All Blog
แหม่มแก้มแดง ตอนที่ 8



ที่โรงพยาบาลหรูกลางเมือง พยาบาลที่เป็นเจ้าหน้าที่ลงทะเบียนยืนอยู่ในเคาน์เตอร์หน้าโรงพยาบาล ณดล อนามิกา และจ๊อดยืนอยู่ด้วยกันหน้าเคาน์เตอร์

“สวัสดีค่ะ เป็นอะไรเหรอคะ” พยาบาลถาม
“คิดว่าคงเป็นหวัดน่ะค่ะ คือเค้าตากฝนมา”
อนามิกาพูดไม่ทันขาดคำ ณดลก็จาม “ฮัดชิ้ว!” ออกมา
“อ๋อ..ค่ะ” พยาบาลยื่นเอกสารให้ณดล “กรอกชื่อเบอร์โทรศัพท์แล้วไปตรวจความดันด้านโน้นนะคะ”
“ไม่ใช่ผมครับ นี่ต่างหาก” ณดลพูด จ๊อดโผล่หน้ามาจากเคาน์เตอร์
“อ้าว...เหรอคะ”
ณดลจามขึ้นมาอีก เล่นเอาพยาบาลถึงกับผงะ
“ฉันว่าคุณก็ควรจะหาหมอด้วยนะ” อนามิกาบอก
“หาหมอทำไม ฉันสบายดี ไม่ได้เป็นอะ...ฮัดชิ้ว!”
ณดลหันไปเห็นอนามิกาเหล่มอง
ณดลพูดเสียงอ่อย “ก็ได้ ไหนๆ ก็มาแล้วนี่เน๊อะ”

นลิณากับแพรวาอยู่ในเสื้อผ้าชุดอยู่บ้านสบายๆ ส่วนเกตนิการ์แต่งตัวสวยงาม ทั้งสามนั่งคุยกันอยู่ที่เก้าอี้รับแขกของบ้านนลิณา
“ว่าไงนะ เธอจะชวนฉันสองคนไปซื้อเสื้อผ้าร้านยัยเมเนี่ยนะ” นลิณาถาม
เกตนิการ์พยักหน้ายืนยัน “อื้อ! ไปมั้ยล่ะ รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าสิ”
“ไปนะคะพี่นีน่า” แพรวาไม่รอให้นลิณาตอบรีบหันมาที่เกตนิการ์ “งั้นเดี๋ยวแพรไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะคะ” แพรวารีบลุกแล้วเดินเข้าบ้านไป
เมื่อแพรวาเดินห่างไป นลิณารีบขยับเข้ามาพูดกับเกตนิการ์ใกล้ๆ
“เธอเป็นบ้า หรือว่าโดนผีเข้ายะ ยัยเมมันเป็นพวกยัยอะนา แถมยังทำท่าอี๋อ๋อกับนายภัทร แล้วเธอยังจะชวนฉันไปอุดหนุนมันอีกเนี่ยนะ”
เกตนิการ์พยักหน้า “ใช่..” เกตนิการ์ยิ้มร้ายๆ “แต่เธอฟังฉันอธิบายก่อนสิ”
นลิณากระตือรือร้นเพราะเริ่มอยากรู้ว่าเกตนิการ์มีลับลมคมในอะไร

เมธาวีทั้งตื่นเต้นและดีใจที่นลิณาและเกตนิการ์มายืนคุยเรื่องซื้อเสื้อผ้าของเธอ ขณะที่แพรวาปลีกตัวไปเดินเลือกเสื้อผ้าอยู่ในร้านของเมธาวี
“สองร้อยชุดเลยเหรอ!!” เมธาวีทวนคำแล้วก็ก้มดูเอกสารภาษาอังกฤษในแฟ้มที่ดูน่าเชื่อถือ
“ใช่...สองร้อยชุด” เกตนิการ์ตอบรับ “ก็บอกแล้วไงว่าเพื่อนฝรั่งของฉันเค้าเป็นเจ้าของห้างเล็กๆ ที่ลอนดอน เค้าอยากหาซื้อชุดเดรสราคาไม่แพงไปวางขายที่นั่น”
“เธอจะไปหาซื้อชุดสวยๆ มาขายต่อ หรือจะตัดเย็บเองบ้างก็ได้นะเม” นลิณาบอก
“จากราคาที่เค้าเสนอมา ถ้าเธอคุมต้นทุนให้ดีๆ ก็มีกำไรเข้ากระเป๋าหลักแสนเลยหละ แต่ออเดอร์นี้ต้องด่วนสุดๆ นะ ไม่รู้ว่าเธอสนใจรึเปล่า” เกตนิการ์ว่า
เมธาวีรีบตอบทันที “สนสิ สนใจมาก แต่ว่า...เอ่อ...ฉันเพิ่งลงเงินกับร้านนี้ไปตอนนี้ไม่เหลือทุนจะทำอะไรแล้วน่ะสิ”
“โถ...ยัยเม หัดฉลาดหน่อยสิยะ เธอก็หากู้หายืมมาก่อนซี้ โอกาสดีๆ อย่างงี้ไม่ได้มาบ่อยๆ นะยะ” นลิณาบอก
แพรวาหยิบชุดกระโปรงมาหาเมธาวี
“ขอลองชุดนี้หน่อยนะคะ”
“ค่ะ ตามสบายเลย ห้องลองเสื้ออยู่ด้านหลังค่ะ” เมธาวีชี้ไปที่ห้องลองเสื้อด้านหลังร้าน
เกตนิการ์รีบคว้าแขนแพรวา “นี่! ยัยแพร มาช่วยกันชวนยัยเมให้รับงานนี้หน่อยซิจ๊ะ”
“อ๋อค่ะ แพรได้ยินแล้ว” แพรวาหันมาพูดกับเมธาวี “น่าสนใจออกค่ะ คุณเมทำได้อยู่แล้ว ดูเสื้อผ้าในร้านนี้ก็รู้ว่าคุณเมเลือกของเก่ง รสนิยมดี แพรเชียร์เต็มที่ค่ะ”
เกตนิการ์กับนลิณาแอบขยิบตาให้กันอย่างมุ่งร้าย
“เชื่อแพรสิคะ ลุยเลย งานนี้ กำไรเห็นๆ” แพรวาสนับสนุน
เมธาวียิ้มพร้อมกับพยักหน้าคล้อยตามแพรวา แล้วหันมาที่เกตนิการ์กับนลิณา “งั้นก็...เรามาคุยรายละเอียดกันต่อเลยดีกว่า”
เกตนิการ์กับนลิณายิ้มแล้วลอบส่งสายตาเจ้าเล่ห์ให้แก่กันอย่างมีแผนร้าย

จ๊อดนอนซึมอยู่บนเตียง ณดลนั่งอยู่ไม่ห่างในท่าทางที่เซื่องซึมเช่นกัน ในมือของทั้งคู่ถือกระดาษทิชชู่ปิดปากทั้งจามและซับน้ำมูกผลัดกันคนละทีสองที
“ฮัดเช้ย!” ณดลจามก่อน
“ฮัดเช้ย!” จ๊อดจามตาม
“เฮ่อ!จ๊อดเอ๊ย...เดี้ยงทั้งคู่เลยงานนี้ ไม่น่าทะลึ่งไปเล่นตากฝนอย่างงั้นเล๊ย”

ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น อนามิกาเปิดประตูแล้วเดินเข้ามาดูแลทั้งคู่
“เป็นไงกันบ้าง อาการดีขึ้นรึยัง” อนามิกาถาม
“ฮัดชิ้ว!! นี่! อะนา” ณดลโบกมือไล่ “เธอออกไปไกลๆ ดีกว่า”
“อ้าว! ไหงพูดจาหาเรื่องอย่างงี้ล่ะ ฉันอุตส่าห์หวังดีมาเรียกไปกินข้าว จะได้กินยาหลังอาหาร แล้วทำไมต้องไล่กันด้วย”
“เดี๋ยวๆๆ เข้าใจผิดไปใหญ่แล้ว ฉันไม่ได้ไล่เธอ นี่ฉันหวังดีนะ ที่ไม่อยากให้เธอเข้าใกล้ เพราะกลัวจะติดหวัดต่างหาก” ณดลบอก
“จริงอ้ะ ไม่อยากจะเชื่อ เดี๋ยวนี้คุณรู้จักเป็นห่วงฉันด้วยเหรอ” อนามิกาประชด
“ใช่..เอ่อ..” ณดลพูดโดยที่ปากไม่ตรงกับใจ “เปล๊า...ฉันแค่กลัวว่าเดี๋ยวหวัดมันจะไปติดเด็กในท้องของเธอต่างหาก”
“ฉันก็ว่าแล้ว อย่างคุณเนี่ยนะ จะมาห่วงฉัน”
จู่ๆ จ๊อดก็โพล่งขึ้นมา “แต่จริงๆ พี่ณดลเค้าก็เป็นห่วงพี่อะนานะครับ”
อนามิกาพูดด้วยน้ำเสียงตำหนิ “จ๊อด!..เอาที่ไหนมาพูด”
“จริงๆ ครับ เมื่อคืนพี่ณดลเอาแต่นั่งดูรูปพี่อะนา”
ณดลตาโตด้วยความตกใจ อนามิกาหันขวับไปมองหน้าณดล ณดลเลิ่กลั่กรีบสวนขึ้นแก้เก้อ
“เหลวไหลน่าจ๊อด พูดอะไรเพ้อเจ้อ”
“เพ้อเจ้ออะไร ก็เมื่อคืนพี่นั่งดูรูปพี่อะนาจริงๆ” จ๊อดชี้ที่ณดลแล้วหันไปเม้าธ์ให้อนามิกาฟัง “ดูตั้งนานนะ แล้วก็นั่งอมยิ้มอยู่คนเดียว” จ๊อดทำท่าอมยิ้มเคลิ้มเลียนแบบณดล
อนามิกาหน้าตาเหรอหราด้วยความตกใจ แล้วหันไปมองณดล ณดลก็อึกอักเพราะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
จ๊อดหันไปที่ณดล “ชอบพี่อะนาก็บอกเหอะ”
“เฮ้ย! พอแล้วไอ้จ๊อด” ณดลหันมาทางอนามิกา “เด็กมันก็พูดไปเรื่อย เธออย่าสนใจเลย” ณดลรีบพูดกลบเกลื่อน “ไปจ๊อด ลงไปกินข้าวกัน”
อนามิกาเบือนหน้าหลบจากณดลมาแล้วอมยิ้มอย่างปลื้มๆ เพราะรู้สึกดีที่ณดลเหมือนจะมีใจให้ตน

