All Blog
แหม่มแก้มแดง ตอนที่ 12



อนามิกากำลังเก็บเสื้อผ้าข้าวของลงกระเป๋าอยู่ในห้องของณภัทร โดยมีศรีนั่งอยู่ไม่ห่าง เพราะต้องการจะสอดรู้แต่ไม่คิดจะช่วยอะไร

“เกิดเรื่องอะไรเหรอ เธอไปทำอะไรเข้า คุณรัตน์ถึงไล่ออกจากบ้าน” ศรีถามอย่างอยากรู้
อนามิกานิ่งเงียบไม่ตอบคำ
“นี่..ฉันถามน่ะ ได้ยินมั้ย”
อนามิกาเสียงเข้มใส่ “ได้ยิน แต่ไม่อยากตอบ มีอะไรมั้ย”
“นี่..ถือดียังไงมาตวาดใส่ฉันยะ”
“แล้วเธอล่ะเป็นใคร ถึงกล้ามาพูดกับฉันแบบนี้”
“ฉันจะเป็นใครมันก็แค่นั้น ถ้าลองว่าคุณรัตน์ไล่เธอออกเหมือนหมูเหมือนหมาแบบนี้ ฉันคงไม่ต้องเกรงใจเธอแล้วหละ”
ทันใดนั้นก็มีเสียงกระแอมดังขึ้นมาที่ประตู ศรีหันไปที่ต้นเสียง
“คุณณดล” ศรีอุทาน
ณดลกำลังยืนอยู่ที่ประตู แล้วเขาก็เดินเข้ามา ศรีก้มหน้าเดินหลบฉากออกจากห้องไปทันที ณดลเดินมายืนหยุดนิ่งมองอนามิกาอย่างโกรธขึ้ง จนอนามิการับรู้ถึงรังสีอำมหิตของเขา อนามิกาเก็บของจนเสร็จรูดซิปกระเป๋า แล้วหันมายืนพูดกับณดล
“คุณคงโกรธฉันมากสินะ แต่ก็สมควรแล้วที่เป็นแบบนั้น...”
ณดลเฉยเมยไม่ตอบอะไร สักครู่อนามิกาจึงเอ่ยขึ้นอีก
“ฉันยอมรับว่าฉันผิด แต่ฉันก็ไม่ได้ตั้งใจจะให้มันเป็นแบบนี้ หวังว่าวันนึงคุณจะเข้าใจ และหายโกรธฉัน”
“หายโกรธน่ะ ไม่ยากหรอกนะ แต่ถ้าจะให้เรียกความรู้สึกดีๆ กับความไว้ใจกลับมา ฉันว่าคงเป็นไปไม่ได้แล้วหละ” ณดลพูด
อนามิกาสะอึกและเสียใจที่ณดลพูดเหมือนจะตัดขาดจากเธอเช่นนั้น
“รีบเก็บข้าวของแล้วออกไปจากบ้านฉัน ฉันไม่มีอะไรจะพูดกับเธออีกแล้ว”
อนามิการู้สึกเจ็บแปลบในใจ เธอพยายามกลั้นน้ำตาและระงับความรู้สึกเสียใจเอาไว้

ศรีใช้สองมือหอบหิ้วกระเป๋าข้าวของของอนามิกาเดินผ่านกอบชัยกับพนารัตน์ที่นั่งที่เก้าอี้รับแขกซึ่งมีณภัทรนั่งอยู่ด้วย
ศรีเหลียวหลังมาพูดกับอนามิกาที่เดินตามมา “ฉันเอาไปวางไว้ที่หน้าบ้านเลยนะ”
ศรีเดินออกไปหน้าบ้าน อนามิกาเดินตามมา ณดลเดินตามโดยรักษาระยะห่างจากอนามิกา อนามิกาวางกระเป๋าสะพายใบโตลงกับพื้น แล้วคลานเข่าไปกราบแทบตักของกอบชัย กอบชัยมองเมินเฉย
“ฉันขออนุญาตกราบลาคุณผู้ชายนะคะ ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างค่ะ”
แล้วอนามิกาก็ขยับมากราบพนารัตน์
“ฉันลานะคะคุณผู้หญิง กราบขอบพระคุณที่เมตตาค่ะ”
พนารัตน์พูดอย่างรำคาญ “พูดจบแล้วก็รีบออกไปจากบ้านฉันไป๊”
“คุณแม่...อะนาเค้าก็กราบลาดีๆ นะครับ” ณภัทรท้วง
“ก็ฉันไม่อยากพูดดีด้วยน่ะ มีอะไรมั้ย ทีหน้าทีหลังจะเลือกคบหาเพื่อนก็ดูดีๆ หน่อย อย่าคบกับผู้หญิงเหลวไหล ไม่มีหัวนอนปลายเท้าอย่างนี้” พนารัตน์ว่าเป็นชุด
“แต่อะนาไม่ใช่ผู้หญิงแบบที่คุณแม่พูดนะครับ” ณภัทรพูด
“ทำไมจะไม่ใช่ มากินนอนห้องเดียวกับผู้ชายได้เป็นเดือน พ่อแม่ไม่ห่วงบ้างรึไงที่ทำตัวแย่ๆ ไม่รู้จักรักนวลสงวนตัวแบบนี้”
อนามิกาอึ้ง เธอได้แต่ทนรับความเจ็บปวดที่โดนพนารัตน์ดุด่าและดูถูก ณดลมองอนามิกาด้วยท่าทีที่ดูเฉยเมยแต่ลึกๆ ก็ยังเห็นใจอนามิกาที่โดนดุด่าแบบนี้
ณดลพูดกับอนามิกา “ฉันว่าเธอรีบออกไปดีกว่า”
“ค่ะ...ขอบคุณทุกคน สำหรับทุกสิ่งทุกอย่างนะคะ”
อนามิกาสบตากับณดลอย่างเศร้าๆ ณดลเองก็มองตอบด้วยใบหน้าที่เหมือนโกรธขึ้งแต่ในใจก็เศร้าไม่ต่างกัน

อนามิกาเดินหิ้วกระเป๋าของเธอออกมา โดยมีศรีช่วยถือกระเป๋าออกมาวางกองที่หน้ารั้ว
“ขอบคุณนะศรี ขอให้โชคดีนะ” อนามิกาหันไปพูด
“อวยพรตัวเธอเองเถอะ ฉันน่ะโชคดีอยู่แล้ว อย่างน้อยฉันก็ยังมีที่ซุกหัวนอนในบ้านหลังนี้” ศรีตอบ
อนามิกาถอนใจอย่างเซ็งๆ เพราะไม่อยากจะต่อความด้วย ศรีเดินเข้ารั้วบ้านไป อนามิกามองย้อนกลับไปที่ตัวบ้าน เธอเห็นณดลออกมายืนที่หน้าประตูและทอดสายตามองเธออย่างอาลัย
ทั้งสองยืนมองกันในระยะไกล
ณภัทรเดินมายืนที่ประตู แล้วก็หยุดชะงักเมื่อเห็นอาการของณดลที่ดูเหมือนว่ายังอาลัยอาวรณ์อนามิกาอยู่ ณดลยังคงมองมาที่อนามิกาทำให้อนามิการู้สึกดีขึ้น สักพักณดลก็ตัดใจหันหลังกลับแล้วเดินผ่านณภัทรเข้าบ้านไป อนามิกาก็รู้สึกเศร้าลงเหมือนเดิม

อนามิกาหอบกระเป๋าเสื้อผ้าข้าวของหลายใบพะรุงพะรังมาหยุดยืนหน้าประตูห้องของธัญญาแล้วก็เคาะประตู แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ อนามิกาลองเคาะประตูอีกครั้ง เมื่อเห็นว่ายังเงียบก็ลองผลักประตูเข้าไป
“เคยล็อคห้องกับเค้าบ้างมั้ยนี่” อนามิกาบ่น

