั่งบนโซฟาอย่างเหนื่อยอ่อน ณดลหยิบที่ชาร์จแบตเตอรีโทรศัพท์มาเสียบชาร์จโทรศัพท์มือถือของตน
“ดันลืมเอาที่ชาร์จไป โทรศัพท์มือถือเวลาแบตหมด มีประโยชน์แค่เอาไว้ทับกระดาษอย่างเดียว” ณดลบ่นแล้วกดปุ่มเปิด เขามองหน้าจอแล้วร้องเสียงหลง “หา! สิบเจ็ดมิสคอล!..จากคุณพ่อ”
ณภัทรกับอนามิกากำลังเอนหลังสบายๆ ถึงกับสะดุ้ง ตกใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ณภัทรหน้าตาตื่นเพราะเริ่มใจไม่ดี “รีบโทรกลับไปดีกว่ามั้ยพี่ เผื่อที่บ้านมีเรื่องอะไร”
ณดลก็ร้อนใจจึงพยักหน้าหงึกๆ เขากำลังจะกดปุ่มโทรศัพท์แต่เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นก่อน
ณดลมองหน้าจอแล้วหันมาบอกณภัทรด้วยเสียงตื่นเต้น “คุณพ่อโทรมา”

กอบชัยโวยเสียงดังกรอกหูโทรศัพท์ ขณะที่พนารัตน์ยืนอยู่ข้างๆ สามี
“บอกความจริงพ่อมาซิ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นนั่น”
“เล่าให้ลูกฟังก่อนสิคุณ ที่คุณเสรีมาโวยเราน่ะ เอามานี่” พนารัตน์แย่งโทรศัพท์มาพูดเอง “เจ้าภัทรไปแอบทำผู้หญิงท้องจริงหรือเปล่าลูก”
ณดลพูดโทรศัพท์โดยมีณภัทรกับอนามิกาคอยลุ้นอยู่ใกล้ๆ
“เอ่อ..” ณดลเหลือบมองไปที่ณภัทร ที่กำลังลุ้นอย่างใจคอไม่ค่อยดี แล้วหันมาตอบโทรศัพท์เสียงเบา “เอ่อ..ค..ครับคุณแม่”
พนารัตน์กรีดร้องโวยวายอย่างผิดหวัง กอบชัยต้องคอยปลอบ
“กรี๊ดด...นี่มันเกิดขึ้นได้ยังไง แล้วนังนั่นมันเป็นใคร ไปได้กันตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมณภัทรเค้าถึงทำกับแม่แบบนี้ กรี๊ด”
“คุณ..ใจเย็นๆ ก่อนคุณ เดี๋ยวอาการกำเริบขึ้นมา ก็ได้หามส่งโรงพยาบาลกันอีกหรอก” กอบชัยแย่งหูโทรศัพท์มาพูด “แป๊บนึงนะลูก”
กอบชัยประคองพนารัตน์ให้นั่งเอนหลังพิงสบายๆ แล้วจึงหันไปเรียกคนใช้
“ศรี...ศรี ขอยาดมให้คุณรัตน์หน่อยเร็ว”
ศรีวิ่งเข้ามารับคำ “ค่า..” แล้วศรีก็รีบวิ่งไป
ณดลร้อนใจเพราะเป็นห่วงแม่ ณภัทรก็พลอยร้อนใจไปด้วย
“คุณแม่เป็นอะไรเหรอเปล่าครับ ฮัลโหล” ณดลพยายามเรียก
กอบชัยผละจากการดูแลพนารัตน์ แล้วหันมายกหูโทรศัพท์พูดอย่างเคร่งเครียด
“ณดลฟังพ่อนะ รีบพาไอ้ภัทรกลับมาที่บ้านด่วนที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ ณดลได้ยินใช่มั้ย”
“ครับคุณพ่อ” ณดลรับคำ
“แล้วให้มันพาผู้หญิงคนนั้นมาด้วย เราจะเคลียร์เรื่องทั้งหมดกันที่เมืองไทย พ่อต้องขอตัวไปดูแลแม่แกก่อน รีบพาน้องกลับบ้านเราให้เร็วที่สุด!” กอบชัยสั่ง

ณดลมีหน้าตาตื่นรีบตอบกลับพ่อตัวเองทันที ส่วนณภัทรกับอนามิกายืนอกสั่นขวัญแขวนอยู่ใกล้ๆ
“คะ..ครับ ได้ครับคุณพ่อ...ฮัลโหล...คุณพ่อครับ...ฮัลโหล” ณดลหันมาทางณภัทร“วางไปซะแล้ว”
“คุณแม่เป็นอะไรเหรอพี่” ณภัทรถาม
“ก็...ทุกคนรู้เรื่องแกกับอะนาแล้ว คุณแม่ก็คงจะช็อกเอาน่ะ แต่ก็มีคุณพ่อกับศรี ดูแลอยู่ ก็คงจะไม่เป็นอะไรมากหรอก” ณดลเล่า
“แล้ว...คุณพ่อว่าไงเหรอพี่” ณภัทรถามด้วยใจคอไม่ดี
“ก็บอกให้ฉันรีบพาแกกลับบ้าน” ณดลเน้นเสียง “ด่วน!”
ณภัทรหนักใจ อนามิกาตบไหล่เป็นการปลอบ
“เธอก็ด้วย” ณดลบอก
อนามิกาสะดุ้งโหยง “หา?! ฉ..ฉันด้วยเนี่ยนะ ฉันเกี่ยวด้วยเหรอ”
“เธอเป็นเมียของน้องฉัน แล้วจะไม่เกี่ยวได้ไง เตรียมเก็บข้าวของเดินทางกลับเมืองไทยกันได้แล้ว” ณดลบอก
อนามิกาทำหน้าตาเหรอหราเพราะหนักใจที่ตนเองต้องไปเกี่ยวข้องด้วย

กอบชัยคอยประคับประคองดูแลพนารัตน์อยู่ที่เก้าอี้ห้องรับแขก ศรีวิ่งเข้ามาพร้อมยาดม
“ยาดมค่ะคุณรัตน์” ศรีถือยาดมจ่อจมูกพนารัตน์
ทันใดนั้นเสียงกริ่งหน้าประตูก็ดังขึ้น
“ศรีไปดูทีซิ ว่าใครมา” กอบชัยรับยาดมจากศรีมาจ่อจมูกพนารัตน์
“ค่ะ ศรีจะไปเดี๋ยวหละค่ะ” ศรีรีบวิ่งออกไป
“เป็นไงบ้างคุณ จะให้ผมพาไปหาหมอมั้ย” กอบชัยถาม
“ไม่ต้อง...ฉันพอไหวแล้ว” พนารัตน์ค่อยๆ พยุงตัวขึ้นนั่ง
“จะดื่มอะไรหน่อยมั้ยคุณ ชา หรือว่าน้ำอุ่นดี”
พนารัตน์เริ่มเหวี่ยงใส่ “จะอะไรก็รีบเอามาเถอะ”
“เอ๊า..คุณ แล้วทำไมต้องฟาดงวงฟาดงาใส่ผมด้วย”
“ก็คนมันเพิ่งรู้ว่าลูกชายสุดที่รักไปทำผู้หญิงท้อง จะให้พูดจาอ่อนหวานนิ่มนวลอะไรนักหนายะ...หา?” พนารัตน์หันไปแล้วก็ชะงัก เพราะเธอเห็นแพรวายืนหน้าเจื่อนๆ อยู่ โดยมีศรียืนอยู่ข้างๆ ในอาการเดียวกัน
“อ้าว...หนูแพร” พนารัตน์รีบทำตัวให้เป็นปกติ
“นั่งก่อนสิ นั่งก่อน ศรี..รีบจัดการหาน้ำหาท่าให้หนูแพรเร็ว” กอบชัยสั่งคนรับใช้
แพรวายกมือไหว้ “สวัสดีค่ะ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เผอิญแพรผ่านมาทางนี้ ก็เลยซื้อขนมมาฝาก เดี๋ยวก็ไปแล้วค่ะ เอ๊ะ! นี่แพรมาขัดจังหวะคุณอากำลังคุยธุระกันหรือเปล่าคะ”
พนารัตน์รีบตอบ “เปล่าเลยจ้ะหนูแพร ไม่มีธุระอะไร”
แพรวาถามซื่อๆ “แพรได้ยินว่าเอ่อ...ลูกชายทำผู้หญิงท้อง”
พนารัตน์กับกอบชัยหน้าตื่น แล้วหันมามองกันเลิ่กลั่กก่อนจะรีบแก้ตัวพัลวัน
“เอ่อ..คือว่า...” พนารัตน์อ้ำอึ้ง
กอบชัยรีบแก้ต่าง “คือเป็นลูกชายของคนอื่นเค้าน่ะ ไม่เกี่ยวกับเราหรอก”
“ใช่ๆๆ ลูกชายของคนรู้จักกันน่ะ” พนารัตน์ยื่นมือไปรับขนม “น่ารักจริงๆ หนูแพร เจออะไรอร่อยๆ ก็อุตส่าห์มีใจนึกถึงคนแก่สองคนนี้”
“แหม..ไม่รู้ลมอะไรพัดมาแต่ทางบ้านนี้นะ เมื่อกี้คุณเสรีก็เพิ่งแวะมา”
“อ้าว..จริงเหรอคะ คุณพ่อเพิ่งมาเหรอ” แพรวายกโทรศัพท์มือถือขึ้นมา “เดี๋ยวแพรโทรเรียกคุณพ่อให้มานี่ดีกว่า”
กอบชัยกับพนารัตน์รีบโบกมือร้องห้าม “ไม่เป็นไรจ้ะ”
แพรวางง “ทำไมเหรอคะ มีอะไรเหรอ”
“ปะ..เปล่าจ้ะ ไม่มีอะไร มาเมื่อกี้ก็โดนกันอ่วมแล้ว ไม่ต้องมาแล้วหละจ้ะ” กอบชัยบอก
“ยังไงนะคะ ใครโดนอะไรเหรอคะ”
พนารัตน์ยิ้มให้แพรวา “ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ” พนารัตน์หันไปดุกอบชัย “คุณก็พูดไปเรื่อยไร้สาระจริงๆ”
“งั้น...แพรขอตัวนะคะ” แพรวาไหว้อย่างอ่อนช้อย “สวัสดีค่ะ”
สองสามีภรรยารีบรับไหว้ “จ้า...ขับรถดีๆ นะหนูแพร”
กอบชัยกับพนารัตน์หันมามองหน้ากันอย่างหนักใจ
“ดูซิ หนูแพรก็ช่างใสซื่อ น่ารัก ฉันไม่ยอมนะ ถ้าลูกชายของเราจะไปฉีกหน้า ไปทำลายอนาคตหนูแพรเค้าน่ะ” พนารัตน์บอก
“ผมรู้ จะเป็นจะตายยังไง เราก็ต้องรักษาสัญญาที่เคยให้ไว้กับคุณเสรี เราต้องเอาตัวไอ้ณภัทรกลับมาหมั้นกับหนูแพรให้ได้”
พนารัตน์พูดอย่างจริงจัง “แล้วก็ต้องเขี่ยนังผู้หญิงคนนั้น ออกไปจากชีวิตของลูกเราด้วย”

อนามิกากำลังเก็บข้าวของแพ็คใส่กระเป๋าเดินทางใบโตอยู่ในห้องนอนที่บ้านอัธวุธ โดยมีอัธวุธกับเมธาวีในชุดนอนนั่งอยู่ใกล้ๆ
“ทำไมจะต้องรีบเก็บข้าวของกลับเมืองไทยซะขนาดนี้ล่ะพี่อะนา” เมธาวีถาม
“นั่นสิ อีกไม่กี่วัน ฉันกะยัยเมก็จะกลับแล้ว ทำไมไม่รอกลับพร้อมกันล่ะ” อัธวุธข้องใจ
“ก็เพราะนายภัทร กะอีตาณดล เจอประกาศิตจากทางบ้านให้กลับด่วนน่ะสิ” อนามิกาหยุดเก็บข้าวของแล้วหันไปมองอัธวุธกับเมธาวีอย่างเซ็งสุดๆ “แต่ที่แย่กว่านั้นก็คือ...ฉันต้องกลับไปรับบทเมียกำมะลอของนายภัทรต่อน่ะสิ”
เมธาวีกับอัธวุธตกใจจนร้องเสียงหลง “หา?”
“หมายความว่าแกต้องตกกระไดพลอยโจน กลับไปหลอกพ่อแม่นายภัทร ว่าแกเป็นเมียนายภัทร แล้วก็ท้องอยู่ด้วยเนี่ยนะ” อัธวุธทวน
อนามิกาตอบเสียงเรียบๆ เซ็งสุดๆ “อื้อฮึ”
“จะไหวเหรอพี่อะนา หมายถึงต้องอยู่บ้านกับพี่ณดลแล้วก็พ่อแม่นายภัทร ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงเลยเนี่ยนะ” อัธวุธถามด้วยความเป็นห่วง
อนามิกามีสีหน้าเซ็งสุดๆ “ก็ประมาณนั้น”
“จะรอดเหรอแก เดี๋ยวมันจะบานปลายใหญ่โต กลายเป็นเรื่องโกหกระดับนานาชาตินะแก ฉันว่าแกถอนตัวเหอะ คิดดูสิ แกจะโกหกไปได้อีกซักกี่น้ำ ถ้าต้องไปกินอยู่ในถ้ำเสืออย่างงั้น” อัธวุธเป็นห่วง
เมธาวีก็ชักจะเป็นห่วงอนามิกา “นั่นสิ พี่อะนา ลำพังหลอกแค่พี่ณดลมันก็ยังไม่เท่าไหร่นะ แต่ขืนไปเล่นถึงรุ่นคุณพ่อคุณแม่เค้า ถ้าเรื่องมันแดงขึ้นมา เค้าไม่เอาเราตายเหรอพี่”
“ฉันรู้...ฉันรู้...ฉันรู้...ฉันก็ปฏิเสธอีตาภัทรแล้ว แต่ว่า....”
อนามิกาเริ่มต้นจะเล่าเหตุการณ์ให้เมธาวีกับอัธวุธฟัง

เหตุการณ์ที่อนามิกาเล่าย้อนกลับมาอีกครั้ง อนามิกายืนกอดอกด้วยท่าทางเมินเฉย ในขณะที่ณภัทรคุกเข่าจับมืออนามิกาอย่างวิงวอน
“ขอร้องหละอะนา ทุกอย่างกำลังเริ่มต้นได้สวยอยู่นะ พี่ณดลก็เชื่อเธอสนิทใจ ช่วยแกล้งเป็นเมียท้องสองเดือนของฉันที่เมืองไทยต่อเถอะนะ”
“นายก็พูดได้สิ นายไม่ต้องมาเป็นฉันนี่ ขืนฉันต้องไปอยู่ที่บ้านนาย แล้วต้องคอยโกหกทุกคนในบ้าน ฉันคงอึดอัดจนอกแตกตายซักวัน”
“แต่ถ้าเธอไม่ช่วย ฉันก็ต้องโดนจับหมั้นกับผู้หญิงที่ฉันไม่ได้รัก” ณภัทรอ้อนวอน
“มันก็มีวิธีอื่นเยอะแยะที่นายจะปฏิเสธทางบ้านนายนี่นา”
“ใช่! มีวิธีอื่นเยอะแยะ แต่ตอนนี้มันเหลือวิธีเดียวแล้ว ก็เพราะเราขึ้นต้นมาแบบนี้ เราหลอกพี่ณดลไว้อย่างงี้ เราไม่เหลือวิธีอื่นอีกแล้ว”
“แล้วนายคิดเหรอว่า ไอ้การที่เราหลอกทุกคนไว้ว่าฉันท้องสองเดือนเนี่ย มันจะหลอกเค้าได้นานซักแค่ไหนกัน ผ่านไป 3-4 เดือน เค้าก็จับได้กันหมดแล้ว หรือฉันต้องเอาหมอนยัดท้องให้ดูท้องโตๆ อย่างงั้นเรอะ” อนามิกาถาม
“เออ..ไม่เลวแฮะ ไอเดียดีนี่”
อนามิกาโวยเสียงดัง “จะบ้าเหรอ”
ณภัทรจุ๊ปากเพราะกลัวณดลที่อยู่นอกห้องจะได้ยิน “ชู่ว..เบาสิ เดี๋ยวพี่ณดลได้ยิน”
“ฟังนะ ฉันเพิ่งเรียนจบกลับเมืองไทย ชีวิตฉันยังมีอนาคต ฉันไม่สิ้นคิดมาสวมบทเมียกำมะลอของนายเป็นปีๆ หรอก”
“ไม่นานขนาดน้าน...เอางี้ ฉันขออีกแค่สามเดือน หลังจากนั้น เธอไม่ต้องหลอกใครอีกแล้ว ครบสามเดือนปั๊บฉันจะบอกความจริงกับทุกคน...นะ..ฉันขอร้อง เธอจะเอาอะไรฉันให้ทุกอย่าง ให้ค่าจ้างคูณสองเลยเอ้า!”
อนามิกาส่ายหน้า แล้วเมินหน้าหนี “ฝันไปเหอะ”
“งั้นคูณสาม” ณภัทรยื่นข้อเสนอต่อ
อนามิกาเหลือบมามองนิดหนึ่ง แต่ก็ยังเมินอยู่
“คูณสี่..คูณห้าเลยเอ้า! คูณห้าจากที่ฉันจ่ายตอนนี้เลย”
อนามิกาหูผึ่งแล้วค่อยๆ หันมาอย่างเห็นแก่เงิน “ไอ้ฉันเองก็ทนเห็นเพื่อนกำลังเดือดร้อนไม่ค่อยจะได้หรอกนะ”

อนามิกายังเล่าให้อัธวุธกับเมธาวีฟังต่อ
“สุดท้ายฉันเห็นแก่เพื่อนก็เลยรับปากว่า...”
อัธวุธรีบแทรกขึ้น “โอ๊ย!! พอเหอะ เห็นแก่เพื่อนเนี่ยนะ เห็นแก่เงินมากกว่ามั้งแกน่ะ”
“ครึ่งนึงย่ะ เห็นแก่เพื่อนด้วย เห็นแก่เงินด้วย โอเคยัง” อนามิกาบอก
“ย่ะ..ตามนั้น” อัธวุธรับคำ
“ยังไงพี่อะนาก็ดูแลตัวเองให้ดีแล้วกัน เมขอเคลียร์ธุระที่นี่ซัก 4-5 วัน แล้วจะเก็บข้าวของตามกลับไปเมืองไทยเหมือนกัน”
“นี่...งั้นไหนๆ ในโอกาสที่เรามาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ร่วมกันสองปีเต็ม คืนพรุ่งนี้เราจะมีปาร์ตี้อำลากันซะหน่อยมะ” อัธวุธชวน
“เอาดี๊...” อนามิกามองเมธาวี “เดี๋ยวจะชวนนายภัทรไปด้วย ที่ไหนว่ามา”
“ร้านพนิดามะ จะได้ไปลาเจ๊แกด้วยไง” เมธาวีเสนอ
อนามิกากับอัธวุธยิ้มอย่างเห็นด้วย

อนามิกายกจานอาหารเช้าแบบอิงลิช เบรกฟาสต์มาเสิร์ฟให้ณดล โดยมีณภัทรนั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วย
“อืม..ไม่เลวนะ เรามาเริ่มต้นวันสุดท้ายที่จะได้อยู่ที่นี่เต็มๆ ด้วยอิงลิช เบรกฟาสต์กัน” ณดลบอก
ณดลรับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อยได้สองคำ พอมองเห็นอนามิกากับณภัทรนั่งซึมๆ ก็ชะงัก
“เป็นอะไรไป ไม่กินกันล่ะ” ณดลถาม
“ก็..นึกๆ แล้วมันก็รู้สึกวูบๆ น่ะพี่ ผมอยู่ที่นี่มาสองปี กลับบ้านคราวนี้ ไม่รู้จะเป็นยังไง แล้วที่ผมกังวลก็คือ คุณพ่อคุณแม่จะรับผมกับอะนาได้มั้ย” ณภัทรหนักใจ
“อย่าไปกังวลไปล่วงหน้าเลย เอาไว้ถึงบ้านแล้วก็รู้เองแหละ เอ้อ! ไหนๆ พรุ่งนี้ต้องกลับแล้ว ฉันอยากจะใช้เวลาในวันนี้ให้คุ้มค่าที่สุด ช่วยพาฉันออกไปเที่ยวส่งท้ายหน่อยได้มั้ย” ณดลขอ
“ก็ได้สิคะ แต่บอกก่อนว่าฉันไม่เอากระเป๋าตังค์ไปนะ” อนามิกาออกตัว
“ได้ คิดซะว่าฉันเลี้ยงเธอตอบแทนที่เป็นไกด์นำเที่ยวแล้วกัน แล้วแกล่ะภัทร”
“ผม...” ณภัทรยังหนักใจ
อนามิการีบพูดทับเสียงณภัทร “คือนายภัทรเค้านัดกับยัยเม แล้วก็อาร์ทไว้แล้วน่ะ”
ณภัทรทำหน้าเหรอหรา หันมามองอนามิกาอย่างงงๆ “หา? ฉันเนี่ยนะ”
“ใช่!” อนามิกาแอบขยิบตาส่งซิกให้ณภัทร “นายนัดพวกนั้นไปเดินเล่นแถว Notting Hill ไง ที่ยัยเมชอบไปน่ะ จำไม่ได้เหรอ”
“เอ่อ...” ณภัทรรีบพยักหน้าตามน้ำไป “อ๋อ...ใช่ๆๆ Notting Hill”
“งั้นฝากด้วยนะ ดูแลยัยเมให้ดีล่ะ” อนามิกาบอก
ณภัทรพยักหน้ารับอย่างมีพิรุธ “เอ่อ...โอเค ได้ๆ”
ณดลเหลือบตาลอบอย่างสังเกตเพราะพยายามจับผิดณภัทรกับอนามิกา
ณดลกับอนามิกาเดินอยู่ด้วยกันในย่าน Piccadilly Circus ซึ่งมีรูปปั้นกามเทพ Eros ตั้งอยู่ ณดลยกกล้องถ่ายรูปขึ้นสแน๊ปถ่ายไปเรื่อยๆ แล้วหันมาพูดกับอนามิกา

“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะพูดให้เธอไม่สบายใจนะ แต่เพื่อนรุ่นน้องเธอที่ชื่อเมธาวีน่ะ เธอรู้สึกเหมือนฉันมั้ยว่า...เค้าออกจะสนิทกับไอ้ภัทรมากไปซักนิดนึงนะ”
“คิดมากน่ะ ก็เพื่อนๆ กันทั้งนั้น” อนามิกายิ้มขำๆ “ว่าแต่คุณบอกฉันทำไมเหรอคะ จะให้ฉันหึงงั้นเหรอ หรือว่าอยากจะให้ฉันไปตบกับยัยเม”
“เปล่า...ไม่ใช่อย่างงั้น ฉันก็แค่รู้สึกว่าไอ้ภัทรมันรักเธอน้อยไปหน่อยในฐานะเมีย แต่ดันรักยัยเมมากไปหน่อยในฐานะเพื่อน
“คุณก็ยังฝังใจอยู่ว่าน้องชายคุณไม่รักฉัน”
“แต่มันก็ดูเหมือนแบบนั้นจริงๆ” ณดลว่า
“คุณพูดเหมือนคุณรู้ดีเหลือเกินเรื่องความรักเนี่ย แต่ที่น้องคุณเล่าให้ฉันฟัง จริงๆ แล้วคุณยังไม่เคยมีคนรักซักคนเลยด้วยซ้ำ”
“แต่ฉันจะบอกให้นะ ถึงฉันไม่เคยมีความรัก แต่ฉันก็เข้าใจความรักได้ เหมือนๆ กับที่ฉันไม่เคยตาย แต่ฉันก็เข้าใจว่าความตายคืออะไร”
อนามิกาแสยะปากอย่างหมั่นไส้ ขณะที่ณดลหันกล้องถ่ายรูปไปที่รูปปั้นกามเทพ Erosอนามิกามองณดล แล้วก็หันไปมองรูปปั้น Eros แล้วก็เกิดความคิดสนุกๆ ที่จะแกล้งณดลเล่น
“คุณรู้มั้ยว่ารูปปั้นบนนั้นคือใคร” อนามิกาถามขึ้น
ณดลไม่แน่ใจ “อืม...ใช่กามเทพมั้ย”
“ก็ทำนองนั้น นี่คือเทพ Eros เป็นเทพแห่งความรัก เรียกว่ากามเทพก็ได้ แล้วคุณรู้มั้ย ว่าความศักดิ์สิทธิ์ของรูปปั้นนี้คืออะไร”
“หึ!” ณดลส่ายหน้า “ฉันถึงต้องชวนเธอมาเป็นไกด์ไง รูปปั้นเทพ Eros มีอะไรศักดิ์สิทธิ์เหรอ”
“เทพแห่งความรักก็ต้องดลบันดาลให้สมหวังในความรักน่ะสิคุณ ไหนๆ มาแล้ว คุณไม่ลองอธิษฐานดูล่ะ หรือว่ากลัวเสียฟอร์มเลยไม่กล้าอธิษฐาน” อนามิกาท้าทาย
“ทำไมต้องกลัวเสียฟอร์มล่ะ ความรักไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรนี่ เพียงแต่ฉันเป็นคนไม่ค่อยเชื่อเรื่องอธิษฐานอะไรแบบนี้”
“ว่าแล้วว่าคุณต้องเป็นผู้ชายพวกฟอร์มจัด ไม่มีหัวใจ ไม่มีความรัก ไม่เชื่อในเรื่องโรแมนติก ไม่เชื่อคำอธิษฐาน ไม่เชื่อเรื่อง...” อนามิกาพูดเป็นชุด
ณดลรีบแทรกขึ้น “พอๆๆ ไม่ต้องพูดแล้ว ก็ได้ ฉันอธิษฐานก็ได้”
อนามิกาอมยิ้มชอบใจ ที่ณดลเริ่มหลงกล ณดลยืนสงบนิ่งแล้วประสานกำมือหลวมๆ ไว้ที่หน้าอก เขาอธิษฐานในใจครู่เดียวก็ลืมตาแล้วจะเดินผละออกมา
“เดี๋ยวๆๆ ถ้าจะให้คำอธิษฐานศักดิ์สิทธิ์ คุณต้องเอาเหรียญนี้” อนามิกายื่นเหรียญเพนนีให้ณดล “แล้วปีนขึ้นไปวางตรงข้างบนนั่น” อนามิกาชี้ไปที่กลางแท่นรูปปั้น
“หา! ต้องทำงั้นด้วยเหรอ” ณดลตกใจ
“ถ้าไม่ทำ คำอธิษฐานที่คุณเพิ่งว่าไป จะกลับกลายเป็นคำสาปแช่ง”
“เฮ้ย...มีงี้ด้วยเหรอ ฉันไม่เห็นจะเคยได้ยิน”
“ก็ตามใจ งั้นไม่ต้องก็ได้ คุณไม่เชื่อเรื่องแบบนี้อยู่แล้วนี่”
“เอ่อ...” ณดลชักลังเล
“เร็วสิคุณ เดี๋ยวจะได้ไปเดินที่อื่นต่อ” อนามิกาคะยั้นคะยอพร้อมกับยื่นเหรียญให้
ณดลไม่ค่อยเชื่อนัก แต่ก็จำใจรับเหรียญมา “ก็ได้ๆ”
ณดลรับเหรียญมาแล้วก็เริ่มปีน อนามิกายืนกลั้นหัวเราะหน้าแดงอยู่ด้านหลัง
ณดลหันมาถาม “ปีนแค่นี้พอรึยัง”
อนามิการีบกลั้นยิ้มแล้วทำหน้าซีเรียส “ไม่สิ...ต้องสูงอีกนิด ขึ้นไปอีก”
“แน่ใจใช่มั้ยว่าเธอไม่ได้อำฉัน” ณดลถามแล้วขยับปีนสูงขึ้น
อนามิกากลั้นหัวเราะแทบจะไม่ไหว แต่พอหันไปอีกทางเธอก็หน้าตาตื่นเพราะเห็นตำรวจในเครื่องแบบของอังกฤษกำลังเดินตรวจตรามาทางนี้พอดี
“คุณ...รีบลงมาเร็ว” อนามิกาตะโกนบอก
“อ้าว...ทำไมล่ะ” ณดลงง
ทันใดนั้นทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงนกหวีดปรี๊ด ตำรวจอังกฤษเดินรี่เข้ามาพร้อมกับตะโกนเสียงเข้ม
“Stop! What are you doing? Get down now!”
ณดลหน้าเสีย รีบลนลานปีนลงมา
“Oh! Sorry” ณดลบอก
ณดลรีบปีนลงแล้วเผ่นหนี อนามิกาเดินตามไปพร้อมกับกลั้นหัวเราะ

