A ........ Z
Group Blog
 
All blogs
 
ใครไม่เคยนินทายกมือขึ้น

มีเรื่องให้ต้องกลับมาคิดเกี่ยวกับพฤติกรรมของตนเองอยู่สองเรื่อง
ซึ่ง เรื่องก็มีอยู่ว่า วันนี้เจ้านายเอ่ยปากชมถึงความขยันขันแข็งในภาระหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย เสร็จสิ้นตามเวลาที่ให้ไว้เสมอ และไม่เคยบ่นงำแม้ยามได้รับกิจที่ดูจะแสนยากจนไม่น่าจะทำเสร็จได้ทันเวลา (กลับไม่พูดเรื่องปรับโบนัสประจำปีสักคำ)แต่พอเมื่อผมได้มาร่วมกลุ่มกับ เพื่อนพนักงาน กลุ่มเพื่อนก็ชื่นชมในวาทศิลป์จอมขี้นินทาเจ้านายได้อย่างสนุกสนานเป็นฟุ้ง เป็นแคว นับตั้งแต่เรื่องบนโต๊ะทำงานจนยันไปถึงใต้โต๊ะทำงาน นี้ยังไม่รวมเรื่องโต๊ะที่บ้านเจ้านายอย่างออกรสออกชาติ เท่าที่สังเกตดูจะไม่มีใครเดือดเนื้อร้อนใจออกตัวแทนเจ้านาย ซ้ำยังช่วยเสริมต่อเติมเรื่องราวในบางมุมที่แม้พวกเราจะอยู่บริษัทเดียวกัน ก็ใช่ว่าจะรู้มิติของส่วนต่างๆอย่างรอบด้าน พลังของการนินทาจึงช่วยเปิดโลกทัศน์อีกแบบที่จำต้องใช้วิจารณญาณเป็นตัวกรอง ข้อเท็จจริงอีกทีหนึ่ง

เคยมีผู้รู้แบบแยกเรื่องของการนินทาออกเป็น๒ประเภท คือ นินทาต่อหน้า กับ นินทาลับหลัง อย่างไอ้นินทาลับหลังยังพอเป็นเรื่องที่เข้าใจกันได้ เพราะการนินทาถือเป็นกิจกรรมที่พูดเรื่องราวของโจทย์โดยที่ไม่ให้ฝ่ายโจทย์ รับรู้หรืออาจจะรับรู้ได้แต่ก็ด้วยวิธีที่อ้อมค้อมโดยมีบุคคลที่สามที่จำ ต้องมีสายสัมพันธ์หรือมีภูมิหลังการรับรู้เกี่ยวกับโจทย์อยู่พอสมควร (ไม่อย่างนั้นคงได้ฟื้นฝอยหาตะเข็บมาปูท้องเรื่องลูกยายมีหลายยายมาอยู่นาน โข) แต่การนินทาต่อหน้า คิดทบทวนเท่าไรก็ไม่น่าจะเรียกว่าการนินทาไปเสียได้ เพราะมันผิดหลักสูตรและกฎระเบียบของการนินทาโดยสิ้นเชิง ถ้าถือเป็นบุคคลที่มีความอาวุโสหน่อย ก็จะเรียกว่า ชี้แนะ ตักเตือน แต่ถ้ายังเยาว์นัก ก็ออกไปเชิงต่อว่า อบรม ซึ่งก็มิใช่สิ่งที่กองโจรขี้นินทาสมควรจะให้เป็น การนินทาจึงไม่เปิดโอกาสให้คู่กรณีได้มาชี้แจง แก้ไขในสิ่งที่ข้อมูลได้ถ่ายทอดไปแล้ว (เหมือนบางรายการตอนเช้าวันอาทิตย์) ดังนั้นการนินทาจึงเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยหลักตรรกวิทยา(Logic)และญาณวิทยา (Epistemology) เป็นองค์ประกอบควบคู่กัน จากนั้นที่เหลือก็เชื่อมโยงแนวคิด ความเชื่อ และอคติ ผสมปนเปเพื่อให้เกิดรสชาติและอรรถรสในการรับฟัง ผมจึงมักถูกเพื่อนร่วมงาน ยิงคำถามว่า "จริงเหรอ?ฉันไม่เชื่อหรอก?แล้วไงต่อ.........." อยู่ตลอดเวลา