ในห้องของธัญญาปิดม่านจนมืดทึบ แสงที่ส่องผ่านประตูซึ่งเปิดแง้มเข้ามาส่องลอดเข้ามาในห้องที่มืด อนามิกาลากกระเป๋าข้าวของมากองในห้องแล้วก็ทำจมูกฟุดฟิด
“ทำไมห้องเหม็นอับจัง”
อนามิกาเดินเข้ามาในห้องแล้วสะดุดสายตาเมื่อเห็นธัญญานั่งแผ่อย่างคนหมดอาลัยตายอยาก ผมเผ้ายุ่งเหยิง ปล่อยเนื้อปล่อยตัวอยู่ โดยมีขวดเหล้าขวดเบียร์ที่หมดแล้ววางอยู่หลายใบ
“พี่ธัญญา”
อนามิกาตรงเข้าไปประคองพี่สาวให้ลุกขึ้นนั่ง แล้วเธอก็ต้องผงะเมื่อได้กลิ่นเหล้าคละคลุ้ง
“อื้อหือ...มีแต่กลิ่นเหล้า พี่เป็นอะไรของพี่เนี่ย”
ธัญญาพูดด้วยเสียงงัวเงีย “อ้าว..อะนา แกมาทำไม”
“ฉันจะมาอยู่ที่นี่น่ะพี่” อนามิกาตอบเสียงเศร้า “ฉันย้ายออกจากบ้านนั้นแล้ว”
“แกจะย้ายมาอยู่ที่นี่น่ะเหรอ” ธัญญาแค่นหัวเราะคล้ายประชดชีวิต “หึๆๆ”
“นี่พี่เป็นอะไรเนี่ย” อนามิกาเดินไปที่สวิตช์ไฟ “แล้วทำไมไม่เปิดไฟ”
อนามิกากดสวิตช์เพื่อเปิดไฟแต่ไฟไม่ติด เธอลองกดเปิดปิดอีกครั้งแต่ไฟก็ยังไม่ติดเหมือนเดิม
“สวิตช์ไฟเสียเหรอพี่” อนามิกาเดินไปเปิดม่านให้แสงเข้า
“เปล่า...เจ้าของคอนโดเค้าตัดไฟห้องเราแล้ว” ธัญญาตอบ
“หา...ว่าไงนะ”
ธัญญาหยีตาสู้แสง “ฉันค้างค่าเช่าเค้าไว้ ค่าน้ำค่าไฟก็ไม่มีเงินไปจ่าย ฉันถึงขำไงว่าแกจะย้ายมาอยู่ที่นี่ได้ไง ในเมื่อเจ้าของคอนโดเค้าไล่ให้ฉันออกไปแล้ว”
“หา....แล้ว...ทำไมไม่จ่ายเค้าล่ะ พี่เอาเงินไปทำอะไรนักหนา นี่คงหมดกับกินเหล้ากะเล่นไพ่อีกหละสิ”
“แกนี่มันน้องบังเกิดเกล้าจริงๆ ที่ฉันไม่มีเงิน ก็เพราะฉันลาออก ฉันไม่ได้ไปร้องเพลงมาสองอาทิตย์แล้ว”
“อ้าว...รู้ทั้งรู้ว่าเดือดร้อนเรื่องเงิน แล้วยังจะลาออกทำไมล่ะพี่”
“ก็คุณพายัพเค้าติดนักร้องคนใหม่ เค้าบอกเลิกฉัน”
“แล้วทำไมต้องลาออกล่ะ”
“ใจคอแกจะให้ฉันไปร้องเพลงทำหน้าระรื่นที่นั่น ทั้งๆ ที่คนที่ฉันรักขลุกอยู่กับผู้หญิงคนอื่นเนี่ยนะ ฉันก็เลยลาออกมา เงินเดือนนี้เค้าก็จะไม่จ่ายฉัน”
“เฮ้ย...ทำงี้ได้ไงอ้ะ พี่ไม่ต้องกลัว เดี๋ยวฉันไปทวงให้เอง ผู้ชายอย่างอีตาพายัพเนี่ย มันต้องเจอผู้หญิงอย่างฉันด่าซะบ้าง”
“แกมีเงินมั้ย เอาไปจ่ายค่าเช่าเค้าซะสิ”
“ยังเลยพี่ ที่บ้านนั้นมีเรื่องนิดหน่อย ฉันก็เลยยังไม่กล้าทวงนายภัทรเค้าน่ะ”
อนามิกากับธัญญานั่งกลุ้ม สักพักธัญญาก็เอ่ยถามขึ้น
“แล้วแกจะไปอยู่ไหนล่ะเนี่ย”
อนามิกาถอนใจ “ก็คงไปขออาศัยเพื่อนอยู่น่ะสิ บ้านยัยอาร์ทน่ะแหละ งั้นเดี๋ยวพี่เก็บเสื้อผ้าข้าวของเลยมั้ย เดี๋ยวฉันช่วย”
“จะดีเหรอ พี่ไปอยู่จะเป็นภาระหรือเปล่า เกรงใจเพื่อนแก”
“พี่...นี่เรายังมีทางเลือกด้วยเหรอ ลุกขึ้นไปอาบน้ำอาบท่าได้แล้ว”
ธัญญารู้สึกเสียใจ “อะนา...”
“อะไรพี่”
“ขอโทษนะ ฉันเป็นพี่ที่ไม่เอาไหน ต้องให้แกช่วยดูแลตลอด”
“ไม่เอาน่าพี่ เราก็มีกันแค่สองพี่น้องนี่แหละ รีบลุกขึ้นเหอะพี่”
ธัญญาพยักหน้าแล้วยันกายลุกขึ้นก่อนจะดินไป
ดวงตาของอนามิกาฉายแววเศร้าที่พบว่าทุกอย่างดูเลวร้ายไปเสียหมด

อัธวุธกำลังนั่งเปิดสมุดสเก็ตช์ การดีไซน์เสื้อผ้าของตนให้เมธาวีดูอยู่ที่ห้องรนับแขกของบ้านของเขา เมธาวีดูด้วยท่าทีหงอยๆ ซึมๆ
“แกดูสิเนี่ย ฉันมีไอเดียอยู่เยอะแยะไปหมด แต่ลำพังตัวฉันมีแค่สองมือ จะไปทำอะไรไหว ฉันถึงอยากให้แกปิดร้านแกซะ แล้วออกมาช่วยฉันตรงนี้ นี่แกฟังฉันอยู่รึเปล่าเนี่ยยัยเม”
เมธาวีพยักหน้าอย่างหงอยๆ “อื้อ...ฟังอยู่”
“มาอยู่กับฉัน ก็เหมือนเป็นหุ้นส่วนกัน งานก็ช่วยกันทำ เงินก็ช่วยกันใช้ ถ้ารวยก็ต้องรวยด้วยกันทั้งคู่ นี่แกเป็นอะไรยะยัยเมธาวี ฉันบิ๊วท์ซะขนาดนี้ยังนั่งซึมกระทืออยู่ได้ ไม่เห็นอนาคตสดใสอย่างที่ฉันเห็นเหรอยะ” อัธวุธถาม
“เห็นจ้ะพี่อาร์ท เมก็ไม่ได้ปฏิเสธซะหน่อย ถ้าพี่อาร์ทอยากให้ช่วย ฉันก็ไม่มีปัญหา ดีเหมือนกัน เมทำคนเดียวดูแล้วไม่ค่อยจะรอดน่ะ”
“อืม...คนเราจะทำธุรกิจอะไร ก็ต้องมีเขี้ยวเล็บไว้ป้องกันตัวบ้าง แกมันเป็นคนดี แล้วก็อ่อนต่อโลกธุรกิจเกินไป ว่าแต่..แกพร้อมจะทำงานแล้วเหรอ”
“แล้วทำไมพี่อัธวุธถึงมองว่าเมยังไม่พร้อมล่ะ”
“ก็ดูแกยังกังวลเรื่องนายภัทรอยู่เลย แกกลัวว่านายภัทรจะต้องแต่งงานกับยัยแพรวาอะไรนั่นใช่มั้ย”
เมธาวีอ้ำอึ้ง ไม่ตอบอะไร
“แล้วแกจะทำยังไงต่อไปเนี่ยเม”
“เมจะทำอะไรได้ล่ะพี่อาร์ท อะไรจะเกิดก็เกิดแล้วกัน”
“ฉันว่าแกใจเย็นๆ แล้วรอดูทิศทางลมอีกหน่อยดีกว่า ตอนนี้อย่าว่าแต่แกเลยเม อีตาภัทรเองก็ยังมืดแปดด้าน ไม่รู้อนาคตตัวเองเหมือนกัน”
เมธาวีพยักหน้า เธอยังพอรู้สึกดีที่มีอัธวุธอยู่ใกล้ๆ
“เฮ่อ...เพื่อนฉันแต่ละคน เจอจัดหนักกันทั้งนั้น ทั้งแก ทั้งอีตาภัทร แล้วก็ยัยอะนา...พากันดวงแตกยกแก๊งค์เลยนะนี่”
อัธวุธ แตะตัวเมธาวีเพื่อปลอบและให้กำลังใจ

หนุ่มใหญ่เดินเข้าไปในคลับของพายัพที่มีพนักงานสาวเซ็กซี่ยืนสวัสดีต้อนรับ อนามิกาดึงแขนธัญญาที่ดูไม่ค่อยเต็มใจนักมาด้วย
“อะนา...พี่ว่าอย่าเลย” ธัญญาต่อรอง
“ไม่ได้นะพี่ ยังไงก็อุตส่าห์มาถึงนี่แล้ว ถ้าพี่กลัว พี่ยืนเฉยๆ ไม่ต้องพูดอะไรก็ได้ เดี๋ยวฉันจัดเอง” อนามิกาบอก
พนักงานสาวหน้าคลับเห็นธัญญาก็ทักขึ้น
“อ้าว...พี่ธัญญา กลับมาร้องเพลงแล้วเหรอ”
“เอ่อ...คือ...” ธัญญาอึกอัก
“ค่ะ...ใช่” อนามิกาตอบแล้วหันมาหาธัญญา “เข้ามาเลย เร็วสิ”
อนามิกาลากแขนธัญญาให้เข้าประตูคลับไป

อนามิกาลากแขนธัญญาเข้ามาในคลับ เธอสอดส่ายสายตาไปทั่วคลับ พอดึงธัญญาเดินต่อไปอีกนิดเธอก็ชะงักตกใจ
“ดูซะ พี่ธัญญา ดูซะให้เต็มตา”
ธัญญาหันมองไปตามที่น้องสาวบอกก็เห็นพายัพกำลังนั่งอี๋อ๋ออยู่กับนักร้องสาวเซ็กซี่คนใหม่ที่มุมหนึ่งในคลับ ธัญญาเห็นแล้วขึ้น ด้วยพิษรักแรงหึงเธอรีบเดินตรงรี่เข้าไป อนามิกาพยายามดึงไว้แต่ก็ไม่ทันแล้ว
“มันจะมากเกินไปแล้ว” ธัญญาฉุนมาก
“พี่ธัญญา” อนามิกาเรียกไว้
ธัญญาพุ่งตรงเข้าไปกระชากนักร้องสาวนางนั้นออกมาจากที่กำลังนั่งตักอี๋อ๋อกับพายัพอยู่
“ว๊าย!” นักร้องสาวร้องออกมา
พายัพตกใจเมื่อเห็นธัญญา “ธัญญา!”
“เธอเป็นบ้าอะไรเนี่ย” นักร้องสาวหันมาถาม
ธัญญาพุ่งเข้าใส่ “ทำไม มีปัญหามั้ย หรือเธออยากจะลอง?”
ธัญญาขยับเข้าหา นักร้องสาวเซ็กซี่เห็นท่าไม่ดีก็เดินฉากออกไป
“คุณลาออกแล้ว จะกลับมาอีกทำไม” พายัพถาม
อนามิกเดินเข้ามา “ก็กลับมาทวงเงินที่คุณยังไม่จ่ายพี่ธัญญาน่ะสิคะ”
“อ้าว...วันนี้น้องสาวคนสวยมาด้วยเหรอ”
“ค่ะ อย่าเพิ่งเปลี่ยนเรื่องสิคะ เคลียร์เรื่องเงินเดือนให้พี่สาวฉันก่อน”
“อะไรกันเนี่ย ธัญญา ดูแลน้องสาวคุณหน่อยสิ”
“อะนา...พี่ว่าพอดีกว่า” ธัญญาเริ่มได้สติ
“เฮ้ย...ได้ไงพี่” อนามิกาหันมาหาพายัพ “คุณก็เป็นผู้ใหญ่แล้วนะ ลูกน้องลาออก แล้วพาลเบี้ยวไม่จ่ายเงินเดือนแบบนี้ ไม่รู้สึกละอายบ้างหรือไง”
“เธอเป็นไงบ้างธัญญา” พายัพหันมาถาม
“เอ่อ...ก็...สบายดี แล้วคุณล่ะ” ธัญญาตอบ
“ก็ปวดหัวนิดหน่อย คุณก็รู้ ว่าเดี๋ยวนี้เศรษฐกิจเป็นไง ลูกค้าก็น้อยลง ร้านแถวๆ นี้ก็เริ่มทยอยปิดตัวกัน ร้านผมนี่ก็ติดลบมาหลายเดือนแล้ว”
ธัญญาเริ่มเป็นห่วง “จริงเหรอคะ เดี๋ยวก็ดีขึ้นมังคะ”
อนามิกาพูดแทรกขึ้น “ดะ..เดี๋ยวๆๆ พี่ธัญญา นี่เราจะมาโวย มาทวงเงินให้พี่นะ ไม่ต้องไปพูดกับเค้าดีๆ ขนาดนั้นหรอก” อนามิกาหันมาทำเสียงแข็งใส่พายัพ “พี่สาวฉันไม่ได้แคร์คุณหรือว่าร้านคุณจะลบจะบวกอะไรหรอกนะ จ่ายเงินเรามาเดี๋ยวนี้!”
“เธอแน่ใจเหรออะนา ว่าพี่สาวเธอไม่แคร์ฉัน” พายัพถาม
“ใช่! ฉันแน่ใจ” อนามิกาหันมาหาธัญญา “พี่บอกเค้าไปสิ ว่าพี่ไม่ได้แคร์ ไม่ได้รัก ไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขาแล้ว”
“เอ่อ...แต่ว่า...ฉันยังเป็นห่วง แล้วก็ยังรู้สึกดีๆ กับคุณพายัพอยู่น่ะสิ” ธัญญาตอบ
อนามิกาแทบหงายหลังที่รู้ว่าพี่สาวตนเองยังรู้สึกแบบนี้
“พี่ธัญญา นี่มันอะไรกันเนี่ย”
พายัพยิ้มเยาะ “หมดธุระแล้วก็กลับออกไปเหอะนะ มาโวยวายในร้านฉันแบบนี้ เดี๋ยวก็เรียกตำรวจมาหิ้วปีกออกไปหรอก”
อนามิกาทั้งอึ้ง ทั้งเหวอ เธอรู้สึกอึดอัดคับข้องใจที่ทำอะไรพายัพไม่ได้

