A ........ Z
Group Blog
 
All blogs
 
สัจธรรมของคนใกล้ตาย


สัจธรรมของคนใกล้ตาย



"ทุกๆคน ล้วนแล้วเกิดมาก็ต้องตาย อย่าเสียดายกับสิ่งที่เคยสร้างมาเลย"

นี้เป็นคำปรารภกับเพื่อนคนหนึ่งที่กำลังป่วย
แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงโหมทำงานอย่างหนัก โดยไม่ได้เหลี่ยวแลสังขาร
ของตัวเอง........................
ฟังอย่างนี้ทุกคนคงคิดว่า เจ้าหมอนี้จะต้องกำลังป่วยโรคร้าย
อย่างมะเร็ง ไม่ก็ลูคิเมีย เป็นแน่?
เปล่าหรอกครับ เจ้าหมอนี้เป็นเพียงไข้หวัดธรรมด๊า ธรรมดา
ผมว่ามันก็คงงง ที่อยู่ๆ ผมก็หยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมา
ฟังเหมือนว่ากำลัง"แช่ง" แต่แท้จริงเป็นคำเตือนมรณนุสติที่จีรังและหยั่งยืนเป็นที่สุด
กะจะให้ทุกชีวิตในโลกนี้ เกิดมาอย่างเดียว โดยไม่มีสิ่งใดตายจาก
แตกดับสลายไปเลย มันคงอึกทึกอัดแน่นเอียดเบียดเสียดกัน(ไม่)น่าดู

ผมเคยนำเรื่อง ที่นายใหญ่ของเจ้าของผลิตภัณฑ์Apple อย่างนาย สตีฟ จ๊อบส์
(ที่เครือข่ายชื่อ"ความจริง"บ้านเรา เปิดตัวอย่างอลังการงานสร้างห้างดังใจ
กลางกรุงเทพ ถึงผลิตภัณฑ์มือถือยี่ห้อหนึ่ง ที่ขายเฟ้อมาปีกว่าแบบไม่ถูกที่ควร
บนห้างมาบุญครอง) ซึ่งเล่าถึงเรื่องที่คุณหมอบอกว่า เขากำลังจะตายด้วยโรคมะเร็งในตับอ่อน
เพียงเท่านี้ ก็เล่นคุณพี่จ๊อบส์ของผมแทบช๊อก น้ำหนักซีดหายไปหลายกิโล...........
แต่ไปๆมาๆ
มีความจริงเพียงแค่ส่วนเดียว
คือ ส่วนที่เป็นมะเร็งในตับอ่อนนี้.......เป็นจริง!
แต่ส่วนที่บอกว่า "ตาย" นี้ ถ้าเป็นลูกตาสีตาสา อันนี้ ....ไม่แน่
สำหรับคนที่สามารถรังสรรมูลค่าหุ้นของบริษัทในการทำกำไรได้สูงขึ้น เมื่อเทียบกับงวดเดียวกัน
ของปีก่อนถึง26 % แตะตัวเลขหยอกล้อซัพพรามส์ในประเทศที่ 1.14 พันล้านเหรียญ ......
ผมว่า พวกผู้ถือหุ้นแทบจะรั้งเครื่องช่วยหายใจ ให้สืบทอดตำแหน่งได้นานๆ
ผมว่าพี่จ๊อบส์ได้ผ่านจุดหักเหของชีวิตที่สำคัญ
ปีนี้เราจึงไม่ได้เห็นพี่จ๊อบส์บนงาน Mac World เช่นทุกปี ที่จะมาโมทนาสินค้าใหม่ๆ
เพื่อยั่วกระเป๋าสาวก โดยอ้างคำหนึ่ง ที่ผู้ที่ติดตามพี่จ๊อบส์มาจะเชื่อคนบ้างานอย่างเขา
ได้ว่า "ขอเวลาที่จะอยู่กับครอบครัว"