เรื่องของการนินทาว่ากันแล้วมีกล่าวไว้ในคัมภีร์พระไตรปิฎก สมัยที่อุบาสกชื่ออาดูล ชักชวนเพื่อนไปฟังเทศน์ ก็เข้าไปหาพระเถระองค์หนึ่ง เพื่อนิมนต์ให้แสดงธรรม ท่านไม่พูดอะไร อาดูลไม่พอใจ จึงไปหาพระองค์อื่น ก็ไปเจอพระสารีบุตร ก็เล่าให้ท่านฟังว่าพระเถระองค์ก่อนไม่ยอมพูดอะไร พระสารีบุตรจึงแสดงธรรมโดยพิสดาร อาดูลก็ยังไม่พอใจบอกว่าพระสารีบุตรเทศน์ยาว พอไปพบพระอานนท์ นิมนต์พระอานนท์เทศน์ พระอานนท์ก็เทศน์สรุปย่อๆ ให้ฟัง อาดูลก็ยังไม่พอใจ เมื่อไปพบพระพุทธเจ้าก็เล่าให้พระองค์ท่านฟัง พระพุทธเจ้าตรัสว่า “อาดูลคนที่ไม่ถูกนินทาไม่มีในโลก“ แม้จะหนีขึ้นยานอวกาศขององค์การนาซ่าก็ใช่ว่าจะหนีคำนินทาพ้น ยิ่งช่องระยะห่างระหว่างโจทย์กับผู้นินทาห่างระยะมากเท่าไร ความเกรงใจต่อฝ่ายโจทย์ในเรื่องนินทาก็น้อยตามระยะห่างที่ไกลขึ้นเรื่อยๆ

แต่ถ้ามองในแง่ดีแล้ว เป็นการที่สะท้อนให้เห็นว่ายังมีคนที่สนใจในเรื่องราวของอีกคนหนึ่ง อีกด้านแสดงถึงอำนาจบางประการที่อีกฝ่ายไม่สามารถพูดกล่าวต่อหน้าได้อย่าง โดยตรงได้หรืออย่างน้อยก็ต้องตกอยู่ในสังกัดของความภักดีที่ไม่อาจหลีก เลี่ยงได้ บุคคลที่ได้รับความภักดีต้องเป็นตัวแทนของอุดมการณ์ อย่าเข้าใจว่าอุดมการณ์เป็นอะไรที่สูงส่ง ผมใช้ในความหมายง่ายๆ ว่าแนวคิดที่กำกับพฤติกรรมทางสังคมเท่านั้น เช่น คนไทยแต่ก่อน "ภักดี" ต่ออุปัชฌาย์ตลอดชีวิต เพราะมีอุดมการณ์ไทยว่าอุปัชฌาย์คือบิดามารดาคนที่สอง เป็นครูที่สร้างความเป็นคนให้แก่เรา และเป็นบุคคลที่อยู่ในเพศอันสูงคือสมณะ ฉะนั้นจึงไม่ควรนินทาอุปัชฌาย์ดังๆ แต่ด่าในใจคนเดียวไม่เป็นไร ดังนั้นความภักดีจึงมีกรอบบางประการที่ครอบความรู้สึกนึกคิดและการแสดงออก ที่อาจปะทะโดยตรงที่สังคมทำนองคลองธรรมรับไม่ได้





อีก ด้านหนึ่งการนินทาถือเป็นกติกาทางขนบประเพณีของสังคมที่คอยควบคุม ประชากรอย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่จำเป็นต้องมีบทลงโทษเชิงกฎหมาย ความคาดหวังที่สังคมมีต่อความเป็นหญิงความเป็นชาย และถ้าใครไม่ทำตามที่สังคมคาดหวัง ก็จะพบกับสิทธานุมัติ (sanction) จากสังคมในเชิงลบ เช่น การติฉินนินทา หรือเยาะเย้ย ถากถาง สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ทำให้ทั้งผู้หญิงและผู้ชายต้องปฏิบัติตามที่วัฒนธรรมของสังคมกำหนด และเนื่องจากความเป็นหญิงความเป็นชายในสังคมถูกกำหนดจากวัฒนธรรม อีกทั้งยังเป็นการเรียนรู้ร่วมกันเชิงสังคมผ่านองค์ประชุมแลกถกความรู้ผ่าน การนินทาซึ่งอาจเหมือนที่เวทีปราศรัยใกล้ทำเนียบเพราะคนอีกฝ่ายเขาไม่อยาก ฟัง