อนามิกาดึงแขนธัญญาเดินเร่งฝีเท้าออกมาจากคลับ พอพ้นปากประตูธัญญาก็สะบัดแขนออก
“นี่...แกจะลากจะจูงพี่ไปถึงไหน ฉันไม่ใช่วัวใช่ควายนะ”
“ถ้างั้นพี่ก็น่าจะคิดได้ นายพายัพทำกับพี่แย่ๆ ขนาดนี้ พี่ยังจะไปดีกับเค้า”
“ฉันไม่ได้อยากเป็นแบบนี้หรอกนะ ฉันก็เพิ่งรู้ตัวเหมือนกัน”
“รู้ตัวว่าไงเหรอพี่”
“ก็รู้ตัวว่าฉันยังรักคุณพายัพอยู่น่ะสิ”
“หา...” อนามิกาตกใจ
อนามิกาทำหน้าเหมือนถูกผีหลอก เธออึ้งไปพักใหญ่ก่อนจะพูดขึ้น
“พี่ธัญญา เค้ายังทำพี่เจ็บไม่พอใช่มั้ย ฉันขอร้องหละนะ อย่ามาเหยียบที่ร้านนี้อีก ฉันไม่อยากเห็นพี่ร้องไห้ ไม่อยากเห็นพี่เป็นแบบนี้อีกแล้ว”
ธัญญารู้สึกหนักใจเพราะเธอหลงรักพายัพไปแล้ว และก็หาทางออกให้ตัวเองไม่ได้เช่นกัน
“ว่าไงพี่ ฉันขอนะ ไหว้หละ...อย่ามาที่นี่อีกเด็ดขาด” อนามิกาย้ำ
ธัญญาลังเลสักครู่ก่อนจะพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจนัก

เสรี นลิณา และแพรวานั่งอยู่ที่เก้าอี้รับแขก เสรีกับนลิณาหัวเราะร่วนอย่างมีความสุข ขณะที่แพรวาฝืนๆ ยิ้มตามไปโดยไม่ได้มีอารมณ์ร่วมไปด้วย
นลิณาพูดกลั้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “ดูสิคะ ในที่สุด นังอะนามันก็แพ้ภัยตัวเองจนได้ ไม่ต้องหาทางกำจัดให้เหนื่อยแรง มันก็กำจัดตัวเองไปซะ”
“ก็สมควรแล้วหละ ที่โดนไล่ออกจากบ้าน ถ้าพ่อเป็นพวกคุณกอบ คุณรัตน์ จะแจ้งตำรวจจับด้วยซ้ำ” เสรีบอก
“ข้อหาหลอกลวงว่าตั้งครรภ์โดยเจตนาใช่มั้ยคะ ฮ่าๆ” นลิณาหันไปมองแพรวา “เอ๋...เป็นอะไรเนี่ยน้องแพร”
แพรวานั่งนิ่ง เสรีขยับมาโอบลูกสาวคนเล็กอย่างเอ็นดู
“ไม่ดีใจเหรอแพร สรุปว่านายภัทรไม่เคยมีเมียมีลูก โสดไม่มีตำหนิเลยนะ”
“เอ่อ...ก็...” แพรวาฝืนๆ ยิ้มแล้วพยักหน้าไปแกนๆ “ค่ะ”
เสรียิ้มอย่างสบายใจ นลิณาเข้ามาเกาะแขนอ้อนเสรี
“ดูสิคะ น้องแพรน่ะสมหวังไปแล้ว แต่นีน่าล่ะคะคุณพ่อ”
“ลูกก็น่าจะสบายใจได้แล้วนี่ เห็นเคยบอกว่าแม่อะนาชอบมาเกาะแกะนายณดล ตอนนี้เค้าก็โดนไล่ตะเพิดออกไปแล้วนี่”
“แต่คุณณดลก็เหลือเกินนะคะคุณพ่อ คนอะไรเย็นชายังกะภูเขาน้ำแข็ง” นลิณาบอก
“ถ้าเป็นภูเขาน้ำแข็งจริงก็ไม่น่าเป็นห่วงนะ ช่วงนี้กำลังเข้าสู่ภาวะโลกร้อนประกอบกับเสน่ห์ของลูกสาวพ่อ ต่อให้ภูเขาน้ำแข็งก็ต้องละลายได้น่ะ” เสรีมั่นใจ
นลิณายิ้มคิกคัก เสรีกอดลูกสาวทั้งสองด้วยความรักและเอ็นดูอย่างสุดหัวใจ

ณดลนั่งซึมอยู่ในบริเวณสวนหย่อมของบ้าน ข้างๆ ตัวเขามีแก้ววิสกี้วางอยู่ ณภัทรเดินออกมาจากบ้านแล้วเห็นณดลก็หยุดยืนมองซักครู่ แล้วจึงก้าวเข้ามา
“นี่พี่ไม่คิดจะช่วยปกป้องอะไรบ้างเลยเหรอ” ณภัทรถาม
“ปกป้องใคร” ณดลถามกลับ
“ก็อะนาน่ะสิครับ”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉัน”
“เกี่ยวสิ เกี่ยวเต็มๆ เลย เพราะเค้าชอบพี่ แล้วผมก็รู้ด้วยว่าพี่ก็ชอบเค้า”
ณดลอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วก็เก็บอาการรีบทำเสียงแข็ง “ถ้าเค้าชอบฉันจริง เค้าจะทำแบบนั้นกับฉันเหรอ”
“อะนาเค้าไปทำอะไรพี่”
“แกไม่เข้าใจหรอก”
“ก็จะไปเข้าใจได้ไง ในเมื่อพี่ไม่ยอมเล่าให้ผมฟังน่ะ เอาสิ..พี่ก็เล่ามาสิ
“ก็...เอ่อ...ทำไมต้องเล่าให้แกฟัง ฉันไม่อยากเล่า”
“พี่ไม่อยากเล่าก็เพราะว่าพี่แอบชอบอะนา แต่พี่รู้สึกผิด เพราะคิดว่าอะนามีลูกกับผมใช่มั้ย”
ณดลตกใจที่ณภัทรรับรู้เรื่องนี้เลยได้แต่อึกอักแล้วหลบสายตา
“ผมรู้มาตลอดว่าพี่รู้สึกยังไงกับอะนา แล้วผมก็รู้ด้วยว่าอะนาเค้าก็รู้สึกดีๆ กับพี่เหมือนกัน” “แต่ถึงยังไง ฉันไม่ใช่คนที่เลวขนาดจะทำอะไรเกินเลยกับเมียน้องชายตัวเองได้หรอกนะ” ณดลบอก
“แต่ตอนนี้พี่ก็รู้แล้วไงว่าอะนาไม่ใช่เมียผม แล้วพี่ยังจะรู้สึกผิดอยู่ทำไม ถ้าพี่ชอบเค้าจริง พี่ก็ควรจะช่วยปกป้องเค้าบ้างสิ ไม่ใช่ปล่อยให้คุณแม่ไล่เค้าออกไปเหมือนหมูเหมือนหมาแบบนี้”
“แกคิดว่าแกเข้าใจฉัน...แต่จะบอกให้นะ จริงๆ แล้วแกไม่เข้าใจฉันเลย”
ณภัทรสวนขึ้น “ไม่เข้าใจยังไง พี่ก็ว่ามาสิครับ”
ณดลสวนกลับทันที “แกไม่เข้าใจว่าฉันต้องทนทุกข์ทรมานแค่ไหน ต้องรู้สึกผิดบาปแค่ไหน เค้าทำให้ฉันเหมือนตกนรกทั้งเป็น เค้าทำให้ฉันเกลียดตัวเองที่แอบชอบเมียน้องชายของตัวเอง แกไม่เป็นฉัน แกไม่มีวันเข้าใจหรอกไอ้ภัทร”
ณดลลุกพรวดแล้วหุนหันเดินชนไหล่ณภัทรจนณภัทรแทบเซ แล้วณดลก็เดินเข้าบ้านไป ณภัทรมองตามณดลไปด้วยความเห็นใจ