ณดลวิ่งหนีมา พอเหลียวหลังมองว่าตำรวจไม่ตามมา เขาก็ชะลอฝีเท้าเป่าปากด้วยความโล่งใจ พอเห็นอนามิกาเดินตามมา ณดลก็โวยใส่ทันที
“เล่นบ้าอะไรของเธอน่ะ ฉันยังอยากกลับเมืองไทย ไม่ได้อยากติดตะรางอยู่ที่นี่หรอกนะ”
“แหม..อย่าขวัญอ่อนหน่อยเลยค่า...คุณขา แค่ขำๆ น่ะ ไม่มีใครเค้าบ้าจี้จับคุณเข้าตะรางหรอก” อนามิกาบอก
“ยังจะมาพูดดีอีก” ณดลชูดกำปั้นขู่ “ถ้าเธอเป็นผู้ชาย ฉันเบิ๊ดกะโหลกเธอแล้ว”
“งั้นก็โชคดีแล้วที่ฉันเกิดเป็นผู้หญิง ว่าแต่คุณเหอะ อุตส่าห์เกิดเป็นผู้ชายแท้ๆ กะอีแค่หยอกเล่นขำๆ ก็ต้องทำโวยวายเป็นเรื่องใหญ่โต”
“นี่เธอแกล้งฉันแล้วยังมาว่าฉันโวยวายอีกเนี่ยนะ คำว่าขอโทษน่ะ...เธอพูดเป็นมะ”
“ไม่เอาน่า...อย่าทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูมสิคุณ ก็ได้ๆ ฉันขอโทษ”
พอณดลได้ยินคำว่าขอโทษ จึงคลายความโกรธลง
“แล้วนี่ยังมีที่ไหนที่คุณอยากไปเที่ยวอีกมะ ฉันจะได้พาไป” อนามิกาถาม
“ไอ้พวกสถานที่ดังๆ ที่คนเค้าฮิตๆ ไปกัน ฉันก็กวาดมาเกือบหมดแล้วนะ ชักเบื่อแล้วน่ะ เอางี้...เธอช่วยพาฉันไปที่ที่เธอชอบมากที่สุดในลอนดอนนี่ดีกว่า เธออยู่มาสองปี คงจะมีที่ที่เธอชอบมากที่สุดอยู่ในใจใช่มั้ย”
“มีสิ...ได้ ฉันจะพาคุณไป”
อนามิกายิ้มอย่างภูมิใจเสนอ

ณภัทร เมธาวี เดินคุยกันมาในย่าน Notting Hill โดยมีอัธวุธเดินตามหลังเพราะตั้งใจทิ้งระยะเพื่อเปิดโอกาสให้ณภัทรกับเมธาวีได้ใกล้ชิดกัน แต่ก็คอยชะเง้อเงี่ยหูฟังอย่างมีอารมณ์ร่วมไปกับเมธาวีเหมือนเป็นกองเชียร์
“รู้มะ ตอนที่ฉันยังไม่เคยมาลอนดอนนะ ที่ที่ฉันอยากมาที่สุดก็คือที่นี่” เมธาวีบอกณภัทร
“ที่ Notting Hill เนี่ยนะ ทำไมล่ะ” ณภัทรถามกลับ
“ก็เพราะฉันชอบหนังเรื่อง Notting Hill น่ะสิ ที่เป็นเรื่องของนางเอกหนังฮอลลีวู้ด มาหลงรักกับผู้ชายบ้านๆ ที่เป็นเจ้าของร้านหนังสือเล็กๆแถว Notting Hill นี่แหละ”
“อ๋อ..ฉันก็ดู แต่มันก็ออกจะเป็นเทพนิยายเพ้อฝันไปหน่อยนะ” ณภัทรบอก
“เพ้อฝันยังไงเหรอ”
“ก็คิดดูสิ มีอย่างที่ไหน ระดับนางเอกฮอลลีวู้ด เล่นหนังเรื่องนึงได้เป็นร้อยล้าน จะมาหลงรักกับผู้ชายธรรมดาบ้านๆ”
“นายไม่เชื่อเรื่องความรักที่แตกต่างกันเรื่องฐานะเหรอภัทร”
ณภัทรส่ายหน้า “ไม่เชื่ออ่ะ คนที่รวยซะขนาดนั้นจะมามองคนธรรมดาทำไม”
เมธาวีถึงกับจ๋อยและหยุดเดิน เธอรู้สึกสะท้อนใจถึงตนเองกับณภัทร ส่วนอัธวุธที่อยู่ข้างหลังรู้สึกเห็นใจเมธาวีขึ้นมาทันที
“เมธาวี เป็นอะไรหรือเปล่า” ณภัทรถาม
เมธาวีฝืนยิ้มกลบเกลื่อน “เปล่า...ไม่มีอะไร”
ณภัทรเดินนำห่างออกไป เมธาวียืนจ๋อยแล้วเปรยกับตัวเองเบาๆ
“นั่นสินะ” เมธาวีมองณภัทร “คนที่รวยๆ เค้าจะมาหลงรักคนธรรมดาบ้านๆ อย่างเราได้ยังไง”
อัธวุธเข้ามายืนปลอบข้างๆ ด้วยความรู้สึกเห็นใจเมธาวี

ณดลเดินคุยกับอนามิกามาที่ริมทะเลสาปบริเวณสวนสาธารณะ Hampstead Health ณดลมองไปรอบๆ ด้วยท่าทางที่บ่งบอกความผิดหวัง
“โธ่เอ๊ย...อุตส่าห์มาอยู่ที่ลอนดอนตั้งสองปี นี่เหรอ ที่ที่เธอชอบที่สุด”
“แต่ฉันชอบที่นี่จริงๆ นะ ถึงจะไม่ได้มีโอกาสมาบ่อยๆ แต่ทุกครั้งที่มา ฉันก็รู้สึกดีๆ แล้วก็ประทับใจทุกครั้ง” อนามิกาบอก
ณดลทำน้ำเสียงดูแคลน “ประทับใจเลยเหรอ ดูสิ...ไอ้สวน Hampstead Health อะไรของเธอเนี่ย ฉันว่าไม่เห็นจะมีอะไรเลย ไม่ได้แตกต่างจากที่อื่นๆ ที่เราไปมาแล้วเล๊ยย” อนามิกาเดินอย่างร่าเริงไปที่เนินเขา “อ้าว..เดี๋ยวสิ แหม..ติหน่อยทำเดินไม่รอกันเลยแฮะ”
ณดลมองตามอนามิกาแล้วเดินตามไปอย่างเสียมิได้ เมื่อเดินโผล่พ้นแนวพุ่มไม้ณดลก็ถึงกับตะลึงกับวิวตรงหน้า เพราะวิวที่มองจากเนินเขาของสวนสาธารณะ Hampstead Healthเห็นความสวยงามทั้งหมดของลอนดอน
ณดลรู้สึกตื้นตันจนพูดไม่ออก “เอ่อ...”
อนามิกาขยับมายืนชมวิวข้างๆ ณดล “เวลาที่เหนื่อยๆ เครียดๆ หรือรู้สึกแย่ๆ ฉันจะมายืนอยู่ตรงนี้...แล้วฉันก็จะได้ความรู้สึกดีๆ กลับไปทุกครั้ง”
ณดลยิ้มอย่างรู้สึกชอบที่นี่มากเช่นกัน “ฉันว่าฉันพอจะเข้าใจแล้วว่า ทำไมเธอถึงชอบที่นี่”
อนามิกาหันมองณดลด้วยความสงสัย ณดลยิ้มแล้วมองอนามิกา
“...เพราะฉันเองก็รู้สึกดีๆ แล้วก็ชอบที่นี่เหมือนกัน” ณดลบอก
อนามิกายิ้มตอบ แล้วทั้งสองก็หันไปยืนชมวิวพร้อมทั้งสูดอากาศจนเต็มปอด ณดลกับอนามิการู้สึกปลอดโปร่งและสบายใจ

ณภัทรกำลังยืนเลือกซื้อเครื่องประดับสำหรับผู้หญิงอยู่ที่ย่าน Notting Hill เมธาวีกับอัธวุธยืนอยู่ด้านหลัง สักพักเมธาวีก็กระซิบกับอัธวุธ
“ภัทรเค้าจะซื้อเครื่องประดับของผู้หญิงไปให้ใครที่เมืองไทยกันนะ”
“โอ๊ย...จะฝากใครล่ะยะ สงสัยก็คงเอาไปประเคนว่าที่คู่หมั้นที่รออยู่เมืองไทย” อัธวุธพูดแล้วพอหันมาเห็นเมธาวีหน้าจ๋อยจึงหยุดพูด “อุ๊ย..โทษที เม้าธ์เพลินไปหน่อย”
เมธาวีจ๋อย “ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่”
“งั้นฉันถามให้” อัธวุธเดินไปถามณภัทรทันที “นี่! จะซื้อของพวกนี้ไปฝากสาวที่ไหนยะ”
“สาวที่ไหนล่ะ ก็แม่ฉัน แล้วก็พี่ศรีคนใช้ที่บ้านน่ะสิ” ณภัทรตอบ
เมธาวียิ้มออก
ณภัทรหันมาที่เมธาวี “เม...ช่วยเลือกหน่อยสิ เลือกไม่เป็นอ้ะ ของแบบเนี้ย”
เมธาวียิ้มอย่างดีใจ “ได้สิ...ได้”
อัธวุธยิ้มเพราะดีใจกับเมธาวีไปด้วย
เมธาวีมาช่วยเลือกด้วยการลองเอาเครื่องประดับทาบกับตัวเองให้ณภัทรดู ทั้งสองหยอกล้อกันอย่างน่าเอ็นดู โดยมีอัธวุธคอยเป็นกองเชียร์ร่วมแสดงความยินดีอยู่เบื้องหลัง
อัธวุธทำท่าทางล้อเลียนเมธาวีพอณภัทรหันมา อัธวุธก็รีบทำหน้าปกติพร้อมกับมองทั้งสองใกล้ชิดกันอย่างสบายใจ

อนามิกากับณดลยืนชมวิวลอนดอนจากมุมสูงบนเนินเขาของ Hampstead Health อย่างเพลิดเพลิน ก่อนที่ณดลจะหันมามองหน้าอนามิกาและเผลอใจมองเพลินจนอมยิ้มออกมา พออนามิกาหันมา ณดลก็รีบหลบตา
“มองหน้าฉันทำไมเหรอ” อนามิกาถาม
“เอ่อ..ปะ..เปล่านี่ ใครมองเธอ” ณดลรีบปฏิเสธ
“ก็คุณน่ะแหละ เมื่อกี้คุณมองหน้าฉันทำไม”
“ก็...” ณดลรีบคิดหาข้ออ้าง “เอ่อ...คือ...อ๋อ...ฉันว่าจะถ่ายรูปให้เธอน่ะ มา...ยืนตรงนี้นะ ฉันถ่ายรูปให้”
อนามิกาดีใจ “จริงเหรอ ฉันยังไม่เคยถ่ายรูปที่นี่เลยนะ ดีเลย”
อนามิกายืนยิ้มให้ถ่ายรูป ณดลถอยไปเตรียมถ่ายรูป ทันใดนั้นลมก็พัดวูบทำผมของอนามิกายุ่ง อนามิการีบจัดผมเผ้า
“เอาหละนะ...หนึ่ง..สอง...” ณดลเริ่มนับ
อนามิกาโพล่งขึ้น “เดี๋ยวๆๆ อย่าเพิ่ง”
ณดลเงยหน้าจากจอLCD หลังกล้องขึ้นมามอง “อะไรอีกล่ะ”
อนามิกาเอามือจัดๆ ผมตัวเอง “ผมฉันยุ่งหรือเปล่า ฉันดูสวยรึยัง”
ณดลยกกล้องขึ้นแล้วซูมจากกล้องจนเห็นใบหน้าอนามิกาในจอหลังกล้อง เขาจ้องมองจอเหมือนอย่างตกอยู่ในภวังค์แล้วหลุดปากพูดออกมาเบาๆ
“สวยแล้ว...ดูสวยมากเลย”
อนามิกามองอย่างงงๆ เพราะไม่ได้ยินที่ณดลพูด
“หา? คุณว่าอะไรนะ พูดดังๆ หน่อย ฉันไม่ได้ยิน”
ณดลรู้สึกตัวก็รีบเงยหน้าจากกล้องแล้วมองไปทางอนามิกา “เอ้อ..ฉันบอกว่าโอเคแล้ว”
ณดลถ่ายรูปให้อนามิกา
อนามิกายิ้ม “ขอบคุณนะ”
หลังจากนั้น อนามิกาก็หันไปเดินเล่นอย่างสบายใจ ณดลมองตามแล้วอดยิ้มไม่ได้ เขายกกล้องขึ้นมาถ่ายอนามิกาอีกครั้ง
ณดลแอบถ่ายรูปอนามิกาแทบทุกอิริยาบถ ทั้งเดินเล่น ทั้งเหม่อมองชมวิว ทั้งจับใบไม้ ดอกไม้ และยังแอบถ่ายภาพใกล้อนามิกายามเผลออีกด้วย
ขณะกำลังจะกดชัตเตอร์อีกภาพ ณดลก็เริ่มรู้สึกตัวจึงชะงัก เขาเริ่มรู้สึกผิดเมื่อสติกลับคืนมา
“นี่เราเป็นบ้าอะไรไปเนี่ย”ณดลพูดเบาๆ กับตัวเอง
ณดลถอนใจเพราะรู้สึกไม่ค่อยดีที่เผลอใจชื่นชมความสวยของอนามิกา

ณดลกับอนามิกาเดินออกมาตามทางเดินใน Hampstead Health ณดลยังถือกล้องถ่ายรูปในมือ พอเห็นมุมที่สวยเขาก็ยกกล้องขึ้นถ่ายอีก หญิงฝรั่งวัยชราถือไม้เท้าเดินสวนมาไกลๆ ณดลกับอนามิกาหันไปมองก็เห็นฝรั่งหนุ่มที่แต่งชุดจ็อกกิ้งทะมัดทะแมงและสวมหูฟังวิ่งเฉี่ยวจนฝรั่งหญิงชราเซล้มลง แล้วหนุ่มฝรั่งก็วิ่งเลยผ่านไปเพราะไม่ได้ยินเสียง
“ว๊าย!” อนามิกาตกใจ
ณดลเอากล้องถ่ายรูปยัดใส่มืออนามิกา “ฝากแป๊บนะ”
อนามิกายังยืนขาแข็งด้วยความตกใจอยู่ ส่วนณดลรีบปราดเข้าไปแล้วค่อยๆ คุกเข่าลงประคองฝรั่งหญิงชราอย่างนุ่มนวล
“Are you alright? Let me help you.” ณดลค่อยๆ ประคองให้ลุกขึ้น
“Yes, I’m alright. Thank you very much.” หญิงฝรั่งตอบ
อนามิกาขยับจะเข้าไปช่วย “จะให้ฉันช่วยอะไรมั้ย”
ณดลยกมือปราม “ไม่เป็นไรๆ ฉันดูแลเองดีกว่า”
อนามิกาหยุดเดินแล้วยืนมองณดลประคองหญิงฝรั่งชราด้วยสีหน้าชื่นชม ณดลโอบประคองหญิงฝรั่งชราให้เดินไปตามทางอย่างสุภาพนุ่มนวล อนามิกามองแล้วเผลอยิ้มออกมาไม่รู้ตัว ก่อนจะนึกได้จึงรีบหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมาถ่ายภาพไว้
“เวลาทำตัวดีๆ นายก็ดูน่ารักดีเหมือนกันนี่นะ” อนามิกาเปรยกับตัวเอง

อนามิกาเดินตามอยู่ห่างๆ และคอยยกกล้องถ่ายรูปถ่ายตามหลังณดลที่เดินประคองหญิงฝรั่งชราไปที่เก้าอี้นั่งเล่นมุมหนึ่งในสวนสาธารณะ
ที่เก้าอี้ยาว มีฝรั่งชายชราแต่งกายดีนั่งถือช่อดอกไม้เล็กๆ รออยู่ อนามิกาชักสีหน้าแปลกใจด้วยความสงสัยว่าฝรั่งชายชราคือใคร สักพักเธอก็เห็นฝรั่งชายชรายิ้มแย้มดีใจที่เห็นหญิงฝรั่งชราเดินมา เขาลุกขึ้นพยักหน้าขอบคุณณดลก่อนจะประคองฝรั่งหญิงชราให้นั่งลง แล้วมอบช่อดอกไม้ให้ ณดลถอยมายืนข้างๆ อนามิกา ทั้งสองยังมองไปที่เก้าอี้ตัวนั้น
ณดลพูดกับอนามิกา “เค้าเป็นสามีภรรยากันน่ะ” ณดลหันไปมองที่ฝรั่งชราทั้งสอง แล้วเปรยขึ้น “อะไรก็ไม่รู้นะ ที่ทำให้คนสองคนอยู่ด้วยกันได้ยันแก่เฒ่าแบบนี้”
“จะอะไรซะอีกล่ะ...” อนามิกาทิ้งช่วงแล้วไม่พูดต่อ
ณดลหันไปมองอนามิกาแล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
“...ก็ความรักน่ะสิ” อนามิกาพูดออกมา
ณดลกับอนามิกาหันมองหน้ากันโดยที่ต่างคนต่างก็เกิดความรู้สึกดีๆ ต่อกัน สักครู่หนึ่งจึงนึกขึ้นได้ แล้วต่างคนก็ต่างหลบตาอย่างรู้สึกผิดกับความรู้สึกดีๆ ที่เกิดขึ้นนี้

เมธาวีนั่งอยู่ที่โซฟาบ้านอัธวุธ เธอกำลังนั่งลูบผ้าพันคอที่ตนเองเป็นคนถักอย่างใช้ความคิด อัธวุธเพิ่งอาบน้ำเสร็จเดินมาในสภาพมีหมวกคลุมผม และชุดคลุมอาบน้ำสีแสบ ลายจัดจ้าน
“เอ๊า! ยัยเม มัวนั่งทำอะไรอยู่ยะ ไม่รีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าอีก จะไปมั้ย ปาร์ตี้เลี้ยงส่งนายภัทรกะยัยอะนาน่ะ”
“ไปสิ...แต่เนี่ย...พี่อาร์ทช่วยคิดหน่อยสิ เมธาวีควรจะห่อของขวัญมั้ย หรือไม่ต้อง หรือว่าจะให้เค้ายังไงดี”
“อ๋อๆๆ” อัธวุธหยิบผ้าพันคอขึ้นมาพรีเซนต์เหมือนตนเองเป็นนางแบบ “ผ้าพันคอที่แกถักให้นายภัทรใช่มะ นี่...มา ฉันจะสอนให้” อัธวุธฉุดให้เมธาวีลุกยืนขึ้น
เมธาวีงง “สอนอะไร”
“ลุกมาเหอะน่า อ่ะ..แกยืนตรงนี้นะ สมมุติว่าแกเป็นนายภัทร แล้วฉันเป็นแก”
อัธวุธทำท่าสะบัดสะบิ้งเหมือนกำลังสวมวิญญาณผู้หญิง ขณะที่เมธาวียืนเก้ๆ กังๆ เพราะยังตามไม่ทัน
“การให้ของขวัญคนพิเศษซักคน มันไม่ใช่สักแต่ว่าให้ มันต้องมีอะไรเก๋ๆ เริ่ดๆ แล้วก็โรแมนติกกว่านั้น”
“ยังไงเหรอพี่”
“นี่นะ แกต้องหาจังหวะที่นายภัทรยืนหนาวๆ อยู่ข้างนอกคนเดียว แล้วก็...”
อัธวุธเดินเข้าไปหาเมธาวีโดยถือผ้าพันคอในมือ แต่ไพล่หลังไว้ไม่ให้เมธาวีเห็น
อัธวุธทำน้ำเสียงออดอ้อน “ภัทร...ก่อนที่นายจะกลับเมืองไทย เรามีบางอย่างที่อยากจะให้” อัธวุธรอเมธาวีพูด แต่เมธาวีนิ่งเงียบ เขาเลยสะกิดเมธาวี แล้วกระซิบบอกบท “แกถามสิว่า อะไรเหรอ”
“อะ..อะไรเหรอ” เมธาวีว่าตาม
“นี่ไง เราถักเองกับมือเลยนะ” อัธวุธยื่นผ้าพันคอให้แล้วทำน้ำเสียงเว้าวอน “เราให้นาย”
อัธวุธเอาผ้าพันคอมาพันคอให้เมธาวี โดยแทบจะโอบกอดในลักษณะตัวชิดกัน
เมธาวีทนไม่ไหวจึงผลักอัธวุธออกแล้วยิ้มขำๆ “นี่..พอแล้ว! จะบ้าเหรอ ใครจะไปกล้าทำขนาดนี้ เมธาวีเป็นผู้หญิงนะพี่”
“โอ๊ย! งั้นก็เดินไปยื่นให้เค้าดื้อๆ เลยแล้วกันย่ะ แนะนำอะไรดีๆ ก็ไม่รับ ชิ!”
อัธวุธสะบัดหน้าแล้วเดินไป เมธาวีมองตามอย่างขำๆ เธอมองผ้าพันคอในมือแล้วพอนึกว่าจะให้ณภัทรก็อมยิ้มอย่างเขินๆ ออกมา