ณดลกับจ๊อดนั่งท้าวคางอย่างซึมๆ บนโต๊ะอาหารเบื้องหน้าของทั้งสองมีกล่องใส่กระดาษทิชชู่วางอยู่ ทั้งสองหยิบทิชชู่มาปิดปากจาม แล้วพนารัตน์ก็เดินเข้ามา
“เอ้า! เป็นหวัดกันทั้งตัวหนุ่มตัวเด็ก ใครเป็นคนแพร่เชื้อเนี่ย อี๋...เด็กนี่ใช่มั้ย แล้วไหนล่ะ แม่นางงามรักเด็กอะไรนั่นล่ะ ไม่เห็นจะมาใส่ใจดูแล ไม่เอาไหนจริงๆ ยัยคนนี้..”
ทันใดนั้นเสียงอนามิกาก็โพล่งแทรกขึ้นมา “มาแล้วจ้า”
อนามิกายกถาดที่มีข้าวต้มหมูสับใส่ไข่มาสองชาม มีกระปุกพริกไทย และซอสแม็กกี้มาในถาดด้วย
“เป็นหวัดแบบเนี้ย ต้องกินอะไรร้อนๆ อ้าว! คุณผู้หญิง สวัสดีค่ะ” อนามิกาทัก
“ย่ะ รู้จักสนใจดูแลคนป่วยเหมือนกันนี่นะ” พนารัตน์ชะเง้อมองในชาม “อะไรเนี่ย ดูน่ากินดีนี่”
“ข้าวต้มหมูใส่ไข่ค่ะ”
“ใส่ไข่ด้วยเหรอ เออแฮะ” พนารัตน์กลืนน้ำลายเพราะอยากกินบ้าง
“ยังมีอีกนะคะ ถ้าคุณผู้หญิงสนใจ ดิฉันจะไปตักมาให้” อนามิกาบอก
พนารัตน์อยากกินแต่ทำฟอร์ม “โอ๊ย! ฝีมือเธอ ฉันคงกระเดือกลงหรอกนะ”
“คุณแม่...อยากกินก็ให้อนามิกาเค้าตักให้เหอะ” ณดลพูดอย่างรู้ทัน แล้วจึงหันไปหาอนามิกา “ไปตักให้คุณแม่ชามนึงไป”
“ไม่ต้อง! ใครบอกว่าฉันอยากกิน” พนารัตน์แทรกขึ้น
“ผมนี่แหละบอก” ณดลหันไปบอกอนามิกา “ไปสิ อะนา ตักมาเยอะๆ เลย”
“เอ่อ..ค..ค่ะ” อนามิการีบเดินออกไป
พนารัตน์ทำเชิ่ดเหมือนจะไม่กินอาหารฝีมืออนามิกา แต่ก็แอบเหลือบมองเพราะใจจริงก็อยากกินอยู่เหมือนกัน

พนารัตน์ตักกินข้าวต้มหมูใส่ไข่ที่อนามิกาตักมาให้อย่างเอร็ดอร่อย ณดลกับจ๊อดนั่งตักกินอย่างช้าๆ ทั้งคู่มองพนารัตน์อย่างอึ้งๆ
พนารัตน์ตักกินไปด้วยพูดไปด้วย “อืม..เข้าใจทำนะนี่ เอาไข่มาทอดน้ำก่อนแล้วใส่ในข้าวต้มใช่มั้ย”
“ค่ะ...เป็นไงบ้างคะ พอทานได้มั้ยคะ” อนามิกาถาม
พนารัตน์ตักกินคำสุดท้ายหมดพอดีก็พลันนึกได้ จึงรีบปั้นหน้าดุ “ก็...งั้นๆ แหละ”
“งั้นๆ เหรอครับคุณแม่” ณดลหยิบชามที่วางอยู่ตรงหน้าพนารัตน์มาคว่ำลง “เอ๊ะ! ใครเอาชามเปล่ามาวางตรงนี้เนี่ย” ณดลเหลือบไปที่พนารัตน์ “เกลี้ยงเลยนะครับ”
พนารัตน์หน้าแหยที่โดนจับได้ อนามิกายิ้มขำแต่ก็พยายามกลั้นยิ้มไว้
“พี่อะนาตักเพิ่มให้อีกชามสิครับ” จ๊อดเสนอ
พนารัตน์ตวาด “ไม่ต้องมาสู่รู้” พนารัตน์พูดแก้เก้อเบาๆ “ก็คนมันหิว เลยกินเพลินไป ไม่ได้อร่อยอะไรนักหรอก...” พนารัตน์ลุกขึ้น “ฉันไปงีบก่อนนะ”
ณดล อนามิกา และจ๊อดยิ้มขำ ทั้งสามแอบมองหน้ากันเพราะไม่กล้าแสดงออกมาก พนารัตน์ก้าวไปได้ไม่กี่ก้าวก็หันกลับมาพูดเสียงแข็งๆ
“อ้อ! นี่..ยัยอะนา”
“ขา?” อนามิการับคำอย่างงงๆ
“มื้อค่ำเนี้ย เธอทำกับข้าวนะ แล้วถ้าจะซื้อของสดของแห้งอะไรก็บอกให้ศรีไปซื้อมา”
“ค่ะ..ได้ค่ะ”
อนามิกายิ้มแล้วหันไปยิ้มกับณดลเพราะรู้สึกดีที่ได้รับการยอมรับจากพนารัตน์ ก่อนที่ณดลจะกระแอมไอขึ้นมาเพราะยังมีอาการไม่สบาย อนามิกามองอย่างเป็นห่วง

ณภัทร เมธาวี และอัธวุธกำลังพูดคุยกันอยู่ในร้านเสื้อผ้าของเมธาวี
“เอาเลยสิเม โอกาสดีขนาดนี้แล้ว ออเดอร์จากลอนดอนตั้งสองร้อยชุด” ณภัทรสนับสนุน “เมก็ฝันไว้ว่าถ้าลูกค้าเค้าแฮปปี้ ก็อาจจะได้ออเดอร์ต่อๆ ไปอีก” เมธาวีบอก
“ดะ..เดี๋ยวๆๆ นี่เธอสองคนไม่ได้กลิ่นตุๆ กันหรือไงยะ” อัธวุธแย้ง “คิดเหรอว่าคนอย่างยัยเกดกะยัยนีน่าจะดีกับพวกเราจริงๆ ฉันว่าออเดอร์จากลอนดอนอะไรนี่มันน่าจะเป็นออเดอร์กำมะลอนะยะ”
“อืม...” ณภัทรคิดตาม “จะว่าไปก็ไม่ค่อยน่าไว้ใจเหมือนกันนะ”
“เมก็ไม่ไว้ใจเกดกับนีน่าหรอก แต่เมไว้ใจคุณแพรน่ะ ถ้ามันเป็นเรื่องโกหกหลอกลวง คุณแพรคงไม่ออกปากเชียร์เมสุดฤทธิ์อย่างงี้หรอก”
“แต่ยัยแพรนั่นก็เป็นน้องสาวแท้ๆ ของยัยนีน่านะยะ” อัธวุธแย้ง
“แต่เมมั่นใจว่าคนอย่างคุณแพรไม่มาหลอกลวงพวกเราแน่ๆ ค่ะพี่อาร์ท”
อัธวุธพูดกับเมธาวี “ชัวร์เหรอ?” แล้วเขาก็หันมามองณภัทรเป็นเชิงถาม “ยัยแพรเป็นคนดีขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ฉันก็ไม่ได้สนิทกับคุณแพรมากมายหรอกนะ แต่เท่าที่เห็น ถ้าคุณแพรออกปากการันตี ก็น่าจะสบายใจได้นะ” ณภัทรบอก
“เรียกว่าเป็นคนดี ตรงกันข้ามกับพี่สาว ว่างั้น” อัธวุธสรุป
“ก็ประมาณนั้น อ้อ!” ณภัทรพูดกับเมธาวี “แล้วเรื่องเงิน เธอยืมฉันได้เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ”
“เอ่อ จะดีเหรอภัทร”
“โอ๊ย! ไม่ต้องเกรงใจหรอกยัยเม ตอนนี้นายภัทรเค้าตั้งตัวเป็นผู้สนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อยไปแล้วนะยะ ฉันจะทำแฟชั่นโชว์เปิดตัวร้านเสื้อผ้าของฉัน เค้ายังช่วยเลย” อัธวุธบอก
“อ้าว! เหรอ พี่อาร์ทจะเปิดร้านแล้วเหรอ” เมธาวีตื่นเต้น
“ใช่ย่ะ ฉันก็เร่งทำเสื้อผ้าเต็มสปีดอยู่เนี่ย ขืนมัวชักช้า เดี๋ยวแบรนด์ของอัทธวุธ จะไล่ตามคุณเมธาวีเค้าไม่ทัน”
“อู๊ย...ระดับคุณอัทธวุธ เมธาวีไม่กล้าแข่งด้วยหละค่ะ เสื้อผ้าที่พี่อาร์ททำแต่ละชุดนี่ทั้งเก๋ทั้งเฟี้ยว ขนาดตอนเรียนที่ลอนดอน ทั้งเพื่อนฝรั่ง ทั้งอาจารย์ ยังยกให้เป็นท็อป ดีไซเนอร์”
“แหม..เอาความจริงมาพูดกันแบบนี้ฉันเขินแย่ เอาไว้ถึงวันงานแฟชั่นเปิดตัวเสื้อผ้าฉัน เธอสองคนต้องมาช่วยเดินแบบให้ด้วยนะ” อัธวุธบอก
เมธาวีกับณภัทรรีบโบกมือปฏิเสธ “ไม่เอาๆ”
อัธวุธยกมือขึ้นเหมือนจราจรสั่งหยุดรถ “หยุด! นี่ไม่ใช่คำขอร้อง แต่เป็นคำสั่ง ดีไซเนอร์ระดับฉันไม่รับคำปฏิเสธเด็ดขาดย่ะ”
ณภัทรกับเมธาวีหน้าแหยแต่ก็ไม่กล้าเถียง เพราะอัธวุธหน้าเข้มเอาจริงเอาจัง