ความจริงแล้ว ถ้าให้นับกันจริงๆ ความตายก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่น่ากลัวแต่อย่างใด
มีข้อยกเว้นนิดเดียว จะต้องไม่เกิดขึ้นกับตัว.........................
เพราะเรื่องอย่างนี้ มันอยู่เงื่อนไขของประสบการณ์
ถ้าไม่เอาประเภท "เฉียด" "เฉี่ยว" "วิด" "เกือบ" ไอ้ประเภทที่เรียกว่า"ตายจริงๆ"
ธรรมชาติสร้างให้เราได้มีโอกาสเรียนรู้ได้เพียงครั้งเดียว
คนบางคน เอาความตายเป็นเครื่องพิสูจน์คุณค่าของชีวิต อย่าง
"ตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง"
คนบางคน เอาความตายเป็นหลักประกันในการทำธุรกิจ โดยเชื่อว่า
ไม่มีทรัพย์สินใดจะมีค่า มากเท่ากับ "ชีวิต" สู่การทำประกันชีวิต ในที่สุด
มีเพื่อนผมท่านหนึ่ง ที่เคยทำงานอยู่อรัญประเทศภาคตะวันออก
ในเรื่องเกี่ยวกับชายแดนบ เขามักจะได้ปรัชญาเกี่ยวกับความตาย ในเรื่องที่ว่า
หากชีวิตไม่ตายก็หาใหม่ได้
ตอนแรก ไอ้เราก็นึกไปว่า เป็นคำสอนของพระสงฆ์ที่ธุดงภ์ในสายอรัญวาสี
แต่ที่ไหนได้ กลับเป็นนักพนันชาวไทย ที่มักเล่นแล้วเสียหมดตัวในฝั่งปอยเปต.......

เด็กออฟฟิคหลายคน มักมองความตายเป็นเรื่องที่ไม่สิ้นสุด
หลายคนจึงมักบ่นไปว่า "ตายไม่กลัว แต่กลัวไม่ตาย"
เหล่าสาวองค์เจ้าเสน่ห์ที่ต้องออกเบรคทุกชั่วโมง เพื่อไปปัดมาสคาร่า
และเติมคิ้วขนตา ไม่อาจรับสภาพความพิการจากเหตุทุกขภาพ
แม้แต่การเป็นสิว แล้วถูกแก๊งค์วินมอเตอร์ไซด์หน้าตึกแซว
ถือเป็นการหยามศักดิ์ศรีคุณค่าของมนุษย์ตามใต้บัญญัติของรัฐธรรมนูญ
เรื่องของ"ตายทั้งเป็น" จึงดูเป็นสิ่งที่ผลิตจากสภาพจิตใจที่ไม่อาจย่อมรับ
กฎไตรลักษณ์ ว่าด้วย "อนิจจัง ทุกขัง อนันตา"
ว่าทุกสรรพสิ่งย่อมผันแปร ล้วนก่อให้เกิดทุกข์และไม่สิ้นสุด
เธอจึงเชื่อว่า ทุกข์ที่เกิดจากสิว อันเป็นเหตุอุบัติภัยทางสรีระที่ปกปิด
ทุกส่วนในความงาม เหมือนรอยแต้มดำที่บังเกิดในกระดาษขาว
ผู้คนย่อมเพ่งมองแต่จุดดำ หาได้ใส่ใจกับพื้นที่สีขาวไปสิ้น
เพราะจิตใจของหล่อน เพ่งมองแต่จุดที่เชื่อว่าเป็น "ตำหนิ"
โดยไม่ได้พิจารณาถึง สีผม เสื้อผ้า ผิวพรรณ ในส่วนอื่นอันเป็นเหตุ
ที่ปถุชนเชื่อว่าปกติ
แค่นี้ ไขมันอุดตันเล็กโคตรๆ ก็สามารถสร้างความรู้สึกของทุกข์มหันต์
ให้เกิดขึ้นในจิตใจ หากสิวแตก ก็ยังเป็นทุกข์ที่ปรับสภาวะไปอีกมิติ
เป็นทุกข์ที่กังวลว่าจะเกิดแผลเป็น และเป็นที่ไหนไม่เป็น
ดันชอบเป็นที่ใบหน้า ส่วนที่ไม่ห่างไกลจากลูกกระตา และสนิทอิงแอบ
กับบานกระจก มากกว่าส่วนอวัยวะใดใด