ในร้านอาหารไทยของพนิดาจัดโต๊ะยาวไว้กลางร้านสำหรับนั่งกินดื่ม และจัดโต๊ะอีกตัวไว้ตั้งอุปกรณ์ทำกับข้าวต่างๆ บนโต๊ะเป็นเครื่องปรุงสำหรับทำส้มตำ ลูกค้าฝรั่งสองรายนั่งกินอยู่ในร้าน พนิดาเดินถือถาดใส่มะละกอดิบซอยส่วนอีกมือถือของพะรุงพะรัง โดยมีจ๊อดอุ้มครกกับสากเดินตามมา
“โอ๊ย..หนักอ้ะแม่ จะให้ยกออกมาทำไม๊?” จ๊อดบ่น
“นี่ไอ้จ๊อด แค่นี้แกจะบ่นทำไมเนี่ย ก็จะจัดปาร์ตี้เลี้ยงส่งพวกพี่ๆ เค้ากลับเมืองไทย จัดโต๊ะให้ตำส้มตำแบบนี้ มันถึงจะได้อารมณ์” พนิดาบอก
เมื่อวางข้าวของเสร็จ พนิดาก็หันไปทางโต๊ะลูกค้าฝรั่งชายหญิง ที่กินอาหารหมดจานแล้ว แต่ยังนั่งชิลกันอยู่
“อ้าว..แล้วนั่นเช็คบิลแล้ว จะมานั่งอู้อะไรกันอีก” พนิดาเดินตรงเข้าไปหาทันที “Excuse me!! We’re closed now because tonight we’ve got a party!”
ฝรั่งทั้งสองทำท่าสนใจอยากร่วมปาร์ตี้ด้วย “Party!? Can we join?”
“Sorry, sir. It’s a private party. Thank you. See you next time.”
ฝรั่งทั้งสองลุกไป พนิดาทำท่าเหมือนยืนส่งแต่แท้จริงแล้วเธอต้องการจะรีบไล่ให้ออกไป
“เออ...ไปซะที ปาร์ตี้เค้าส่วนตัว จะมาขอมั่วนิ่มกินฟรีล่ะสิ” พนิดาบ่น
ฝรั่งสองคนเดินออกจากประตูสวนกับอัธวุธที่แต่งตัวสุดเว่อร์กับเมธาวีที่แต่งตัวสวยเดินเข้ามาในร้าน
จ๊อดพูดเสียงดัง “พี่เม...โห! แม่ดูสิ พี่เมสวยจังเลย”
เมธาวีไหว้ “สวัสดีจ้ะเจ๊แพนด้า” เมธาวีรีบเดินเข้ามาจะช่วย “มีอะไรให้เมช่วยบ้าง”
“ไม่ต้องเลย ไม่ต้องช่วย” พนิดารีบบอก “วันนี้เธอเป็นแขกรับเชิญของปาร์ตี้ ไม่ใช่เด็กเสิร์ฟในร้านเหมือนวันก่อนๆ เอ้า! ไอ้จ๊อด พาพี่ๆ เค้าไปนั่งเร๊ว”
“คร้าบ..เชิญมาทางนี้เลยคร้าบ”
จ๊อดแทรกกลางเข้าไปจูงแขนเมธาวีกับอัธวุธให้เดินไปยังที่นั่ง
“แหม...น่ารักน่าชัง โตขึ้นอีกนิดเจ๊จองได้มั้ยเนี่ย” อัธวุธบอก
“เฮ้ยๆๆ นี่ลูกเจ๊นะเว้ย” พนิดารีบพูด
เมธาวีหัวเราะขำกับอัธวุธ “เจ๊ พี่อาร์ทเค้าล้อเล่น”

นลิณาแต่งตัวสวยเดินคุยโทรศัพท์มือถือกับเกตนิการ์มาตามริมถนนลอนดอนยามค่ำคืน
“ฉันไม่ได้ล้อเล่นนะเกด ถึงพวกมันไม่เชิญเราไปปาร์ตี้ แต่ฉันก็จะไป..งานเนี้ย...ฉันจะป่วนนังอะนาให้สะใจเลย”
สีหน้านลิณาเต็มไปด้วยความโกรธขึ้งและเอาจริงเอาจัง

อัธวุธยืนตำส้มตำอยู่ที่โต๊ะ โดยมีจ๊อด พนิดา และเมธาวีคอยเชียร์
“ถึงจะเรียนมาด้านแฟชั่นดีไซน์ แต่ไอ้การตำส้มตำเนี่ย ขอบอกว่ามันอยู่ในสายเลือด” อัธวุธคุย
“โอ๊ย! ขี้คุยชะมัด” จ๊อดว่า
“อ๊ะๆ อย่าดูถูก งั้นคอยดูดีๆ นะยะ”
พูดจบอัธวุธก็ควงสากโชว์ แล้วจากนั้นก็โยนสาก โยนครั้งแรกรับได้ ทุกคนปรบมือชอบใจ อัธวุธได้ใจควงสากแล้วโยนอีกที แต่คราวนี้รับพลาด สากหล่นใส่เท้าจนอัธวุธลั่น
“อ๊าก!!”
ทุกคนหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
“สมน้ำหน้า ลีลาเยอะนัก” พนิดาบอก
เมธาวีกำลังหัวเราะสนุกสนานอยู่แล้วก็พลันชะงักเมื่อมองไปข้างนอก อัธวุธยกเท้าขึ้นมากุมแล้วเขาก็ชะงักมองเมธาวี
เมธาวีชี้ออกไปข้างนอก “มากันแล้ว”
“เหรอ...เร็วเข้า รีบเอาผ้าพันคอออกไปให้เค้าเร็ว”
อัธวุธพูดอย่างลืมเจ็บ เขารีบหยิบผ้าพันคอออกจากกระเป๋าของเมธาวีมาส่งให้เมธาวี

ณภัทรกับอนามิกาแต่งตัวสวยหล่อเดินมาที่หน้าร้าน อัธวุธออกมาจากร้านก่อนจะพุ่งเข้าไปฉุดแขนอนามิกา
“โอ๊ย..สวยหล่อเหมาะสมที่เป็นสามีภรรยากันเลยนะยะ” อัธวุธแซว
“เลิกพูดเล่นแบบนี้เลยนะ” อนามิกางงที่จู่ๆ อัธวุธเข้ามาฉุดแขน “แล้วนี่อะไรของแกยะ”
“แกเข้าร้านไปกับฉันก่อน” อัธวุธหันมาบอกณภัทร “ภัทร นายรอตรงนี้ก่อน”
“อ้าว..ทำไมล่ะ”
ณภัทรไม่ทันได้อ้าปากถามต่อ อัธวุธก็พาอนามิกาเดินเข้าร้านไป เมธาวีเดินสวนออกมาในลักษณะที่สองมือของเธอไพล่หลังอยู่ ณภัทร มองเมธาวีแล้วค่อยๆ ยิ้มออกมา
“เม...วันนี้แต่งตัวสวยจัง” ณภัทรชม
“ขอบคุณนะที่ชม” เมธาวีเขิน
เมธาวียืนอยู่หน้าณภัทรด้วยท่าทางเก้อเขิน เธอยังไม่กล้าให้ผ้าพันคอที่ถือไพล่หลังอยู่ในมือ
ณภัทรเห็นเมธาวีนิ่งอยู่พักหนึ่งจึงถามขึ้น “มีอะไรเหรอเมธาวี”
“คือ...ฉันเห็นว่านายจะ...กลับเมืองไทย...ฉัน...ฉันก็เลย...” เมธาวีอ้ำอึ้ง
“เป็นอะไรเมธาวี มีอะไรก็ว่ามาสิ”
“ฉันก็เลยมีอะไรบางอย่างอยากจะให้...”
เสียงเกตนิการ์ดังมาแต่ไกล “ภัทร!”
เมธาวีกับณภัทรชะงักหันมองไปที่ต้นเสียง ทั้งสองเห็นเกตนิการ์ถือถุงช็อปปิ้งแบรนด์เนมหรูวิ่งมาหยุดยืนหอบหน้าณภัทร
“เกด...ว่าไง” ณภัทรถาม
เกตนิการ์ยกถุงให้ “มาปาร์ตี้เลี้ยงส่งภัทรทั้งที ฉันก็เลยซื้อของขวัญมาให้ ดูสิว่าชอบมั้ย”
ณภัทรยกถุงดูยี่ห้อ แล้วเปิดถุงดู “โห...แบรนด์เนมเลยนะ เกรงใจแย่เลย ทำไมต้องให้ของแพงๆ แบบนี้ด้วย”
“แหม...ก็เลี้ยงส่งภัทรทั้งที จะให้ของถูกๆ ไก่กาได้ยังไง” เกตนิการ์บอก
เมธาวีรู้สึกด้อยลงไปทันทีจึงรีบขยับมือไพล่หลังเพื่อซ่อนผ้าพันคอที่ถักเองให้มิดชิด
“ขอบคุณมากนะเกด อ้อ!” ณภัทรหันมาทางเมธาวี “เมื่อกี้เมจะบอกอะไรนะ อยากจะให้อะไรเหรอ”
เมธาวีพูดด้วยน้ำเสียงจ๋อยลง “ก็...เอ่อ...เปล่านี่ ไม่มีอะไร”
เมธาวีค่อยๆ ถอยออกมาแล้วพยายามจะเดินจากมาโดยไม่ให้ณภัทรเห็นผ้าพันคอผืนนั้น
“อ้าว..เดี๋ยวสิเม” ณภัทรทัก
ณภัทรจะขยับตามไปแต่เกตนิการ์เข้าขวางไว้
“เป็นไง ภัทรชอบมั้ย” เกตนิการ์ถาม
ณภัทรพยักหน้าให้เกตนิการ์แต่สายตาของเขายังคงมองตามเมธาวีไปด้วยความงุนงง อนามิกากับอัธวุธยืนมองเหตุการณ์อยู่ที่ประตู ทั้งสองรู้สึกสงสารเมธาวีอย่างจับใจ










Create Date : 02 เมษายน 2555
Last Update : 2 เมษายน 2555 23:59:40 น.
Counter : 729 Pageviews.

0 comment
แหม่มแก้มแดง ตอนที่ 4 (ต่อ)



ครู่ต่อมาบาทหลวงเปิดประตูเดินนำณดลกับอนามิกาเข้ามาในห้องๆ หนึ่งภายในบ้าน ณดลกับอนามิกาถึงกับอึ้งเมื่อเห็นเตียงนอนเล็กๆ แค่เตียงเดียว และแทบจะไม่มีเฟอร์นิเจอร์อื่นภายในห้องเลย

ทั้งสองมองหน้ากันยิ้มแหยๆ บาทหลวงหันมองหน้าทั้งสองแล้วถามขึ้น
“What’s wrong with you?”
“Oh! no. Father, everything’s okay. “ อนามิกาตอบ
“Feel free to call me if you want anything,” บาทหลวงชี้ไปทางห้องนอนของตน”My room is right there. Good night.” แล้วบาทหลวงก็เดินออกไป
“Good night, father.” อนามิกากับณดลกล่าวกับบาทหลวง
ณดลค่อยๆ ปิดประตูช้าๆ แล้วหันมาพูดกับอนามิกา “หลวงพ่อท่านใจดีมากๆ เลยเน๊อะ..หา” ณดลหันไปมองหาอนามิกา แล้วก็ต้องตาโตด้วยความตกใจเมื่อเห็นอนามิกานอนแผ่ ด้วยท่าทางสบายสุดๆ อยู่บนเตียง
ณดลเดินเข้ามายืนใกล้ๆ เตียงแล้วบ่นใส่
“นี่...ปรึกษาฉันซักคำรึยัง ขึ้นไปนอนอ้าซ่าบนเตียงแบบนี้น่ะ”
อนามิกาสะดุ้ง รีบขยับนอนในท่าทางที่มิดชิดขึ้น แล้วจึงลุกนั่ง “ก็แล้วคุณจะให้ฉันนอนกับพื้นรึไง” อนามิกาแกล้งลูบที่ท้องแล้วบีบเสียงน่าสงสาร “..ในเมื่อฉันกำลังท้องอยู่น่”ะ
ณดลรีบแก้ตัว “รู้น่า...ฉันไม่ได้ใจไม้ไส้ระกำขนาดจะแย่งเตียงผู้หญิงท้องหรอกน่า”
อนามิกาเปลี่ยนจากเสียงน่าสงสาร เป็นน้ำเสียงแบบมะนาวไม่มีน้ำทันที “งั้นคุณนอนกับพื้นไปแล้วกันนะ”
อนามิกาโยนหมอนใบหนึ่งลงพื้นให้ณดล ณดลฉุนแต่ก็ทำอะไรอนามิกาไม่ได้ อนามิกานอนอย่างสบายพร้อมกับยิ้มอย่างสะใจที่ได้แกล้งณดล

เมธาวี ณภัทร และอัธวุธยืนอยู่บริเวณหน้าโรงแรมที่พักอย่างกระวนกระวายใจ ทุกคนเพิ่งกลับมาจากปราสาทและยังไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าเพราะเฝ้ารอณดลกับอนามิกาอยู่ สักพักนลิณากับเกตนิการ์ก็เดินออกมาจากที่พักด้วยท่าทางวิตกกังวล
“คุณณดลยังไม่กลับมาเลย” นลิณาบอก
“แล้วอะนาล่ะ” ณภัทรถาม
“ก็ยังไม่เห็นเหมือนกัน” เกตนิการ์ตอบ
เมธาวีเริ่มใจเสีย “ตายแล้ว...จะทำยังไงกันดีล่ะ สงสัยรถต้องไปเสียอยู่ที่ไหนแน่ๆ เลย”
อัธวุธหันมาต่อว่านลิณา “นี่ไง เพราะรถที่เธอเช่ามาน่ะแหละ ป่านนี้ทั้งคู่ต้องไปตกระกำลำบากอยู่ที่ไหนแล้วก็ไม่รู้”
“อย่ามาโทษฉันเลยนะ หรือเราออกไปแจ้งคนหาย ให้ตำรวจเค้าช่วยหา” นลิณาบอก
“ปกติ แจ้งคนหาย ต้องเกินยี่สิบสี่ชั่วโมงก่อน เค้าถึงรับแจ้งไม่ใช่เหรอ” เกตนิการ์ท้วง “ไม่รู้ที่นี่เค้ายึดถือกฏนี้รึเปล่านะ”
“ใจเย็นๆ ก่อนดีกว่าพวกเรา รอดูอีกนิด ฉันเชื่อว่าคนอย่างพี่ณดล กับอะนาต้องเอาตัวรอดได้แน่ๆ น่ะ” ณภัทรมั่นใจ
“แต่เมไม่สบายใจเลย ยังไงพี่อะนาก็เป็นผู้หญิงนะ อากาศข้างนอกก็หนาวซะขนาดนี้” “นี่...ฉันว่าเราอย่าเพิ่งตื่นตูมไปหน่อยเลยดีกว่ามั้ย รอถึงพรุ่งนี้เช้า ถ้าเค้าสองคนยังไม่กลับมา เราค่อยว่ากันใหม่ดีกว่า” เกตนิการ์เสนอ
ทุกคนมองหน้าเป็นเชิงปรึกษากัน ต่างคนก็ต่างไม่สบายใจ เมธาวีดูจะใจเสียและเป็นห่วงอนามิกามากกว่าคนอื่นๆ จนคล้ายจะร้องไห้ “ป่านนี้พี่อะนาคงจะตกระกำลำบากอยู่ที่ไหนซักที่แน่ๆ”

อนามิกานอนยิ้มอย่างอุ่นและสบายอยู่ใต้ผ้าห่มที่ทั้งหนาทั้งนุ่ม ณดลที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ เดินมาในชุดนอนเสื้อกับกางเกงของบาทหลวง เขาใช้ผ้าเช็ดตัวเช็ดที่ผมตัวเอง
อนามิกาหันไปเห็นณดลแล้วก็ขำ “คุณใส่ชุดอะไรน่ะ”
“ของบาทหลวงท่านให้ยืมใส่ มีชุดเปลี่ยนก็บุญแล้วน่ะ ว่าแต่เธอเหอะ ใจคอจะไม่อาบน้ำก่อนนอนซักหน่อยเหรอ เห็นแก่จมูกของคนที่ต้องนอนห้องเดียวกันบ้างเหอะ”
อนามิกาลุกพรวดขึ้น “ฉันกำลังจะลุกอยู่พอดีย่ะ”
อนามิกาลุกขึ้นแล้วเดินมา จังหวะที่เดินเฉียดมาใกล้กับณดล ไฟก็ดับวูบจนทั้งห้องมืดสนิท
“ว๊าย! คุณปิดไฟทำไม” อนามิการ้องออกมา
“ฉันไม่ได้ปิด ไฟมันดับเอง” ณดลบอก
“โอ๊ย..มืดตึ๊ดตื๋อเลย ฉันยิ่งกลัวผีอยู่ด้วย”
“จะกลัวทำไม มืดซะขนาดนี้ ต่อให้ผีมาหลอกตรงหน้าเธอ เธอก็มองไม่เห็นอยู่ดี”
“แล้วจะพูดทำไมเนี่ย เอ๊! ก็บอกว่าฉันกลัว”
อนามิกายกมือขึ้นคลำทาง แต่กลับไปคลำเอาใบหน้าของณดล
“อะไรเนี่ย” อนามิกาถาม
ณดลตอบเสียงเข้ม “นี่...นี่ หน้าฉันเอง พอแล้ว”
ทันใดนั้น ไฟก็สว่างขึ้น อนามิกายังชะงักค้างในท่าที่มือยังแปะอยู่บนใบหน้าของณดล
“อ้าว...อุ๊ย! โทษที ฉันแค่จะคลำทาง”
ณดลชักสีหน้าไม่พอใจ “ไม่เป็นไร เธอรีบไปอาบน้ำเถอะ”
“ไม่เอาหละ เดี๋ยวไฟดับอีก ฉันกลัวผีน่ะ” อนามิกาปัด
“เธอรู้ได้ไงว่าที่อังกฤษก็มีผีเหมือนเมืองไทย”
“บอกว่าอย่าพูด”
ณดลได้ทียิ่งจงใจแกล้ง “แล้วผีอังกฤษนี่กลัวพระเครื่อง กลัวสายสิญจน์เหมือนผีไทยเรามั้ย”
“หยุดพูดเรื่องผีได้มั้ย ฉันกลัว”
อนามิกาพูดยังไม่ทันขาดคำ ไฟก็มืดสนิทลงอีก อารามตกใจ อนามิกาจึงกระโดดกอดณดลเต็มวงแขน “ว๊าย!”
ณดลอึดอัดเพราะถูกกอดรัดแน่น “โอ๊ย..เบา ฉันจะหายใจไม่ออกแล้ว”
“ทำไมถึงหายใจไม่ออกล่ะ” อนามิกาถามงงๆ
“ก็เธอกอดฉันแน่นซะขนาดนี้”
“หา! นี่ฉันกอดคุณอยู่เหรอ”
อนามิกาพูดขาดคำ ไฟในห้องก็สว่างพอดี อนามิกาชะงักตัวแข็ง เพราะเห็นจะๆ ว่าเธอกอดรัดณดลแน่นจนหน้าแทบจะแนบชิดกัน
“ปล่อยฉันได้รึยัง ฉันอึดอัด” ณดลถาม
อนามิกาเขิน “เอ่อ...ฉัน..ไม่รู้ตัว...ฉันไม่ได้ตั้งใจ”
อนามิกาค่อยๆ คลายวงแขนแล้วผละออกมาจากณดล เธอรู้สึกหน้าชาเพราะเสียฟอร์ม ณดลส่ายหน้าขำๆ ด้วยความเอ็นดู

อัธวุธนุ่งผ้าเช็ดตัวและพันผมด้วยผ้าเช็ดตัวอีกผืนอยู่ในห้องพักซอมซ่อ เขาเดินเข้ามาหาเมธาวีที่นั่งกังวลและเป็นห่วงอนามิกาอยู่บนเตียง
“อู๊ย...สดชื่น ถึงห้องจะโทรมมาก ถึงโทรมที่สุด แต่ในห้องน้ำก็ยังมีน้ำอุ่นให้อาบนะยะ”
“ไม่รู้ป่านนี้พี่อะนากับพี่ณดลจะอยู่ยังไง จะได้อาบน้ำอุ่นแบบเรามั้ยนะ” เมธาวีเป็นห่วง
“อู๊ย...ยัยเม เธอจะกังวลไปไหน สองคนนั้นเค้าไม่เป็นอะไรหรอกน่า เราห่วงไปก็แค่นั้น รีบอาบน้ำแล้วนอนดีกว่า เดี๋ยวเช้ามา ค่อยว่ากัน”
เมธาวีตอบไม่เต็มเสียง “ก็ได้”
เมธาวีตลบชายเสื้อขึ้นเพื่อจะถอดเสื้อยืดคอกลมที่สวมทับ ทำให้เสื้อปิดใบหน้าและศีรษะไว้ อัธวุธเดินย้อนไปทางห้องน้ำโดยทิ้งให้เมธาวีอยู่คนเดียวโดยที่เมธาวีไม่รู้ตัว เส้นผมของเมธาวี เกี่ยวติดกับเสื้อ ทำให้เธอยกชายเสื้อตลบปิดหน้าและปิดศีรษะค้างไว้อย่างนั้น
เมธาวีพูดทั้งที่เสื้อยังคลุมศีรษะอยู่ “โอ๊ย!พี่อาร์ท...เมถอดไม่ออก ช่วยหน่อยสิ”
ณภัทรเดินเข้ามาในห้อง เขามองไปที่เมธาวีอย่างงงๆ เพราะเห็นเมธาวีนั่งอยู่บนเตียงในท่าชูสองแขนตลบเสื้อไปปิดหน้าจนเห็นเสื้อซับในสายเดี่ยว คอลึก เนื้อผ้าบางเบาที่เธอสวมอยู่
“เร็วสิ! ช่วยถอดเสื้อให้หน่อย มันติดผมเมน่ะ ช่วยหน่อย” เมธาวีเร่ง
ณภัทรงงแล้วชี้ที่ตัวเองเพราะไม่แน่ใจว่าเมธาวีเรียกตัวเองหรือเปล่า
“มัวรออะไรอยู่ล่ะ เร็วสิ ช่วยดึงเสื้อหน่อย” เมธาวีเร่ง
ณภัทรรีบพยักหน้ารับแล้วเข้าไปช่วยถอดให้ พอถอดเสื้อพ้นศีรษะออกมาได้ เมธาวีก็พูดขอบคุณเพราะนึกว่าเป็นอัธวุธที่มาช่วยถอดเสื้อ
“ขอบคุณนะพี่อัธวุธ” เมธาวีเห็นว่าเป็นณภัทรก็ตาโตด้วยความตกใจ “ว๊ายย! ภัทร มาถอดเสื้อเมทำไม”
เมธาวีรู้สึกตัวก็รีบก้มสำรวจตัวเอง แล้วก็รีบกอดอกปิดไว้อย่างมิดชิด
ณภัทรพูดเสียงหลง “เอ๊า...ก็เมเป็นคนเรียกให้ช่วยเองนะ”
เมธาวีหน้าแหย “อ้อ...จริงสิ ก็เมนึกว่าเป็นพี่อาร์ท แล้วเมื่อกี้..เอ่อ..เมโป๊รึเปล่า”
“เปล่านี่...ไม่ได้โป๊ ก็เมใส่เสื้อซับในที่เป็นสายเดี่ยว ผ้าบางๆ คอลึกๆ”
เมธาวีรีบตัดบทด้วยความอาย “พอๆๆไม่ต้องพูดแล้ว” เมธาวีมองหาอัธวุธ “แล้วพี่อาร์ทหายไปไหนเนี่ย... พี่อัธวุธ” เมธาวีเรียกเสียงดัง
“จ้า” อัธวุธที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนแล้วเดินเฉิดฉายเข้ามา
“อ้าว! ภัทร” อัธวุะหันมาถามเมธาวี “เรียกทำไม มีอะไรยะ” เมธาวีไม่ตอบ อัธวุธก็หันไปเลิกคิ้วถามณภัทร
“อ๋อ..คือว่าเมเค้ากำลังถอดเสื้อ แล้วเค้าก็เรียกให้ช่วยถอด” ณภัทรอธิบาย
เมธาวีรีบยื่นฝ่ามือปิดปากณภัทรไว้ “ไม่ต้องเล่าก็ได้” เมธาวีหันมาหาอัธวุธ “ไม่มีอะไรหรอกพี่อาร์ท”
อัธวุธงงแล้วก็เปรยเบาๆ “อะไรของแกสองคนเนี่ย”
ณภัทรกับเมธาวีมองหน้ากัน ณภัทรอดขำออกมาไม่ได้ ในขณะที่เมธาวีทั้งเขินทั้งอาย แต่ทั้งสองก็ยิ่งทวีความรู้สึกดีต่อกันเพิ่มมากขึ้น

ณดลกำลังหวีผมตนเองที่จวนจะแห้งอยู่ในห้อง อนามิกาเดินถือผ้าเช็ดตัวเช็ดผมเข้ามา ณดลหันไปเห็นแล้วแทบจะขำออกมาเพราะว่าอนามิกาก็อยู่ในชุดนอนแบบเดียวกับตนเปี๊ยบ แต่ดูใหญ่โคร่งเพราะเป็นเสื้อผ้าไซส์เดียวกับที่ณดลใส่
อนามิกาทำตาเขียวใส่ “เป็นอะไรมากมั้ย ก็บาทหลวงท่านมีแต่ชุดแบบนี้”
“เปล่า ก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่จริงๆ ชุดนี้ก็ดูดีกว่าชุดที่เธอใส่มาซะอีกนะ ฮ่าๆๆ เอ้อ...แล้วเป็นไง ตอนอาบน้ำ นึกกลัวผีขึ้นมาบ้างมั้ย”
“จะเหลือเหรอ ยิ่งตอนสระผมนี่ จะลืมตาแต่ละที...มีลุ้นตลอด”
“ไม่แน่นะ ผีอาจจะไม่อยากหลอกเธอในห้องน้ำ เพราะทนสภาพเธอโป๊ไม่ได้ บางที ผีอาจจะตามเข้ามาหลอกเธอในห้องตอนนี้ก็ได้”
“เลิกพูดเล่นแบบนี้ซะทีได้มั้ย” แล้วไฟก็ดับขึ้นมาอีกครั้ง อนามิการ้องลั่น “ว๊าย!”
อนามิกาตกใจกระโดดเข้ากอดณดลอีกครั้ง
“โอ๊ย..ปล่อย จะกอดแน่นไปไหน”
อนามิการู้สึกตัวจึงรีบถอยออกมา “ฉันเปล่านะ”
“เปล่าอะไร ก็อยู่กันแค่สองคน”
“ไม่ใช่อย่างงั้น ฉันหมายถึงฉันเปล่ากอดคุณเพราะอยากกอด ฉันแค่ตกใจ”
อนามิกาเริ่มสงบลง แต่ในความมืด จู่ๆ ก็มีใบหน้าหนึ่งสว่างวาบขึ้นมาในระยะใกล้ อนามิกาหันไปเห็นแล้วก็กรีดร้องด้วยความตกใจ
“กรี๊ดดด!” อนามิกาโผเข้ากอดณดลอีกครั้ง
ลำแสงสว่างวาบขึ้นในห้อง ณดลเห็นว่าเป็นใบหน้าของบาทหลวงที่ถือไฟฉายเดินเข้ามา แสงจากไฟฉายช้อนใต้คางทำให้ดูน่ากลัว
อนามิกายังคงกอดซุกใบหน้ากับอกของณดล
“Oh! Sorry. It’s me. I’m a priest not a ghost.” บาทหลวงบอก
“อนามิกา...ท่านบอกว่าท่านเป็นพระ ไม่ได้เป็นผี” ณดลบอก
อนามิกาค่อยๆ ถอนใบหน้าออกจากอกณดลแล้วหันมามอง “อ้าว!”
“The electricity in this town often got problem. I’m here to bring you a flashlight.” บาทหลวงยื่นไฟฉายอีกกระบอกให้
“อ๋อ..ท่านอุตส่าห์เอาไฟฉายมาให้” อนามิกาค่อยๆ รับไฟฉายมา “Thank you very much
,father.”
บาทหลวงยิ้มอย่างใจดี แล้วเอาไฟฉายที่ถือมาอีกกระบอก ส่องทางเดินแล้วเดินออกจากห้องไป
“เฮ่อ..หมดกัน เสียฟอร์มหมด ท่านคงนึกว่าฉันกลัวผีซะจน...” อนามิกาหันไปส่องไฟเสยที่หน้าณดล แล้วเธอก็ตกใจร้องออกมาเอง “ว้าย”
“นี่...หน้าฉันมันสยองขนาดนั้นเลยเหรอ” ณดลถาม
“ก็...ทำนองนั้นมั้ง”
ทันใดนั้น ไฟในห้องก็กลับมาสว่างอีกครั้ง ณดลมองอนามิกาแล้วหัวเราะขำเยาะเย้ย
“โธ่เอ๊ย...เห็นทำเป็นเก่งอยู่ตั้งนาน ที่แท้ก็กลัวผีซะจนกรี๊ดแต๋วแตก” ณดลขำ
อนามิกาได้แต่มองค้อนณดลเพราะเถียงอะไรไม่ออก