ธัญญามีสารรูปโทรมๆ อย่างคนซังกะตาย เธอเดินมาเปิดประตูหลังจากได้ยินเสียงเคาะถี่ๆ ที่ประตูห้อง ธัญญาเปิดประตูออกแล้วก็ตกใจระคนดีใจ
“คุณพายัพ คะ..คุณมาได้ไงคะเนี่ย”
“ขอผมเข้าไปก่อนได้มั้ย” พายัพถาม
“เชิญสิคะ เข้ามาเลย”
ธัญญาเดินนำพายัพเข้ามาในห้อง แล้วรีบกุลีกุจอก้มเก็บขวดเบียร์และข้าวของที่วางรกๆ
บนโต๊ะและเก้าอี้รับแขก
“นั่งก่อนสิคะ คุณพายัพน่าจะโทรมาบอกก่อน ดูสิ ฉันโทรมจะตายอยู่แล้ว ห้องก็รก งั้นขอตัวไปล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะคะ”
พายัพตรงเข้ามากอดรวบธัญญาจากด้านหลัง
“ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น ขอหอมให้ชื่นใจหน่อยซิ”
พายัพหอมแก้มธัญญาจากด้านหลัง ธัญญายิ้มอย่างดีใจแต่แล้วก็นึกได้จึงปลดแขนพายัพ ออกแล้วทำแง่งอนใส่
“ไม่ต้องเลย ทีเวลาฉันอยากเจอ คุณก็หายหน้าไป แต่พอคุณเหงา ก็มาหาฉันอย่างงั้นใช่มั้ย ฉันไม่อยากเป็นเครื่องมือระบายความเหงาของใครหรอกนะ”
“คิดมากน่าธัญญา ช่วงนี้ผมก็แค่ติดธุระยุ่งๆ” พายัพบอก
“ธุระอะไรของคุณ แค่โทรมาซักครั้งก็ไม่มี คุณทำเหมือนหายไปจากชีวิตฉันแล้ว ทิ้งให้ฉันเสียใจ คุณทำกับฉันแบบนี้ได้ยังไง”
“ก็ได้...ถ้าคุณไม่อยากให้ผมมา งั้นผมไปก็ได้”
พายัพทำท่าจะเดินออกไป แต่ธัญญารีบขยับมาขวางไว้
“เดี๋ยว...ใครบอกว่าฉันไม่อยากให้คุณมา” ธัญญาสะอื้นไห้แล้วสวมกอดพายัพแน่น “รู้มั้ยว่าฉันดีใจแค่ไหนที่เห็นคุณมานี่ นึกว่าคุณจะไม่รักฉันแล้ว”
พายัพมีแววตาเจ้าเล่ห์เพราะคิดถึงคำพูดของเกตนิการ์
“ยัยอะนารักพี่สาวคนนี้มาก ถ้าพี่พายัพจะหาทางใช้แม่ธัญญา เป็นเครื่องมือบีบให้ยัยอะนาเลิกกับภัทรซะ พี่ว่าพี่พอจะช่วยได้มั้ยล่ะ”
พายัพยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
พายัพพูดโกหกออกมา “รักสิ...ผมจะไม่รักคุณได้ไง”

ธัญญานั่งอยู่ที่ปลายเตียงโดยที่เพิ่งแต่งตัวเสร็จ พายัพนอนไม่ใส่เสื้ออยู่ใต้ผ้าห่มบนเตียงของธัญญา
“ฉันไม่เข้าใจเลย ทำไมคุณถึงอยากให้น้องสาวฉันเลิกกับนายภัทรล่ะ” ธัญญาถามงงๆ
“ไม่ต้องถามได้มั้ยธัญญา เอาเป็นว่าผมขอร้องให้คุณช่วยทำยังไงก็ได้ให้อะนาเลิกกับนายภัทรซะ” พายัพขยับมากอดเอาใจจากด้านหลัง “ถ้าคุณรักผมจริง เรื่องแค่นี้คุณพอจะช่วยผมได้มั้ย”
ธัญญาครุ่นคิด เธอนึกถึงเหตุการณ์ในห้องน้ำหญิงของคลับของพายัพ ที่หน้ากระจกอ่างล้างหน้าในห้องน้ำหญิง ตอนที่ธัญญาโพล่งขึ้นมาอย่างไม่อยากจะเชื่อหลังจากรู้เรื่องที่แท้จริงระหว่างน้องสาวกับณภัทรแล้ว
“เธอแกล้งหลอกว่าเป็นเมียเค้าเนี่ยนะ แล้วจะแกล้งหลอกไปเพื่ออะไร”
“ก็เค้ากำลังจะโดนทางบ้านจับคลุมถุงชนให้แต่งงานน่ะสิ ฉันก็เลยต้องช่วยตบตาทางบ้านเค้าว่าเราเป็นสามีภรรยากันน่ะ” อนามิกาบอก
ธัญญานิ่งคิดถึงเหตุการณ์ดังกล่าวอยู่ครู่หนึ่ง ก็ระเบิดเสียงหัวเราะร่วนออกมา
พายัพงง “ขำอะไร? แล้วตกลงคุณจะช่วยพูดให้อะนาเลิกกับนายภัทรมั้ย..หา?”
ธัญญาพูดกลั้วหัวเราะ “ไม่ต้องช่วยอะไรหรอกค่ะคุณพายัพ ยังไงซะ อีกแค่ไม่กี่เดือน ยัยอะนาก็ต้องเลิกกับนายภัทรแน่ๆ ค่ะ “
พายัพงงหนักขึ้นไปอีก “คุณพูดอะไรของคุณ หมายความว่าไงเหรอธัญญา ทำไมคุณถึงมั่นใจว่าเค้าต้องเลิกกันแน่ๆ”
“ฉันต้องขอโทษจริงๆ ที่บอกเหตุผลไม่ได้ แต่เชื่อฉันเหอะ ยังไง๊...ยังไง..ยัยอะนาก็ต้องเลิกกับนายภัทรอย่างแน่นอนค่ะ”
พายัพงงสุดๆ แต่พอเห็นธัญญายืนยันอย่างมั่นใจก็ไม่ได้ซักค้านอะไรต่อ

เกตนิการ์ฟังเรื่องจากพายัพแล้วก็อยู่ในอาการงงสุดๆ
“ยัยพี่สาวเค้าเอาที่ไหนมามั่นใจขนาดนั้นเหรอคะพี่”
“พี่ก็ซักเค้าแล้ว แต่ยังไงเค้าก็ไม่ยอมบอกน่ะ สบายใจเหอะน่า น้องสาวพี่ อีกไม่กี่เดือน นายภัทรของเกดก็จะกลายเป็นหนุ่มโสดเต็มตัวแล้ว”
“แต่ถึงจะเป็นเรื่องจริง เกดก็ยังสบายใจไม่ได้อยู่ดี” เกตนิการ์บอกพี่ชาย
“อ้าว! ทำไมอีกล่ะ”
“ก็หลุดจากยัยอะนา ก็ยังมียัยแพรวาที่ทางผู้ใหญ่เค้าจัดไว้ให้ แล้วไหนยังจะมียัยเมอีกคนที่จ้องนายภัทรตาเป็นมัน”
“โอ๊ย! อะไรจะเสน่ห์รุนแรงขนาดนั้น.. บอกตามตรงนะ พี่มองแล้ว นายภัทรไม่เห็นจะมีอะไรดีตรงไหน สู้นายณดลพี่ชายเค้าไม่ได้ซักอย่าง”
“รายนั้นเหรอคะ ทั้งดุ ทั้งแข็งทื่อ ไม่โรแมนติกเอาซะเลย มีก็แต่ยัยนีน่าแหละที่ชอบ เกดจะบอกให้นะ ถ้าพี่พายัพรู้จักภัทรมากกว่านี้ พี่จะรู้ว่าเค้าเป็นผู้ชายที่น่ารักมาก...มาก” เกตนิการ์บอก
“จ้า...พี่ไม่เถียงจ้า น้องรักใครพี่ก็รักด้วยแหละจ้า”
เกตนิการ์ยิ้มปลื้ม พายัพก็ยิ้มตามประสาพี่ชายที่เห็นน้องแฮปปี้ก็พลอยแฮปปี้ไปด้วย