ยิ่งกว่านั้นการนินทายังถือเป็นส่วนหนึ่งของอารยขัดขืน อย่างในงานของเจมส์ ซี สก็อต
(James C. Scott,1985,p.xvi) เรียกว่าเป็น "อาวุธของผู้อ่อนแอ" ที่คนชายขอบใช้ต่อสู้ในทางสัญลักษณ์โดยไม่ได้มีการวางแผน เป็นพื้นที่ของการต่อต้านขัดขืนของคนชายขอบ โดยใช้วัฒนธรรมเป็นยุทธศาสตร์การต่อสู้นานาชนิด เช่น การดื้อแพ่ง การนินทา การลักขโมย การก่อวินาศกรรม เรื่องของการนินทาจึงเป็นเรื่องที่อารยบุคคลประพฤติกันแต่เหมาะสมรึไม่นั้น เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ตราบเท่าที่มนุษย์ยังมีกิเลสและสภาพสังคมระบบอุปถัมภ์ ความเชื่อเรื่องอาวุโส รูปแบบตามธรรมชาติทางสังคมจำต้องสร้างกลไกบางอย่างที่จะคอยคุมบุคคลมิให้ลุ แก่อำนาจจนเกินควบคุมได้ อย่างเรื่องของ "ระบบข่าวสารข้อมูล" ไม่ใช่เป็นแต่เพียงเรื่องที่ทำให้เราสามารถรู้ว่าอะไรเป็นอะไรเท่านั้น แต่ตัวระบบข่าวสารข้อมูลเป็นพลังหรือเป็นอำนาจอย่างหนึ่งของการควบคุมด้วย เช่น สมัยหนึ่งตลาด มัสยิด หรือวัดตามที่ชุมชนพุทธเรียก มันเป็นสนามสำหรับการนินทากันด้วย ซึ่งการนินทาก็ได้ผล คือทำให้เราสามารถควบคุมผู้ใหญ่บ้านได้จากการนินทาแบบปากต่อปาก

บางทีการมองมิติของการนินทาในเชิงลบและผิดมารยาทเพียงด้าน เดียว อาจทำให้เรามองข้ามถึงข้อดีของการนินทาที่มีคุณประโยชน์ต่อสังคมอย่างที่ควร จะเป็น ยิ่งมองแง่ปถุชนแล้วยังช่วยลดความขัดแย้งที่จะเผชิญหน้าต่อกันและคลายความ อัดอั้นในสิทธิของการแสดงออกที่ไม่อาจออกนอกหน้าเพราะว่าคนๆนั้น คือ เจ้านายของเราเอง




ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้: ต้องมีพื้นที่ทางการเมืองให้ประชาชน ศ.ดร.นิธิ เอี่ยวศรีวงศ์
อำนาจเก่า ต่อท่อ พระพุทธศาสนาประจำชาติ โดย นิธิ เอี่ยวศรีวงศ์
แนวคิดสตรีนิยมในสกุลความคิดต่างๆ วารุณี ภูริสินสิทธิ์
การจัดการป่าภายใต้แนวคิดอาณานิคมเรื่องของกะเหรี่ยงป่าผาก ภายใต้วาทกรรมอาณานิคม
กฤษฎา บุญชัย




Create Date : 15 สิงหาคม 2551
Last Update : 15 สิงหาคม 2551 0:21:15 น. 5 comments
Counter : 662 Pageviews.

 
เวลาเราพูดเรื่องของคนอื่นมากเกินไป
หรือนิดเดียวแต่เกิดผลเสีย
"จิตตก"ทู๊กที
บางทีไม่ได้อยากพูดแต่พอเผลอพูดออกไปแล้ว
ก็หยุดยากเหมือนได้ระบาย
แล้วหลังจากนั้นก็รู้สึกแย่จัง


โดย: จันทร์ไพลิน วันที่: 15 สิงหาคม 2551 เวลา:5:43:48 น.  

 
แหะ...แหะ....จะพลาดเหรอ...เรื่องนี้


โดย: นางฟ้าอรชร วันที่: 15 สิงหาคม 2551 เวลา:15:01:57 น.  

 
เรื่องนินทาเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์นะคะ

ก็นินทาให้อยู่ในขอบเขต
และอยู่บนพื้นฐานความจริงบ้าง
ก็ยังดีเนอะ



โดย: โสดในซอย วันที่: 15 สิงหาคม 2551 เวลา:15:55:22 น.  

 
เรื่องนินทาเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์นะคะ

ก็นินทาให้อยู่ในขอบเขต
และอยู่บนพื้นฐานความจริงบ้าง
ก็ยังดีเนอะ



โดย: โสดในซอย วันที่: 15 สิงหาคม 2551 เวลา:15:55:23 น.  

 
You knew, i alway 555


โดย: ~Ging-ga-Deng~ IP: 58.8.175.118 วันที่: 9 ธันวาคม 2551 เวลา:12:30:13 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Mr.Chanpanakrit
Location :
สงขลา Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 28 คน [?]




Friends' blogs
[Add Mr.Chanpanakrit's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.