ประตูห้องพักหรูค่อยๆ แง้มเปิดอย่างช้าๆ เกตนิการ์แทรกตัวเข้ามาในห้องด้วยท่าทีลับๆ ล่อๆ พร้อมกับถือไวน์มาด้วยขวดหนึ่ง
“คุณณดลไม่กลับมา ก็หมายความว่า..นายภัทรนอนอยู่ห้องนี้คนเดียว...” เกตนิการ์พูดกับตัวเอง
เกตนิการ์เดินเข้ามาในห้องแล้วก็เห็นร่างหนึ่งนอนคลุมโปงอยู่ในผ้าห่มเธอก็ยิ้มอย่างพอใจ เกตนิการ์ยื่นมือไปสะกิดเบาๆ
“ภัทร...ภัทร...”
ร่างในผ้าห่มขยับเล็กน้อย เกตนิการ์ส่งเสียงเว้าวอนออดอ้อนทันที
“ลุกขึ้นมาจิบไวน์เป็นเพื่อนหน่อยสิ...ฉันนอนไม่หลับอ้ะ แหม..ไม่ต้องมาแกล้งหลับเลยนะ” เกตนิการ์ขยับมานั่งบนเตียง “ภัทรเนี่ย...”
เกตนิการ์โน้มใบหน้าไปใกล้ เธอค่อยๆ เปิดผ้าห่มออกมาแล้วก็ต้องร้องลั่น เพราะเห็นว่าเป็นอัธวุธที่นอนอยู่ในผ้าห่ม อัธวุธลุกพรวดขึ้นมาด้วยความรวดเร็วทำให้ริมฝีปากของเขาไปจุ๊บกับริมฝีปากของเกตนิการ์เต็มๆ เกตนิการ์ผงะออกแล้วกรีดร้อง อัธวุธเองก็ร้องลั่นด้วยความตกใจ
“ว๊ายย!!”
“นี่เธอเข้ามาทำอะไรในห้องนี้ยะ” เกตนิการ์ถาม
“ฉันต่างหากที่ควรจะถามว่าเธอเข้ามาทำไม” อัธวุธสวนกลับ
“ฉันถามก่อน ก็ตอบฉันมาก่อนสิยะ”
“ก็นายภัทรชวนฉันกับยัยเมให้ย้ายมานอนห้องนี้น่ะสิยะ”
ทันใดนั้นเสียงณภัทรก็ดังขึ้น “อ้าว...เกด”
เกตนิการ์หันไปก็เห็นณภัทรกับเมธาวีเดินเข้ามา ทั้งสองหอบกระเป๋าเสื้อผ้า และกระเป๋าเครื่องสำอางมาด้วย
“ยังไม่นอนเหรอเกด” ณภัทรถาม
“เอ่อ...คือ...คือ...” เกตนิการ์อ้ำอึ้ง
“แล้วนั่นถืออะไรมาน่ะ” ณภัทรถาม
เกตนิการ์รีบเอาขวดไวน์หลบข้างหลัง “ฉะ ฉันแค่แวะมาราตรีสวัสดิ์น่ะ ราตรีสวัสดิ์นะทุกคน” เกตนิการ์หลบตาทุกคนเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว
เมธาวีกับณภัทรมองตามเกตนิการ์ไปอย่างงงๆ

ไฟหัวเตียงภายในห้องนอนบ้านบาทหลวงเปิดไว้ อนามิกาค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาเพราะรู้สึกหนาวจนตัวสั่น เธอขดตัวแล้วกอดหมอนข้างแน่น ก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้ปิดถึงปลายคาง
“บรื๋ออ...หนาวชะมัดเลย” อนามิกาครางออกมาเบาๆ
อนามิกาพริ้มหลับตาลง แล้วพลันก็ลืมตาโพลงเพราะนึกถึงณดลขึ้นมา เธอรีบหันตะแคงไปมองก็เห็นณดลนอนกับพื้นแบบไม่มีผ้าห่ม เขาขดตัวงอเป็นกุ้งพร้อมกับส่งเสียงครางเบาๆ ออกมา
อนามิกายิ้มเยาะอย่างสะใจ เธอพริ้มหลับตาแต่แล้วก็รู้สึกสงสารขึ้นมาจึงลืมตาโพลง อนามิกาจับผ้าห่มมองอย่างชั่งใจสักครู่ ก่อนจะหันตะแคงแล้วชะเง้อพูดกับณดล
“คุณ...” อนามิกาเรียกเสียงดังขึ้น “คุณณดล”
ณดลลืมตามองอนามิกา ในสภาพที่ยังกอดอกแน่นแล้วถามเสียงสั่นเครือด้วยความหนาว “หือ..มีอะไร”
อนามิกาขยับตัวแล้วเลิกผ้าห่มขึ้น “พื้นมันเย็นใช่มั้ย ขึ้นมานอนนี่ดีกว่า”
ณดลแทบไม่เชื่อหูตัวเอง “เธอว่าไงนะ?”
“ขึ้นมานอนห่มผ้าบนเตียงนี่ ฉันเห็นคุณนอนกับพื้นแล้วสงสารน่ะ”
ณดลรู้สึกเซอร์ไพรส์สุดๆ “นี่ฉันหูฝาดหรือว่าฝันไปเนี่ย คนอย่างเธอก็มีน้ำใจ รู้จักเป็นห่วงคนอื่นเหมือนกันนี่นะ”
อนามิกาเริ่มเสียงแข็งใส่ “จะขึ้นมานอนมั้ย ก่อนที่ฉันจะเปลี่ยนใจ”
ณดลรีบลุกขึ้น แล้วหอบหมอนมาที่เตียง แต่ก็ต้องชะงักเพราะอนามิกาพูดขึ้นมา “เดี๋ยว!”
“นั่นไง...ฉันว่าแล้ว เธอแค่อยากจะแกล้งฉันใช่มั้ย คนอย่างเธอหรือจะมีน้ำใจแบ่งปันผ้าห่มให้ใคร” ณดลจะหันกลับไปนอนที่เดิม
“หยุดมองฉันในแง่ร้ายได้แล้ว” อนามิกาขยับหมอนข้างมาวางกั้น “ฉันแค่จะเอาหมอนข้างมากั้นไว้ อ้อ! ขอเตือนก่อนนะ ถึงคุณจะเป็นพี่เขยฉัน แต่ถ้าขืนมาโดนเนื้อต้องตัวฉันละก็..ได้กระเด็นตกเตียงแน่”
“โอ๊ย..สบายใจเหอะ ฉันไม่ได้อยากจะแตะเนื้อต้องตัวเธออยู่แล้ว ห่วงแต่เธอนั่นแหละ อย่าเผลอมานอนก่ายฉันเองก็แล้วกัน”
“ฝันเหอะ! ฉันนอนหละนะ” อนามิกาพูดห้วนๆ “ราตรีสวัสดิ์”
อนามิกานอนตะแคงหันหลังให้ทันที ณดลขยับไปนอนบนเตียงแล้วพลิกตัวตะแคงโดยรักษาระยะห่างจากอนามิกา ทั้งสองหันหน้าไปคนละทาง ณดลรู้สึกอุ่นสบายเพราะไม่หนาวอีกต่อไป

เช้าวันใหม่ ณดลกับอนามิกานอนหลับโดยหันตะแคงใบหน้าเข้าหากัน ทั้งสองกอดกันกลมโดยไม่รู้ตัวเพราะความหนาว ส่วนผ้าห่มลงไปกองอยู่ที่หัวเข่าของทั้งคู่แล้ว
อนามิกากับณดลค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาพร้อมๆ กัน ทั้งสองมองตากันแล้วนิ่งสักพัก แล้วก็พริ้มหลับตาก่อนจะนึกขึ้นได้จึงรีบลืมตาโพลงขึ้นมาพร้อมกัน แล้วก็ต้องตกใจที่อยู่ในอ้อมกอดของกันและกัน
อนามิกาเอาฝ่ามือดันหน้าของณดลออกไป “ทำอะไรน่ะ! นี่คุณกอดฉันเหรอ?”
ณดลสะดุ้งรีบชักมือกลับ แต่พอก้มมองก็เห็นขาของอนามิกาก่ายต้นขาของตนอยู่
“รีบออกไปจากตัวฉันเดี๋ยวนี้นะ” อนามิกายังไล่
ณดลขยับจะถอยออกแต่โดนขาอนามิกาก่ายทับไว้ เลยชี้ไปที่ขาของอนามิกา “เอ่อ...ฉันจะไปไหนได้ล่ะ ขาเธอน่ะ จะก่ายฉันอีกนานมั้ย”
อนามิกาก้มมอง พอรู้สึกตัวก็รีบชักขากลับ เธอรู้สึกหน้าชาเพราะเสียฟอร์ม แต่ก็ยังโวยต่อ
“อ้าว! เอ่อ...แล้วหมอนข้างที่ฉันวางคั่นกลางไว้ล่ะ”
“ฉันจะไปรู้เหรอ”
“คุณไม่ได้เอาหมอนข้างออก แล้วแอบกอดฉันตอนหลับใช่มั้ย” อนามิกาถาม
“จะบ้าเหรอ..คิดไปได้นะ เห็นฉันเป็นคนยังไงกัน เธอเองแหละมั้ง ที่เอาหมอนข้างออก แล้วเอาขามาก่ายฉัน”
“ฉันไม่ได้ตั้งใจย่ะ ก็แค่หนาว ก็เลยก่ายอะไรไปเรื่อย”
“หรือว่า...เธอละเมอนึกว่าฉันเป็นไอ้ภัทร ก็เลยตะกายซะ”
“นี่หยุดนะ ฉันไม่ละเมอทำอะไรทุเรศแบบนั้นหรอกย่ะ”
“ล้อเล่นน่า...ฉันว่าเรารีบลุกไปจัดการเรื่องรถให้เรียบร้อยก่อนดีกว่า”
“ก็ดี...ป่านนี้ พวกเราที่รออยู่ คงเป็นห่วงกันแย่แล้ว” อนามิกาเห็นด้วย

นลิณานั่งอยู่ที่เก้าอี้ในสวนของโรงแรม จู่ๆ ก็ลุกพรวดขึ้นมาระบายอารมณ์กับเกตนิการ์
“ฉันหละเป็นห่วงยัยอะนาจริง..จริ๊ง”
“เธอเนี่ยนะเป็นห่วงยัยอะนา นี่อากาศหนาวทำให้เพี้ยนไปรึเปล่ายะ” เกตนิการ์งง
“ฉันไม่ได้ห่วงว่ามันจะเป็นยังไงหรอกนะ แต่ฉันห่วงว่ามันจะคาบคุณณดลไปกินตะหาก”
“คิดมากไปเหรอเปล่า อย่าลืมว่า คุณณดลก็รู้อยู่แก่ใจว่ายัยอะนาท้องอยู่นะ”
“โอ๊ย..ฉันไม่ไว้ใจหรอกย่ะ เธอก็รู้ว่ายัยนี่มันแพรวพราวซะขนาดไหน ยิ่งได้มีโอกาสค้างคืนกับคุณณดลแบบนั้น จะไม่ให้ฉันห่วงได้ไง”
“เฮ้อ...ถ้าฉันเป็นเธอ ก็คงจะแค้นยัยอะนามากๆ เลยนะ ไหนจะแย่งว่าที่คู่หมั้นของน้องสาวเธอ แล้วนี่ก็ยังจะฉกผู้ชายที่เธอปลื้มไปกินซะอีก” เกตนิการ์รีบใส่ไฟ
“นั่นสินะ ปล่อยมันไว้ไม่ได้แล้ว แต่นังนี่ก็หนังเหนียวซะเหลือเกิน จะทำอะไรมัน ก็รอดไปได้ซะทุกครั้ง เธอว่าฉันควรจะเอาเรื่องมันยังไงดี”
“ไม่ยากนี่...ก็ถ้าเราเอามันไม่อยู่ เราก็ต้องยืมมือผู้ใหญ่ให้ลงมาจัดการ”
“ผู้ใหญ่? หมายถึงใครยะ” นลิณางง
“ก็คุณพ่อเธอน่ะสิ โทรไปบอกเรื่องยัยอะนากับนายภัทร แล้วให้คุณพ่อเธอไปโวยกับทางพ่อแม่ของคุณณดลกับนายภัทรซะ”
“จริงด้วยสินะ ครอบครัวนั้นเค้าเกรงใจคุณพ่อฉันสุดๆ ให้คุณพ่อไปจัดการ ยังไงซะก็น่าจะดีกว่าเราจัดการกันเอง” นลิณาเห็นด้วย
เกตนิการ์รีบสะกิดนลิณาให้หยุดพูดก่อน แล้วจึงพยักหน้าไปทางที่ณภัทรเดินตรงเข้ามา
“ภัทร ว่าไงจ๊ะ โทรติดต่อพี่ณดลกับอนามิกาได้หรือยัง” เกตนิการ์ทัก
“อ้าว! ไม่มีใครบอกเธอสองคนเหรอว่า พี่ณดลกับอะนากลับมาแล้ว” ณภัทรบอก
“หา!?” เกตนิการ์กับนลิณาตกใจ
“คุณณดลไม่เป็นอะไรใช่มั้ย” นลิณารีบถาม
“โอ๊ย..สบายมาก เค้าสองคนต้องไปนอนค้างคืนกันด้วยนะ ฮ่าๆๆ โอ๊ย..พี่ชายฉันกับอะนาเล่าให้ฟังนี่อย่างฮาเลย ฮ่าๆๆ”
ณภัทรเอาแต่หัวเราะจึงไม่ได้สังเกตว่านลิณาเครียดจนอกจะแตกและแทบจะกรี๊ดออกมา แต่ก็กัดฟันอดทนไว้
“แล้วมัน...เอ่อ...แล้วอะนาอยู่ไหนเหรอจ๊ะ” นลิณาถาม
“ก็...อาบน้ำอยู่ในห้องน่ะ เธอเข้าไปหาเค้าสินีน่า” ณภัทรบอก
นลิณากัดฟันพูดอย่างอาฆาต “ไปแน่...ฉันไปหายัยอะนาแน่”
นลิณากัดฟันด้วยความเคียดแค้น เกตนิการ์มองหน้าเพื่อนแล้วยิ้มอย่างสะใจเพราะรู้ดีว่านลิณาจะเอาเรื่องอนามิกาแน่ๆ

อนามิกาเดินเอาผ้าเช็ดตัวเช็ดผมที่เพิ่งสระออกมาจากห้องน้ำ เธอเดินตรงไปที่ประตูห้องซึ่งมีเสียงเคาะถี่ๆ อย่างเร่งร้อน
“มาแล้ว...มาแล้ว ยัยเมใช่มั้ยเนี่ย ก็บอกแล้วไงว่าให้กินมื้อเช้ากันไปก่อนได้เลย เดี๋ยวฉันตามไป” อนามิกาเปิดประตูแล้วก็ชะงักตกใจ “นีน่า”
“ตกใจอะไรเหรอยะ” นลิณาถามกลับ
นลิณาก้าวเข้ามาในห้องแล้วตามมาด้วยเกตนิการ์ซึ่งตามมาคุมเชิง
“เธอมีอะไรเหรอนลิณา” อนามิกาถาม
“ฉันจะมีอะไร แกนั่นแหละ มีอะไรกับคุณณดลหรือเปล่า บอกความจริงฉันมานะ ที่ไปค้างคืนด้วยกันมา แกทำอะไรกับคุณณดลบ้าง”
“อย่าพูดซี้ซั๊วได้มั้ย อย่าลืมสิว่าฉันเป็นน้องสะใภ้คุณณดล แล้วจะไปมีอะไรกันได้ยังไงยะ”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ เคยได้ยินแต่พระยาเทครัว แต่ของเธอนี่มันนางพญาเทครัว กะจะกินรวบทั้งพี่ทั้งน้อง” นลิณาว่า
“เธอนี่มันเหลือเกินจริงๆ นะ ความคิดสกปรก แล้วยังพูดจาสกปรกอีก” อนามิกาไม่พอใจ
“แกด่าฉันเหรอ”
พูดจบนลิณาก็เข้าไปตบหน้าอนามิกาเป็นพัลวัน อนามิกาไม่ทันตั้งตัวก็ล่าถอยและได้แต่ยกมือปิดป้อง
“ขอตบให้หายแค้นทีเถอะ”
นลิณายังคงตบต่อไม่หยุด โดยมีเกตนิการ์ยืนยิ้มเยาะคุมเชิงอยู่












Create Date : 02 เมษายน 2555
Last Update : 2 เมษายน 2555 23:57:20 น.
Counter : 209 Pageviews.

0 comment
แหม่มแก้มแดง ตอนที่ 4



ณดลมานั่งอยู่ที่เก้าอี้ตรงทางเดินที่อยู่ไกลออกมา มือหนึ่งของเขายังกุมที่ริมฝีปาก ครู่หนึ่ง อนามิกาเดินถือขวดน้ำเปล่ากับถุงยาที่มีสำลีและแอลกอฮอล์เช็ดแผลเข้ามาหา

“มาแล้วค่ะ ชุด First aid ปฐมพยาบาล เอ้า! แล้วนี่ น้ำ” อนามิกายื่นขวดน้ำให้
ณดลเอามือที่กุมริมฝีปากออก ทำให้อนามิกาเห็นว่าตรงมุมริมฝีปากมีแผลแตก เลือดซึมอยู่ พอณดลรับขวดน้ำได้ เขาก็ยกกระดกทันที
“เฮ้ย! ให้ล้างแผล ไม่ใช่ให้กิน” อนามิกาบอก
“อ้าว...แล้วก็ไม่บอก” ณดลทำท่าจะเทน้ำราดแผลที่ริมฝีปาก
“ไม่ต้องแล้ว...ไม่ต้องแล้ว”
“ยังไงของเธอกันแน่เนี่ย”
“ก็พี่กินน้ำจากปากขวดไปแล้ว ขืนเอามาล้างแผล เดี๋ยวก็บาดทะยักกินพอดี”
ณดลชักสีหน้าด้วยความฉุนแล้วเหล่มองหน้าอนามิกา อนามิกาใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์ กดเข้าไปที่แผลตรงริมฝีปากของณดล
“ว่าฉันสกปรกเหรอ โอ๊ย!นี่จะทำแผล หรือจะฆ่าให้ตายกันแน่” ณดลโวยวาย
“โอ๊ย! เป็นผู้ชายประสาอะไร แค่นี้ก็ทนเอาหน่อยน่า”
อนามิกาจะกดสำลีไปที่แผลอีกครั้ง แต่ณดลรีบจับมืออนามิกาไว้ ทั้งสองอึ้งแล้วมองตากันครู่หนึ่ง ก่อนที่ต่างคนต่างหลบตาแล้วค่อยๆ ปล่อยมือออกจากกัน
นลิณากับเกตนิการ์ซุ่มดูทั้งคู่อยู่ห่างออกไป
“อุ๊ย...มีจับมือกันด้วยแฮะนีน่า” เกตนิการ์บอก
นลิณาฉุน “มันทำบุญด้วยอะไรนะ ผลักมันตกบันได มันก็ล้มไปจุ๊บคุณณดล พอจ้างคนมาทำให้มันแท้ง ก็ดั๊น...ได้กุมมือคุณณดลอีก โอ๊ย...อยากจะออกไปตบมันหายแค้น”
นลิณาจะโผออกไปแต่เกตนิการ์ก็รีบรั้งไว้อีก
“นลิณา...มีสติหน่อยสิจ๊ะ เราอย่าออกไปจะปลอดภัยกว่า นะ..ไปจากที่นี่ดีกว่า ไปเดินเล่นแก้เครียดที่อื่นกัน คิดซะว่าวันนี้ไม่ใช่วันของเรา”
นลิณาเริ่มมีสติขึ้น แต่สีหน้าของเธอก็ยังเคืองแค้นอนามิกา

ณภัทรกับเมธาวีเดินอยู่บริเวณที่มีร้านขายของเก๋ๆในย่าน Covent garden ผู้คนมากมายเดินกันพลุกพล่าน ณภัทรยกนาฬิกาขึ้นดูแล้วหันไปพูดกับเมธาวีที่เดินตามมา
“เร็ว...เม เราเลทมากแล้ว ขืนให้พี่ณดลรอนานหละเป็นเรื่องแน่”
“รู้แล้วๆ ทำไมนายถึงต้องกลัวพี่ชายมากขนาดนี้เนี่ยภัทร”
“ยังจะต้องถามอีกเหรอ เธอก็เห็นแล้วนี่ว่าพี่ณดลเป็นคนยังไง”
ณภัทรเดินเร่งฝีเท้านำมา เมธาวีพยายามเร่งตามแต่กลับสะดุดจนเซถลามา ณภัทรหันไปเห็นก็รีบประคองรับไว้ ณภัทรประคองเมธาวีไว้จนเหมือนว่าทั้งสองกำลังตระกองกอดกัน
ทันใดนั้น นลิณากับเกตนิการ์เดินมาด้วยกันที่มุมหนึ่งของย่านนั้น
“ดีเหมือนกัน เดินช็อปปิ้งคลายเครียด” นลิณาบอก “เวลาเซ็งๆ อย่างงี้ถ้าได้ใช้ตังค์ซะหน่อยคงจะสบายใจขึ้น” นลิณาหันหน้าไปแล้วก็ชะงักตาโต
นลิณาเห็นณภัทรกำลังตระกองกอดเมธาวีอยู่ เธอรีบสะกิดให้เกตนิการ์มองตามไป เมธาวีกับณภัทรยังประสานสายตามองกันอย่างเขินๆ สักพักทั้งสองจึงผละออกจากกัน ก่อนจะเดินเขินๆ ตามกันไป
เกตนิการ์กับนลิณามองตามไปอย่างงงๆ
“อะไรเนี่ย เมื่อกี้เพิ่งเห็นยัยอนามิกาจับมือคุณณดล แล้วนี่ยังมาเจอยัยเมธาวีกอดกับนายณภัทรอีก ยัยสองคนนี้มันไวไฟด้วยกันทั้งคู่เลยนะ” เกตนิการ์ว่า
“นั่นสิ ตกลงเราจะไว้ใจนังพวกนี้ไม่ได้เลยซักคนใช่มั้ยเนี่ย” นลิณาไม่พอใจ