เมธาวีกำลังเก็บกวาดกิ่งไม้ใบหญ้าอยู่บริเวณหน้าบ้านของอัธวุธ เธอเก็บขยะ ยกถังขยะ และทำงานที่หนักเกินตัวผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างเธอ อัธวุธเดินออกจากบ้านมาเห็นก็รีบร้องทัก
“ยัยเม...แกทำอะไรของแกน่ะ หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ”
“ไม่เป็นไรพี่อาร์ท เมมาอาศัยอยู่ ก็อยากจะช่วยทำอะไรบ้าง”
“โอ๊ย...ไม่ต้องหรอกย่ะ งานพวกเนี้ยฉันจ้างคนมาทำได้”
“แต่จะให้เมอยู่ที่เฉยๆ ไม่ช่วยอะไร เมก็เกรงใจนะพี่อาร์ท”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกย่ะ ไม่ใช่มีแค่แกหรอกนะยัยเมที่มาอยู่บ้านฉันนี่”
เมธาวีงง “แล้วมีใครอีกเหรอพี่อาร์ท ก็เห็นมีแต่เราสองคนนี่แหละ”
“อ๊ะ! นี่เธอยังไม่รู้ใช่มั้ย” อัธวุธถามกลับ
“รู้อะไร ใครจะมาอยู่กะเราเหรอ”
อัธวุธยังไม่ตอบ แต่มองไปทางหน้ารั้วครู่หนึ่งจึงพูดขึ้น “นั่นไง มาพอดี”
เมธาวีหันไปมองที่หน้ารั้วตามอัธวุธ แล้วก็ร้องด้วยความดีใจ
“พี่อะนา”
อนามิกากับธัญญายืนหอบหิ้วกระเป๋าข้าวของพะรุงพะรังลงจากรถแท็กซี่ที่จอดอยู่หน้ารั้ว คนขับรถแท็กซี่ช่วยยกกระเป๋ามาวางหน้ารั้ว แล้วก็กลับเข้าไปนั่งในรถก่อนที่จะขับรถออกไป
“อ้าว..พี่ธัญญา” เมธาวีรีบยกมือไหว้ “สวัสดีค่ะ”
ธัญญารับไหว้ “สวัสดีจ้ะ พี่ต้องขอรบกวนมาอาศัยอยู่ชั่วคราวก่อนน๊า”
“โถ...อย่าพูดอย่างงั้นสิพี่ธัญญา อยู่ถาวรก็ได้จ้ะ อยู่กันเยอะๆ จะได้ไม่เหงา” อัธวุธบอก
“ดูสิ ฉันรบกวนขออาศัยบ้านแกตั้งแต่อยู่ลอนดอน จนกลับเมืองไทย ฉันยังตามมาหลอกมาหลอนแกอีก” อนามิกาแซวตัวเอง
“โอ๊ย..มาหลอนเลยย่ะ ฉันไม่กลัว ในบ้านฉันมีพระ” อัธวุธหยอกกลับ
“มา..เมช่วยขนของเข้าบ้าน” เมธาวีเดินมาช่วยยกกระเป๋า
อัธวุธช่วยยกกระเป๋า แล้วผายมือเชิญ “เชิญจ้า... welcome to our home ยินดีต้อนรับสู่บ้านของพวกเรา”
ทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใสแล้วช่วยกันหอบหิ้วกระเป๋าข้าวของเดินเข้าบ้านไป

ศรียกน้ำชามาเสิร์ฟที่โต๊ะรับแขกของบ้านกอบชัยที่กอบชัย พนารัตน์ และเสรีนั่งอยู่
“ขอบใจ” เสรีพูด
พนารัตน์หันมาพูดกับศรี “ศรี รีบไปดูแลหาน้ำ หาขนมให้พวกหนุ่มๆ สาวๆ ด้านนอกด้วยล่ะ”
“ศรีจัดการเรียบร้อยแล้วค่ะคุณรัตน์” ศรีตอบ
“ดี...” พนารัตน์ชม
ศรีถอยไปยืนนิ่งอย่างเสนอหน้าคอยรับใช้
“ศรี เค้าจะคุยธุระกัน เธอหลบไปที่อื่นก่อนไป๊” พนารัตน์บอก
“อ้อ..ค่ะ...” ศรีรีบถอยกรูดออกไป
พอพนารัตน์หันมา เสรีจึงพูดขึ้น
“ผมก็ไม่อยากจะจู้จี้ หรือพูดอะไรซ้ำๆ หรอกนะ แต่ตอนนี้เรื่องของนายภัทรก็เคลียร์กันจบแล้ว ไม่ทราบว่าคุณกอบกับคุณรัตน์จะดำเนินการยังไงต่อ”
“ไม่ต้องกังวลเลยครับคุณเสรี เรื่องของเจ้าณภัทรกับหนูแพรวานี่” กอบชัยมองไปทางพนารัตน์ “ทางผมกับคุณรัตน์ได้คุยกันแล้ว”
“ค่ะ..คือเดือนหน้านี่ก็จะครบรอบแต่งงานสามสิบปีพอดี” พนารัตน์บอก
พนารัตน์กับกอบชัยหันมามองตากันอย่างหวานเชื่อม ทั้งสองจับมือประคองมือกันอย่างทะนุถนอม
เสรีเห็นก็ชักอึดอัด “เอ่อ..ครบรอบแต่งงานคุณสองคนใช่มั้ย”
กอบชัยกับพนารัตน์ยิ้มแล้วตอบอย่างมีความสุข “ใช่ครับ / ใช่ค่ะ”
เสรีชักฉุน “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่ผมกำลังพูดอยู่ไม่ทราบ ผมถามถึงเรื่องการแต่งงานของนายณภัทรกับลูกสาวผม ไม่ได้ถามถึงวันครบรอบแต่งงานของพวกคุณ”
กอบชัยกับพนารัตน์หันมองหน้ากันอย่างงงๆ แล้วพนารัตน์ก็รีบหันมาอธิบาย
“ค่ะ เราสองคนก็กำลังพูดเรื่องเดียวกับคุณเสรีนี่แหละ”
“คือเราจะใช้งานครบรอบแต่งงานครั้งนี้ เพื่อประกาศงานหมั้นหมายของหนูแพรวากับเจ้าภัทรอย่างเป็นทางการน่ะครับ” กอบชัยอธิบาย
เสรีถึงบางอ้อจึงพยักหน้าว่าเข้าใจและเริ่มยิ้มออก

ณภัทรกับแพรวาต่างนั่งนิ่งอยู่ในสวนหย่อมหน้าบ้าน ต่างคนต่างชมวิวเหมือนคนไม่รู้จักกัน ขนมกับน้ำชาบนโต๊ะข้างๆ ถูกตั้งทิ้งไว้เฉยๆ นลิณายืนสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ ชักอดรนทนไม่ไหว เธอส่ายหน้าแล้วเดินเข้ามายืนท้าวโต๊ะ
“นี่! สองคนเนี้ย ช่วยทำตัวให้เหมือนกับว่าที่คู่หมั้น คู่วิวาห์หวานชื่นหน่อยได้มั้ย นี่อะไร นั่งนิ่ง ไม่พูดไม่จาเหมือนคนไม่รู้จักกัน”
“ก็ในเมื่อฉันกับคุณแพรไม่ได้มีเรื่องจะคุยกัน ก็ไม่เห็นจะแปลกอะไรนี่นา” ณภัทรบอก
“แต่นายก็ควรเทคแคร์ หาเรื่องคุยกับน้องฉันมั่ง หรือว่าเขินที่ฉันอยู่ตรงนี้ จริงด้วยสินะ งั้นเดี๋ยวฉันไปหาคุณณดล” นลิณาหันมาบอกแพรวา “คุยกับนายภัทรเค้าบ้างนะยัยแพร”
แพรวารับคำอย่างไม่เต็มใจนัก “ค่ะ...”
นลิณาเดินออกไป แพรวาหันมามองณภัทร ทั้งสองต่างพยายามจะนึกหาเรื่องคุยกัน แต่ก็อ้ำอึ้งเพราะต่างคนต่างไม่รู้จะเอ่ยอะไรออกมา แต่ครู่หนึ่งทั้งสองก็เอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมาพร้อมกัน
“เอ่อ..คุณ”
“คุณแพรพูดก่อนสิ” ณภัทรบอก
แพรวาสวนทันที “คุณภัทรพูดก่อนดีกว่า”
“คือผมแค่ทักขึ้นมา ไม่ได้มีเรื่องจะพูดอะไร คุณว่ามาเถอะ”
“ฉันก็ไม่ได้จะคุยอะไรเหมือนกัน แค่เห็นเงียบไปนาน ก็เลยพูดขึ้นมา”
ณภัทรกับแพรวาต่างคนต่างหันกลับไปแล้วนั่งนิ่ง ครู่หนึ่งณภัทรก็พูดขึ้นมา
“เอ่อ...ผมต้องขอโทษด้วยนะ ผมไม่ใช่คนที่คุยเก่งอะไรนักหนา หวังว่าผมคงไม่ได้ทำให้คุณเบื่อนะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ แพรเข้าใจ แค่ต้องอยู่ใกล้ๆ แพร คุณภัทรก็ต้องฝืนใจจะแย่อยู่แล้ว”
“ไม่ใช่อย่างงั้นนะ ผมไม่ได้ฝืนใจอะไร คุณเป็นคนดี เป็นคนน่ารัก เพียงแต่ว่า...”
“แต่อะไรเหรอคะ” แพรวาถาม
“ผมมีใครคนนึงอยู่ในใจแล้วน่ะ” ณภัทรสารภาพ
“เหรอคะ...คนคนนั้นคงเป็น...คุณเมใช่มั้ย”
“เอ่อ...จะเป็นใครก็แค่นั้นแหละครับ เพราะถึงยังไง ทางผู้ใหญ่เค้าก็บังคับให้เราสองคนหมั้นกันอยู่ดี”
“แพรเข้าใจดีค่ะ ว่าหัวอกของคนที่โดนพ่อแม่บังคับจะเป็นยังไง เพราะแพรเองก็ไม่ได้ต่างไปจากคุณภัทรหรอกค่ะ”
ณภัทรหันขวับมามองมองหน้าแพรวา “คุณแพรก็ไม่ได้อยากหมั้นเหมือนกันใช่มั้ย”
“ก็...ทำนองนั้น”
“งั้นเราก็เห็นไปในทางเดียวกันน่ะสิ ถ้าเราสองคนยืนยันว่า เราไม่ได้รักกันแบบนั้น เราก็ยังมีความหวังที่จะล้มเลิกการหมั้นครั้งนี้ไง”
“แต่แพรไม่ได้อยากจะยกเลิกนะคะ เพราะยังไง แพรก็คงไปฝืนความตั้งใจของคุณพ่อไม่ได้อยู่ดี”
“คุณแพร เราจะยอมหมั้น ยอมแต่งงานกัน ทั้งที่เราสองคนรู้อยู่แก่ใจว่าเราไม่ได้รักกันแบบนั้นเนี่ยนะ”
“ใช่ค่ะ แพรไม่ได้มีทางเลือกนี่คะ ถึงยังไงแพรก็จะต้องยอมหมั้นกับคุณภัทรอยู่ดี หรือบางทีเราก็ควรจะหมั้น จะแต่งกันไปก่อน แล้วค่อยไปคิดหาทางออกกันหลังจากนั้น”
“เอ่อ...แต่ว่า...มันจะดีเหรอคุณแพร”
“แล้วเราสองคนมีทางเลือกอื่นด้วยเหรอคะคุณภัทร”
ณภัทรถอนใจยอมรับอย่างเศร้าๆ ว่าคงไม่มีหนทางอื่นแล้ว