แต่กรณีนี้เทียบไม่ได้กับชีวิตของครูมอร์รีย์ ป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับระบบประสาทที่ไม่มีทาง
รักษาหายที่ชื่อว่า "ALS" (amyotrophic lateral sclerosis) โรคนี้โอกาสที่ใครจะได้เป็น
มีน้อยเอามากๆ แต่ถ้าอุบัติได้เป็นแล้ว ใจที่ไม่เข้มแข็งพอ ชีวิตที่เหลือก็คือ นรกดีๆนี้เอง
เพราะร่างกายคุณจะขยับอะไรไม่ได้ กล้ามเนื้อลีบลง พูดไม่ได้ และร้ายสุด
แม้แต่การหายใจยังต้องใช้เครื่องจักรกลไก แต่ครูมอร์รีย์ไม่บ่อยให้ยอมรับต่อชะตากรรม
อยู่เปล่าๆ สู้เอาเวลาที่เหลือเป็นคอร์สวิชาพิเศษ เป็นคอร์สที่ใครได้เข้าชั้นเรียน
ยอมจะจดจำไปตราบนานเท่านั้น เป็นวิชาที่ว่าด้วย ชีวิตคนๆหนึ่ง
คนๆนั้น ก็คือ ครูมอร์รีย์ เอง เปิดให้เรียนกันทุกวันอังคาร ยิ่งกว่าการเปิดประชุมครม. ผ่านเรื่องราวที่เปิดอกคุยสนทนาในห้องเรียน
มาสู่หนังสือที่ชื่อว่า Tuesday With Morrie
หัวข้อก็แทบไม่ต้องกางหนังสือหนังหาขึ้นมาอ่าน เว้ากันด้วยเรื่อง เงินทอง ความรัก
แต่งงาน การให้อภัยและความตาย
ความตาย ทำให้หลายคนหลุดพ้นอวิชชา มายาคติ เครื่องกล่อมเร้าจิตใจนานาประการ
หันมาหาแก่นแท้ ที่ทำให้"มนุษย์" อยู่ร่วมกันด้วยอุดมคติทางสังคมแห่งสันติสุข

"ในทางวัฒนธรรม เราไม่ได้ทำให้เราต่างรู้สึกดีได้ด้วยตัวเอง แต่เรามีความเข้มแข็งพอ
ถึงแม้ว่าระบบกลไกทางวัฒนธรรมนั้นจะไม่ทำงาน เราจะไม่ซื้อมันเพียงแต่เราจะสร้าง
ด้วยน้ำมือของเราเอง...............ชายผู้ชาญฉลาดนามว่าLevineกล่าวไว้ได้จริงแท้ที่ว่า
ความรักมีเหตุผลที่เพียงพอที่จะกระทำ"

มอร์รีย์จึงมีคุณสมบัติที่ดีพอที่สมควรได้รับเกียรติว่า "ครู" ผู้ที่เอาความเสียสละ
ในปั่นปลายชีวิต เป็นอุทาหรณ์สอนคนในเรื่องความรัก ความเสียสละและให้อภัย
เป็นหน่วยกิจสุดท้าย ที่คงไม่มีมหาวิทยาลัยที่ไหนจะไล่แจกเกรดกัน
แม้ความตายจะเป็นเรื่องที่ไม่จีรัง แต่ก็สร้างความจีรังให้การเรียนรู้คุณค่า
ของชีวิต ที่เรายังคงมีความหมายต่ออีกบุคคลที่ยังเหลืออยู่