พนิดายืนอยู่หน้าร้านของตัวเองที่ยังมีช่างก่อสร้างกำลังตกแต่งหน้าร้านอยู่ อนามิกาพาจ๊อดกลับมาคืน จ๊อดเข้าไปสวมกอดพนิดาด้วยหน้าตาซึมๆ เพราะไม่สบาย
อนามิกาพูดเสียงอ่อย อย่างรู้สึกผิด “ขอโทษนะเจ๊ ที่จ๊อดไม่สบายแบบนี้”
“โอ๊ย...ไม่เป็นไร จะขอโทษทำไม เจ๊ตะหากต้องขอโทษที่ต้องรบกวนฝากไอ้ลูกลิงนี่ไว้” พนิดาหันมาพูดกับจ๊อด “เออ..เวลาแกไม่สบายก็ดีเหมือนกันนะ เงียบๆ ติ๋มๆ ดี ไม่งั้นหละวิ่งป่วนจนแม่เวียนหัวทั้งวัน”
จ๊อดพูดด้วยน้ำเสียงซึมๆ “แม่รักลูกมากเลยนะเนี่ย ลูกไม่สบาย แต่แม่บอกดี”
พนิดาจับศีรษะจ๊อดโยกคลอนอย่างเอ็นดู “แม่ล้อเล่น มา..หอมที อุ๊ย! ไม่เอาดีกว่า เดี๋ยวติดหวัด” พนิดาหันมาพูดกับอนามิกา “อะนา เจ๊ขอบใจมากเลยนะ อ้อ! รอเดี๋ยวนะ”
พูดจบพนิดาก็รีบหันกลับเข้าไปในร้าน อนามิกายืนลูบศีรษะจ๊อดอย่างเอ็นดู
“ไว้เจอกันนะจ๊อด เป็นไง อยากไปอยู่กะพี่ณดลอีกมั้ย” อนามิกาถาม
“อยากครับ แต่...จ๊อดว่า...พี่ณดลเค้าชอบพี่อะนาจริงๆ นะ” จ๊อดย้ำ
อนามิกาหน้าตื่นขึ้นมาทันที “จ๊อด หยุดเพ้อเจ้อได้แล้ว ห้ามไปพูดแบบนี้ให้คนอื่นได้ยิน รู้มั้ย”
พนิดาถือถุงใส่กับข้าวออกมาจากร้าน
“มาแล้ว” พนิดายื่นถุงกับข้าวให้อนามิกา “ก่อนกลับเจ๊แวะที่เชียงใหม่ เลยได้แกงฮังเลเจ้าเด็ดมา เจ้าเนี้ยทำอร่อย หมูสามชั้นมันไม่หนาเกินไป แล้วเค้าคั่วแกงแบบใจเย็น กลิ่นงี้ห๊อม...หอม อู๊ย..พูดแล้วเจ๊ยังน้ำลายสอ”
อนามิกายกมือไหว้ แล้วรับมา “ขอบคุณมากนะคะ งั้นคงต้องรีบขอตัวกลับแล้วหละค่ะเจ๊ ต้องรีบกลับไปทำกับข้าวให้ที่บ้านนายภัทรเค้าน่ะ”
“อุ๊ยตาย! แม่บ๊าน...แม่บ้าน เตรียมตัวเป็นคุณแม่ด้วยใช่มั้ยจ๊ะ” พนิดาหันมาหาจ๊อด “นี่ไอ้จ๊อด พี่อะนาเค้ามีน้องอยู่ในท้องแล้วนะ อีกหน่อยแกจะได้มีน้องมาวิ่งเล่นเป็นเพื่อนแล้วนา...ฮ่าๆๆ”
อนามิกาทำสีหน้าพะอืดพะอมแต่ก็ปล่อยเลยตามเลยเพราะขี้เกียจแก้ข่าวให้วุ่นวาย

อนามิกายกชามใส่แกงฮัลเลเดินมาเสิร์ฟที่โต๊ะอาหารบ้านณภัทร ซึ่งมีณภัทร กอบชัย และพนารัตน์กำลังนั่งรับประทานอาหารกันอยู่
“สุดท้ายแล้วค่ะ แกงฮังเลค่ะ” อนามิกาบอกทุกคน
พนารัตน์ตักกินแล้วจึงพูด “เสียดายนะ ณดลดันไม่สบาย ลงมากินด้วยไม่ได้”
“ดิฉันจัดเป็นสำรับเล็กๆ ฝากศรียกขึ้นไปให้แล้วค่ะ” อนามิกาบอก
“เหรอ...อืม..รู้งานนี่นะ” พนารัตน์ชม
“กับข้าววันนี้อร่อยจริงๆ นะ อร่อยทุกอย่างเลย” กอบชัยเอ่ยชมบ้าง
“ฝีมืออะนาครับคุณพ่อ” ณภัทรรีบบอก
พอรู้ว่าเป็นฝีมืออนามิกา กอบชัยก็รู้สึกอยากเอาคำพูดชมกลับคืน “จริงเหรอ”
พนารัตน์พูดกับกอบชัย “ฉันเป็นคนสั่งให้ทำเองน่ะ อร่อยนะ โดยเฉพาะแกงฮังเลเนี่ย โอ๊ย...เกิดมาจนปูนนี้ ฉันยังไม่เคยกินแกงฮังเลอร่อยขนาดนี้เลย”
“เอ่อ..คือ...แกงฮังเลนั่น ดิฉันไม่ได้ทำ” อนามิการีบบอก
“เธอไม่ต้องถ่อมตัวหรอกน่า อะนา คุณแม่ชมก็รับๆ ไปเถอะ” ณภัทรแทรกขึ้น
“แต่ว่า...” อนามิกาอ้ำอึ้ง
พนารัตน์รีบแทรกขึ้น “ไม่ต้องพูดมาก ไปๆ!”
อนามิกาคิดว่าโดนไล่จึงขยับจะเดินออกมา
“รีบไปตักข้าวมานั่งกินด้วยกันสิ” พนารัตน์เอ่ย
อนามิกาเซอร์ไพรส์สุดๆ
“แต่..ปกติคุณผู้หญิงไม่อนุญาตให้ดิฉันทานอาหารร่วมโต๊ะ” อนามิกาบอก
ณภัทรรีบพูดกับอนามิกา “แต่วันนี้คุณแม่ชวนแล้วไง รีบไปตักข้าวมานั่งกินด้วยกัน เร็ว”
อนามิกายิ้ม แล้วพูดกับพนารัตน์ “ขอบคุณค่ะ”

ศรีกำลังยืนล้างถ้วยชามอยู่ในครัว อนามิกาเดินยกสำรับจานชามที่ทานเสร็จแล้ว มาวางใกล้ๆ
“นี่จ้ะศรี ฉันช่วยยกมาให้”
ศรีพูดลอยๆ ประชด “แหม..มาแรกๆ ก็ยังต้องล้างจานงกๆ เหมือนฉัน เดี๋ยวนี้ แค่ช่วยยกจานก็ยังต้องมาทำเป็นพูดลำเลิก”
“นี่...ฉันไม่ได้จะลำเลิกอะไรนะ แล้วไปเก็บสำรับของคุณณดลลงมารึยัง” อนามิกาถาม
“เธอก็ขึ้นไปเก็บมั่งสิยะ ฉันมีหน้าที่รับใช้คนในบ้านนี้ ไม่ได้รับใช้เธอ” ศรีตอกกลับ
“จ้ะๆๆ ฉันขึ้นไปเก็บให้ก็ได้” อนามิกาบ่นเบาๆ “โอ๊ย! ถ้าฉันเป็นเมียนายภัทรจริงๆ ป่านนี้ฉันไล่เธอออกแล้ว”
“เธอว่าไงนะ” ศรีถาม
“ปะ..เปล่า ไม่มีอะไร เธอล้างจานไปเหอะศรี เดี๋ยวฉันขึ้นไปเก็บถ้วยชามบนห้องคุณณดลเอง” พูดจบอนามิกาก็เดินหนีไป
ศรีมองตามอย่างจับผิดเพราะหวนนึกถึงคำพูดของอนามิกา แต่ก็งงเพราะจับต้นชนปลายไม่ถูกเหมือนกัน