ณดลกับอนามิกามารอณภัทรกับเมธาวีอยู่ที่จุดนัดพบบริเวณ Covent garden
“เธอแน่ใจนะว่า นัดไอ้ณภัทรกับเพื่อนเธอไว้ตรงนี้” ณดลถาม
“แน่ใจสิคะ คุณถามฉันรอบที่สามแล้ว เอางี้! ถ้ารีบนัก คุณก็กลับไปก่อน” อนามิกาบอก
“กลับยังไงล่ะ ฉันไม่ใช่คนแถวนี้ นี่ลอนดอนนะไม่ใช่กรุงเทพฯ”
“กลัวหลง ว่างั้น...” อนามิกาหันไปเห็น “นั่นไง มากันแล้ว”
ณภัทรกับเมธาวีเดินกระหืดกระหอบเดินมา
“โทษทีพี่ รอนานมั้ย...” ณภัทรพูด พอเห็นหน้าณดลเขาก็ตกใจ “เฮ้ย! พี่โดนอะไรมาน่ะ”
“ก็...เกิดเรื่องนิดหน่อยน่ะ ไม่มีอะไรหรอก” ณดลตอบ
“ไม่มีอะไรได้ไงพี่” เมธาวีสะกิดถามอนามิกา “เกิดอะไรขึ้นเหรอแก”
“คือ..ฉันกำลังถ่ายรูปให้คุณณดล” อนามิกาเล่า “แล้วก็มีโจรวิ่งเข้ามาแย่งเอากล้องไป ฉันเลยวิ่งไล่ตาม แล้วสุดท้าย” อนามิกาชี้ที่กล้องในมือณดล “ฉันก็แย่งกลับคืนมาได้”
“เฮ้ย...จริงดิ” เมธาวีตกใจรีบแตะเนื้อตัวอนามิกา สำรวจว่าโดนทำร้ายหรือเปล่า “แล้วพี่อะนาเป็นอะไรหรือเปล่า”
“เปล๊า...ถึงมันจะเป็นฝรั่งตัวใหญ่ๆ แล้วถือมีดด้วยนะ แต่ก็ไม่ระคายผิวฉัน เอ่อ...แต่สำหรับรายนั้น” อนามิกาพยักหน้าไปทางณดล “โดนเต็มๆ”
“โห..ซูเปอร์เกิร์ลมากๆ เลยอะนา เสี่ยงตายเอากล้องคืนมาได้ สุดยอดอ้ะ ขอบคุณมากๆ เลยนะ” ณภัทรพูด
ณดลโพล่งขึ้นเสียงดังอย่างหัวเสีย “ขอบคุณทำไม มีอะไรต้องขอบคุณ”
ทุกคนหันขวับมาที่ณดล ณภัทรกับเมธาวีงงว่าทำไมณดลถึงพูดอย่างนั้น ขณะที่อนามิกาก็ฉุนกึ้กขึ้นมาทันที
“อ้าวววว.....แล้วที่ฉันอุตส่าห์วิ่งหน้าตั้ง เสี่ยงตายไปเอากล้องคืนให้คุณล่ะ”
“แล้วใครใช้ให้เธอวิ่งตามไป” ณดลสวน
“เอ๊า...นี่ไม่รู้จักขอบคุณ แล้วยังมาพูดแบบนี้อีก”
“ก็จริงมั้ยล่ะ แค่กล้องถ่ายรูป ฉันมีปัญญาซื้อใหม่ได้ แต่เธอกลับคิดสั้นเอาชีวิตของเธอกับลูกในท้องไปเสี่ยงโง่ๆ แบบนั้น เธอคิดว่ามันคุ้มงั้นเหรอ”
“แต่สุดท้ายฉันก็เอากล้องกลับคืนมาได้แหละน่ะ” อนามิกาบอก
“แล้วถ้าไม่ได้ล่ะ..หา?! ชีวิตเธอกับหลานฉันมีค่าแค่กล้องตัวเดียวงั้นเหรอ”
อนามิกาเซ็ง “ไรเนี่ย...กลายเป็นทำคุณบูชาโทษซะงั้น รู้งี้อยู่เฉยๆ ดีกว่า”
ณดลพูดใส่หน้าอนามิกา “ก็ใช่น่ะสิ อยู่เฉยๆ มันดีกว่าอยู่แล้ว หัดอยู่เฉยๆ ซะมั่ง เธอกำลังท้อง ดันไปวิ่งไล่จับโจรแบบนั้นได้ไง รู้จักใช้สมองคิดซะบ้าง”
“จะมากไปแล้วนะ ไม่ขอบคุณฉันไม่ว่า นี่ยังมาด่าฉันอีก จะเอาไง..หา? ฉันไม่เกรงใจคุณแล้วนะ”
อนามิกาทำท่าฮึดฮัดเข้าใส่ณดล ณภัทรรีบกระโดดขวางไว้
“เดี๋ยว!..ใจเย็นก่อนอะนา” ณภัทรปราม
“ไม่ต้องมาห้าม ฉันยอมมาเยอะแล้ว ฉันไม่ไหวแล้ว”
“ไม่เอาน่า...” ณภัทรหันไปที่เมธาวี “เม! รีบพาพี่ณดลกลับบ้านไปก่อนนะ เดี๋ยวฉันกับอะนาค่อยตามไป”
“เอ่อ...ได้ๆๆๆ” เมธาวีดึงแขนณดลให้ถอยออกมาสองก้าว “กลับกันเถอะค่ะพี่”
ณภัทรดึงแขนอนามิกาให้ห่างออกไป ทิ้งเมธาวีกับณดลให้ยืนอยู่ข้างหลัง
เมธาวีดึงณดลถอยออกไป “ทางนี้ค่ะพี่ณดล”
ณดลจำใจเดินตามเมธาวีไปแต่ก็ยังหันมามองอนามิกาด้วยสีหน้าไม่พอใจ

นลิณากับเกตนิการ์เดินอยู่ด้วยกันตามทางเดินที่เต็มไปด้วยแสงไฟยามค่ำคืน เกตนิการ์มองไปอีกทางแล้วก็ชะงักรีบสะกิดนลิณาให้มองไปทางนั้น
“นีน่า ดูโน่นสิ”
ทั้งสองเห็นณดลกับเมธาวีเดินมาด้วยกันและกำลังเดินมายังทางที่ทั้งสองยืนอยู่ นลิณากับเกตนิการ์หันมองหน้ากัน เกตนิการ์ถึงกับขยี้ตาเพราะคิดว่าตนเองตาฝาดไป
“ฉันไม่ได้ตาฝาดไปใช่มะ นี่คุณณดลมาสลับจับคู่กับยัยเมอีกแล้วเหรอ”
“วันนี้มันวันบ้าอะไรนะ แล้วจะสลับคู่กันอีกกี่ตลบเนี่ย ขืนฉันมัวอยู่นิ่ง มีหวังโดนยัยพวกนี้คว้าคุณณดลไปกินแน่ๆ” นลิณาบอก
“งั้นเธอก็รีบหาทางรวบรัดคุณณดลเร็วๆ เข้าสิ จะรอให้เค้ากลับเมืองไทยซะก่อนรึไง”
ณดลกับเมธาวีเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ เกตนิการ์กับนลิณารีบเข้าไปขวาง
“คุณณดลขา” ทั้งสองเรียกพร้อมกัน
“อ้าว! เกตนิการ์ นลิณา ดูเหมือนว่าลอนดอนมันเล็กนิดเดียวนะ เราถึงได้เจอกันอีกแล้ว” ณดลเอ่ย
นลิณากับเกตนิการ์เข้ามาเบียดแทรกเมธาวีจนเมธาวีแทบจะกระเด็นออกไป
“ใช่ค่ะ บังเอิญจังเลย สงสัยลอนดอนจะเล็กไปจริงๆ ถ้างั้นทำไมเราไม่ออกนอกลอนดอนกันบ้างล่ะคะ” นลิณาชวน
“นั่นสินะ” เกตนิการ์เสริม “คุณณดลไม่เบื่อเหรอคะ อยู่แต่ในลอนดอนแบบนี้”
“งั้นเอางี้มั้ยคะ นีน่ากับเกดจะอาสาเป็นไกด์พาคุณณดลไปเปลี่ยนบรรยากาศเที่ยวนอกเมืองลอนดอนกันบ้าง”
“อืม...ก็น่าสนใจนะ” ณดลตอบ
“ประเทศอังกฤษไม่ได้มีแค่ลอนดอนนะคะ ออกไปเที่ยวนอกเมืองซักคืนสองคืน รับรอง..คุณณดลต้องชอบแน่ๆ”
“อืม..ผมก็อยากไปนะ” ณดลหันมาถามเมธาวี “ไปด้วยกันมั้ยเม”
นลิณากับเกตนิการ์ชักสีหน้าอย่างขัดใจ
นลิณารีบแทรกขึ้นทันที “แต่ไปกันแค่สองสามคนจะสนุกกว่านะคะคุณณดล”
“ไม่หรอก ไปกันเยอะๆ สิสนุกดี” ณดลท้วง แล้วหันมาถามเมธาวี “หรือเมว่าไง”
“เอ่อ...ก็แล้วแต่พี่ณดลดีกว่าค่ะ” เมธาวีตอบ
“งั้นเอาตามนี้นะ ไปกันทั้งหมดนั่นแหละ เม อย่าลืมชวนเพื่อนๆ ไปด้วยล่ะ” ณดลหันไปพูดกับนลิณา “เอาเป็นอย่างงี้โอเคมั้ย”
นลิณากับเกตนิการ์รู้สึกเซ็ง ทั้งสองหันมองหน้ากันแล้วหันมาพยักหน้าอย่างจำใจ
“ก็..โอเคค่ะ” นลิณาฝืนใจพูด “ไปกันเยอะๆ ก็คงจะสนุกดี อ้อ...เดี๋ยวก่อนค่ะ มีอีกเรื่องนึง คือว่า...เกดเค้ามีเรื่องสำคัญอยากจะบอกพี่ณดลน่ะ”
“เหรอ?” ณดลหันมาทางเกตนิการ์ “เรื่องสำคัญอะไรล่ะ”
เกตนิการ์งง “นั่นสิ!? เรื่องสำคัญอะไร??” เกตนิการ์หันมองนลิณาอย่างงงๆ
“ก็เรื่องที่พี่พายัพโทรมาไง” นลิณาเตือนความจำ
“อ๋อ...ใช่ๆๆ” เกตนิการ์นึกได้
“พี่พายัพโทรหาเกดเหรอ พี่เค้ามีเรื่องอะไร” ณดลถาม
“ก็...เรื่องเกี่ยวกับอะนาน่ะค่ะพี่” เกตนิการ์บอก
ณดลกับเมธาวีรู้สึกสนใจขึ้นมาทันที

อีกด้านหนึ่ง อนามิกากำลังเดินคุยกับณภัทรมาตามทางเดินเส้นที่มองเห็นแสงสียามค่ำคืนของลอนดอน
“ฉันสุดจะทนกับพี่ชายนายแล้วนะ” อนามิกาโพล่งออกมา “แล้วนี่ฉันจะต้องแกล้งเป็นเมียท้องอ่อนๆ ของนายไปอีกนานแค่ไหน ฉันไม่เอาแล้วได้มั้ย”
“ใจเย็นสิอะนา ตอนนี้ทุกอย่างกำลังไปได้สวยนะ ฉันต้องชมที่เธอสวมบทบาทซะเนียนจนพี่ณดลเชื่อสนิทเลย”ณภัทรบอก
“นายก็แฮปปี้สิ เพราะจะได้ไม่ต้องกลับไปหมั้นกับสาวที่แม่จัดให้ แต่ฉันนี่ดิ อยู่ใกล้พี่ชายนายมากๆ ฉันจะเส้นประสาทแตกอยู่แล้ว”
“อดทนอีกนิดน่า ฉันว่าไม่เกินอาทิตย์นี้ พี่ณดลก็คงจะกลับเมืองไทยแล้ว ส่วนเรื่องค่าจ้าง เธอไม่ต้องห่วงนะ ฉันจ่ายแน่ หรือถ้าเธออยากจะให้ฉันช่วยอะไรเป็นการตอบแทนบ้างก็บอกมาได้เลย”
อนามิกาสนใจขึ้นมาทันที “พูดจริงรึเปล่า” อนามิกาหยุดเดินแล้วหันไปมองหน้าณภัทรด้วยท่าทางที่บ่งบอกว่าเป็นเรื่องสำคัญ
“จริงสิ มีอะไรเหรอ”
“คือ...เอ่อ...ฉัน...ฉันจะพูดยังไงดีล่ะ” อนามิกาอึกอัก
“ก็พูดมาตรงๆ อย่างที่ใจคิดแหละอะนา เราก็เป็นเพื่อนสนิทกันซะขนาดนี้ มีอะไรก็พูดออกมาได้เลย”
“คือ...ฉันอยากให้นายช่วย...ช่วยดูแลเมน่ะ”
ณภัทรตกใจ “อ้าว!ทำไมต้องดูแลด้วยล่ะ หรือว่าเมธาวีไม่สบาย เมธาวีเป็นอะไรมากเหรอเปล่า?”
“ไม่ใช่อย่างงั้น คนเราไม่ต้องรอให้ป่วยมันก็ดูแลกันได้ไม่ใช่เหรอ คือตอนนี้ฉันต้องมาแกล้งอยู่กับนาย แถมยังต้องคอยเทคแคร์พี่ชายนายอีก ฉันก็เลยห่วงว่ายัยเมจะไม่มีใครดูแล”
“อ๋อ...เข้าใจแล้ว ได้สิ ฉันจะคอยดูแล เทคแคร์เมอย่างดีเลย แต่เธอก็อดทนกับพี่ชายฉันอีกนิดนะ”
อนามิกาเริ่มยิ้มออก “ก็ได้ งั้นตามนี้นะ นายดูแลเม ส่วนฉันจะดูแลพี่ชายนายเอง”
“ได้เลย” ณภัทรรับคำ
ณภัทรยกมือขึ้นมาให้เพื่อนจับ อนามิกาจับมือณภัทรเหมือนเป็นการสัญญาระหว่างเพื่อน

ณดล อนามิกา ณภัทร นลิณา และเกตนิการ์กำลังรอขึ้นรถไฟอยู่ที่สถานีรถไฟลอนดอน ต่างคนต่างมีกระเป๋าสัมภาระของตน อนามิกากับณภัทรดูจะมีกังวลจึงพยายามชะเง้อมองหา เมธาวีกับอัธวุธที่ยังไม่มา
นลิณาพูดกับณดล “นลิณาว่าเราขึ้นรถไฟกันเลยดีกว่าค่ะ นี่สถานีรถไฟลอนดอนนะ ไม่ใช่คิวรถตู้ที่เมืองไทย เค้าจะได้รอคนเต็มก่อนแล้วรถถึงจะออกน่ะ” แล้วนลิณาก็หันพูดใส่อนามิกา “เพื่อนใครก็ไม่รู้ ไม่รู้จักตรงต่อเวลา”
อนามิกาชักสีหน้าไม่พอใจ ณภัทรเห็นก็รีบยกมือปรามอนามิกาไว้
“งั้นนีน่าขึ้นไปรอบนรถไฟก่อนเลยดีกว่านะ” ณดลบอก
นลิณายิ้มเยาะอนามิกา แล้วหันมาควงแขนณดล “ค่ะ เราไปกันเหอะค่ะคุณณดล”
“เปล่า...ผมจะรอตรงนี้ คุณขึ้นไปรอบนรถไฟก่อน..ไป” ณดลบอก
อนามิกาขำพรวดออกมา นลิณาหันมองอย่างไม่พอใจ อนามิกาหันไป เห็นเพื่อนมาแล้วก็ร้องขึ้นด้วยความดีใจ
“นั่นไง! มากันแล้ว”
ทุกคนหันมองตามอนามิกา ทุกคนเห็นอัธวุธแต่งตัวเว่อร์อลังการพร้อมกับหอบหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าใบโตลายแสบสันต์เดินกรีดกรายยิ้มแย้มโบกมือทักทายเหมือนเป็นเซเล็บบริตี้ระดับโลก โดยมีเมธาวีเดินตามมาอย่างเขินอายกับความเว่อร์ของเพื่อน
“Sorry I’m late นะฮ๊า” อัธวุธหันไปที่เมธาวี “ไงล่ะ พอฉันมา ฝร่ง ฝรั่ง ยังหลีกทางให้มันรู้กันบ้างว่าใครมา เอ้า...รออะไรกันอยู่ล่ะจ๊ะ ไป..Let’s go!”
อัธวุธเดินนำไป ทุกคนส่ายหัวเซ็งๆ แต่ก็เดินตามกันไป

รถไฟแล่นออกนอกลอนดอนผ่านวิวทิวทัศน์สวยงามตั้งแต่เมืองไปจนถึงธรรมชาติของประเทศอังกฤษ แต่ละคนที่นั่งรถไฟมานานเริ่มเพลียและง่วง
ณภัทรกับอนามิกานั่งอยู่ข้างๆ กัน อนามิกาเอียงคอหลับซบไหล่ของณภัทร ณดลมองทั้งคู่แล้วยิ้มอย่างสบายใจที่เห็นน้องชายตนกับแฟนสาวดูรักกันดี แต่แล้วเขาก็ต้องสะดุ้งเมื่อศีรษะของนลิณาที่นั่งข้างๆ เอียงมาซบไหล่ของเขา เกตนิการ์ที่อยู่ข้างๆ ขยิบตากับนลิณาอย่างรู้กันกับนลิณาที่แกล้งทำเป็นหลับ
เมธาวีนั่งสัปหงก ส่วนอัธวุธนอนหลับอ้าปากหวออย่างไม่แคร์สื่อ รถไฟวิ่งผ่านวิวข้างทางสวยๆ ไปยังจุดหมาย

หน้าโรงแรมที่พักนอกเมืองมีบรรยากาศชนบทของอังกฤษ ทุกคนต่างหอบหิ้วสัมภาระของตนเดินเข้ามา ณดลหยุดยืนดูที่พักอย่างชอบใจแล้วหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมาเล็งหามุมถ่าย ทันใดนั้นนลิณาก็โผล่เข้ามาโพสต์ท่าในเฟรมที่ณดลกำลังจะถ่าย
“สวยใช่มั้ยล่ะคะ นีน่าเป็นคนจองที่นี่เองนะคะ คุณณดลชอบมั้ยคะ” นลิณาถาม
“ชอบสิ..เข้าใจเลือกนะ” ณดลชม
“งั้นนีน่าว่าเรารีบขึ้นไปดูห้องพักกันดีกว่า นีน่าภูมิใจเสนอเลยหละค่ะ”
นลิณาดึงแขนณดลให้เดินเข้าบริเวณโรงแรมที่พักไป

ประตูที่พักถูกเปิดเข้าโดยพนักงานโรงแรม นลิณาเดินนำเข้ามาผายมือเฉิดฉายเหมือนเป็นไกด์ทัวร์ โดยมีณดล เกตนิการ์ ณภัทร อนามิกา เมธาวี และอัธวุธ ทยอยตามเข้ามาตามลำดับ
“เป็นยังไงล่ะคะ ห้องพักหรู ได้บรรยกาศชนบทผู้ดีแบบอังกริ๊ดด...อังกฤษ”
ทุกคนเดินเข้ามามองไปรอบๆ อย่างพึงพอใจเพราะเห็นการตกแต่งภายในที่ดูดีอย่างชนบทผู้ดีอังกฤษ
“โอ้โห..มองข้างนอกไม่น่าเชื่อเลยนะว่าภายในห้องพักจะสวยขนาดนี้” ณภัทรชม
“ใช่...น่าอยู่มากๆ” ณดลพอใจ
อัธวุธเดินไปกระโจนนอนแผ่สบายบนเตียง อนามิกากับเมธาวีก็เดินไปนั่งบนเตียง
“โห...น่านอนที่สุดเลย” อัธวุธบอก
“นี่...ยัยอาร์ท นั่งรถไฟมาตั้งไกล จะไม่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเรอะ” อนามิกาดุ
นลิณากับเกตนิการ์เดินตรงเข้ามา
“เอ่อ...ขอโทษนะ ลุกขึ้นก่อนได้มั้ยอาร์ท อะนากับเมด้วย ลุกขึ้นก่อน” เกตนิการ์บอก
ทุกคนลุกจากเตียงอย่างงงๆ
“มีอะไรเหรอ” เมธาวีมองเกตนิการ์กับนลิณาอย่างงงๆ
“พวกเธอเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่ายะ นี่ห้องคุณณดลย่ะ เธอสามคนไม่ได้พักห้องนี้หรอกนะยะ” นลิณาบอก
“อ้าว!..ถ้าไม่ใช่ห้องนี้...แล้วห้องไหนเหรอ?” อนามิกาสงสัย

ประตูห้องพักที่แสนซอมซ่อถูกเปิดเข้ามาโดยพนักงานโรงแรม นลิณากับเกตนิการ์ยืนยิ้มเยาะอย่างสะใจ
“นี่ย่ะ ห้องพักของเธอทั้งสามคน”
อนามิกา เมธาวี และอัธวุธก้าวเข้ามาในห้อง ทั้งสามมองเข้าไปในห้องด้วยสีหน้าเหวอ ทั้งสามมองสำรวจภายในห้องก็เห็นแต่ความเก่า ความทรุดโทรมของห้องซึ่งดูเป็นห้องเก็บของรกร้าง มากกว่าจะเป็นห้องนอน
“นี่เธอจองห้องนี้ให้พวกเรานอนเนี่ยนะ” อนามิกาถาม
เกตนิการ์แสร้งทำเป็นพูดสุภาพ “ต้องขอโทษพวกเธอด้วย เผอิญตอนที่จอง ห้องพักมันเต็มพอดี แต่ก็ยังโชคดีที่มีห้องนี้ว่าง”
“โชคดีเนี่ยนะ นี่เรียกว่าโชคดีแล้วเรอะ” อัธวุธถามย้ำ
“คืออันที่จริงมันเป็นห้องของพนักงานทำความสะอาดน่ะ แต่ฉันว่ามันก็เหมาะกับเธอสามคนแล้วหละ” นลิณาบอก
อนามิกาไม่พอใจ “เธอว่าไงนะนีน่า อยากมีเรื่องกับพวกฉันใช่มั้ย”
“เอ๊ะ...อะไรของเธอยะ ฉันอุตส่าห์เป็นธุระจองตั๋วรถไฟ จองที่พักให้ ถ้าเรื่องมากนัก ก็คืนห้องพักเค้า แล้วออกไปหาที่นอนเองสิ”
“ฉันรู้นะ ว่าเธอจงใจหาเรื่องพวกฉัน” อนามิกาฉุน
เมธาวีรีบปราม “ช่างเหอะน่าพี่อะนา เราอยู่แค่สองคืน ทนๆ นอนไปก็คงไม่หนักหนาหรอก”
“งั้นก็รีบๆ ล้างหน้าล้างตา แล้วไปเจอกันตรงลานจอดรถนะยะ ยังมีเวลาอีกหลายชั่วโมงก่อนค่ำที่เราจะได้ขับรถเที่ยวกัน” นลิณาบอก
“พวกเธอไม่ต้องห่วงนะ นีน่าเค้าจัดการหารถเช่าให้พวกเธอทุกคนแล้ว เห็นมั้ยว่าเพื่อนฉันก็มีน้ำใจกับพวกเธอเหมือนกันนะจ๊ะ” เกตนิการ์บอก
อัธวุธประชด “อุ๊ยตาย! นี่พวกเราต้องกล่าวขอบคุณพร้อมๆ กันมั้ยจ๊ะเนี่ย”
นลิณาหันมาตวาดใส่อัธวุธ “ไม่ต้องมาประชดฉันนะ” แล้วเธอก็หันมาพูดกับอนามิกาและเมธาวี “แล้วไปเจอกันที่ลานจอดรถนะยะ”

อนามิกา เมธาวี และอัธวุธยืนอึ้งมองรถยนต์เก่าบุโรทั่ง สภาพโทรมมากๆ ที่จอดอยู่ที่ลานจอดรถ
อนามิกาพูดกับนลิณา “นี่เธออย่าบอกนะว่า...”
นลิณาชูกุญแจรถขึ้นมา “คันนี้แหละจ้ะ ของพวกเธอ”
อนามิกาปราดเข้าไปยืนประจัญหน้ากับนลิณา
“นี่มันจะมากไปแล้วนะ เธอจะจงใจแกล้งพวกเราไปถึงไหน”
“อะไรอีกล่ะ ฉันอุตส่าห์หารถเช่าให้ แทนที่จะขอบคุณ ยังจะมาโวยฉัน” นลิณาทำเป็นไม่พอใจ
“ก็ดูรถที่เธอเอามาสิ เราจะขับรถเที่ยวนอกเมืองกัน แล้วดูซิ เธอเอารถสภาพนี้มาให้ฉัน นี่จะให้พวกเราไปเที่ยว หรือให้ไปเสี่ยงตายกันแน่ยะ”
“นั่นสิ ดูสภาพเข้า นี่เศษเหล็กหรือว่ารถยะ ขาไป วิ่งสี่ล้อ ไม่รู้ขากลับจะเหลือกลับมากี่ล้อ” อัธวุธเซ็ง
“เอ่อ...คืองี้นะ” เกตนิการ์อธิบาย “ฉันขอชี้แจงนิด คือว่านีน่าเค้าก็ติดต่อรถเช่าให้พวกเธอแล้ว แต่มันเหลือแค่คันนี้จริงๆ”
“แล้วไหนล่ะ รถอีกคันของพวกเธอน่ะ” เมธาวีถาม
เกตนิการ์กับนลิณาหันไปทางหนึ่ง “โน่นแน่ะ”
ทุกคนหันตามไปดู เห็นรถคันใหญ่โตนั่งสบาย สภาพใหม่เอี่ยมจอดอยู่
“อุ๊ยตาย! ไม่ค่อยจะแตกต่างกันเลยนะยะ” อัธวุธประชด
“โห...ยังกะเพิ่งถอยออกมาจากโชว์รูม” เมธาวีตกใจ
“ใช่...แต่คันของเรา ยังกะเพิ่งถอยออกมาจากเชียงกง” อนามิกาย้ำ
“ก็ช่วยไม่ได้นี่ยะ บอกแล้วไงว่ารถเช่าเค้ามีเหลือแค่นี้ ถ้าพวกเธอไม่เอา ก็เดินตามพวกเราไปแล้วกัน” นลิณาบอก
“ย่ะ..นี่ฉันควรเอาสติ๊กเกอร์คำว่า ดีกว่าเดิน มาแปะที่ท้ายรถซะดีมั้ย” อัธวุธถาม
“แต่ยังไงฉันก็ไม่ขับนะคันเนี้ย” อนามิกาทำท่ารังเกียจ
“ฉันก็ไม่” อัธวุธบอกแล้วหันไปมองเมธาวี
เมธาวีรีบปฏิเสธ “ไม่ต้องมามองที่เมเลย”
ทันใดนั้นเสียงณดลก็ดังขึ้น “งั้นฉันขับเอง”
ทุกคนหันมามองณดลเป็นตาเดียว
“เอ่อ...คุณณดลว่าไงนะคะ” นลิณาทวน
ณดลพูดกับนลิณา “ผมจะเป็นคนขับรถคันนี้เอง” ณดลเข้ามาหยิบกุญแจจากนลิณา “เอาหละ..มีใครอยากไปคันนี้บ้าง”
“ผมต้องขับคันนี้น่ะพี่” ณภัทรซึ่งยืนอยู่ที่รถสภาพใหม่บอก “งั้นใครไปคันนี้ก็รีบขึ้นรถเลย”
อัธวุธ เมธาวี นลิณา และเกตนิการ์รีบเผ่นขึ้นรถคันใหม่เอี่ยม ทิ้งให้อนามิกายืนเด๋ออยู่กับณดล อนามิกาหันไปมองณดลแล้วนึกขึ้นได้ก็รีบขยับจะขึ้นรถคันใหม่ แต่นลิณาดึงประตูไว้
“คันนี้เต็มแล้วย่ะ” นลิณาปิดประตูใส่ทันที
อนามิกาหน้าแหยแล้วหันไปมองณดล
“นี่ฉันต้องไปกับอีตาณดลจริงๆ ใช่มั้ย”
อนามิกาทำหน้าตาทุกข์ระทม