แต่โรคร้ายใช่ว่า คนมีเงินเป็นร้อยเป็นพันล้าน ก็ใช่ว่าจะหายได้
อย่างนักธุรกิจที่ดำรงตำแหน่งประธาน และเจ้าหน้าที่บริหารสูงสุดของบริษัทที่ปรึกษาการเงิน
และบัญชีชื่อก้องโลก อย่าง บริษัท KPMG ที่ชื่อ Eugene O’ Kelly หมอนี้ ก็คงไม่ต่างจากค่านิยม
ในสังคมเมืองทั่วๆไป วันทั้งวัน ทำงานงกๆ บริหารองค์กรภาคการเงินระดับโลก
จนได้ชื่อว่าเป็นมือเซียนในวงการ แต่ไม่อาจบริหารคุณภาพชีวิตของตัวเอง
ว่าแล้วอาการปวดหัวที่เคยเป็นอยู่บ่อยๆ ก็กำเริบ
กว่าจะได้ไปหาหมอ หลังจากผัดผ่อนมาเนิ่นนาน จนเลยไปสู่ขั้นที่สามารถเยี่ยวยาได้
จากกลายเป็นระยะที่น่ากลัวที่สุด.............คือ ระยะสุดท้าย เมื่อมะเร็งขึ้นสมอง
ถ้าเป็นคนอื่น ที่ใครเข้าสู่ระยะนี้ คงตีอกชกหัว รักตัวกลัวตายไปก่อนเนินๆ
แต่พี่Eugene กลับรู้สึกถึงระยะที่ สิบแปด
หลายคนอ่านช่วงประโยคอาจจะงง ว่าอะไรคือ ระยะที่สิบแปด?
สิบแปดของพี่ท่าน คือ ระยะของหลุมสุดท้ายในกีฬากอล์ฟ
ด้วยความบ้ากีฬากอล์ฟ ตามประสานักธุรกิจหาเวทีประชุมไม่ได้ ชีวิตที่ลุ่มๆดอนๆ
จึงไม่ต่างไปจาก การออกโบกี้ ตีสแควร์พาร์ ตกหลุม ขึ้นแท่นทีออฟและก็ลงเบอร์ดี้
ในหนังสือที่ชื่อ Chasing DayLight เป็นงานเขียนชิ้นสุดท้ายที่เขาพอจะทิ้งช่วงวาระสุดท้าย
ก่อนที่เขาจะลับตามองโลก ซึ่งเหลืออีกไม่ถึงสี่เดือน สู่การลำดับเรื่องราว
ความรัก ความยากลำบาก ชีวิตและการไล่หาตามแสงตะวัน
ช่วงหนึ่งเขาบรรยายถึงสมรรถภาพที่กำลังทรุดโทรมลงตามลำดับของเวลาที่เหลือน้อย
ลงตามกัน ในฐานะที่เป็นคนแข่งกับเวลาและจัดระเบียบอย่างถี่ยิบ มาตลอดทั้งชีวิต
เขาก็อดที่จะขำในเรื่องนี้ไม่ได้

"ถัดจากคอมพิวเตอร์ของลูกสาวผม คือ กระดาษโน๊ตที่ผมใช้จดความคิด
เกี่ยวกับหนังสือที่ผมตั้งใจจะเขียนว่าด้วยการโอบรับความตายของผม
คือ การผจญภัยขั้นสุดยอดของชีวิต ที่ผมได้เรียนรู้มัน .................
ขณะเขียน ผมชำเลืองมองนาฬิกาทุกๆสองนาที เพื่อให้แน่ใจว่าผมทำได้ทัน
ตามตารางเวลา อันเป็นนิสัยในชีวิตเก่าของผมนั้น ควรต้องหยุด!......
ความคิดเกี่ยวกับเวลาของผมก็ควรจะเปลี่ยนให้มากขึ้นด้วย ถ้าผมมีชีวิต
ไปได้ถึงอายุเจ็ดสิบปี .....ผมก็มีเวลาอีกราวหมื่นวัน! แต่ผมกลับเหลือเวลาแค่
๑ เปอร์เซ็นต์ของจำนวนนั้น คือ เพียงร้อยวัน ผมต้องชดเชย ๙๙ เปอร์เซ็นต์
ที่หายไปด้วยการคิดใหม่ วิธีที่ลึกซึ้งขึ้น และตระหนักถึงแต่ละช่วงเวลา
โดยไม่วอกแวก"

สำหรับคนที่ไม่รู้จุดหมายแห่งปลายสุดท้ายของชีวิตว่าจะจบลงเช่นไร
ทุกวันนี้ เราได้หันนำเอาสายตาที่สำรวจอยู่กับภายนอก กลับหันมามองที่ใจเรา
อย่างไรกัน?








Create Date : 21 มกราคม 2552
Last Update : 21 มกราคม 2552 23:30:28 น. 3 comments
Counter : 782 Pageviews.

 
Good Morning...!

ช่วงนี้เมื่อยตามากมาย ไม่ได้อ่านหรอกนะจ้ะ


โดย: จันทร์ไพลิน วันที่: 22 มกราคม 2552 เวลา:5:58:00 น.  

 
พยายามจะคิดให้ได้

แต่ก็..คิดไม่ได้ตลอดจริงๆ ค่ะ

ขอบคุณที่แวะไปหากันนะคะ


โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 22 มกราคม 2552 เวลา:8:49:13 น.  

 
จะรับหนังสือเล่มไหนดีคะ
เพียงดาวพราวฟ้า
หรือ
ป่วยเพราะเงิน


โดย: tonpor (kosak ) วันที่: 23 มกราคม 2552 เวลา:13:11:48 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Mr.Chanpanakrit
Location :
สงขลา Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 28 คน [?]




Friends' blogs
[Add Mr.Chanpanakrit's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.