อนามิกาเคาะประตูห้องณดล แล้วจึงค่อยๆ แง้มเปิดประตูห้องเข้ามาทำให้เห็นว่าไฟในห้องค่อนข้างสลัว ข้าวถ้วยเล็กๆ และกับข้าวถ้วยเล็กๆ แบบเดียวกับบนโต๊ะอาหารและแก้วน้ำวางอยู่ในถาด ข้าวและกับข้าวพร่องลงไปแค่นิดเดียว ส่วนน้ำพร่องไปเกือบหมดแก้ว อนามิกาเดินมาเก็บ เธอหันไปทางณดลก็เห้นณดลนอนหลับอยู่บนเตียง
อนามิกาเปรยอย่างเป็นห่วง “กินแค่เนี้ยนะ ไม่รู้หรือไงว่ายิ่งป่วยก็ยิ่งต้องบำรุงน่ะ”
อนามิกายกถาดสำรับอาหารขึ้นมาแล้วกำลังจะเดินออกไป แต่ก็ต้องชะงักเพราะเสียงครางของณดล “โอย..”
อนามิกาเดินกลับมา เธอวางถาดลงแล้วมาดูอาการของณดลที่นอนหลับแต่ครางเพ้อเพราะพิษไข้ “โอย...”
“เป็นไงบ้างคุณ” อนามิกาลองเอามือแตะหน้าผากแล้วถึงกับสะดุ้ง “ไข้สูงนะเนี่ย ตัวร้อนจี๋เลย”
อนามิกาขยับจะเอามือออก แต่ณดลซึ่งยังซมกับพิษไข้คว้ามือของอนามิกาไว้ อนามิกาชะงัก
ณดลครางโดยไม่รู้สึกตัว “อย่าเพิ่งไป”
อนามิกาตกใจพอเห็นณดลค่อยๆ ปล่อยมือตนจึงโล่งใจ แต่ก็ยังรู้สึกเป็นห่วง
“ถึงกับเพ้อเลย เดี๋ยวฉันเช็ดตัวลดไข้ให้นะ”

อนามิการู้สึกเป็นห่วงณดลมากๆ
ศรีล้างจานใบสุดท้ายแล้วนำขึ้นไปวางในที่วางจาน ก่อนจะถอนใจอย่างเบื่อๆ แล้วเหลือบมองไปข้างบน

ศรีบ่นอย่างอารมณ์เสีย “ยัยอะนาเอ๊ย...ฉันล้างจนเสร็จแล้ว ป่านนี้ยังไม่เก็บถ้วยชามข้างบนลงมาให้อีก”

อนามิกาเอาผ้าชุดน้ำในชามอ่างที่วางข้างๆ แล้วนำขึ้นมาบิด ก่อนจะเช็ดหน้าเช็ดตาให้ณดล อนามิกาปลดกระดุมเสื้อนอนของณดลแล้วเช็ดที่ต้นคอและบ่าของเขา
“ลดอุณหภูมิร่างกายลงซักหน่อย เดี๋ยวก็ดีขึ้นนะ” อนามิกาพูด
อนามิกาถกเสื้อนอนของณดลออกแล้วเช็ดหัวไหล่ทั้งสองข้างของณดล เธอจับแขนณดลขึ้นมาแล้วเอาผ้าเช็ดแขนให้ข้างหนึ่ง ก่อนจะจับแขนอีกข้างมาเตรียมจะเช็ดให้ จังหวะนั้น ณดลก็เอียงแขนมาโอบตัวของอนามิกาที่กำลังก้มเช็ดตัวให้ทำให้กลายเป็นว่าอนามิกาถูกกอดรวบลงไป จนใบหน้าของอนามิกาทาบทับไปที่แผ่นอกอันเปลือยเปล่าของณดล
ณภัทรเปิดประตูแง้มมาพอดี พอเห็นภาพดังกล่าวเขาก็ถึงกับตาโตตกใจ เพราะเขาเห็นเหมือนอนามิกากำลังทำมิดีมิร้ายณดลที่เสื้อหลุดลุ่ยอยู่บนเตียง
ณภัทรตกใจรีบปิดประตู แต่แล้วก็อดใจไม่ไหวจึงแง้มดูอีกทีอย่างอยากรู้อยากเห็น ศรีเดินมาโผล่หน้าอยู่ข้างหลังณภัทร ศรีมองเข้าไปเห็นแล้วก็ตกใจเหมือนกัน ณภัทรเหลียวไปเห็นศรีที่ยื่นหน้ามาแทบจะแนบหน้าตนก็ตกใจจนอุทานออกมา “เฮ้ย!”
อนามิกาได้ยินเสียงณภัทรก็สะดุ้งแล้วหันไป แต่ณภัทรรีบปิดประตูห้องทันที อนามิกายกแขนณดลที่พาดตัวเองออก แล้วหันไปถาม
“ใครน่ะ? ใครอยู่หน้าห้อง เปิดเข้ามาได้เลย..”
อนามิกานิ่งสักครู่แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ เธอจึงหันไปเช็ดตัวให้ณดลต่อ

ณภัทรกับศรียังคงมีสีหน้าเหมือนคนกำลังช็อค ทั้งสองเดินเบลอลงบันไดแล้วมาหยุดคุยกัน
“เอ่อ..ศรี...ศรีเห็นอย่างที่ฉันเห็นใช่มั้ย” ณภัทรถาม
“เต็มตาเลยค่ะคุณภัทร ศรีไปฟ้องคุณรัตน์ดีกว่า” ศรีทำท่าจะเดินไป
ณภัทรรีบร้องห้ามทันที “ไม่ได้! เราสองคนตาฝาดไปเอง ศรีเองก็ไม่เห็นอะไร แล้วก็ห้ามบอกใครทั้งนั้น”
“ทำไมล่ะคะคุณภัทร คุณภัทรไม่กลัวว่าคุณอะนาจะนอกใจ คิดอะไรเกินเลยกับคุณณดลเหรอคะ”
“ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ ถ้าเค้าสองคนชอบกันก็ดี” ณภัทรบอก
ศรีตาโต “หา!? แต่คุณอะนาเป็นเมียคุณภัทรนะคะ อู๊ย..บัดสีบัดเถลิง ศรีรีบไปฟ้องคุณรัตน์ดีกว่า”
ณภัทรพูดเสียงเข้ม “บอกว่าอย่า! ถ้าศรีฟ้องคุณแม่ฉัน ฉันจะไล่ศรีออก”
ศรีชะงักสักครู่แล้วก็ยื่นหน้าท้าทาย “ศรีไม่กลัวคุณภัทรหรอกค่ะ”
ณภัทรขู่ “แล้วกลัวพี่ณดลมะ”
ศรีสะดุ้ง จากหน้าตาท้าทายในตอนแรกกลายเป็นหน้าแหยไป
“ถ้าขืนศรีปากโป้งหละก็..ฉันจะบอกพี่ณดลว่าศรีเป็นคนฟ้อง รับรอง...พี่ณดลไม่ปล่อยศรีไว้แน่”
ศรีเดินอย่างงงๆ ลงบันไดไป
“คุณภัทรนี่ช่างเป็นน้องที่ประเสริฐจริงๆ นะ ขนาดมีเมียยังแบ่งให้พี่ได้”
ณภัทรสะดุ้งแล้วเหลือบมองไปบนห้อง
“เป็นไปไม่ได้น่า...พี่ณดลยังนอนซมอยู่เลยเนี่ยนะ”
ณภัทรย้อนกลับขึ้นบันไดไปอีกครั้ง

ประตูห้องณดลค่อยๆ แง้มออก ณภัทรยื่นหน้ามาแอบมอง เขาเห็นอนามิกากำลังเช็ดตัวให้ณดล ณภัทรค่อยโล่งใจขึ้นแต่ก็ยังแอบดูต่อไป
ณดลเริ่มรู้สึกตัว เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาเหลือบมองสำรวจตัวเองพอเห็นเสื้อตัวเองหลุดลุ่ยเขาก็ตกใจ
ณดลถามน้ำเสียงยังเพลียๆ อย่างคนป่วย “เธอถอดเสื้อฉันทำไม”
“เอ๊า! ถามได้ ฉันจะสักยันตร์ให้หละมั้ง ฉันก็เช็ดตัวให้คุณอยู่น่ะสิ รู้ตัวมั้ยว่าไข้สูงจนเพ้ออยู่เมื่อกี้น่ะ” อนามิกาบอก
“ขนาดนั้นเลยเหรอ”
ณภัทรขยับเพื่อแอบมองให้ถนัดขึ้น
“เอ้า..แล้วไม่เช็ดต่อล่ะ” ณดลถาม
อนามิกาพยักหน้ารับแล้วเอาผ้าชุบน้ำเช็ดจากอกลงไปหน้าท้อง พอลงต่ำไปอีกณดลก็รีบปราม
“พะ..พอๆ ไม่เป็นไร ฉันเช็ดต่อเองได้” ณดลดึงผ้ามาถือไว้
อนามิกาเอาผ้าอีกผืนชุบน้ำแล้วบิด ก่อนจะพับให้ได้ขนาดพอดีแล้วนำมาวางบนหน้าผากณดล
“ผืนเนี้ย วางไว้บนหน้าผากนะ จะช่วยลดไข้ได้”
“ได้...” ณดลนิ่งครู่หนึ่งจึงพูดขึ้น “อะนา”
“หือ”
“ฉันขอบใจเธอมากนะ” ณดลพูด
อนามิกายิ้มอย่างประหลาดใจ “รู้จักขอบใจเหมือนกันนี่นะ”
ณดลยิ้มอย่างคนยังอิดโรย “ฉันขอบใจเธอจริงๆ ที่ดีกับฉันแบบนี้”
อนามิกายิ้มรับ ทั้งสองต่างก็ยิ่งรู้สึกดีต่อกัน ณภัทร แอบดูอยู่อย่างสงสัย เขาเริ่มระแคะระคายว่าณดลกับอนามิกาน่าจะมีใจให้กัน