นลิณา เกตนิการ์และอัธวุธนั่งเบาะหลัง โดยณภัทรเป็นคนขับและมีเมธาวีนั่งอยู่ข้างๆ เกตนิการ์ยกมือป้องปากกระซิบกับนลิณา
“ทำไมเมื่อกี้เธอถึงไม่ไปกับคุณณดลล่ะ...หา อุตส่าห์มีโอกาสแล้วนะ”
นลิณาป้องปากกระซิบตอบอย่างระมัดระวัง “ก็ดูสภาพรถสิเกด ขนาดร้านรถเช่าเค้ายังไม่อยากปล่อยให้เช่าเลย เค้าห่วงว่าสภาพรถมันแย่ กลัวจะไม่ปลอดภัย”
“ซุบซิบจุ๊บจิ๊บอะไรกันอยู่เหรอยะ” อัธวุธแทรกขึ้น
นลิณาตวาดใส่อัธวุธ “ไม่ใช่เรื่องของเธอ ไม่รู้ซักเรื่องได้มั้ยเราน่ะ”

ณดลกำลังขับรถคันเก่า โดยมีอนามิกานั่งกางแผนที่อยู่ข้างๆ ณดลเหล่มองอนามิกาอย่างครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงเอ่ยขึ้น
“เผอิญฉันรู้อะไรมาเรื่องนึง ก็เลยอยากถามเธอซักหน่อย”
อนามิกาประชด “เดาว่าถ้าเกี่ยวกับฉัน คงไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ”
“ถูกต้อง รู้ตัวก็ดีแล้ว”
อนามิกาหันมาจ้องเขม็ง “คุณณดลมีอะไรไม่ทราบคะ”
“พี่สาวเธอ...ที่ชื่อธัญญา...เป็นนักร้องในคลับสำหรับผู้ชายใช่มั้ย”
อนามิกาประหลาดใจ “พี่ณดลรู้ได้ยังไงคะ”
“ก็เพราะคลับที่ว่านั่น มันอยู่ในบริเวณโครงการของฉันน่ะสิ คลับนี้เป็นของพี่พายัพ พี่ชายของเกตนิการ์น่ะ”
“ก็...แล้วไงเหรอคะ มีพี่สาวเป็นนักร้องแล้วผิดตรงไหน”
“ก็เปล่า ไม่มีอะไร แต่อย่างน้อยมันก็บอกได้ว่า พื้นฐานครอบครัวของเธอเป็นยังไง”
อนามิกาไม่พอใจ “อ้าว..ไหงพูดแบบนี้ล่ะ”
“คนพี่...เป็นนักร้องกลางคืน ร้องเพลงยั่วยวนผู้ชาย ส่วนเธอ..คนน้อง ก็เป็นประเภทที่ยอมปล่อยให้ตัวเองท้องเพื่อจะจับผู้ชาย” ณดลโพล่งขึ้น

อนามิกาหันขวับไปมองหน้าณดลอย่างโกรธจัด
รถเช่าคันหรูที่ณภัทรเป็นคนขับค่อยๆ ชะลอแล้วจอดหน้าบริเวณปราสาทเก่านอกเมืองลอนดอน ทุกคนทยอยลงจากรถ ณภัทร เมธาวี และอัธวุธเงยหน้ามองปราสาทเก่าหลังนั้นอย่างตื่นตา

“สวยจังเลยนะ นี่ถ้าพี่ณดลไม่ได้มาหาพวกเรา ก็คงไม่ได้มาเที่ยวที่นี่กัน” เมธาวีแหงนมองอย่างประทับใจ
“อย่างน้อยก็เป็นข้อดีที่พี่ณดลมาใช่มั้ย” ณภัทรถาม
“ย่ะ! เป็นข้อดี แล้วก็เป็น ข้อเดียว ด้วย” อัธวุธตอบ
นลิณากับเกตนิการ์ชะเง้อมองไปทางถนน
“แล้วนี่ทำไมคุณณดลยังไม่มาอีกนะ รู้งี้ยอมเสี่ยงตาย นั่งรถบุโรทั่งคันนั้นกับคุณณดลดีกว่า” นลิณาบ่น
“ทำไมจ๊ะ เกิดหึงยัยอะนาขึ้นมาเหรอ กลัวฝากปลาย่างไว้กะแมวว่างั้น” เกตนิการ์ถาม
“บ้า! ปลาย่างกะแมวอะไรยะ คนอย่างคุณณดลไม่มีวันกินเมียน้องชายตัวเองหรอกย่ะไหนจะท้องอ่อนๆ อีกตะหาก แต่ฉันก็แค่อดอิจฉามันไม่ได้”
“อิจฉาทำไม”
“ก็อิจฉาที่มันได้นั่งข้างๆ คุณณดลน่ะสิ มีผู้ชายที่เพอร์เฟคท์อย่างคุณณดลมาคอยขับรถให้ ป่านนี้มันคงจะมีความสุข ระริกระรี้อยู่แน่ๆ” นลิณาทำท่าอิจฉา

อนามิกากำลังนั่งหน้ายักษ์เพราะโกรธจัด เธอเหวี่ยงแผนที่ในมือลงไปที่เบาะรถแล้วโวยเสียงดังใส่ณดล
“ว่าไงนะ! หา? ไหนถ้าคุณแน่จริงลองพูดอีกครั้งซิ”
“ก็ได้! พี่สาวเธอทำงานกลางคืน ร้องเพลงยั่วผู้ชาย เธอเองก็ยอมปล่อยให้ท้องหวังจะจับน้องฉัน” ณดลพูดเสียงดัง
ณดลพูดไม่ทันจบก็โดนอนามิกาหันมาตบหน้าฉาดใหญ่ ณดลร้องเสียงหลง พอหันไปมองถนนอีกทีก็พบว่ารถเป๋เข้าข้างทาง ณดลรีบดึงพวงมาลัยหักเลี้ยวกลับสุดตัว
“เฮ้ย!!... / กรี๊ดดด!” ณดลกับอนามิการ้องเสียงหลง

รถเช่าเก่าๆ ที่ณดลขับมาหักออกไปนอกถนนที่ดูเวิ้งว้างห่างไกลผู้คน ข้างทางเป็นพื้นขรุขระ รถแล่นไปข้างหน้าเรื่อยๆ ก่อนจะมาหยุดเมื่อชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่ ตามมาด้วยควันสีขาวที่พวยพุ่งออกจากกระโปรงรถ อนามิกากับณดลตาโตด้วยความตื่นเต้นที่เพิ่งรอดตาย
ณดลตั้งสติได้ก่อนก็หันไปโวยอนามิกา “รู้ตัวรึเปล่าว่าทำอะไรลงไป อยากตายเหรอถึงตบหน้าฉันตอนกำลังขับรถน่ะ”
“ก็คุณอยากดูถูกฉันกับพี่สาวก่อนทำไม”
ณดลเดินออกมาจากรถอย่างหัวเสีย เขาเดินไปดูที่หน้ารถ อนามิกาก้าวลงจากรถ ณดลเดินย้อนกลับมาหาอนามิกา
“แล้วจะทำไงกันล่ะทีนี้” ณดลหันไปมองอนามิกาด้วยสายตาตำหนิ
“ไม่ต้องมามองฉันแบบนี้เลยนะ แล้วก็ไม่ต้องมาโทษฉันด้วย”
“ไม่โทษเธอแล้วจะโทษใครล่ะ ถ้าเธอไม่ห่วงชีวิตตัวเอง ก็ควรจะห่วงชีวิตฉัน แล้วก็ลูกในท้องของเธอบ้าง เข้าใจมั้ย หัดคิดซะบ้าง โธ่เว้ย....” ณดลหงุดหงิด
ณดลเดินงุ่นง่านเพราะไม่รู้จะระบายความหงุดหงิดกับอะไร แล้วเขาก็เตะล้อรถไปเต็มแรง แต่ก็ต้องสะดุ้งโหยงเพราะเจ็บเท้า “โอ๊ย!!...อูย...”
อนามิกายิ้มสะใจ แต่พอหันไปเจอณดลตีหน้ายักษ์ใส่ก็รีบหุบยิ้ม
ณดลเดินอย่างหัวเสียมายืนชะเง้อมองหารถคันอื่นบนท้องถนน
“แล้วดูซิ มองไปสุดลูกหูลูกตาก็ไม่เห็นรถซักคัน บ้านช่องผู้คนก็ไม่เห็นมี นี่เธอดูแผนที่ยังไง บอกทางมั่วจนพากันมาหลงทางเนี่ย” ณดลบ่น
“เอ๊า! ก็มาด้วยกัน ไหงโทษฉันคนเดียวล่ะ ถ้าคุณฉลาดนัก แล้วจะหลงตามฉันมาทำไม”
“ยังจะมาปากดีอีก นี่เธอจะไม่ยอมรับผิดเลยใช่มั้ย รีบขอโทษฉันมาเดี๋ยวนี้”
“แล้วทีคุณพูดจาดูถูกฉันกับพี่สาวล่ะ คุณนั่นแหละต้องขอโทษฉันก่อน”
ณดลโกรธจนหน้าแดงแต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง เขาหันมาทำท่าเหมือนจะขย้ำอนามิกาให้ตายคามือ แต่แล้วก็ผละออกไป
อนามิกามองตามไปอย่างงงๆ “นั่นคุณจะไปไหน”
ณดลหยุดเดินแล้วหันมาตอบ “ก็ไปตามคนมาช่วยน่ะสิ”
“แต่เรายืนรอโบกรถที่ผ่านมาแถวนี้ก็ได้นี่”
“แล้วตั้งแต่เรายืนอยู่ตรงเนี้ย เธอเห็นรถผ่านมาซักคันรึยัง? หา?”
อนามิกาหน้าแหย เพราะไม่เห็นรถผ่านมาสักคัน
“เธออยากรอ ก็รออยู่นี่ไปคนเดียวแล้วกัน” ณดลหันหน้าแล้วเดินต่อ
อนามิกาละล้าละลัง เธอชั่งใจสักครู่แล้วก็รีบเร่งฝีเท้าก้าวตามณดลไป
“เดี๋ยว! คุณ...ฉันไปด้วย”

ณภัทรกับเมธาวีเดินชมความงามในปราสาทเก่าด้วยกัน
“ข้างในปราสาทนี่ก็สวยไม่แพ้ข้างนอกเลยนะ ดูโบราณ แล้วก็ดูขลังๆ ดี” ณภัทรเอ่ย
“แต่จะว่าไป บรรยากาศมันก็ออกจะน่ากลัวๆ อยู่เหมือนกันนะ” เมธาวีชักกลัว
“อืม...ก็ปราสาทเก่าอายุเป็นร้อยๆ ปี มันก็ต้องมีประวัติศาสตร์ของมันแหละนะ คงเคยมีคนเคยอยู่ เคยตายที่นี่มาแล้วหลายรุ่น”
เมธาวีนึกกลัวขึ้นมา “แล้วจะมาพูดอะไรตอนนี้ คนยิ่งกลัวๆ อยู่”
พูดจบเมธาวีก็เหลียวไปข้างหลัง แล้วเธอก็ร้องกรี๊ดด้วยความตกใจ เพราะเห็นเกตนิการ์มายืนอยู่ใกล้ๆ จนหน้าแทบจะชนกับหน้าของเธอ
เมธาวีผวาไปกอดณภัทรพร้อมกับเอาหน้าซุกไปที่อกของณภัทรแล้วหลับตาปี๋ด้วยความกลัว ณภัทรตาโตเพราะทำอะไรไม่ถูก เขายกมือเก้ๆ กังๆ โอบเบาๆ เพื่อปลอบเมธาวี เกตนิการ์ เห็นดังนั้นก็ตาลุกด้วยความอิจฉาจนทนไม่ได้ต้องดึงเมธาวีออกมา
“นี่...ยัยเม ฉันเองจ้ะ ไม่ใช่ผี” เกตนิการ์บอก
เมธาวีหันมา “อ้าว..เกด” พอหันไปเมธาวีก็รู้ตัวว่ากอดณภัทรอยู่จึงรีบผละออกมาอธิบายกับณภัทร “เอ่อ...โทษทีนะ เมไม่ได้ตั้งใจ คือเมกำลังกลัวๆ อยู่ พอหันมาเจอเกดพอดี ก็เลยตกใจ แล้วทีนี้เมก็เลย..”
“พอๆ ไม่ต้องอธิบายก็ได้เมธาวี” ณภัทรหันมาหาเกตนิการ์ “เกดมีอะไรรึเปล่า”
“ก็เห็นอาร์ทเค้าตามหาเมอยู่ ฉันเลยมาตามให้น่ะ”
“อ้าว...เหรอ แล้วอาร์ทอยู่ไหนล่ะ” เมธาวีถาม
เกตนิการ์ชี้ไปด้านหนึ่ง “อยู่ด้านโน้นน่ะจ้ะ”
“ขอบคุณมากนะเกด” เมธาวีเดินออกไป
เกตนิการ์มองตามแล้วก็ยิ้มอย่างมีเลศนัย

อัธวุธเดินเฉิดฉายชมปราสาทเก่าอยู่ที่มุมหนึ่ง สักพักเมธาวีโผเข้ามาเกาะที่หลัง อัธวุธตกใจสะดุ้งโหยง
“ว๊าย!..มาซะแรงเลย” อัธวุธหันมามองหน้า “มีอะไรเหรอยะ?”
“พี่อาร์ทแหละ มีอะไร?” เมธาวีถามกลับ
“นี่..แกเพี้ยนป่ะยะยัยเมธาวี มีอะไรก็ว่ามา”
“พี่สิเพี้ยน ก็พี่อาร์ทเป็นคนเรียกให้เมมาหา แล้วยังจะมาถามเมว่ามีอะไร”
“ฉันเนี่ยนะ เรียกแก” อัธวุธงง
“ก็ใช่น่ะสิ ก็เกดบอกเมว่าพี่ตามหาเมอยู่”
“จะบ้าเหรอ ฉันเปล่า แล้วฉันก็ยังไม่ได้พูดอะไรกับยัยเกดซักคำ” อัธวุธบอก
“เอ๊ะ...แล้วทำไมเกดเค้าถึงบอกเมอย่างงั้นล่ะ”
“นั่นสิ มีจุดประสงค์อะไรกันแน่นะยัยเกด”
อัธวุธครุ่นคิดด้วยอาการระแวงและไม่ไว้ใจ

สีหน้าของเกตนิการ์ฉายแววเจ้าเล่ห์ เธอเดินตามหลังณภัทรมาติดๆ ในบริเวณลับตาคนภายในปราสาทเก่าแห่งนั้น จู่ๆ เกตนิการ์ก็แกล้งหกล้มแล้วถลาเข้ากอดรวบร่างของณภัทรจากทางด้านหลัง “ว๊าย...”
ณภัทรตกใจรีบหันกลับมาประคองเกตนิการ์
“เกด เป็นอะไรหรือเปล่า”
“มะ..ไม่เป็นไร ฉันโอเค”
ณภัทรจะขยับออกจากวงแขนของเกตนิการ์ แต่เกตนิการ์กลับยิ่งกอดรัดจนใบหน้าของทั้งสองแทบจะแนบชิดกัน เกตนิการ์มองณภัทรอย่างพิศวาส ขณะที่ณภัทรกลับมองอย่างงงๆ ว่าเกตนิการ์มองตนแบบนั้นทำไม
เกตนิการ์ค่อยๆ เลื่อนใบหน้าเข้าใกล้หน้าของณภัทร แล้วเกตนิการ์ก็ประทับริมฝีปากจุมพิตที่ปากของณภัทรดื้อๆ ณภัทรทั้งช็อก ทั้งงง แล้วเขาก็รีบผละออกมา
“เกด..นี่เธอทำอะไรของเธอน่ะ”
“เอ่อ..” เกตนิการ์แสร้งทำเป็นรู้สึกผิด “..คือ..ฉันขอโทษ...อย่าโกรธฉันนะภัทร”
“เปล่า! ไม่ได้โกรธ แต่ว่า...นี่มันอะไรกัน ฉันไม่เข้าใจ”
“ฉันเป็นผู้หญิง จะให้ฉันพูดยังไง”
“พูดยังไงเหรอ...ก็พูดออกมาอย่างที่เธอคิดน่ะสิ ที่เธอทำไปเนี่ย เธอคิดยังไงกับฉันเหรอเกด”
“ฉัน...ก็...ฉันก็รู้สึกดีกับนายน่ะสิ”
ณภัทรตกใจร้องเสียงหลง “เฮ้ย!”
“ทำไมต้องตกใจขนาดนั้นด้วยล่ะ ฉันมันน่าเกลียดน่ากลัวนักรึไง”
“ไม่ใช่อย่างงั้น แต่ฉันเข้าใจมาตลอดว่าเธอคอยกีดกันฉันกับอะนา เพราะอยากจะช่วยน้องสาวของนีน่า”
“เปล่า...ฉันทำเพื่อตัวเองต่างหาก”
“แต่นีน่าเป็นเพื่อนสนิทของเธอนะเกด ถ้าเค้ารู้ว่าเธอรู้สึกยังไงกับฉัน มันจะไม่เป็นเรื่องเหรอ”
“ก็อย่าให้เค้ารู้สิ นี่ก็มีเรารู้กันแค่สองคนนี่ไง”
ณภัทรกุมขมับ “โอ๊ย...ทำไมมันชุลมุนแบบนี้” ณภัทรหันมาพูดกับเกตนิการ์ “มันจะดีเหรอเกด ฉันว่าทางที่ดีเราควรเป็นเพื่อนกันไปมันก็ดีอยู่แล้ว”
“ก็ไม่เป็นไรนี่ ถ้านายจะคิดกับฉันแค่เพื่อน” เกตนิการ์พูดเน้นเสียง “แต่ตัวฉันเองชอบนายไปแล้ว และคงกลับไปรู้สึกแบบเพื่อนอีกไม่ได้แล้วหละ”
ณภัทรทั้งอึ้ง ทั้งอึดอัดจนทำอะไรไม่ถูก

ณดลกับอนามิกาเดินมาตามถนนชานเมืองที่เวิ้งว้างและดูเป็นชนบทที่ห่างไกลความเจริญ ทั้งสองชักเหนื่อยและเมื่อยล้า พอเดินพ้นหัวโค้งทั้งสองก็เห็นโบสถ์เก่าอยู่ข้างหน้าไกลๆ ทั้งสองจึงเริ่มยิ้มออก
“มีโบสถ์อยู่ตรงนั้นนี่ โล่งอกไปที นึกว่าจะต้องเดินกันจนข้ามคืนซะแล้ว” ณดลพูด
“หิวน้ำจะตายอยู่แล้ว” อนามิกาเร่งฝีเท้ากึ่งเดินกึ่งวิ่งตรงไปทันที
ณดลมองตามอย่างเซ็งๆ “ไม่มีรอกันบ้างเล๊ย..คนเรา”
แล้วณดลก็เดินตามไป

อนามิกาเดินเร่งฝีเท้ามาบริเวณหน้าโบสถ์เก่า โดยที่ณดลเร่งฝีเท้าตามมาจนทัน
“หวังว่าข้างในคงจะมีใครซักคนที่พอช่วยเราได้นะ” อนามิกาเปรย
“ต้องมีสิ ยังไงก็ต้องมีคนเยอะแยะมากมายในโบสถ์” ณดลบอก
แล้วอนามิกาก็ผลักประตูโบสถ์เข้าไป

อนามิกาเดินนำณดลเข้ามาในโบสถ์ แล้วทั้งสองก็ยืนอึ้งกับภาพที่เห็น เพราะหลังจากกวาดสายตาไปรอบๆ ก็เห็นว่าภายในโบสถ์ไม่มีใครอยู่เลย ทั้งสองหน้าเสียด้วยความผิดหวัง ณดลหันมาพูดกับอนามิกา
“นั่นสินะ ก็ใครเค้าจะมาเข้าโบสถ์กันตอนเย็นๆ อย่างงี้”
“อย่ามาทำพูดหน่อยเลย ตะกี้คุณเพิ่งบอกไปหยกๆ ว่าต้องมีคนเยอะแยะไม่ใช่เหรอ”
“ก็พอกันแหละน่า เธอก็ไม่ได้ดีไปกว่าฉันนักหรอก” พูดจบณดลก็ชะงักเพราะมองเห็นบาทหลวงฝรั่งอายุประมาณ 50 ปีเดินออกมาจากด้านหลังแท่นพิธี
ณดลดีใจ “บาทหลวง”
“งั้นคุณรอแป๊บนะ ฉันจะเข้าไปคุยกับหลวงพ่อท่านเอง”
ณดลทิ้งตัวนั่งที่เก้าอี้ตัวสุดท้ายซึ่งอยู่ห่างจากแท่นพิธี เขามองกวาดสายตาไปเรื่อย แล้วมาหยุดมองอนามิกาที่กำลังคุยกับบาทหลวงด้วยอาการสำรวม อนามิกากับบาทหลวงพูดคุยกันครู่ใหญ่ ณดลนั่งรออย่างเซ็งๆ
“จะได้เรื่องมั้ยเนี่ย หรือเราไปคุยเองดีกว่า” ณดลบ่น
ณดลขยับลุกขึ้น แต่อนามิกาก็เดินผละมาจากบาทหลวงกลับมาหาเขาพอดี
“ว่าไงบ้าง” ณดลถาม
“ท่านบอกว่าอู่รถที่นี่มีที่เดียว แต่นี่ใกล้จะค่ำ เค้าปิดไปแล้วแล้ว ถึงจะโทรตามเค้าก็ไม่มาแน่ๆ” อนามิกาบอก
“อ้าว...แล้วเราจะทำยังไงล่ะ”
“จะทำไงได้ล่ะคุณ ก็ต้องรอจนเช้าก่อนน่ะสิ”
“ไม่มีทางอื่นเลยเรอะ โธ่วุ้ย...งั้นเธอลองไปถามท่านดูซิ ว่ามีที่พักแถวนี้มั้ย”
“ถามแล้ว ท่านบอกว่า ไม่มีหรอกลูก”
“อ้าว...แล้วทำไงล่ะ”
“แต่หลวงพ่อท่านใจดี บอกให้ไปพักที่บ้านท่านก่อน แล้วก็จะได้ใช้โทรศัพท์ด้วย”
ณดลเริ่มยิ้มออก “งั้นก็ดีสิ”
“แต่ว่า...”
ณดลหุบยิ้ม “ตะ..แต่ว่าอะไร?”
“ท่านเป็นบาทหลวงน่ะ ไอ้การจะให้ผู้ชายผู้หญิงที่ไม่ใช่สามีภรรยากันไปค้างอ้างแรมที่บ้าน ท่านบอกคงดูไม่ดี แล้วท่านถามว่าเราสองคนเป็นสามีภรรยากันหรือเปล่า”
“แล้วเธอตอบว่า..?”
“ฉันก็ดันปากไว พลั้งปากไปบอกว่าใช่” อนามิกาเล่าด้วยสีหน้ารู้สึกผิด
“นี่เธอโกหกกระทั่งบาทหลวงเนี่ยนะ”
“ก็บอกแล้วว่าพลั้งปากไป ฉันไม่ได้ตั้งใจจะโกหกท่านนะ ก็ใจมันคิดแต่ว่าอยากจะไปใช้โทรศัพท์ที่บ้านท่าน”
“ไม่กลัวบาปบ้างรึไงเนี่ย”
ทันใดนั้น บาทหลวงก็เดินเข้ามาทักณดล
“You are her husband, aren’t you?”
ณดลสะดุ้งตกใจที่บาทหลวงมาไม่ให้สุ้มให้เสียงจึงตอบไปโดยไม่ทันคิด “Yes!...Yes, i am.”
“เฮ้ย!..คุณก็โกหกเหมือนกัน” อนามิการีบท้วง
ณดลหน้าแหย แล้วหันมาแก้ตัวเบาๆ “เปล่านะ! ฉันแค่พลั้งปากไปไม่ทันคิด”
“What wrong with you, son?” บาทหลวงถามต่อ
“Nothing! father. Everything’s alright.” ณดลตอบ
“Great! So wait here. I’ll be back in a few minutes.”
ณดลกับอนามิกาพยักหน้ารับอย่างนอบน้อม “Thank you, father.”
พอบาทหลวงเดินไปจนลับสายตา ณดลแทบจะถลาไปคุกเข่าที่หน้าแท่นพิธี อนามิกาเดินตามมางงๆ
“ทำอะไรของคุณน่ะ” อนามิกาถาม
“ก็รีบขอขมา สารภาพบาปที่โกหกบาทหลวงท่านเมื่อกี้น่ะสิ คนเราบางทีมันก็พลั้งปากโกหกกันได้โดยไม่เจตนานะ” ณดลบอก
“ชิ!..พอตัวเองพลั้งปากบ้าง” อนามิกาเซ็ง
ณดลมีสีหน้ารู้สึกผิด เขาหลับตาแล้วน้อมศีรษะขอขมา อนามิการีบมาคุกเข่าข้างๆ แล้วขอขมาที่แท่นพิธีเช่นกัน