ณดลกับนลิณาเดินคุยไปด้วยกันอยู่ที่อีกมุมหนึ่งของบ้าน นลิณาพยายามเกาะแกะใกล้ชิดณดลอย่างออกนอกหน้า
“เห็นมั้ยคะ ตั้งแต่อยู่ลอนดอน นลิณาก็ว่าแล้ว จะเป็นไปได้ไง ที่ยัยอะนากับนายภัทรจะเป็นแฟนกัน” นลิณารีบพูด
“แต่หลังจากนั้นคุณก็เชื่อยัยอะนาซะสนิทเลยเหมือนกันนี่” ณดลบอก
“ก็ใครจะไปรู้ล่ะคะ เล่นหลอกว่าท้อง แถมยังเตี๊ยมกันทั้งขบวนการ ทั้งนายภัทร ยัยอาร์ท ยัยเม ไม่ว่าใครก็คงจะโดนต้มจนสุกเหมือนกันทั้งนั้น”
“ใช่...อย่าว่าแต่ต้มจนสุกเลย ผมนี่โดนต้มจนเปื่อยเลยหละ”
“แต่ก็ดีแล้วไงคะ ก็จะได้รู้เช่นเห็นชาติยัยอะนาไปเลย ว่าตัวตนจริงๆ เป็นคนลวงโลกขนาดไหน”
ณดลหยุดเดิน เพราะยังสับสน ทั้งรู้สึกโกรธทั้งคิดถึงอนามิกา “นีน่า...ผมว่าเราหยุดคุยเรื่องอะนากันดีกว่า”
“จริงสินะคะ นานๆ ครั้งจะมีโอกาสใกล้ชิดคุณณดลแบบนี้ งั้นเรามาคุยเรื่องของเราสองคนดีกว่า”
“เรื่องเราสองคน...เรื่องอะไรเหรอ” ณดลสงสัย
“ก็...เอ่อ...นีน่าอยากจะถามอะไรอย่างนึงได้มั้ยคะ”
“ลองถามมาสิ”
“คุณณดล...ไม่คิดอยากจะมีใครมาอยู่ข้างๆ ซักคนเหรอคะ”
“ผมว่าผมอยู่คนเดียวสบายใจกว่า”
“แน่ใจเหรอคะ ไม่คิดจะมีใครซักคนไว้เป็นคู่คิด คู่คุย แล้วก็...คู่รักน่ะค่ะ”
“ไม่หละ”
“ทำไมล่ะคะ”
“ก็เพราะ...” ณดลมองตานลิณาแล้วพูด “ผมยังมองไม่เห็นผู้หญิงดีๆ ซักคนที่จะทำให้ผมรู้สึกแบบนั้นได้น่ะสิ ขอตัวก่อนนะ”
ณดลเดินเลี่ยงเข้าบ้านไป ทิ้งให้นลิณายืนอึ้งอยู่คนเดียว
นลิณาพูดทบทวนกับตนเองเบาๆ “มองไม่เห็นผู้หญิงดีๆ ซักคน...เอ๊ะ! มันยังไงกันนะ ก็มองหน้าฉันอยู่เต็มๆ ตรงเนี้ย”
นลิณาเสียหน้าจนกลายเป็นรู้สึกอยากเอาชนะขึ้นมา
“พูดกับฉันแบบเนี้ย รู้จักฉันน้อยไปแล้วหละคุณณดล ให้มันรู้ไปสิ ว่าคนอย่างฉันจะเอาชนะคุณไม่ได้”
นลิณาพูดอย่างมั่นใจว่ามีไม้เด็ดที่จะพิชิตใจณดลได้
อนามิกานอนลืมตาโพลงมองเพดานห้องในบ้านของอัธวุธ เธอเหลือบมองไปเห็นธัญญากำลังนอนหลับสบาย อนามิกาค่อยๆ ลุกขึ้นไปยืนที่ริมหน้าต่างแล้วเหม่อมองออกไปอย่างเศร้าๆ

ภาพของณดลที่รู้ความจริงเรื่องเธอแว่บเข้ามาในความคิด
“...ฉันรู้ความจริงจากไอ้ณภัทรแล้ว ที่เธอหลอกฉัน ก็เพราะหวังเงินค่าจ้าง นอกจากจะเป็นคนหลอกลวงแล้ว เธอยังเป็นคนเห็นแก่เงินอีกด้วย...”
อนามิการู้สึกเจ็บแปลบอยู่ในใจ เมื่อนึกถึงตอนที่ณดลไล่เธอออกจากบ้าน
“...รีบเก็บข้าวของแล้วออกไปจากบ้านฉัน ฉันไม่มีอะไรจะพูดกับเธออีกแล้ว...”
อนามิกาน้ำตาคลอ แต่พอได้ยินเสียงธัญญา เธอก็รีบปาดน้ำตากลบเกลื่อน
“อะนา” ธัญญาเรียก
ธัญญาเปิดไฟที่หัวเตียงแล้วลุกขึ้นนั่ง อนามิกาหันไปหาพร้อมกับพยายามทำสีหน้าให้เป็นปกติ
“นั่นแกร้องไห้เหรอ” ธัญญาถาม
“เปล่า...ฉันไม่ได้ร้อง” อนามิกาตอบ
ธัญญาพูดสวนขึ้น “อะนา ไหนแกเคยบอกว่าเรามีกันแค่สองพี่น้อง มีอะไรก็ต้องบอกกันสิ”
“ก็..ไม่มีอะไรจริงๆ” อนามิกาเดินมาที่เตียง “นอนเหอะพี่”
“แกเศร้าที่โดนบ้านโน้นเค้าไล่ออกมาหละสิ จะคิดมากไปทำไม๊...มาอยู่นี่ก็ดีแล้ว แกจะได้เป็นตัวของตัวเอง ไม่ต้องคอยโกหกใคร” ธัญญาขยับลุกขึ้น
“พี่จะไปไหน” อนามิกาถาม
“ไปเข้าห้องน้ำน่ะสิ นอนไปเลยแกน่ะ ไม่ต้องเศร้าแล้วนะ”
พอธัญญาเดินไป อนามิกาจึงรำพึงเบาๆ กับตัวเอง
“จะไม่ให้เศร้าได้ไง ในเมื่อคนที่ไล่ฉัน ก็เป็นคนเดียวกับที่ฉันคิดถึงเค้าอยู่ตอนนี้น่ะ”
อนามิกาเหม่อมองออกไปในความมืดเพราะคิดถึงณดลขึ้นมาจับใจ

ฝ่ายณดลก็นั่งซึมเหม่อมองท้องฟ้าอยู่ที่สวนหย่อมภายในบ้านของเขา ภาพของอนามิกาคตอนที่สารภาพผิดกับเขาแว่บเข้ามาในความคิด
“...ฉันยอมรับว่าฉันผิด แต่ฉันก็ไม่ได้ตั้งใจจะให้มันเป็นแบบนี้ หวังว่าวันนึงคุณจะเข้าใจ และหายโกรธฉัน...”
ณดลถอนใจเพราะรู้สึกผิดที่ไล่อนามิกาและพูดจาไม่ดีกับเธอ
ภาพตอนที่ณภัทรที่พูดใส่ณดลแว่บเข้ามาในความคิดของเขาอีก
“แต่ตอนนี้พี่ก็รู้แล้วไงว่าอะนาไม่ใช่เมียผม” ณภัทรบอก “แล้วพี่ยังจะรู้สึกผิดอยู่ทำไม ถ้าพี่ชอบเค้าจริง พี่ก็ควรจะช่วยปกป้องเค้าบ้างสิ”
ณดลถอนใจอย่างกลัดกลุ้ม พอได้ยินเสียงณภัทรจากด้านหลังเขาก็ถึงกับสะดุ้ง
“เป็นอะไรเหรอพี่”
ณภัทรเดินเข้ามาด้วยท่าทีที่ขึงขังกว่าทุกที ณดลรีบพูดกลบเกลื่อนแล้วทำตัวปกติ
“เปล่านี่...ฉันไม่ได้เป็นอะไร”
“แน่ใจเหรอ พี่หลอกทุกคนได้ แต่หลอกตัวเองไม่ได้หรอกนะครับ”
“ฉันหลอกตัวเองยังไง?” ณดลถาม
“พี่คิดถึงอะนาอยู่ใช่มั้ย ในใจพี่ยังมีความรู้สึกดีๆ กับอะนาอยู่ใช่มั้ย”
“แกไม่ต้องมายุ่งเรื่องของฉัน เรื่องของแกน่ะเอาให้รอดก่อนเหอะ” ณดลว่า
“แต่อย่างน้อยผมก็รู้ว่าใจผมอยู่ที่ใคร และผมก็ซื่อสัตย์กับหัวใจของผม”
“แกจะบอกว่าฉันไม่ซื่อสัตย์กับใจฉันเองงั้นเหรอ”
“ก็จริงมั้ยล่ะครับ พี่รู้สึกดีกับอะนา แต่กลับไล่เค้าออกไปจากชีวิตพี่ ถามจริง พี่คิดว่าผู้หญิงแบบอะนาจะหากันได้ง่ายๆ อย่างงั้นเหรอ”
“แกพูดเพ้อเจ้ออะไรของแกเนี่ย”
ณภัทรพูดเสียงเข้ม “ใช่! ผมเพ้อเจ้อ แต่พี่ก็ควรจะฟังผมบ้าง นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของพี่แล้ว พี่จะดึงอะนากลับมา หรือว่าจะปล่อยให้เค้าหายไปจากชีวิตพี่ พี่ก็คิดให้ดีแล้วกัน”
ณดลครุ่นคิดตามคำพูดของน้องชาย แล้วสักครู่เขาก็มองหน้าณภัทร ก่อนจะก็ยิ้มแล้วขำขึ้นมา
ณภัทรงง “พี่ขำอะไร”
“ก็ฉันไม่เคยเห็นแกพูดจาเข้มแข็ง เด็ดขาดอย่างงี้มาก่อนเลยน่ะสิ”
ณภัทรพูดอ่อยๆ เหมือนสูญเสียความมั่นใจ “เอ่อ..แล้ว...” ณภัทรรีบทำเสียงเข้มอีก “แล้วไงเหรอพี่!”
“ก็ไม่มีอะไร ฉันแค่สงสัยว่าทีเรื่องของแกเอง ทำไมแกไม่เข้มแข็งแบบนี้ ไม่งั้นคงไม่มีใครกล้าบงการชีวิตแก จับแกคลุมถุงชนอย่างที่เป็นอยู่นี่หรอก”
ณภัทรสะท้อนใจเพราะย้อนคิดถึงตัวเองที่ไม่เคยจะแข็งข้อขึ้นมาเพื่อเรื่องของตนเองบ้าง