ที่รานเสื้อผ้าของเมธาวี ณภัทรทำท่าจะเริ่มพูดอะไรบางอย่างกับเมธาวีและอัธวุธแต่ก็เปลี่ยนใจไม่พูด แล้วก็ขยับจะพูด เขาอึกๆ อักๆ ไม่ยอมเริ่มซักที จนอัธวุธกับเมธาวีที่รอฟังอย่างใจจดใจจ่อชักจะรำคาญ
“นี่...อีตาภัทร ตกลงจะเล่ามั้ย เห็นทำยึกยัก อึกๆ อักๆ น่ารำคาญอยู่ได้” อัธวุธว่า
“นั่นสิ ไหนบอกมีเรื่องจะเล่าให้พวกเราฟังไม่ใช่เหรอ มีอะไรก็พูดมาเถอะ” เมธาวีบอก
“ก็...ไม่รู้นะ ฉัน...ฉันอาจจะคิดไปเองก็ได้” ณภัทรพูด
อัธวุธพูดด้วยน้ำเสียงรำคาญ “คิดไปเองอะไรก็รีบว่ามาสิยะ”
“คือฉันสงสัยว่า...พี่ณดลกับอะนาเค้าเหมือนกับ...”
อัธวุธกับเมธาวียื่นหน้ามาแทบกลั้นหายใจรอฟัง
ณภัทรพูดต่อ “...เหมือนกับจะชอบๆ กันน่ะ”
อัธวุธกับเมธาวีอ้าปากค้าง ก่อนจะหันมามองหน้ากันสักครู่แล้วระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
“ฮ่าๆๆๆๆ”
“นี่...อีตาภัทร จะเอาฮาไปถึงไหน...หา? คนอย่างยัยอะนาเนี่ยนะจะชอบพี่ชายของนายน่ะ” อัธวุธขำกลิ้ง
“แหม..อำซะเมธาวีเกือบเชื่อเลยนะภัทร” เมธาวีหัวเราะ
ณภัทรยืนยันหน้าเครียด “ไม่ได้อำ ฉันพูดจริงๆ ท่าทางพี่ณดลกับอะนามันดูเหมือนกับว่าเค้าชอบกันจริงๆ”
อัธวุธกับเมธาวีค่อยๆ หยุดหัวเราะ
“นี่ซีเรียสใช่มั้ย แล้วทำไม...นายถึงรู้สึกแบบนั้นล่ะ” เมธาวีถาม
“ก็ฉันเห็นเวลาที่เค้าอยู่ด้วยกัน แล้วมันรู้สึกได้น่ะ”
“ถ้ามันเป็นจริง ก็ไม่เสียหายนี่ยะ นายกับอะนาก็เป็นผัวเมียกันแค่หลอกๆ ไม่เห็นจะต้องเดือดร้อนเลย” อัธวุธบอก
“ฉันก็ไม่ได้เดือดร้อน แค่เห็น แล้วสงสัย ก็เลยเอามาเล่าให้ฟัง “
“แล้ว...ถ้ามันเกิดเป็นเรื่องจริงขึ้นมา นายจะทำยังไง” เมธาวีถามอีก
“ถ้าพี่ชายฉันจะจีบคนดีๆ อย่างอะนา ฉันก็ต้องเชียร์อยู่แล้ว” ณภัทรบอก
“จะดีเหรอ กลัวว่าจะตีกันตายซะก่อนรึเปล่า ต่างคนก็ต่างแรงไม่เบา” เมธาวีเป็นห่วง
“ฉันว่าเป็นไปไม่ได้หรอก” อัธวุธพูด “อย่าลืมสิว่า พี่นายเค้าคิดว่ายัยอะนาเป็นเมียท้องอ่อนๆ ของนายอยู่นะ คนอย่างพี่นาย คงไม่คิดอะไรกับเมียของน้องตัวเองหรอกย่ะ”
“ก็คอยดูกันต่อไปแล้วกันนะ ถ้ามีอะไรคืบหน้า ฉันจะคอยมารายงานให้ฟังก็แล้วกัน”
เมธาวีกับอัธวุธพยักหน้ารับทราบแล้วหันมามองหน้ากัน ทั้งสองยังมีหน้าตาเหวอๆ เพราะไม่อยากจะเชื่อ
อัธวุธเปรยออกมาเบาๆ “อะไรก็เกิดขึ้นได้บนโลกใบนี้จริงๆ นะ”

กอบชัยกับพนารัตน์เดินนำนลิณาและแพรวามานั่งที่เก้าอี้รับแขกในบ้านตนเอง ศรีคอยรับใช้อยู่ไม่ห่าง นลิณายื่นถุงใส่ก๋วยเตี๋ยวราดหน้า 5 ห่อให้พนารัตน์
“คือพอนีน่าทราบว่าคุณณดลไม่สบาย ก็เลยมาเยี่ยม นีน่าแวะซื้อราดหน้ามาฝากด้วยค่ะ เจ้าดังเลยนะคะนี่”
“อุ๊ยตาย...น่ารักจัง มีน้ำใจจริงๆ” พนารัตน์รบแล้วส่งต่อให้ศรี “ศรีไปเทใส่จานทีไป”
“ยกน้ำยกท่ามาก่อนนะศรี” กอบชัยสั่ง “เอ้า! นั่งๆๆ วันนี้มากันทั้งพี่ทั้งน้องเลยนะ”
“คือน้องแพรเค้าอยากจะแวะมาหานายภัทรน่ะค่ะ” นีน่าบอก
แพรวารีบปฏิเสธ “เปล่านะคะ แพรแค่ติดรถพี่นีน่าออกมา แพรไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพี่นีน่าจะแวะมาที่นี่”
นลิณาจุ๊ปากดุแพรวา “เฉยเถอะน่า” แล้วเธอก็หันมาปั้นหน้ายิ้มใส่กอบชัยกับพนารัตน์ “นายภัทรอยู่มั้ยคะ”
“แหม...น่าเสียดายจัง ตาภัทรออกไปข้างนอกน่ะสิ หนูแพรมีอะไรจะฝากบอกมั้ย” พนารัตน์ถาม
“ไม่มีค่ะ” แพรว่าตอบทันที
นลิณาโพล่งขึ้นทับเสียงของแพรวา “มีค่ะ ฝากบอกภัทรว่าน้องแพรแวะมาหา วันไหนว่างๆ ก็ไปทานข้าวด้วยกันบ้างก็ดีนะคะ”
แพรวาทำหน้าแหยเพราะว่าตัวเองไม่คิดจะพูดอะไรซักหน่อย
“ก็ดีนะ” กอบชัยหันไปถามพนารัตน์ “หรือคุณรัตน์ว่าไง”
“ก็ดีสิ” พนารัตน์พูดกับแพรวา “ไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวช่วยจัดให้ตาภัทรพาหนูแพรไปทานข้าวแน่ๆ จ้ะ”
แพรวากลืนไม่เข้าคายไม่ออก “เอ่อ...”
“รีบขอบคุณอารัตน์สิ น้องแพร” นลิณาบอก
“เอ่อ..ค่ะ” แพรวาจำใจหันไปขอบคุณพนารัตน์ตามมารยาท “ขอบคุณค่ะ”
“ไม่เป็นไรจ้า” พนารัตน์พูดกับนลิณา “เอ้า! แล้วนี่มัวรออะไรอยู่” พนารัตน์ป้องปากพูดพร้อมส่งสายตาวิบวับ “ไม่รีบขึ้นไปดูคนป่วยล่ะจ๊ะ”
นลิณายิ้มอย่างรู้กัน “ค่ะ..เดี๋ยวนีน่าจะดูแลคนป่วยเองค่ะ”