ณภัทรกับเกตนิการ์เดินลงบันไดมาจากด้านบนของปราสาท ส่วนอัธวุธจูงข้อมือเมธาวีขึ้นบันไดสวนมา
“อ้าว...จะขึ้นไปไหนกันอีก นี่ใกล้จะค่ำแล้วนะ จะไม่กลับกันรึไง” เกตนิการ์ถาม
“ไม่ต้องรีบหรอกน่า พี่นายภัทรกับยัยอะนายังมาไม่ถึงเลย” อัธวุธตอบแล้วพูดกับณภัทร “นี่...ฉันว่าขึ้นไปข้างบนคงจะเห็นวิวสวยๆ นะ ลองขึ้นไปด้วยกันมะ?”
“เอาสิ ไหนๆ ก็มาแล้ว” ณภัทรเห็นด้วย
“งั้นขึ้นไปก่อนเลย เดี๋ยวตามไป” อัธวุธบอก
เมธาวีหันมามองหน้าอัธวุธอย่างงงๆ อัธวุธดันให้เมธาวีเดินตามณภัทรไป พอเกตนิการ์จะขยับตาม อัธวุธก็รีบดึงแขนเอาไว้
“เดี๋ยวสิเกด รอฉันก่อน”
“อ้าว...ทำไมเหรอ”
“ฉันหัวเข่าไม่ค่อยดี จูงฉันขึ้นไปที” อัธวุธแกล้งพูด
“หา? หัวเข่าไม่ดีอะไรของเธอ ตะกี้ยังเห็นวิ่งร่าเริงอยู่เลย”
“เหอะน่า...มา ให้ฉันเกาะเดินไปด้วยคน”
เกตนิการ์รู้สึกขัดใจ แต่ก็ยอมให้อัธวุธเกาะแขนแล้วเดินกระเผลกๆ ขึ้นไปด้วย อัธวุธยิ้มเจ้าเล่ห์เพราะตั้งใจจะถ่วงเวลาให้ณภัทรกับเมธาวีขึ้นไปกันแค่สองคน
อัธวุธบ่นเบาๆ อย่างสะใจ “สมน้ำหน้า ขอเอาคืนที่ตะกี้เธอหลอกยัยเมบ้างนะ”
“เธอว่าไงนะ” เกตนิการ์ถาม
“ปะ..เปล่าจ้ะ ไม่มีอะไร”
อัธวุธแกล้งเดินช้าๆ กว่าจะยกขาขึ้นบันไดได้แต่ละขั้นก็ดูยากเย็น ส่วนมือของเขาก็จับไหล่เกตนิการ์แน่น จนเกตนิการ์อึดอัด อัธวุธแอบยิ้มด้วยความสะใจ

ณภัทรกับเมธาวีเดินขึ้นมาถึงจุดชมวิวบนปราสาทเก่า ทั้งสองรู้สึกตื่นตาตื่นใจ เมื่อได้เห็นทิวทัศน์เบื้องหน้าเป็นชนบทยามเย็นที่แสงอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้าซึ่งมองไปได้ไกลจนลับสุดตา ณภัทรกับเมธาวี ชื่นชมทิวทัศน์ข้างหน้าแล้วหันมายิ้มให้กันอย่างมีความสุข
“สวยจังเลยนะ” ณภัทรบอก
“อืม...แต่ก็อดใจหายไม่ได้ อีกไม่นาน พวกเราก็จะต้องแยกย้ายกันกลับเมืองไทยแล้ว” เมธาวีมีน้ำเสียงเศร้า “หลังจากนั้น...ไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกมั้ย”
“ต้องได้เจอสิเม ถึงเราจะต้องแยกย้ายกันไปหลังเรียนจบ แต่ความสัมพันธ์ของเราก็ไม่ได้จบไปด้วยนี่”
เมธาวีทวนคำอย่างมีความหวัง “ความสัมพันธ์ของเรา?”
“ใช่! ก็ความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนไง” ณภัทรย้ำ “ความเป็นเพื่อนของเรายังไงก็ยังอยู่นะเม”
เมธาวีผิดหวังที่ได้ยินคำว่าเพื่อน “อ้อ..ใช่ ก็คงเป็นได้แค่เพื่อนกัน...ตลอดไป”
ณภัทรเห็นเมธาวีจ๋อยไปก็รีบจับมือปลอบ “อ้าว ทำไมล่ะเม เป็นเพื่อนกันมันไม่ดีตรงไหนเหรอ”
เมธาวีฝืนยิ้มแล้วพูดประชดออกมา “ อ๋อ..เปล่า เป็นเพื่อนกันก็ต้องดีสิ...ดีมาก..มาก ดีสุด..สุด...”
ณภัทรไม่รู้ว่าเมธาวีพูดประชด “ต้องอย่างงั้นสิเม”
ณภัทรจับมือของเมธาวีกระชับแน่นขึ้น จังหวะเดียวกับที่เกตนิการ์และอัธวุธเดินตามขึ้นมาถึงพอดี เกตนิการ์ตะลึงที่เห็นณภัทรกำลังจับมือกับเมธาวี ในขณะที่อัธวุธยิ้มกริ่มอย่างชอบใจ
“อะไรเนี่ย ไหงจับมือกันแบบนั้นล่ะ” เกตนิการ์ไม่พอใจ

ณดลกับอนามิกาคุกเข่าอยู่หน้ารูปปั้นพระเยซู เพื่อขอขมาที่เพิ่งโกหกบาทหลวงไป สักพักอนามิกาก็ขยับจะลุกขึ้น แต่เธอก็ต้องชะงัก เพราะณดลเรียกไว้
“เดี๋ยว! อย่าเพิ่งไป”
อนามิกาคุกเข่าลงอีกครั้ง “อะไรเหรอ”
“ไหนๆ เราก็อยู่ต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในโบสถ์นี้แล้ว ฉันอยากรู้ว่าเธอรักน้องชายฉันจริงๆ หรือเปล่า”
“ยังไงคุณก็จะเชื่อว่าฉันไม่จริงใจ คิดแต่จะมาจับน้องคุณใช่มั้ย” อนามิกาถาม
“ก็ถ้าเธอไม่ได้เป็นอย่างงั้น...เธอก็สาบานต่อหน้าฉันสิ”
“หา?” อนามิกาตกใจ
“สาบานต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในโบสถ์นี้เลย ว่าเธอรักไอ้ภัทรอย่างจริงใจ ไม่คิดหลอกลวง เอาสิ...สาบานมาสิ”
“คุณณดลขา...ที่นี่ประเทศอังกฤษนะ มาสาบงสาบานอะไร คุณเห็นศาลพระภูมิตั้งอยู่แถวนี้รึไง แล้วไหนล่ะ ต้องมีดอกไม้ธูปเทียนด้วยมั้ย”
“อย่ามาเฉไฉ สาบานเดี๋ยวนี้ ว่ามาให้ฉันได้ยินด้วย ว่าเธอรักไอ้ภัทรจริงๆ ไม่งั้นฉันจะสรุปว่าเธอไม่จริงใจกับน้องฉัน”
อนามิกาพูดผ่านๆ อย่างขอไปที “ก็ได้ๆ สาบานก็ได้ ฉันรักนายภัทรจริงๆ”
“พูดช้าๆ ชัดๆ อีกครั้ง”
อนามิกาพูดเน้นๆ “ฉันสาบานว่าฉันรักนายภัทรอย่างจริงใจ ไม่หลอกลวง” อนามิกาหันไป
พูดใส่หน้าณดล “พอใจรึยัง”
ณดลพยักหน้าแล้วขยับลุกขึ้น อนามิกาเอานิ้วไขว้กันแอบไว้ข้างหลัง พอณดลเดินผ่านมา อนามิกาก็รีบเบี่ยงตัวซ่อนนิ้วที่ไขว้กันแนบหลังไว้ ก่อนจะหันมาทำหน้าแหยอย่างรู้สึกผิด เธอจึงรีบขอขมากับรูปปั้นทันที
“อภัยให้ฉันด้วยนะเจ้าคะ ฉันจำเป็นต้องโกหกเพราะต้องช่วยเพื่อน ไม่ได้มีเจตนาจะลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์นะเจ้าคะ”
อนามิกาเหลือบมองณดล เมื่อเห็นว่าณดลไม่ได้สังเกตเธอก็ยกสองมือจบ แล้วกราบขอขมาอีกที

ณดลกับอนามิกายืนรอบาทหลวงอยู่ริมถนนหน้าโบสถ์เก่า
“นี่! อะนา ฉันยังไม่เข้าใจว่า ถ้าหลวงพ่อท่านมีรถ แล้วทำไมเราไม่ขอให้ท่านขับไปส่งที่ปราสาทซะเลยล่ะ ปราสาทเก่าที่เรานัดทุกคนไว้ที่นั่นน่ะ”
“ฉันบอกหลวงพ่อแล้ว แต่ท่านบอกว่า ให้ไปใช้โทรศัพท์ที่บ้านท่านดีกว่า เพราะสภาพรถของท่าน คงจะพาเราสองคนไปถึงปราสาทเก่าไม่ไหว”
“ทำไมเหรอ รถของท่านเก่ามากเลยเหรอไง” ณดลหันไปแล้วก็ร้องเสียงหลงออกมา “เฮ้ย!”
“อะไรเหรอ” อนามิกาหันมองตาม แล้วก็ร้องออกมาเหมือนกัน “เฮ้ย!!”
ทั้งสองเห็นบาทหลวงขี่มอเตอร์ไซค์เก่าๆ เข้ามาแล้วยกมือโบกยิ้มแย้มให้ทั้งสอง
ณดลกับอนามิกาหันมองหน้ากัน
“นี่เราต้องซ้อนคันนี้ไปเนี่ยนะ” อนามิกาโพล่งออกมา

รถมอเตอร์ไซค์คันเก่าที่บาทหลวงขี่โดยมีณดลและอนามิกาซ้อนท้ายวิ่งปุเลงๆ มาชะลอจอดหน้าบ้านบาทหลวงอย่างทุลักทุเล ทุกคนลงจากรถ ณดลกับอนามิกากอดอกด้วยความหนาวสั่น
“กว่าจะมาถึง เล่นซะมืด” ณดลบ่น
“เอาน่า คิดซะว่าดีกว่าเดิน” อนามิกาบอก
“Welcome to my home, Mr. and Mrs. …..?” บาทหลวงถาม
ณดลกับอนามิกาหันมามองหน้ากันเลิ่กลั่ก สักพักณดลก็หันไปตอบ
“ศิริวาณิช”
บาทหลวงทวนคำอย่างไม่ชัด “Mr. and Mrs. See-ree- wa-nit?”
“Yes, father. My name is ณดล ศิริวาณิช” ณดลผายมือไปที่อนามิกา”and she Is Mrs.อนามิกา ศิริวาณิช.”
“You both don’t look like husband and wife. Are you kidding?” บาทหลวงถาม
“No, I’m not kidding. We are husband and wife.” ณดลหันมาพูดกับอนามิกา “ขอโทษนะ”
แล้วณดลก็ยกแขนโอบคออนามิกา อนามิกาสะดุ้งแล้วจะขัดขืนแต่ก็ตัดสินใจรับมุกตามน้ำด้วยการโอบณดลตอบ
อนามิกาพูดกับบาทหลวง”We just married, Father.”
“Oh! You said you want to call your friend, don’t you?”
บาทหลวงผายมือไปที่โทรศัพท์บ้านที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ
ณดลรีบรับคำ “Yes! Father.”
“Thank you very much, Father” อนามิกาบอก
อนามิกากับณดลรีบปราดเข้าไป พออนามิกาคว้าหูโทรศัพท์ได้ เธอก็กดเลขหมาย ก่อนจะเอะใจจึงเอาหูแนบฟังให้ถนัดอีกทีแล้วเธอก็แน่ใจว่าโทรศัพท์ไม่มีสัญญาณ
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ” ณดลถาม
“โทรศัพท์ใช้ไม่ได้น่ะสิ” อนามิกาหันไปพูดกับบาทหลวง”Father, there’s no phone signal.”
“Oh! It happens again. This is a small town,so the phone signal usually failed everyday like this.”
“หลวงพ่อท่านบอกว่า เมืองเล็กๆ ก็งี้ สัญญาณโทรศัพท์เฟลตลอด” อนามิกาบอก
“แล้วเอาไงล่ะทีนี้” ณดลกลุ้มใจ
“May be we should try it again tomorrow. Now let’s go to your bedroom” บาทหลวงบอก
ณดลหันไปที่อนามิกา “นี่เราต้องนอนค้างที่นี่จริงๆ เหรอ”
“ยังกะเรามีทางเลือกแน่ะ คุณก็เห็นว่าตอนซ้อนมอเตอร์ไซค์มา แถวนี้ไม่มีบ้านคนซักหลัง แถมข้างนอกยังหนาวจะตาย”
“Mr. and Mrs. see - ree - wa - nit....follow me, please.”

พูดจบบาทหลวงก็เดินนำไป ณดลกับอนามิกามองหน้ากันแล้วเดินตามบาทหลวงไป











Create Date : 02 เมษายน 2555
Last Update : 2 เมษายน 2555 23:56:27 น.
Counter : 283 Pageviews.

0 comment
แหม่มแก้มแดง ตอนที่ 3 (ต่อ)



เสียงผัดกับข้าวในกระทะดังแว่วอยู่ในบ้านณภัทรตั้งแต่เช้าตรู่ เพราะอนามิกากำลังยืนผัดหมู พริกและกระเทียมในกระทะอย่างทะมัดทะแมง เมธาวียื่นจานใส่ใบกระเพราผสมใบโหระพาส่งให้อนามิกา

“ใส่ตอนนี้เลยหรือเปล่าจ๊ะพี่อะนา” เมธาวีถาม
“อีกแป๊บนึงเมธาวี” อนามิกาบอก
ทันใดนั้น ณภัทรก็เดินเข้ามาในครัว
“เสร็จหรือยัง พี่ชายฉันให้มาเร่ง”
อนามิกาโวยด้วยความฉุน “โอ๊ย...คุณชายจอมสั่ง แหม..” อนามิกาทำเสียงเลียนแบบณดล “บ่นว่าเบื่ออิงลิชเบรกฟาสต์ อยากจะกินอาหารไทย แหม..แล้วตอนอยู่เมืองไทยไม่รู้จักกินไว้เยอะๆ ล่ะยะ ดันมาอยากกินอาหารไทยเอาตอนอยู่ลอนดอนซะงั้น...เรื่องมาก!”
พูดจบอนามิกาก็ใช้มือกอบใบกระเพรากับใบโหระพาโยนลงในกระทะอย่างอารมณ์เสีย ณภัทรกับเมธาวีฉุนกลิ่นผัดกระเพราจนจามขึ้นมาพร้อมกัน ทั้งสองมองหน้ากันก่อนจะจามอีกครั้ง แล้วหัวเราะอย่างเขินๆ ออกมาทั้งคู่ อนามิกาแอบมองทั้งสองหัวเราะต่อกระซิกกันแล้วรู้สึกยินกับทั้งคู่

เวลาผ่านไป ณดลใช้ช้อนกลางตักผัดกระเพราหมูขึ้นมา เขายกช้อนจ้องมองเหยียดๆ อนามิกา เมธาวี และณภัทรนั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วยจึงหันมามองเขา
“ก็อีแค่ผัดกระเพรา” ณดลพูดด้วยน้ำเสียงดูถูก
อนามิกาเริ่มไม่พอใจ “หมายความว่าไงนะคะ”
“ก็เนี่ย แค่ผัดกระเพรา ไข่เจียว แกงจืด ตอนที่เธอบอกจะทำอาหารไทยให้ฉันกิน ฉันนึกว่าจะมีกับข้าวเด็ดๆ...ที่ไหนได้ ก็แค่อาหารตามสั่งทั่วไป” ณดลว่าเป็นชุด
อนามิกาฉุนกึก เธอวางช้อนแล้วจ้องหน้าณดล เมธาวีรีบจับแขนเพื่อปรามให้อนามิกาเย็นลง แล้วหันไปพูดกับณดลทันที
“แต่คุณพี่ณดลขา ที่นี่ลอนดอนนะคะ ได้ทานขนาดนี้ต้องเรียกว่าหรูแล้ว”
“ใช่...คนทำก็เหนื่อยเป็นนะ ถ้าพูดอะไรที่สร้างสรรค์ไม่ได้ ก็เงียบไปดีกว่า” อนามิกาต่อว่า
ณภัทรรีบพูดขึ้น “ใจเย็นๆ ก่อนอนามิกา” ณภัทรหันมาบอกณดล “ผมว่าพี่ลองชิมก่อนดีกว่ามั้ย”
“จะต้องชิมอะไร ทำยังกะเกิดมาฉันไม่เคยกินผัดกระเพรา กับข้าวพวกเนี้ย ใครทำก็เหมือนๆกัน ไม่ต้องชิมฉันก็พอนึกรสชาติออก”
พูดจบณดลก็ตักผัดกระเพราพร้อมข้าวเข้าปากแล้วเคี้ยว สักพักเขาก็ถึงกับสะดุดกึกทันที เมธาวี อนามิกา และณภัทรชะงักมองณดลอย่างลุ้นๆ ว่าเขาเป็นอะไร
ณดลมีสีหน้าเหมือนไม่เชื่ออะไรบางอย่าง เขารีบใช้ช้อนกลางตักผัดกระเพรามาใส่จานก่อนตักกินพร้อมข้าวอีกคำ
“เฮ้ย...ไม่เลวนะ” ณดลโพล่งออกมา
เมธาวี อนามิกา และณภัทรเริ่มงงเพราะไม่อยากจะเชื่อว่าณดลเอ่ยชมอนามิกา
“รสชาติก็แตกต่าง เธอใส่อะไรลงไปน่ะ” ณดลถาม
“พี่อะนาเค้าใส่ใบโหระพาผสมไปด้วยน่ะค่ะ” เมธาวีตอบให้
“อืม..เข้าท่านี่” ณดลชมอีก
อนามิกาเริ่มยิ้มออก “ขอบคุณนะคะที่ชม”
“แต่จะเรียกว่าชม...ก็ไม่เชิงนะ” ณดลรีบพูด “กับข้าวพวกนี้มันก็ง่ายๆ ให้ใครทำก็อร่อยทั้งนั้น”
“แต่พี่อะนาเค้าเก่งจริงๆ นะคะ ตอนทำงานที่ร้านอาหารนี่เค้าทำกับข้าวแทนแม่ครัวได้เลยหละค่ะ” เมธาวีบอก
“ใช่พี่..แบบเนี้ยเค้าเรียกว่า มีเสน่ห์ปลายจวัก สามีรักจนตาย” ณภัทรพูดแซวเพื่อนแล้วก็ถูกอนามิกาหยิกขาจนต้องร้องออกมา “อุ๊ย!”
“เสน่ห์ปลายจวักอะไรของแก สมัยนี้มันไม่มีประโยชน์แล้ว อยากกินอะไรอร่อยๆ ก็แค่โทรสั่ง หรือขับรถออกไปกินที่ร้านง่ายกว่าเยอะ” ณดลว่า
พูดจบณดลก็ยื่นมือจะไปจับช้อนกลางตักกับข้าว แต่อนามิกากลับดึงจานนั้นเลื่อนหนีมือของเขาไป
ณดลมองอนามิกาอย่างงงๆ “อะไรของเธอ”
“ก็คุณบอกเองว่าอยากกินอร่อยๆ ก็แค่ออกไปกินที่ร้าน งั้นคุณก็ออกไปกินที่ร้านแล้วกัน” อนามิกาหันมาพูดกับเมธาวีและณภัทร “มา! พวกเรา กินกัน คุณณดลเค้าสละสิทธิ์แล้ว”
อนามิกาเลื่อนจานกับข้าวจานอื่นๆ ออกห่างจากณดลอีก
“เฮ้ย...อย่าสิ ฉันกินด้วย” ณดลร้องขอ
“จะกินทำไมล่ะคะ ถ้ารสชาติมันไม่ได้เรื่องถึงขนาดต้องกินไปบ่นไป”
“ไม่บ่นแล้ว..ไม่บ่นแล้ว...ขอฉันกินด้วยนะ”
“แล้วคุณคิดว่าฝีมือฉันเป็นไง?”
“ก็...ใช้ได้นะ” ณดลตอบแล้วเห็นอนามิกายังหน้าบึ้งจึงพูดต่อ “เก่งเลยหละ เยี่ยมเลยเอ้า”
จากหน้าที่บึ้งอยู่อนามิกาก็เริ่มยิ้มออก
“ให้ฉันกินต่อได้รึยัง” ณดลถาม
อนามิกาเลื่อนจานกับข้าวให้ ณดลรีบตักกับข้าวทานอย่างเอร็ดอร่อย อนามิกามองณดลแล้วอมยิ้มด้วยความรู้สึกเอ็นดูผู้ชายคนนี้อย่างไม่รู้ตัว

เกตนิการ์นั่งรอนลิณาอยู่ที่โซฟาห้องรับแขกในอพาร์ทเมนต์สุดหรูของนลิณ จู่ๆ โทรศัพท์มือถือของเกตนิการ์ก็ดังขึ้น เกตนิการ์ยกโทรศัพท์ขึ้นดู
“พี่พายัพ” เกตนิการ์รีบกดรับอย่างดีใจ “โทรมาได้ไงเนี่ย เกตนิการ์กำลังคิดถึงพี่อยู่พอดีเลย”
พายัพเดินคุยโทรศัพท์มือถือกับน้องสาวอยู่ในบริเวณพื้นที่โครงการ City Avenue
“แหม...ขึ้นมาก็อ้อนพี่เลยนะยัยเกตนิการ์ จะให้พี่โอนเงินไปอีกเท่าไหร่ล่ะ”

เกตนิการ์กำลังพูดโทรศัพท์อยู่กับพายัพ สักพักนลิณาที่เพิ่งแต่งตัวเสร็จก็เดินมาข้างหลัง จึงได้ยินสิ่งที่เกตนิการ์พูดด้วย
“เกตนิการ์ไม่ได้หน้าเงินขนาดนั้น พี่พายัพแหละ เป็นพี่ชายแท้ๆ ของเกตนิการ์ แต่ร้อยวันพันปีจะโทรมาหาน้องสาวซักครั้ง นี่ต้องมีธุระสำคัญอะไรแน่ๆ เลย หรือว่า...” เกตนิการ์ทำเสียงตื่นเต้น “อย่าบอกนะว่าพี่พายัพจะแต่งงาน”
“โอ๊ย..ไปใหญ่แล้ว” พายัพพูดกับน้องสาว “พี่แค่จะโทรมาทักทาย เอ้อ! มีนักร้องที่คลับของพี่คนนึงเค้าบอกว่าน้องสาวเค้าอยู่ลอนดอน ชื่ออนามิกา พี่ก็เลยสะดุดหู เหมือนคุ้นๆ ว่าเกดเคยพูดถึงชื่อนี้”
เกตนิการ์มีทีท่าสนใจขึ้นมาทันที นลิณาเองก็เงี่ยหูมาฟังด้วย
“จริงเหรอคะ ชื่อยัยอนามิกา ก็ไม่น่ามีคนซ้ำหรอกนะ ตายแล้ว...ในคลับของพี่ก็มีแต่พวกเพลย์บอยรุ่นใหญ่ทั้งนั้น อย่างงี้พี่สาวมันก็ไม่ต่างจากพวกนักร้องล่อตะเข้สิเนี่ย”
เกตนิการ์หันไปสบตากับนลิณาที่เดินเข้ามาใกล้ ต่างคนต่างแปลกใจแต่ก็ยิ้มให้กันด้วยอารมณ์ดูถูกดูแคลน

อนามิกาเดินตรงมาหาณภัทรกับเมธาวีที่ยืนดูสินค้ากันอยู่บริเวณย่าน Covent Garden ส่วนณดลกำลังถ่ายรูปมุมต่างๆ บริเวณที่ห่างออกมาอยู่
“ฉันว่าเอางี้ดีกว่านะภัทร” อนามิกาเสนอ “นายพายัยเมไปเดินเล่นกันสองคนดีกว่า” อนามิกากระซิบ “นะๆๆ ขอร้องหละ ฉันกลัวยัยเมธาวีมันเบื่อน่ะ”
ณภัทรแปลกใจ “แล้วเธอจะอยู่กับพี่ชายฉันไหวเหรอ? ฉันเกรงใจ”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า นายดูแลยัยเมให้ดีเหอะ” อนามิกากำชับ
“พี่อะนา” เมธาวีดึงอนามิกาออกห่างจากณภัทรแล้วกระซิบ “เมรู้ว่าพี่อยากจะช่วยให้เมใกล้ชิดกับภัทร แต่พี่ไม่ต้องลงทุนขนาดยอมฝืนอยู่กับพี่ณดลก็ได้นะ”
“โอ๊ย..ไม่ต้องห่วง อีตาเนี่ย...ฉันเอาอยู่ แกรีบไปเหอะ ไป๊”
พูดจบอนามิกาก็ดันให้เมธาวีกับณภัทรเดินออกไปด้วยกัน ทั้งสองจึงยอมเดินห่างไป ก่อนที่ณดลจะเดินเข้ามาหาอนามิกา
“ไอ้ภัทรมันไปไหนของมันอีกน่ะ” ณดลถาม
“คุณอย่าลืมสิว่าพวกเราอยู่ลอนดอนกันมาเป็นปีแล้ว แถวเนี้ย แทบจะหลับตาเดินกันได้น่ะ เค้าสองคนคงเบื่อ เลยขอแยกไปเดินที่อื่นน่ะสิ” อนามิกาอธิบาย
“ฉันหละไม่เข้าใจมันเลย เมียยังท้องอ่อนๆ แทนที่จะคอยดูแลอยู่ใกล้ๆ” ณดลหันมองหน้าอนามิกาอย่างซีเรียส “หรือว่า...”
“หรือว่าอะไรคะ”
“หรือว่าไอ้ภัทรมันไม่ได้รักเธอ”
อนามิกาทำท่าระอา “อะไรของคุณอีกล่ะเนี่ย” แล้วเธอก็เดินหนี
“เดี๋ยวสิ จริงๆ แล้วเธอกับไอ้ภัทรไม่ได้รักกันจริงๆ ใช่มั้ย...เธอจะเดินหนีไปไหน” ณดลรีบก้าวตามไป