ในห้องมืดสลัวของอนามิกา ธัญญาหลับไปแล้วแต่อนามิกายังคงนอนลืมตาอยู่ในความมืด สักพักเสียงโทรศัพท์มือถือของธัญญาที่วางอยู่หัวเตียงก็ดังขึ้น อนามิกาหันไปมองตามเสียง ธัญญาเริ่มรู้สึกตัว
“เสียงโทรศัพท์พี่น่ะ” อนามิกาบอก
ธัญญาเหยียดแขนไปหยิบโทรศัพท์มารับด้วยเสียงงัวเงีย “ฮัลโหล...” แล้วธัญญาก็ทำน้ำเสียงตื่นตกใจ “คุณพายัพ! “ ธัญญารีบขยับลุกขึ้นมาเปิดโคมไฟที่หัวเตียง “เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ”
อนามิกาขยับลุกขึ้นมองพี่สาวอย่างเป็นห่วง ธัญญายืนพูดโทรศัพท์ด้วยท่าทางที่เหมือนกำลังคุยเรื่องคอขาดบาดตาย
“เหรอคะ...ได้สิคุณพายัพ ไม่มีปัญหา ฉันจะรีบไปหาคุณเดี๋ยวนี้...ว่าไงนะ อ๋อ...ได้ค่ะ แล้วเจอกัน” ธัญญารีบกดปุ่มวางหู
อนามิกาสวนขึ้น “ไม่ได้นะพี่ พี่เพิ่งสัญญากับฉันว่าจะไม่ไปเหยียบที่ร้านของอีตาพายัพอีก นี่แค่ข้ามวันพี่ก็ผิดสัญญาซะแล้ว”
“ผิดสัญญาอะไร ฉันไม่ได้ไปที่ร้าน”
“ก็พี่บอกจะไปหาคุณพายัพ”
“ใช่! แต่ฉันจะไปหาเค้าที่โรงพัก”
อนามิกาตกใจ “โรงพัก?!”
“คุณพายัพโดนตำรวจจับ ตอนนี้อยู่ในตะราง แกช่วยไปกับฉันหน่อยสิ ฉันมีเรื่องรบกวนให้แกช่วยน่ะ”
อนามิกามีสีหน้าลังเลเพราะไม่เต็มใจให้พี่สาวไปหาพายัพ

อนามิกากับธัญญาเดินอยู่ที่หน้าสถานีตำรวจ ธัญญาดูร้อนรนเพราะอยากจะรีบเข้าไปช่วยพายัพแต่อนามิกาดึงตัวพี่สาวไว้
“ตกลงที่พี่เอาฉันมาด้วยนี่ก็แค่จะให้ช่วยกดเงินสดให้ใช่มั้ย”
“อย่าบ่นน่ะ แค่หมื่นเดียวเอง” ธัญญาบอก
“แค่หมื่นอะไร ทั้งเนื้อทั้งตัวฉันก็มีแค่หมื่นกว่าๆ นี่แหละ น่าจะปล่อยให้นอนในตะรางไปเลย อยากหาเรื่องเข้าบ่อนทำไม โดนจับก็สมน้ำหน้าแล้ว”
“อะนา คุณพายัพเค้ากำลังเดือดร้อนนะ”
“โอ๊ย..คนรวยๆ อย่างเค้าจะเป็นอะไรไป”
“ใครบอกแก หลังๆ มานี่คุณพายัพมีแต่หนี้สิน เพื่อนฝูงที่เคยคบก็หายหน้ากันไปหมด เขาถึงต้องโทรมาตามให้ฉันไปช่วยประกันตัวไง”
“แล้วยัยเกดน้องสาวเค้าล่ะ”
“เค้าปิดไม่อยากให้ยัยเกดรู้ แม่นั่นน่ะยังใช้เงินมือเติบ คิดว่าพี่ชายเค้ายังร่ำรวยอยู่ด้วยซ้ำ รีบเข้าไปหาคุณพายัพก่อนเหอะ ไปเร็ว”
ธัญญาเดินตรงดิ่งเข้าสถานีตำรวจไป อนามิกามองตามอย่างขัดใจ
“ดีนี่ พอตกอับไม่มีใครค่อยจะมานึกถึงพี่สาวฉัน” อนามิกาเดินตามธัญญาไป

ธัญญายืนรออยู่ ตำรวจเดินนำพายัพออกมา ธัญญาโผเข้าไปสวมกอดพายัพอย่างเป็นห่วง
“คุณพายัพ...เป็นยังไงบ้าง”
“ขอบใจมากนะธัญญา นึกแล้วว่าคุณต้องมาช่วยผม” พายัพพูด
“ใช่ซี้...” อนามิกาโพล่งออกมา
พายัพสะดุ้งเมื่อหันมาเห็นอนามิกาที่เดินเข้ามาประชดใส่
“เวลามีความสุขดีก็ไม่เคยคิดถึงพี่สาวฉันหรอก แต่พอเดือดร้อนเข้าหน่อย ตีสามตีสี่ก็ยังโทรจิกออกมา” อนามิกาแขวะ
ธัญญาเสียงดุ “อะนา”
“ก็จริงมั้ยล่ะ” อนามิกาหันมาหาพายัพ “ผู้ชายอย่างคุณน่ะ นอกจากพี่สาวฉัน ก็ไม่มีใครมารักมาจริงใจแบบนี้หรอก”
พายัพพูดกับอนามิกา “ผมรู้น่า” แล้วเขาก็หันไปหาธัญญา “ยังไงธัญญาก็ไม่ทิ้งผมแน่ๆ ใช่มั้ย”
พายัพคว้าธัญญามากอดแล้วหอมซุกไซร้ที่แก้มกับคอ
“ว๊าย...อย่าสิคุณพายัพ จั๊กจี้”
อนามิกาทำหน้ารังเกียจ “นี่! เพลาๆ หน่อยเถอะ ที่นี่โรงพักนะไม่ใช่โรงแรม”
“ก็จะเป็นอะไรไปเล่า มา...หอมโชว์กลางโรงพักเลยก็ได้”
พายัพกอดธัญญาเข้ามาหอม ธัญญาหัวเราะคิกคักชอบใจ อนามิกาส่ายหน้ามองอย่างระอา

พายัพ ธัญญาและอนามิกาเดินออกมาจากสถานีตำรวจด้วยกัน จู่ๆ ธัญญาก็หยุดเดินแล้วเอ่ยลาพายัพ
“งั้นเดี๋ยวฉันกับน้องสาวขอตัวกลับก่อนนะคะ”
“จ้ะ” พายัพยิ้มกรุ้มกริ่ม “ไว้ผมจะแวะไปหาที่คอนโดนะ”
“ฉันย้ายออกจากคอนโดแล้วค่ะ ตอนนี้มาอยู่กับอะนาที่บ้านเพื่อนเค้า”
“อ้าว! เหรอ” พายัพรวบตัวธัญญามาออดอ้อน “แล้วถ้าเวลาผมคิดถึง ผมจะแวะไปหาบ้างได้มั้ย”
ธัญญากับอนามิกาพูดพร้อมกัน “ได้สิคะ / ไม่ได้ค่ะ”
“ยัยอะนา” ธัญญาไม่พอใจ
“จะแวะไปหาทำไมอีกล่ะ พี่สาวฉันอุตส่าห์มาช่วยประกันตัวคุณแล้ว ก็จบๆ กันไปสิ อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันอีกเลย” อนามิกาบอก
“อะนา พอได้แล้ว” ธัญญาควงพายัพเดินห่างออกมา “แล้วค่อยโทรคุยกันทีหลังนะ”
“ได้จ้ะ” พายัพตอบรับ
พายัพจุ๊บที่ริมฝีปากธัญญา อนามิกาเห็นแล้วแทบอยากจะกรี๊ดออกมาด้วยความโกรธ พายัพผละออกไป ธัญญาเดินกลับมาที่อนามิกา
“พี่เจ็บแล้วรู้จักจำบ้างมั้ย ผู้ชายคนนี้ทำพี่เสียใจมากี่ครั้ง แต่พี่ก็ยังดีกับเค้าเนี่ยนะ” อนามิกาถาม
“นี่หยุดซะทีได้มั้ย แกเป็นน้องหรือเป็นแม่ฉัน แกมันจะไปเข้าใจอะไร ในเมื่อเกิดมา แกยังไม่เคยรักใครด้วยซ้ำ”
“ใครบอกพี่ล่ะว่าฉันไม่เคยรัก...เอ่อ...” อนามิกานึกได้ว่าพลั้งปากไป
“หา..ว่าไงนะ แกมีความรักแล้วเหรอ กับใครน่ะ”
“เปล่า...ไม่มี”
“ก็แกเพิ่งบอกเมื่อกี้ แกรักใครอยู่ บอกฉันมานะ” ธัญญาคาดคั้น
“เปล่า...จะกลับบ้านกันได้รึยัง ฉันง่วงจะตายอยู่แล้ว”
ธัญญายิ้มใส่อนามิกาอย่างรู้ทัน อนามิกาเบือนหน้าแล้วเดินหนีไปเรียกแท็กซี่