ประตูห้องของณดลเปิดออก นลิณาประคองถาดเสิร์ฟก๋วยเตี๋ยวราดหน้าเข้ามาด้วยท่าทางกระตือรือร้นที่จะได้มีโอกาสใกล้ชิดณดล แต่ก็ต้องอึ้งเมื่อเห็นอนามิกากำลังตักข้าวต้มปลาป้อนให้ณดลที่นั่งเอกเขนกอยู่ที่เก้าอี้ โดยที่ทั้งสองยิ้มแย้มแลดูสนิทสนมกันมาก
นลิณาตาลุกวาวอย่างไม่พอใจ เธอตรงเข้าไปยืนเขม่นใส่ทันที
ณดลเงยหน้ามาเห็น “อ้าว...นีน่า มาได้ไงเนี่ยคุณ”
“นีน่าได้ยินว่าคุณณดลไม่ค่อยสบาย ก็เลยรีบมาเยี่ยม นี่แวะซื้อราดหน้าเจ้าดังมาฝากด้วยค่ะ”
“แต่ผมกำลังกินอยู่เนี่ย คงกินอีกไม่ไหวแล้ว” ณดลบอก
“งั้นฉันกินแทนให้ ท่าทางอร่อยนะเนี่ย” อนามิกาพูด
นลิณาตวาดใส่อนามิกา “ฉันไม่ได้ซื้อให้เธอ” แล้วก็เปลี่ยนมาทำเสียงออดอ้อนณดล “ลองชิมซักหน่อยเถอะนะคะ คนป่วยควรจะได้ทานของดีๆ อร่อยๆ”
“ข้าวต้มปลานี่ก็อร่อยนะ อะนาเค้าทำเอง” ณดลบอก
“แหม..จะมาเทียบอะไรกับความอร่อยของราดหน้าเจ้าดังร้านนี้ล่ะคะ นี่ไม่ได้ซื้อกันง่ายๆ นะคะ นีน่าต้องไปเข้าคิวรอเกือบชั่วโมง”
นลิณาเบียดอนามิกาเพื่อจะมานั่งแทน
นลิณาหันมาพูดกับอนามิกา “เธอยกไอ้ข้าวต้มปลารสชาติพื้นๆ ของเธอออกไป ที่เหลือเธอเอาไปกินก็ได้ เดี๋ยวฉันป้อนของอร่อยของฉันให้คุณณดลเอง”
อนามิกาไม่ลุกให้ นลิณาวางจานราดหน้าเบียดเลื่อนชามข้าวต้มปลาที่เหลืออยู่ครึ่งหนึ่ง จนเลื่อนมาขอบโต๊ะ อนามิการีบประคอง แต่นลิณาจงใจเอาศอกกระแทกทำให้ชามข้าวต้มปลาหลุดมือตกพื้น ชามแตกดัง “เพล้ง!!”
“ว๊าย...” นลิณาทำเป็นพูดน้ำเสียงใจเย็นใส่อนามิกา “อะนา...ใจเย็นๆ สิจ๊ะ ทำอะไรก็อย่ารีบจนลน หกเลอะเทอะแบบนี้ คุณณดลอย่าดุอะนาเค้าเลยนะคะ” นลิณาหันมาพูดกับอนามิกา “เอ้า..รีบเก็บทำความสะอาดสิจ๊ะ”
อนามิกาแค้นมองนลิณาตาวาว ทำท่าเตรียมจะเอาคืน
นลิณาเห็นท่าอนามิกาขึงขังก็ยิ่งสนุกกับการซ้ำเติม “แหม...ตกพื้นหมดเลยนะ” นลิณายิ้มเยาะ “สมแล้วหละ...ข้าวต้มรสชาติพื้นๆ ก็สมควรจะเททิ้งลงพื้น”
อนามิกาทนไม่ไหว “อ๋อ...ข้าวต้มพื้นๆ สม ควรทิ้งลงพื้น”
“ใช่...” นลิณายิ้มเยาะสะใจ
“ข้าวต้มพื้นๆ ทิ้งลงพื้น..งั้นก๋วยเตี๋ยวราดหน้าก็สมควรจะเอามาราดหน้าซะ”
พูดขาดคำอนามิกาก็คว้าจานราดหน้าโปะเข้าไปที่หน้าของนลิณาเต็มๆ
ณดลร้องห้าม แต่ก็เนือยๆ ตามประสาคนยังไม่แข็งแรง “อะนา..อย่า!”
ราดหน้าโปะเต็มทั้งหน้า ทั้งหัวของนลิณามีทั้งเส้นทั้งผัก นลิณาได้แต่ยืนเหวอ อนามิกากลั้นหัวเราะแทบไม่อยู่ แต่พอสบตานลิณาก็รีบหุบปาก เพราะเห็นนลิณาจ้องเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ แต่แล้วนลิณากลับเปลี่ยนเป็นยิ้มใส่อย่างเจ้าเล่ห์
“เธอพลาดแล้วหละ ยัยอะนา” นลิณาพูด
อนามิกางงว่านลิณาจะมาไม้ไหน

อนามิกานั่งคอตกจนคางแทบชิดอกอยู่ในห้องรับแขกของบ้าน โดยมีพนารัตน์ยืนด่าเป็นชุด กอบชัยนั่งอยู่ใกล้ๆ ถัดไปเป็นนลิณาที่ผมเผ้ายังเปียกกำลังนั่งใช้ผ้าขนหนูเช็ดศีรษะไปพลางยิ้มเยาะอย่างสะใจ แพรวามีทีท่าเห็นใจและอยากจะช่วยอนามิกาแต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปาก
“เธอทำอย่างงี้ได้ไง..หา?!” พนารัตน์ตวาด “ต่ำทรามยิ่งกว่าคนป่าคนเถื่อน เธอรู้มั้ยว่าคุณพ่อของหนูนีน่าเค้ามีบุญคุณกับพวกฉันแค่ไหน เธอทำกับลูกสาวเค้าแบบนี้ แล้วฉันจะมีหน้าไปเจอเค้ามั้ย...หา?!”
กอบชัยเสริม “ผมก็ไม่รู้จะเคลียร์กับคุณเสรีเค้ายังไงเหมือนกัน”
นลิณาแสร้งทำเป็นคนดี “ไม่ต้องห่วงนะคะคุณอา นีน่าจะไม่เล่าให้คุณพ่อหรอกค่ะ สบายใจได้” นลิณาหันมาหาแพรวา “น้องแพรก็ห้ามเล่านะ”
“ค่ะ แพรไม่เล่าหรอกค่ะ”
พนารัตน์พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “ดู๊..ดู...น่ารักจริงๆ หนูนีน่ากับหนูแพรนี่” แล้วพนารัตน์ก็หันมาพูดเสียงเข้มใส่อนามิกา “ไม่เหมือนยัยนี่ แล้วตัวเองยังท้องอ่อนๆ อยู่ ก็ยังไม่รู้จักเจียม ยังคอยแต่จะหาเรื่องคนอื่นเค้า”
กอบชัยเสริม “ดีนะ ที่หนูนีน่าเค้ายังสงสาร ไม่อยากรังแกคนท้องคนไส้”
“แต่ดิฉันไม่ได้เป็นฝ่ายหาเรื่องก่อนนะคะ” อนามิกาบอก
พนารัตน์ตวาดลั่นออกมาโดยไม่รอให้อนามิกาพูดจบ “ยังจะมีหน้ามาแก้ตัว รีบกราบขอโทษหนูนีน่าเค้าเดี๋ยวนี้”
อนามิกานิ่ง ไม่ยอมทำตาม
“ก็รีบๆ ยกมือไหว้เค้าซะสิ” กอบชัยย้ำ
พนารัตน์ตวาด “ยังจะหน้าด้านทำเฉยอยู่อีกเหรอ”
“นีน่าว่าอย่าให้ถึงกับต้องไหว้ต้องกราบอะไรเลยค่ะ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ นีน่าให้อภัยได้ อะนาเค้าอาจจะไม่ได้ตั้งใจก็ได้”
“โถ...หนูนีน่าก็ช่างเป็นคนดีจริง..จริ๊ง...มันจะไม่ตั้งใจได้ไง จานราดหน้ามันจะลอยขึ้นมาโดนหน้าหนูได้ยังไง” พนารัตน์บอก
กอบชัยเสริม “ต้องตั้งใจสุดๆ เลยหละ”
“แต่นีน่าขอนะคะ อะนาเค้าก็คงสำนึกเสียใจแล้ว คุณอาอย่าว่าเค้าอีกเลยค่ะ”
“อู๊ย...ยัยเนี่ยนะ จะรู้จักสำนึกเสียใจ ไม่มีทางหรอกหนูนีน่า อุ๊ยตาย!”
พนารัตน์เพ่งมองแล้วเดินไปใกล้ๆ นลิณา ก่อนจะหยิบเศษผักคะน้าชิ้นหนึ่งจากบนศีรษะนลิณา
“นี่ไง หลักฐานยังคามืออยู่เลย” พนารัตน์หยิบอีกชิ้น “นี่อีก”
“เอ่อ...งั้นนีน่าไปล้างผมอีกทีดีกว่าค่ะ”
นลิณาเดินผ่านอนามิกาแล้วยิ้มเยาะอย่างสะใจ อนามิกาถลึงตาใส่อย่างไม่ลดราวาศอก
พนารัตน์หันไปด่าอนามิกาต่อ “ทำอะไรเลวๆ ไว้ ก็ไม่เคยรับผิด ไม่เคยรู้จักขอโทษ ไม่รู้ตอนโตขึ้นมามีใครสั่งสอนรึเปล่า นี่หนูนีน่าขอไว้นะ ไม่งั้นฉันจะด่าเธอข้ามวันข้ามคืนเลย ไป! ขึ้นไปทำความสะอาดห้องให้เรียบร้อย ไป๊!”
อนามิกากัดฟันทนแล้วลุกขึ้นเดินออกไป พนารัตน์มองตามอย่างไม่พอใจสุดๆ แล้วก็รู้สึกวิงเวียนขึ้นมา
“โอย...ขึ้นเลยฉัน”
“คุณอารัตน์ เป็นอะไรหรือเปล่าคะ” แพรวาถามด้วยความเป็นห่วง
แพรวารีบลุกมาประคองพนารัตน์ พนารัตน์โบกมือบอกว่าไม่เป็นไร แพรวากับกอบชัยช่วยกันประคับประคองให้พนารัตน์นั่งลง
“ไม่เป็นไรแล้ว..ฉันไม่เป็นไร อายุยิ่งเยอะ โรคก็รุมเร้า เฮ้อ...ชีวิตนี้ขอแค่ได้เห็นลูกๆ มีคู่ชีวิตที่ดี ฉันก็จะไม่ขออะไรอีกแล้วชาตินี้” พนารัตน์พูด