ณดลเร่งฝีเท้าจนทันอนามิกา ใกล้ๆ กับโต๊ะหมอดูลายมือในย่านนั้น ป้ายเขียนว่า Palm Reader ประกอบรูปมือและเส้นลายมือประดับไว้ หมอดูลายมือฝรั่งท่าทางเหมือนฮิปปี้ผสมยิปซีนั่งอยู่ที่โต๊ะ
“รอด้วยสิ...อนามิกา เธองอนอะไรฉันอีกเนี่ย” ณดลเรียก
อนามิกาหยุดยืนคุยกับณดลหน้าหมอดูฝรั่ง
“ไม่ได้งอนค่ะ..แค่เบื่อ ทำไมคุณต้องคอยบ่น คอยจับผิด แล้วก็ชอบตอกย้ำเหลือเกินว่าน้องคุณไม่ได้รักฉัน ทำไม? ฉันมันแย่มากรึไง คนอย่างฉัน ไม่คู่ควรจะได้รับความรักจากใครเลยใช่มั้ย”
“โห..มาเป็นชุดเลยนะ ซีเรียสไปรึเปล่า” ณดลถาม
“ซีเรียสสิ ถามตรงๆนะ คุณเกลียดฉันมากใช่มั้ย ถึงได้อคติกับฉันขนาดเนี้ย”
“ใครไปเกลียด ไปอคติกับเธอ ที่ฉันทำไปทั้งหมด ก็เพราะเป็นห่วงน้องชายฉันแค่นั้น”
“แล้วเป็นห่วงประสาอะไร ถึงต้องมาลงที่ฉัน”
“ก็เพราะอนาคตของผู้ชายคนนึง จะสุขหรือทุกข์ก็ขึ้นกับว่าได้คู่ชีวิตแบบไหน ไม่เคยได้ยินเหรอที่เค้าว่า มีเมียผิด คิดจนตัวตายน่ะ ฉันก็เลยห่วงว่า ถ้ามันได้เมียแย่ๆ อนาคตของมันก็จะมืดมนไปด้วย” ณดลพูด
“โห...อนาคตมืดมนเลยนะ ฉันมันดูแย่ขนาดจะทำให้น้องคุณหมดอนาคตเลยเรอะ”
จู่ๆ ฝรั่งหมอดูก็โพล่งออกมาด้วยเสียงอันดัง “อยากรู้อนาคตมั้ยล่ะ”
ณดลกับอนามิกาหลุดปากอุทานด้วยความตกใจ “หา!”
ณดลกับอนามิกหันขวับไปมองฝรั่งหมอดูเป็นตาเดียว
“hi! สวัสดีครับ” ฝรั่งหมอดูทัก
ณดลอนามิกาพูดพร้อมกัน “พูดไทยได้ด้วย!”
ฝรั่งหมอดูพยักหน้ายิ้มๆ แล้วจึงพูด “Yes, of course. ไอเคยอยู่เมืองไทยมาสิบกว่าปี ไอเป็น Palm Reader น่ะ ถ้าอยากรู้อนาคต ให้ไอดูลายมือสิ”
ณดลกับอนามิกามองหน้ากันอย่างชั่งใจว่าจะเอายังไง
“ฉันก็อยากจะรู้ว่าหมอดูจะทำนายอนาคตเธอกับน้องฉันว่ายังไง ลองดูหน่อยก็ไม่เสียหายนี่นะ งั้น” ณดลเอ่ยแล้วหันไปพูดกับหมอดู “ช่วยดูลายมือให้ผู้หญิงคนนี้ที”
ณดลชี้ไปที่อนามิกาที่ยืนหน้าตางงๆ เพราะกำลังโดนยัดเยียดให้ดูลายมือ

เมธาวีกำลังเพลิดเพลินกับการลองเครื่องประดับ สร้อย กำไล เก๋ๆ อยู่ที่ตลาดนัด ณภัทรเดินมาจากบริเวณแผงขายของแผงหนึ่ง แล้วเดินตรงมาที่เมธาวีซึ่งกำลังเอาสร้อยคอทาบคอตนเองอย่างปลาบปลื้ม
“อืม..สวยดีนี่เม” ณภัทรชม
“จริงเหรอ”เมธาวียิ้มด้วยอาการทั้งปลื้มทั้งเขิน “ก่อนออกมาก็แต่งหน้านิดหน่อยน่ะ”
“สร้อยน่ะ..พูดถึงสร้อย”
“อ้อ!” เมธาวีหุบยิ้มแล้วรีบกลบเกลื่อน “..เน๊อะ! เมก็ชอบมากๆ เลยอ้ะ”
“ดูเก๋ดี เข้ากับเมธาวีมากๆ เลย”
“ขอบคุณที่ชม..สร้อยนะ” เมธาวีหันไปที่ฝรั่งคนขาย “How much is this one?”
“Oh! This one is only forty pounds.” ฝรั่งคนขายตอบ
เมธาวีถึงกับผงะ “สี่สิบปอนด์ สองพันกว่าบาท เอ่อ..” เมธาวีวางสร้อยคืนที่เดิมแล้วยิ้มแห้งๆ กับคนขาย “Thank you!”
เมธาวีก้าวเดินห่างออกมาแล้วบ่นเบาๆ กับตนเอง
“ไม่เอาน่ายัยเม สร้อยคอมันก็แค่ของสิ้นเปลือง ตอนนี้ต้องประหยัดสุดๆ ไม่ได้สร้อยสวยๆ ซักเส้นก็ไม่ตายหรอกน่า...” แล้วเธอก็หันไปพูดเสียงปกติกับณภัทร “เอ้อ! งั้นเดี๋ยวเราไปหาอะไรกินมั้ยภัทร...อ้าว! หายไปไหนเนี่ย?”
เมธาวีหันไป เธอไม่เห็นณภัทรอยู่ข้างๆ เมธาวีหน้าเหรอหราเหลียวมองหาพอหันกลับไปอีกทีจึงเห็นณภัทรกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามมา
“โทษที มัวแต่ดูของอยู่ อ้าว...แล้วเมไม่ได้ซื้อสร้อยเส้นนั้นเหรอ”
เมธาวีส่ายหน้า “มันแพงอ่ะ นึกถึงว่าเดี๋ยวกลับไปเมืองไทย ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะหางานทำได้ ช่วงที่ไม่มีรายได้ ก็ต้องเซฟๆ ไว้ก่อนน่ะ”
“เมนี่รอบคอบเรื่องการใช้เงินดีนะ ถ้าเป็นผู้หญิงบางคน เห็นของที่ชอบ ก็คงจะซื้อไว้ก่อน ยอมไปเดือดร้อน ไปติดหนี้เอาทีหลัง” ณภัทรชม
เมธาวีกับณภัทรเดินคู่กันมา จู่ๆ ณภัทรหยุดเดินปล่อยให้เมธาวีเดินพูดอยู่คนเดียว
“คนทำแบบนั้นได้ก็ต้องรวย หรือทางบ้านมีฐานะ แต่เมหัวเดียวกระเทียมลีบ ขืนใช้ซี้ซั้วหละตายแน่ๆ” เมธาวีหันไปข้างๆ แล้วก็ไม่เห็นณภัทร “อ้าว...ภัทร” เมธาวีค่อยๆ หันกลับไป “ณภัทร...อะไรอีกล่ะ”
เมธาวีเห็นณภัทรยิ้มให้แล้วค่อยๆ ชูสร้อยในมือขึ้นมา เมธาวีเห็นว่าเป็นสร้อยเส้นที่เมธาวีชอบนั่นเอง
เมธาวีมีสีหน้าประหลาดใจก่อนจะค่อยๆ ยิ้มออกมา ณภัทรเดินเข้ามาหาแล้วจะสวมสร้อยให้ แต่เมธาวีรู้สึกเกรงใจ
“เอ่อ..แต่ว่า...เม...เกรงใจน่ะ”
“ไม่เอาน่า คิดซะว่าเราซื้อให้เป็นที่ระลึกที่ครั้งนึง เราได้มาเรียน มาใช้ชีวิตอยู่ที่ลอนดอนด้วยกัน แล้วที่สำคัญ...ของซื้อจากตลาดนัด ซื้อแล้วคืนไม่ได้นะเม”
“ถ้างั้นก็...” เมธาวียิ้มแล้วพยักหน้ารับ “ขอบคุณมากนะ”
ณภัทรช่วยสวมสร้อยให้เมธาวีที่ยืนยิ้มแก้มแตกเพราะคิดฝันไปไกลว่าณภัทรรักเธอ ณภัทรสวมสร้อยให้เสร็จแล้วก็มองอย่างชื่นชม เมธาวีได้แต่ยิ้มปลื้มอย่างมีความสุข

หมอดูลายมือฝรั่งเพ่งฝ่ามือของอนามิกาอย่างจดจ่อ แล้วหมอดูฝรั่งก็คว้ามือของณดลมาดูด้วยเพื่อดูเปรียบเทียบระหว่างลายมือของทั้งสอง อนามิกากับณดลหันมองหน้ากันด้วยความรู้สึกเบื่อๆ
“ถามจริงๆ นะ คนอย่างคุณณดลนี่เชื่อเรื่องดูลายมือกะเค้าด้วยเหรอ” อนามิกาหันไปถาม
ณดลสั่นหน้า “หึ!..”
“แล้วถ้างั้นเราจะดูหมอกันไปทำไม”
“ก็เผื่อหมอดูทักว่าดวงเธอไม่สมพงษ์กับน้องฉัน ฉันจะได้ห้ามมันทันไง” ณดลบอก
“วันๆ ก็คิดแต่จะหาวิธีตะเพิดฉันออกจากชีวิตน้องคุณหละนะ”
จู่ๆ หมอดูฝรั่งก็เงยหน้าขึ้นมาจ้องมองเขม็งไปที่ณดลแล้วหันไปจ้องอนามิกาจนทั้งสองชักระแวง
“ยูสองคนนี้ ตาม destiny แล้ว ยูเป็น soul mate กันนะ” หมอดูบอก
“เอ่อ...ยังไงนะ?” ณดลงง
“ตามลายมือแล้ว ยูสองคนเป็นคู่แท้..เป็นเนื้อคู่กัน”
ณดลกับอนามิกาตกใจถึงกับร้องเสียงหลงขึ้นพร้อมกัน “เฮ้ย!”
ณดลผุดลุกขึ้นยืนทันที “พอดีกว่า เลิกเลย ขึ้นมาก็มั่วแล้ว” ณดลพูดกับหมอดู “จะบอกให้นะ” ณดลชี้ไปที่อนามิกา “ยัยนี่เป็นเมียน้องชายฉัน แล้วก็กำลังท้องอยู่ด้วย”
“Your brother’s wife!” หมอดูฝรั่งตกใจแล้วหันมาถามอนามิกา “You...pregnant?”
อนามิกาพยักหน้า “Yes, I do!”
“แต่เส้นลายมือมันบอกจริงๆ นะ” หมอดูยืนยัน
“ยูอย่าแถดีกว่า” ณดลหันมาหาอนามิกา “แถภาษาอังกฤษเค้าว่าไงเนี่ย” เขาหันกลับไปหาหมอดู “เอางี้นะ ต่อให้ยัยนี่ไม่ใช่เมียของน้องชายฉัน ฉันก็ไม่หลวมตัวเอามาเป็นเนื้อคู่อยู่ดี”
อนามิกาสะอึก หันมองหน้าณดลทันที “อ้าว!คุณ พูดงี้เหรอ” อนามิกาพูดกับหมอดูเพื่อประชดณดล “ฉันก็จะบอกให้เหมือนกันนะ ถ้าดวงชะตาฉันจะต้องเป็นเนื้อคู่กับผู้ชายคนนี้ ฉันขอชะตาขาดไปซะเลยดีกว่า”
“เธอว่าไงนะ” ณดลฉุน
“ก็ว่าอย่างที่คุณได้ยินน่ะแหละ”
ฝรั่งหมอดูแบมือขอเงิน “ค่าดูลายมือ ten pounds”
ณดลกับอนามิกาหันขวับไปตวาดใส่หน้าฝรั่งหมอดูพร้อมกัน “ไม่จ่าย!”
หมอดูฝรั่งถึงกับผงะและกลัวคู่นี้ไปเลย
ณดลกับอนามิกาหันขวับมาประจัญหน้ากันอย่างไม่มีใครยอมลงให้ใคร แล้วอนามิกาก็ผละออกไป ณดลเดินตาม หมอดูลายมือจะเอ่ยทวงตังค์ แต่ทั้งสองก็ผละออกไปแล้ว

อนามิกาเดินกอดอกหน้ามุ่ยเพราะไม่อยากมองหน้าณดล ส่วนณดลเดินเพลิดเพลินกับการเดินถ่ายรูปบริเวณนั้นมาเรื่อยๆ
“ถ่ายจังเลย ถ่ายเข้าไป เห็นคน เห็นวิว ตึกรามบ้านช่องอะไรก็ถ่ายหมด เหลือแต่เท้าตัวเองนี่แหละที่ยังไม่ถ่าย” อนามิกาบ่นแล้วพอหันไปก็ต้องชะงัก “หา!”
เธอเห็นณดลกำลังยืนก้มถ่ายรองเท้าตัวเองกับพื้นสีสันสวยงามอยู่
อนามิกาเดินเข้ามาด้วยสีหน้างุนงงสงสัย “ถ่ายอะไรน่ะ”
“ก็...ถ่ายเท้าไง” ณดลยื่นจอหลังกล้องให้อนามิกาดู
อนามิกาเห็นว่าเป็นภาพรองเท้าของณดลบนพื้นที่จัดองค์ประกอบภาพได้อย่างสวยงาม
“อืม...ก็โอเคนี่” อนามิกาเดินต่อไป แล้วบ่นเบาๆ “ถ่ายทุกอย่างจริงๆ แฮะ คนเรา”
อนามิกาเดินนำ ณดลเดินตาม ทั้งสองเดินผ่านนลิณา เกตนิการ์ และจอห์นที่ยืนซุ่มอยู่บริเวณนั้น นลิณากับเกตนิการ์รีบหลบ พออนามิกากับณดลเดินผ่านไป ทั้งสามจึงออกมาจากที่ซ่อนแล้วมองตามไป
“That’s her” นลิณาบอกจอห์นด้วยเสียงอาฆาต
จอห์นพยักหน้ารับอย่างเหี้ยมเกรียม แล้วจึงเดินไปตามทิศที่อนามิกากับณดลเดินไป นลิณาก้าวตามได้สองก้าว เกตนิการ์ก็ตามมาดึงแขนไว้
เกตนิการ์พูดกับนลิณา “เพื่อความไม่ประมาท ฉันว่าเราแอบมองอยู่ห่างๆ จะดีกว่านะ”
“ได้ แต่ยังไงฉันก็ไม่อยากพลาดน่ะ ฉันอยากเห็นนังอะนามันแท้งกับตาของฉันเอง” สีหน้านลิณาฉายแววโหดร้ายออกมา

ณดลเดินถ่ายรูปไปพลาง ส่วนอนามิกาก็เดินเชิดๆ อยู่ไม่ห่างจากณดลเท่าไหร่
ณดลถ่ายรูปแล้วมองภาพที่จอด้านหลังของกล้อง “อ้าว...แบตจะหมดซะแล้ว”
อนามิกาบ่นณดลด้วยความสนุกปาก “ก็แหง..แปลกตรงไหน เห็นถ่ายเอา..ถ่ายเอา ถ่ายไม่หยุดอย่างกะคนท้องเสีย” อนามิกาหันมาเห็นณดลทำหน้าบึ้งใส่ก็ชะงักแล้วหยุดบ่น
“แต่จะว่าไป ฉันก็มัวแต่ถ่ายโน่นถ่ายนี่ ยังไม่มีรูปตัวเองเดี่ยวๆ เลยซักรูป”
พูดจบณดลก็ยื่นกล้องให้อนามิกา อนามิกาทำท่างงๆ
“ถ่ายให้ฉันที” ณดลบอก
อนามิการับกล้องมาอย่างไม่เต็มใจนัก “ก็ได้”
จอห์นแอบซุ่มอยู่ที่มุมหนึ่งอย่างประสงค์ร้าย เขายกมีดขึ้นมาถือกระชับในมือ
“ถอยไปสิ ถ่ายกว้างๆ หน่อย เน้นวิวน่ะ ถ้าถ่ายแคบๆ ให้เห็นแค่ตัวฉัน ก็ไม่ต้องลำบากบินมาถึงลอนดอนนี่หรอก ถอยไปสิ” ณดลสั่ง
“ย่ะ...เอ๊ย! ค่ะ” อนามิการับคำเซ็งๆ
อนามิกาถอยห่างจากณดลซึ่งเป็นทิศทางที่ใกล้กับจอห์นยิ่งขึ้น
“เอาละนะ...หนึ่ง..สอง” อนามิกานับถอยหลัง
ณดลยืนยิ้มแอ็คท่าถ่ายรูปอยู่แล้วพลันก็ร้องตกใจออกมาเสียงดัง “ระวัง!”
อนามิกาผงะ เธอหันไปก็เห็นจอห์นกำลังถือมีดพุ่งเข้ามาหา อนามิการีบหลบมีดเฉี่ยวตรงเสื้อบริเวณเอวจนขาดวิ่นเป็นริ้วซึ่งก็โดนผิวแบบเฉี่ยวๆ
“โอ๊ย!” อนามิการ้อง
จอห์นหันมาแล้วเงื้อมีดพุ่งเข้าไปหา อนามิกาจวนตัว เธอมองกล้องในมือแล้วตัดสินใจใช้กล้องขว้างเข้าใส่หน้าจอห์นเต็มๆ จอห์นร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด “อ๊าก...”
ณดลพุ่งเข้ามาทันที
“อนามิกา...หนีเร็ว”
จอห์นเอามือกุมหน้าแล้วหันรีหันขวาง เขาเห็นณดลมายืนขวางอนามิกาไว้เลยหยิบกล้องถ่ายรูปที่ตกอยู่ที่พื้นแล้ววิ่งหนีไป
“อ้าว..เฮ้ย...กล้องฉัน my camera” ณดลตะโกนตามไป
อนามิกาโกรธ “แก...ไอ้หัวขโมย”
อนามิกาหันไปเจอก้อนอิฐขนาดพอดีมือก็รีบหยิบ แล้ววิ่งตามไป ณดลรีบร้องห้ามไว้
“เดี๋ยว! อนามิกา แล้วเธอจะตามมันไปทำไม”
ณดลมองตามด้วยความเป็นห่วง ส่วนนลิณากับเกตนิการ์หดหัวหลบหลังกำแพงอย่างมิดชิด

จอห์นวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็วพอเลี้ยวเข้าตรอกแคบ เขาก็ชะลอฝีเท้าเพราะนึกว่ารอดแล้ว ก่อนจะยกมือกุมใบหน้า “อูว”
จอห์นยกกล้องขึ้นมาดูแล้วก็ยิ้มด้วยความดีใจ แต่พอหันกลับไปก็ต้องสะดุ้งโหยงเพราะเห็นอนามิกาถือก้อนอิฐวิ่งเงื้อง่าเข้ามาหา
“Hey! Stop!” อนามิกาตะโกน
จอห์นวิ่งหนีไปอีกทาง อนามิกาวิ่งตาม ส่วนณดลวิ่งตามมาไกลๆ
“อนามิกา” ณดลร้องเรียก

จอห์นถือกล้องถ่ายรูปวิ่งหนี เขาวิ่งเลี้ยวเข้าตรอกมาแต่ก็ต้องเบรกตัวโก่งเมื่อเจอทางตัน เขาหันไปเผชิญหน้ากับอนามิกาที่วิ่งตามมาหยุดยืนหอบหายใจ
“Give me back my camera”
“You want this” จอห์นชูกล้องขึ้นมา ส่วนอีกมือยกมีดขึ้นมา “or this?”
จอห์นถือมีดเดินย่างเข้ามาหา อนามิกาผงะถอยแล้วเงื้อก้อนอิฐในมือขว้างออกไป จอห์นยกสองมือขึ้นบังแต่ก็โดนก้อนอิฐปาแสกหน้าจนร้องเสียงหลงมีดหลุดมือตกพื้น จอห์นทรุดลง คุกเข่าข้างหนึ่งยกมือขึ้นกุมหน้า
“อ๊าก...อู้ว”
อนามิการีบเข้าไปยื้อกล้องถ่ายรูปมาแล้วยกเท้าเตะจอห์นที่ยังนั่งทรุดอยู่เต็มแข้ง แล้วจึงกระโดดถอยออกมา
“ให้มันรู้มั่ง เล่นกะใครไม่เล่น มาเล่นกะคนไทย”
อนามิกาพูดจบก็ผงะเพราะโดนจอห์นดึงไว้ จอห์นตบฉาดเข้าที่หน้าอนามิกาไปเต็มๆ
“You bitch!”
“โอ๊ย!” อนามิการ้องเสียงหลง
จอห์นบีบคออนามิกา อนามิกาเอากล้องในมือตีเข้าที่หน้าของจอห์นเต็มแรง
ทันใดนั้นเสียงณดลก็ดังขึ้น “หยุดนะ!”
ณดลวิ่งเข้ามาแล้วกระโดดเข้ามาขวาง “Stop!!”
ณดลดึงตัวอนามิกาออกมาได้แล้วผลักจอห์นล้มลงไปบริเวณใกล้ๆ กับมีดที่ตกอยู่ จอห์นเหลือบมองมีด แล้วคว้ามีดก่อนจะค่อยๆ ขยับลุกขึ้นมา
ณดลหันมาถามอนามิกา “เธอเป็นอะไรรึเปล่า”
อนามิกาเห็นจอห์นถือมีดก็รีบร้องบอกณดลที่ยืนหันหลังให้จอห์นทันที
“ระวัง!”
ณดลหันมาเห็นก็ตกใจ จอห์นเงื้อมีดโผเข้ามา ณดลรีบหลบแล้วพุ่งเข้าไปกอดรวบประชิดตัวไว้ อนามิกายืนลุ้นอย่างหวาดเสียวและเป็นห่วงณดล
ณดลกอดรัดยื้อกับจอห์นอยู่ มือหนึ่งของเขาจับข้อมือของจอห์นไว้ไม่ให้จอห์นใช้มีดถนัด นลิณากับเกตนิการ์วิ่งตามมาแล้วรีบแอบมองอยู่ที่หน้าตรอกทางเข้า
“ตายแล้ว...ไอ้ฝรั่งนี่มันจะรู้มั้ยว่าอย่าทำร้ายคุณณดลน่ะ” เกตนิการ์ตกใจ
“มันจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ ต้องรีบออกไปห้ามมัน”
พูดจบนลิณาก็จะปราดออกไป แต่เกตนิการ์รีบฉุดไว้
“จะบ้าเหรอนลิณา ขืนทำอย่างงั้น เค้าก็รู้หมดสิ ว่าเราเป็นคนจ้างมันมา”
ณดลกับจอห์นยังคงกอดรัดยื้อกันอยู่
“ตีเข่ามันสิ” อนามิกาตะโกนบอก
“หา! เธอว่าไงนะ” ณดลทวน
“กอดคอตีเข่าน่ะ ไม่รู้จักมวยไทยรึไง” อนามิกาบอก
ณดลพยักหน้ารับทราบแล้วประเคนเข่าอัดท้องจอห์นจนตัวโก่ง แล้วอัดเข่าซ้ำเข้าไปอีกที ก่อนจะบิดข้อมือทำให้มีดหล่น จอห์นเอาสองมือกุมท้องด้วยความจุก
ณดลย่ามใจจึงเดินเข้าหา “ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เอาให้ครบทุกท่าแม่ไม้มวยไทยไปเลยแล้วกันนะ”
ณดลเตะชายโครงจนจอห์นร้องเสียงหลงและตัวงอไปตามแรง ณดลเดินเข้ามา กางศอกแล้วสับเข้าไปที่หน้าอีกที
“พอแล้ว เรารีบไปจากที่นี่เหอะ” อนามิกาบอก
ณดลพูดอย่างห้าวหาญ “เดี๋ยว! ขอสั่งสอนมันก่อน จะได้เข็ดไม่กล้าไปทำใครเค้าอีก”
ณดลเดินอย่างห้าวหาเข้าไปหา แต่จอห์นเหวี่ยงหมัดสวนเข้าเต็มปาก ณดลถึงกับเซด้วยความมึน อนามิการีบเข้าไปประคองไว้
“ไหวมั้ยเนี่ย เร็ว!..วิ่ง”
อนามิกาฉุดกระชากลากณดลให้วิ่งไปด้วยกัน นลิณากับเกตนิการ์รีบหาที่หลบ พออนามิกากับณดลวิ่งเลยผ่านไป ทั้งสองจึงโผล่ออกมา
เกตนิการ์มองตาม “มันยังวิ่งปร๋อออกอย่างงั้น ฉันว่ามันคงไม่แท้งแล้วหละ”
นลิณาเหวี่ยงใส่ทันที “ฉันรู้! ไม่ต้องบอกก็ได้ ดูก็รู้แล้ว!”

เกตนิการ์ยิ้มแหยๆ และจ๋อยไป











Create Date : 02 เมษายน 2555
Last Update : 2 เมษายน 2555 23:55:08 น.
Counter : 207 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  

มิกัง
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]