แพรวาเดินเล่นอยู่บริเวณหน้าบ้าน ส่วนเสรีเดินพูดโทรศัพท์มือถือออกมาจากบ้านมาใกล้ๆ แพรวาจะร้องทัก แต่เสรีมองไม่เห็น แพรวาจึงยืนนิ่งอยู่กับที่
เสรีพูดโทรศัพท์มือถือ “ว่าไงนะ ของที่ส่งมาล็อตนี้ โดนตำรวจจับทั้งหมดเลยเนี่ยนะ”
แพรวาตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน เธอรีบหลบแล้วเงี่ยหูฟังต่อ
เสรีพูดด้วยความโมโห “แล้วไหนแกบอกว่าแกคุ้มครองของฉันได้ ไอ้ฉันก็อุตส่าห์ไว้ใจคราวนี้ไม่ใช่แค่หมดตัว แต่ฉันต้องกู้หนี้ยืมสินกันแล้ว”
เสรีหันไปเห็นแพรวายืนอยู่ก็ถึงกับชักสีหน้าตกใจ
เสรีพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาลง “เอาไว้ค่อยคุยกัน แกว่างวันไหนก็เข้ามาคุยกับฉัน แค่นี้นะ” เสรีกดวางหูแล้วถามแพรวา “ลูกแพรมายืนอยู่ตรงนี้เมื่อไหร่เนี่ยลูก”
“เอ่อ...” แพรวาอ้ำอึ้ง
“ได้ยินที่พ่อคุยโทรศัพท์หรือเปล่า”
“ก็...เปล่าค่ะคุณพ่อ แพรเพิ่งเดินมาค่ะ”
เสรียิ้มอย่างโล่งใจ แล้วเดินมาลูบศีรษะแพรวาอย่างเอ็นดู
“คุณพ่อโทรคุยกับใครเหรอคะ” แพรวาถามขึ้น
เสรีสะดุ้ง รีบหาข้ออ้าง “เอ่อ..ก็ไม่มีอะไร แค่ลูกน้องพ่อโทรมาถามเรื่องเซ็นเอกสารอะไรนิดหน่อยน่ะ”
แพรวาเห็นท่าทางของเสรีก็ยิ่งแน่ใจว่าเสรีโกหกตน เพราะดูเหมือนมีลับลมคมในอะไรบางอย่าง

นลิณานั่งอยู่ที่เก้าอี้รับแขกภายในบ้าน แพรวาเดินเข้ามาเหลียวหน้ามองหลังพอเห็นว่าปลอดคนจึงหันมาสบตากับนลิณาที่มองแพรวาด้วยความสงสัยว่าน้องสาวเป็นอะไร
“มีอะไรยะยัยแพร ทำไมต้องทำท่าลับๆ ล่อๆ แบบนั้น”
แพรวายกนิ้วจุ๊ปากปรามนลิณา “อย่าเสียงดังสิพี่นีน่า” แพรวาขยับมานั่งใกล้ๆ แล้วกระซิบ ”แพรถามอะไรพี่อย่างนึงได้มั้ย”
นลิณางง “ก็ถามมาสิ”
“คือ....แพรได้ยินคุณพ่อพูดโทรศัพท์กับลูกน้อง เรื่องส่งของแล้วโดนตำรวจจับ คุณพ่อเค้าส่งของอะไรเหรอคะ”
“เอ่อ...” นลิณาอึดอัดไม่รู้จะบอกอย่างไร “คือ...แกไม่ต้องรู้ซักเรื่องนึงได้มั้ย”
“ทำไมล่ะคะ หรือว่า...ที่โดนตำรวจจับก็เพราะเป็นของผิดกฏหมาย”
นลิณาตวาดสวนทันที “หุบปากไปเดี๋ยวนี้เลยนะยัยแพร” นลิณาชี้หน้าอย่างเอาเรื่อง “แล้วก็อย่าได้ปริปากพูดเรื่องนี้อีก”
แพรวาช็อค “นะ..นี่หมายความว่าคุณพ่อ”
“แต่ที่คุณพ่อทำไปก็เพื่อพวกเรานะ แกก็รู้ดีว่าธุรกิจคอนโดของคุณพ่อมีปัญหา”
“แล้ว...ของผิดกฎหมายที่คุณพ่อไปพัวพันอยู่คืออะไรเหรอคะ”
“ฉันบอกแล้วแกต้องปิดปากให้สนิท อย่าได้ไปถาม หรือไปกวนใจคุณพ่ออีกนะ”
แพรวาพยักหน้า นลิณาขยับเข้ามากระซิบ
แพรวาช็อค แล้วอุทานออกมาเบาๆ “ยาบ้า!”
นลิณาพยักหน้าเครียดๆ แพรวายังช็อคเพราะไม่อยากจะเชื่อ

เสียงกริ่งหน้าบ้านอัธวุธดังขึ้น เมธาวีเปิดประตูบ้านออกมาพร้อมกับเหลียวหลังตะโกนไปบอกคนในบ้าน
“เดี๋ยวเมออกไปดูเองจ้า”
เมธาวีเดินออกมาจากตัวบ้าน ณภัทรยืนรออยู่หน้ารั้ว
เมธาวีดีใจ “ภัทร นึกว่าจะไม่ได้เจอแล้ว”
“ทำไมนึกอย่างงั้นล่ะ”
“ก็...คิดว่า...นายกับคุณแพร”
“ไม่ว่าฉันกับคุณแพรจะลงเอยยังไง พวกเราก็ยังเจอกันได้นี่”
เมธาวียิ้มปลื้ม
“เพราะยังไงเราก็ยังเป็นเพื่อนกันอยู่ดี”
เมธาวีหุบยิ้มทันที “อืม...จริงสินะ เรายังเป็น” เมธาวีพูดเน้นเสียง “ ‘เพื่อน’ กันเสมอ”
ณภัทรเห็นเมธาวีจ๋อยไปจึงทักขึ้น “เมเป็นอะไรเหรอ”
“เปล่า..ไม่มีอะไร แล้วนี่นายมาหาฉันมีธุระอะไรเหรอ”
“เปล่า...ฉันมีธุระกับอะนาเค้าต่างหาก”
เมธาวียิ่งจ๋อยหนักลงไปอีก “อ้อ...มาหาพี่อะนา...งั้น...เชิญในบ้านเลย”
ณภัทรเดินเข้าบ้าน เมธาวียืนมองตามไปอย่างจ๋อยๆ เพราะรู้สึกเหมือนณภัทรไม่เห็นตนอยู่ในสายตา

อนามิกานั่งคุยกับณภัทรที่เก้าอี้รับแขกอย่างค่อนข้างเป็นการเป็นงาน
“ว่ามาสิ นายมีธุระอะไรกับฉันเหรอ” อนามิกาถาม
ณภัทรล้วงซองจดหมายที่พับครึ่งมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วยื่นให้อนามิกา
อนามิการับมาอย่างงงๆ “อะไรเนี่ย” อนามิกาแง้มซองดู “เช็คของขวัญ ตั้งหลายใบ”
“อืม...เช็คของขวัญแบ๊งค์นี้เค้าจำกัดไม่เกินห้าหมื่นน่ะ ก็เลยต้องทำหลายใบหน่อย”
อนามิกานึกขึ้นได้ “นี่...นายอย่าบอกนะว่าเช็คพวกนี้”
ณภัทรพยักหน้า “ค่าแรงทั้งหมดของเธอไง ที่เธอต้องสวมบทบาทเป็นเมียที่ท้องอ่อนๆ ของฉันตั้งแต่วันแรกที่ลอนดอน” ณภัทรพูดเสียงเบาๆ ด้วยความเศร้า “...จนวันสุดท้าย”
อนามิกาฝืนยิ้มตอบ แล้วใช้มือข้างที่ว่างอยู่จับมือณภัทรเพื่อขอบคุณ “ขอบใจมากนะ”
อนามิกาหงายมือณภัทรแล้วใช้มือข้างที่ถือซองเช็คอยู่ยัดคืนให้ ณภัทรตกใจเพราะรู้สึกผิดคาด
“แต่ฉันคงรับไว้ไม่ได้หรอก” อนามิกาพูดเรียบๆ
ณภัทรพยายามยัดเยียดใส่มืออนามิกา “ไม่ได้นะอะนา...เอาไป”
อนามิกาพูดเสียงแข็ง “ฉันบอกว่าไม่เอา แล้วก็จะไม่เปลี่ยนใจด้วย”
ณภัทรอ้อนวอน “อะนา...นี่เป็นค่าจ้างที่ฉันต้องจ่ายเธอตามที่ตกลงอยู่แล้ว รับไว้เถอะ”
“แต่ถ้าฉันรับไว้ ฉันคงกลายเป็นคนเห็นแก่เงิน ไม่ต่างอะไรกับที่พี่ชายนายด่าฉัน”
“แต่กับเวลาที่เธอต้องเสียไปตั้งหลายเดือนเพื่อช่วยฉัน เธอก็สมควรที่จะได้เงินตรงนี้นะ อย่าคิดมากน่า รับไปเถอะ”
“ภัทร ขอร้องหละ ที่ผ่านมา ฉันโกหกหลอกลวง ทำให้คุณพ่อคุณแม่แล้วก็พี่ชายนายต้องเสียความรู้สึก ฉันรับเงินตรงนี้ไม่ได้จริงๆ”
“อะนา แต่เธอก็ต้องกินต้องใช้ ถ้าไม่ได้เงินตรงนี้แล้วเธอไม่เดือดร้อนเหรอ”
“เดือดร้อนรึเปล่าไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ ศักดิ์ศรีของฉันยังอยู่น่ะ”
ณภัทรถอนใจ “เฮ่อ...ก็ได้ ฉันยอมแพ้”
ณภัทรแสร้งทำเป็นแอบวางซองเนียนๆ ไว้ แล้วยกสองมือขึ้นทำเป็นเหมือนบิดขี้เกียจ
อนามิกาเหล่มองซองให้รู้ว่ารู้ทัน “แล้วถ้าขืนทำเป็นแอบเนียนทิ้งเอาไว้ ฉันจะฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้วโกยใส่ซองคืนให้นาย”
ณภัทรหน้าแหยเพราะโดนจับได้ เขาค่อยๆ หยิบซองเก็บเข้ากระเป๋า