อนามิกาคลานเข่าเช็ดทำความสะอาดพื้นห้องณดลที่เลอะข้าวต้มและราดหน้า แล้วเก็บเศษชามกระเบื้องใส่ในถังขยะเล็กๆ ที่วางอยู่ข้างๆ ตัว ณดลนอนเอกเขนกบนเก้าอี้ผงกศีรษะขึ้นเหลือบมอง
“ไม่ต้องมาด่าฉันแล้วนะ ฉันโดนคุณแม่คุณด่ามามากพอแล้ว หูยังชาอยู่เนี่ย ไม่ต้องด่า แล้วก็ไม่ต้องเยาะเย้ยด้วย”
ณดลพูดกลั้วหัวเราะ “แล้วใครบอกว่าฉันจะด่าเธอ”
“อ้าว...ก็ไม่รู้นี่ เห็นปกติเวลายัยนีน่าหาเรื่องฉัน คุณก็เข้าข้างยัยนีน่าตลอด”
“ฉันก็ว่าไปตามเนื้อผ้า แต่ฉันก็ไม่ได้โง่หรอกน่า ฉันก็พอมองออกว่าใครนิสัยยังไง”
“ขนาดมองออกนะเนี่ย ไม่เคยจะเข้าข้างฉันเลย...โอ๊ย!”
อนามิกาพลาดโดนเศษกระเบื้องบาดนิ้วจนร้องเสียงหลง ณดลรีบลุกมาดู เขาจับมือของอนามิกาขึ้นมาดูด้วยความเป็นห่วง
“ไหน..เป็นอะไรหรือเปล่า”
ณดลจับมืออนามิกามาดูใกล้ๆ แล้วหยิบทิชชู่บนโต๊ะมาซับเลือดเลือดให้
“แค่สะกิดนิดเดียว ไม่เป็นอะไรมากหรอก” ณดลบอก
สายตาของณดลจดจ่ออยู่ที่นิ้วของอนามิกา ในมือของเขาก็ถือทิชชู่กดแผลให้ อนามิกาอมยิ้มมองหน้าณดลอย่างรู้สึกดีๆ โดยที่ณดลยังก้มหน้าก้มตามองแต่นิ้วของอนามิกาด้วยความเป็นห่วง
“เลือดหยุดแล้ว ไปล้างมืออีกทีดีกว่ามั้ย” ณดลบอก
ณดลเงยหน้าขึ้นมาสบตากับอนามิกาที่กำลังอมยิ้มมองหน้าเขาอยู่ ณดลจับมืออนามิกาแล้วประสานสายตานิ่งอยู่อย่างนั้น อนามิกาชักเขินจึงหลบสายตา
“เอ่อ...ฉันขอมือฉันคืนได้รึยัง” อนามิกาถาม
ทันใดนั้น ณภัทรก็เปิดประตูเข้ามา
“เป็นไงบ้าง..พี่...”
ณภัทรนิ่งตะลึงที่ได้เห็นณดลยืนจับมืออนามิกาพร้อมทั้งประสานสายตากันอยู่ครู่หนึ่ง พอณดลกับอนามิการู้สึกตัวจึงรีบปล่อยมือแล้วผละออกห่างกัน
ณภัทรรำพึงกับตัวเองเบาๆ “ชัวร์...ชัด...ไม่ต้องสงสัยอีกแล้ว”

นลิณามองกระจกเหนืออ่างล้างหน้าในห้องน้ำบ้านณดล เธอใช้ผ้าขนหนูเช็ดเส้นผมให้แห้งก่อนจะหันศีรษะสำรวจทั้งด้านข้าง ด้านหลังว่ายังมีอะไรติดศีรษะอยู่อีกไหม เมื่อเห็นว่าไม่มี จึงพยักหน้าพอใจ
นลิณาขยับจะเดินออกจากห้องน้ำ พลันสายตาของเธอก็มองไปที่ชั้นวางขวดแชมพู และโลชั่นต่างๆ ก่อนจะเห็นแหวนเพชรวงหนึ่งที่วางลืมทิ้งไว้
“คุณอาลืมไว้นี่ เอาไปคืนดีกว่า”
นลิณาขยับจะออกไปแต่แล้วก็พลันชะงักหยิบแหวนเพชรขึ้นมาดู แล้วยิ้มกริ่มเพราะผุดไอเดียร้ายๆ ขึ้นมา
“เอาไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นดีกว่า “

ประตูห้องณภัทรค่อยๆ เปิดแง้มออก นลิณาแทรกตัวเข้ามาในห้องอย่างช้าๆ ก่อนจะงับประตูคืนเบาๆ แล้วจึงรีบก้าวเข้ามา นลิณาสอดส่ายสายตาเพื่อมองหากระเป๋าสะพายของอนามิกา สักพักเธอก็ดีใจที่หาเจอ
นลิณาเดินตรงมาที่กระเป๋าสะพายของอนามิกาแล้วหยิบแหวนเพชรออกมาก่อนจะยิ้มอย่างสะใจ
“ยัยอะนา คราวนี้หละ แกได้โดนไล่ออกจากบ้านแน่”
นลิณายัดแหวนเพชรใส่กระเป๋าสะพายใบนั้น โดยที่ศรีซึ่งใส่ถุงมือยางเตรียมล้างห้องน้ำ กำลังยืนมองนลิณาอยู่ตลอดเวลา ศรีถึงกับตะลึงจนอ้าปากค้าง
นลิณาจัดกระเป๋าให้อยู่ในสภาพเดิมแล้วยิ้มกริ่มก่อนจะเดินออกไป พอนลิณาเดินออกจากห้องไปแล้ว ศรีจึงเดินออกมาแล้วมองตามไปที่ประตูด้วยความรู้สึกรังเกียจการกระทำของนลิณา
“นี่เล่นกันแบบนี้เลยเหรอ...” ศรีรำพึงเบาๆ

แพรวา กอบชัย และพนารัตน์นั่งกันอยู่ที่เก้าอี้รับแขก นลิณาเดินมาจากห้องน้ำ ด้วยอากัปกริยาหันรีหันขวางเหลียวหน้ามองหลัง
“มีอะไรเหรอจ๊ะหนูนีน่า” พนารัตน์ถาม
“นั่นสิ ทำท่ายังกะเจออะไรมา” กอบชัยแปลกใจ
“เอ่อ...คือ...นีน่าก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ ตอนจะเข้าห้องน้ำ นีน่าเห็นอะนาเค้าเปิดประตูออกมา ท่าทางร้อนรนแปลกๆ”
“แปลกๆ ยังไงเหรอคะพี่นีน่า” แพรวาถาม
“ก็แบบ...เหมือนคนทำความผิดแล้วมีพิรุธยังไงยังงั้น แล้วก็เห็นเอามือหลบๆ เหมือนแอบซ่อนอะไรไว้”
“คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง ยัยอะนานั่นก็บ้าๆ บอๆ อย่าถือเป็นสาระเลย” พนารัตน์บอก
นลิณาหน้ากร่อยเพราะรู้สึกว่าผิดแผน เลยจงใจทำเป็นเนียนพูดกับพนารัตน์ต่อ
“ขอโทษนะคะ ที่นิ้วของคุณอารัตน์มียุงเกาะอยู่”
พนารัตน์รีบเอาอีกมือปัดที่นิ้วมือโดยสัญชาติญาณ “ไหน...”
“ไปแล้วค่ะ บินหนีไปแล้ว” นลิณาบอก
พนารัตน์เอามือลูบนิ้ว แล้วตาเบิกโพลงเพราะนึกขึ้นได้ “แหวน! แหวนเพชรฉัน”
“อะ..อะไรกันคุณรัตน์” กอบชัยถามขึ้น
“แหวนเพชรฉัน...ถอดลืมไว้ในห้องน้ำ!” พนารัตน์หน้าตื่น
นลิณาลอบยิ้มร้ายๆ อย่างสะใจ

พนารัตน์รื้อหาแหวนเพชรที่ชั้นวางของในห้องน้ำจนขวดแชมพู ขวดโลชั่นล้มระเนระนาด โดยมีนลิณายืนยิ้มอย่างพอใจที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผน
“หายไปแล้วจริงๆ ด้วย” พนารัตน์นิ่งคิดซักครู่ “ฉันจำไม่ผิดแน่ๆ ฉันกำลังล้างมือเลยถอดวางไว้ตรงนี้ เอ๊ะ! หรือว่า...” พนารัตน์หันไปที่นลิณา
“หรือว่าอะไรคะ” นลิณาถาม
“ก็ที่เมื่อกี้หนูนีน่าบอกไง ที่ว่าเห็นยัยอะนาลุกลี้ลุกลนออกจากห้องน้ำน่ะ”
นลิณาแสร้งทำเป็นตกใจ “อุ๊ยตาย...จริงด้วยค่ะคุณอา”

พนารัตน์รู้สึกเดือดสุดๆ “ยัยอะนา!!”






Create Date : 04 เมษายน 2555
Last Update : 4 เมษายน 2555 11:07:16 น.
Counter : 236 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

มิกัง
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]