เมธาวีนั่งซึมอยู่ที่เก้าอี้นั่งเล่นในบริเวณร่มรื่นหน้าบ้าน สักพักณภัทรก็เดินออกจากตัวบ้านมาหาเธอ
“คุยธุระกันเรียบร้อยแล้วเหรอ” เมธาวีถาม
ณภัทรพยักหน้าอย่างเซ็งๆ “คุยแล้ว แต่ไม่เรียบร้อย”
“อ้าว...ไหงงั้นล่ะ”
“ก็อะนาน่ะสิ ไม่ยอมรับเงินค่าจ้างที่ฉันเอามาให้ เมช่วยกล่อมทีสิ อะนาช่วยฉันจนตัวเองเดือดร้อน ถ้าไม่ได้ตอบแทนบ้าง ฉันคงรู้สึกไม่ดีน่ะ”
“ก็อยากช่วยนะ แต่คนอย่างพี่อะนา ถ้าตัดสินใจอะไรแล้ว ฉันคงไม่มีปัญญาไปเปลี่ยนใจเค้าได้หรอก”
“อืม..เข้าใจ ฉันก็รู้แหละว่าอะนาไม่มีวันเปลี่ยนใจแน่ๆ”
“แล้ว...นายเป็นไงบ้าง” เมธาวีฝืนยิ้ม “จะแต่งเมื่อไหร่ก็อย่าลืมมาแจกการ์ดล่ะ”
“เธอพูดเหมือนเธอดีใจถ้าฉันต้องแต่งงานกับคุณแพรอย่างงั้นแหละ”
“แล้วจะให้พูดยังไงล่ะ ภัทรแต่งงานทั้งที ฉันก็ต้องยินดีด้วยสิ” เมธาวีฝืนยิ้มเศร้าๆ
“แล้วใครบอกล่ะว่าฉันจะแต่ง”
“อ้าว...ใครๆ เค้าก็รู้กันทั้งนั้น”
“เอ...แต่ฉันกลับรู้มาอีกอย่างนึงนะ”
เมธาวีงง เธอมองณภัทรเป็นเชิงถาม
“ที่ฉันรู้คือการแต่งงานครั้งนี้ มันคงไม่เกิดขึ้นหรอก”
“อ้าว..ทำไมล่ะ”
“ก็เพราะมีข่าวมาว่า ฝ่ายชายจะประกาศแข็งข้อไม่ยอมเป็นเจ้าบ่าวน่ะสิ”
เมธาวียังเหวอๆ แต่พอเห็นณภัทรยิ้มพร้อมทั้งพยักหน้าย้ำให้มั่นใจ เมธาวีจึงยิ้มออกมาอย่างมีความหวัง

ธัญญาถึงกับหน้าตาตื่นเมื่อรู้เรื่องจากอนามิกา หลังจากที่ทั้งสองนั่งคุยกันในห้องนอน
“หา! ว่าไงนะ แกเป็นบ้าไปแล้วหรือไง คนเค้าว่าจ้างแกทำงาน แต่ดันหยิ่งไม่รับเงินค่าจ้างซะงั้น ไหน...นายภัทรกลับไปรึยัง เดี๋ยวฉันรีบไปทวงให้”
ธัญญาจะรุดออกนอกห้อง แต่อนามิกาดึงข้อมือไว้
“พี่! เห็นแก่หน้าฉันบ้างเหอะนะ ฉันปฏิเสธเค้าไปซะขนาดนั้นแล้ว”
“อู๊ย..หมั่นไส้ ทำหน้าใหญ่ไม่รับเงิน ไม่นึกเลยว่าน้องสาวฉันจะโง่ขนาดนี้”
“ฉันยอมโง่ แต่ยังเหลือศักดิ์ศรี ดีกว่าไปเอาเงินเค้ามา แล้วต้องเกลียดตัวเองภายหลังนะพี่”
“ก็คิดซะอย่างงี้...ไอ้ศักดิ์ศรีอะไรของแกเนี่ย มันเอาไปแลกของในเซเว่นได้รึไง ที่ไหนไหนเค้าก็รับแต่เงินกันทั้งนั้น”
“ฉันก็รู้...ว่าเงินน่ะสำคัญ ฉันก็กำลังจะทำงานอยู่นี่ไง”
“โอ๊ย!จะทำงานแล้วเมื่อไหร่จะได้เงินกัน กว่าจะรอสมัครงาน รอสัมภาษณ์ รอเรียกเข้าทำงาน แล้วไหนจะต้องทำงานจนสิ้นเดือนก่อน”
อนามิกาสวนขึ้น “ฉันหางานได้แล้วพี่”
“เหรอ?! งานอะไรน่ะ” ธัญญาสงสัย

พนิดายืนกอดอก อยู่ใกล้ๆ โต๊ะที่ณภัทร เมธาวี และอัธวุธนั่งอยู่ด้วยกันภายในร้านของเธอ อนามิกาเดินยกอาหารไทยโบราณออกมาเสิร์ฟ
“โอ๊ย...คุ้นๆ นะ ภาพนี้ เหมือนเคยเห็นที่ลอนดอนตั้งแต่ชาติปางก่อน” พนิดาแซว
“เว่อร์แล้วเจ๊ แค่ไม่กี่เดือนเอง” อัธวุธบอก
อนามิกาวางจานอาหาร แล้วหย่อนก้นลงนั่ง “นั่งด้วยนะ”
“นี่! ยัยอะนา อย่าทำตัวตีเสมอลูกค้าสิยะ” พนิดาว่า
“อุ้ย! ลืมตัว งั้นเดี๋ยวเข้าไปช่วยงานในครัวก่อนนะ”
พูดจบอนามิกาก็คว้าของกินในจานชิ้นหนึ่งใส่ปาก พนิดาตีมืออย่างขำๆ
“เอ๊า!หนักเข้าไปอีก ขโมยกินของลูกค้า” พนิดาพูดยิ้มๆ “เดี๊ยะ..เดี๋ยวไล่ออกซะนี่” พนิดาหันมาพูดกับณภัทรและเมธาวี “เจ๊จำได้นะ ตอนอยู่ลอนดอน นายภัทรนี่กลุ้มใจอะไรไม่รู้ มาเมาที่ร้านเจ๊ซะเละเลย”
“จะบอกให้นะเจ๊ วันเนี้ย ผมกลุ้มยิ่งกว่าวันนั้นอีก มีอะไรแรงๆ ให้ดื่มมั้ย” ณภัทรถาม
“ว๊าย...ฉันไม่ขายย่ะ เดี๋ยวจะไปล็อกตู้สต็อกเหล้าข้างในเลย” พนิดาบอก
“ผมล้อเล่น”
“งั้นแล้วไป เชิญตามสบายนะ เดี๋ยวเจ๊ขอตัวก่อน” พนิดาเดินออกไป
ณภัทรกับเมธาวีนั่งมองกันแต่ทั้งสองเห็นอัธวุธนั่งอยู่ จึงคิดว่าคงคุยเรื่องส่วนตัวไม่ถนัด อัธวุธเริ่มรู้ตัวจึงลุกขึ้น
“ฉันขอตัวก่อนนะ จะไปดูยัยอะนาในครัวซะหน่อย”
อัธวุธลุกไป ทิ้งให้ณภัทรกับเมธาวีนั่งมองหน้ากันอยู่สองคน

อัธวุธยืนคุยกับอนามิกาในครัว ขณะที่แม่ครัวคนหนึ่งกำลังถือมีดเล่มใหญ่หั่นผักอยู่ด้านหลัง
“เป็นไง ฉันรู้งานมั้ย ที่เดินออกมานี่ ก็เพื่อเปิดโอกาสให้นายภัทรกับยัยเมอยู่กันสองคนหรอกนะ” อัธวุธบอก
“จ้า...รู้งานที่สุด ฉลาด แล้วก็แสนรู้ที่สุด” อนามิกาประชด
“อันสุดท้ายนี่ฉันไม่รับได้มะ นี่! แล้วเธอล่ะยะ อุตส่าห์เรียนด้านแฟชั่นมาจากลันดั้น แต่ดันมามุดหัวดักดานอยู่ในครัวเนี่ยนะ” อัธวุธหันไปเจอแม่ครัวที่ยืนถือมีดเล่มใหญ่กำลังทำตาเขียวใส่ “อุ้ย!”
อัธวุธยกมือไหว้แม่ครัว “หนูไม่ได้ว่านะค๊า” อัธวุธรีบจูงแขนอนามิกาให้ห่างออกมาแล้วพูดต่อ “ฉันเสียดายความรู้ความสามารถของแกน่ะ”
“แกไม่ต้องซีเรียสเลยยัยอาร์ท ฉันมาทำงานร้านเจ๊เค้าแค่ชั่วคราว แค่หาเงินติดกระเป๋าระหว่างรองาน แล้วก็รออะไรบางอย่างน่ะ”
“อะไรบางอย่างที่ว่านี่คืออะไรเหรอยะ” อนามิกาจะตอบ แต่อัธวุธรีบปรามไว้ “เดี๋ยว! อย่าเพิ่งบอก ให้ฉันทายนะ” อัธวุธตอบอย่างมั่นใจสุดๆ “เรื่องอีตาณดลใช่มั้ยล่า”
“ไม่ใช่!”
อัธวุธหน้าแตก “อ้าว…งั้นเรื่องอะไรเหรอ”
“คอลเลจที่เราเรียนที่ลอนดอนน่ะ เค้ามีทุนการศึกษาฟรี เป็นมาสเตอร์ดีกรีด้าน fashion business คอร์สสองปีเลยนะแก ฉันก็เลยคิดว่าจะลองลุ้นดู”
“อื้อ..เอาสิ เผื่อฟลุ้คนะแก”
“ฉันส่งเอกสารกับตัวอย่างงานไปให้เค้าพิจารณาแล้ว ถ้าได้ไปอยู่ไกลๆ ซะ บางที อาจจะทำให้ฉันลืมเรื่องแย่ๆ ที่นี่ได้บ้างน่ะ”
อนามิกาซึมเศร้าลงไป อัธวุธแตะตัวอนามิกาอย่างให้กำลังใจ









Create Date : 12 เมษายน 2555
Last Update : 12 เมษายน 2555 16:06:10 น.
Counter : 196 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

มิกัง
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]