A ........ Z
Group Blog
 
All blogs
 
การตลาดแบบเนียนๆ



"เชิน-เหลย-คับ เลียน-พา-สา-อัง-กิด-ฟรี"

เป็นประโยคเชิญชวน ของเยาวชนต่างชาติ
ที่มายืมแจกโบชัวร์ตรงหน้าสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน
ที่ถอดรหัสภาษาแล้ว ถือว่าสำเหนียงเข้าขั้นถือว่าใช้ได้
แม้ประโยคที่ชัดเจน สะกดได้เด่นชัดที่สุด
จะไปหนักตรงคำว่า "ฟรี"
เนือ่งด้วยฟรี เข้าข่ายทำอะไรไปก็คุ้ม
วงเล็บ ถ้าไม่ใช่เราเป็นฝ่ายกระทำ


แน่นอน ..............ไม่ใช่แค่ผมเท่านั้น
ที่ยอมรับใบโฆษณาอย่างเต็มใจ
เพราะใครอีกหลายคน ต่างก็รู้สึกอยากตอบรับ
ซึ่งส่วนสำคัญ................เพราะเขาเป็นคน "ฝรั่ง"
อาจไม่ขั้นแก้แค้น ให้กับคนรุ่นปู่รุ่นทวด
ที่ฝรั่งเคยเอาเรือรบไปปิดปากอ่าว เป็นการเอาคืนชาติอาณานิคม
แถมยังใส่สูท ผูกไทสไตล์ไอ้หนุ่มวอลสตรีท
ที่ถัดฟุตบาท ไปสักสิบช่วงไม้ร้อยมาลัยก็เข้าวินมอเตอร์ไดซ์
แต่ทิ้งระยะละสายตา ไอ้พวกฝรั่งตาน้ำขาวแจกโบชัวร์
ผมก็ต้องผะหงะกับความ "เนี้ยน" ของชาวต่างชาติ
เพราะ "ฟรี" ที่ว่า
มันก็เกิดปิ๊งสงสัยตั้งแต่ก่อนที่จะมีโบชัวร์ไว้ในการครอบครอง
เพราะอย่างที่รู้ เรียนภาษา ถือเป็นการอัพเกรดไดรฟเวอร์สมอง
ยิ่งภาษาอังกฤษแล้ว ยิ่งต้องเพิ่มความอินเตอร์ไฮโซมากอีกระดับ
ไม่งั้น ละครตลกคงไม่กระแนะกระแหน่พวกลูกครึ่งพื้นบ้าน
ที่ "พูดไทยคำ-อังกฤษคำ" จนระคั่นจะกลายเป็นคนเซ็นต์สักถีบ(สองถีบ)
เหตุที่บอกว่า "เนียน" เพราะมีบ่งบอกสถาบันตัวเล็กจิ๋วมุมหลืบ
ว่าเป็นส่วนของหน่วยคริสตจักรแห่งหนึ่งที่เยื้องไปไม่ไกลหนัก
แต่ใช้หัวหลักปักใหญ่ในใบแจก ว่า

"มาร่วมเรียนอักฤษฟรีกัน ด้วยครูผู้สอนต่างชาติ"!!!



ถ้าถามว่า สิ่งที่กลุ่มฝรั่งเหล่านั้นทำจัดขึ้นแล้ว
"ผิดไหม"
โดยสามัญสำนึกส่วนตัว ย่อมรู้สึกว่าไม่ผิดหรอก
เพราะการตลาดบ้านเราเสียด้วยซ้ำ ที่เล่นเลยเทิดได้แรง
ตามยุทธวิธี "เราต้องพูดความจริง" เพียงแต่ "จริงได้ไม่หมด"
ซึ่งสูตรกระบวนการนี้ มีช่วงรุ่งเรืองแบบสุดๆ
ในยุทธ "โปรโมชั่นมือถือครองเมือง" และ "ตลาดหุ้นฟู่เฟือ่ง"
เพราะทั้งสองยุทธการตลาดนี้ ล้วนแล้วแต่
มีสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ที่ปกป้องเหมือนกัน คือ "ดอกจัน"
และที่สำคัญที่จะเพิ่มความศักดิ์สิทธิ์เพิ่มขั้น
คือ ดอกจัน ต้องดอกใหญ่กว่าคำแนะนำหรือเงื่อนไข
ใช่แล้ว ฝรั่งสองคนนั้น จึงชักชวนตามหัวข้อที่แจกไว้ของโบชัวร์
ส่วนนัยยะ และเป้าหมายขององค์กรที่สนับสนุนนั้น
เป็นอีกเรือ่งหนึ่ง ที่คนไทยอยากจะเรียนเพราะมันฟรี
หรือความหน้าตาของฝรั่งของคนนี้ที่ชี้ชวน
อันนั้น ...........ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
แต่นั่น ไม่ได้กล่าวถึงเป้าประสงค์หลักในฐานะองค์กรสนับสนุน
ที่จะอดเคลือบแคลงไม่ได้ ยิ่งมาเจอะใบสอดแทรกว่าจะแจกพระคัมภีร์ให้
ยิ่งเป็นคำเคลือนแคลงที่สอดไส้คลาเมนแน่นเป็นสองชั้น



กระแส "การตลาดแบบเนียนๆ" จะกลายเป็นยุทธวิธีกระแสหลัก
สำหรับคนรุ่นต่อไป ที่คระหนักใน
"สิทธิความเป็นส่วนตัว" และ "กฎบัตรมนุษยชน"
ไอ้อย่างแรก ยังพอเข้าใจได้ แต่อย่างหลังฟังดูเท่ห์
ทว่าได้อ้างทางการเมืองแล้ว มันชวนให้ศักดิ์สิทธิ์
ผมเคยได้ฟังคุณดนัย จันท์เจ้าฉาย ซีอีโอบีเอ็มจีพับฯ
สัมภาษณ์ในรายการชีพจรโลก ถึงสูตรที่จะมีอนาคตในการทำการตลาด
ในโลกของทวิตเตอร์และเฟซบุค คุณดนัยกล่าวสะท้อนความจริงบางอย่างว่า
"หากจะทำการตลาดในโลกโซเชียลเน็ตเวริค ให้มันเวริค
การขายตรงๆ ถือเป็นการละเมิดสิทธิของเจ้าของบ้าน ซึ่งไม่เป็นสิ่งดีนัก
(เจ้าของบ้าน อาจปราณีตโดยแจ้งว่าท่านเป็นพวกสแปม
แต่ถ้าร้ายกว่านั่น นั้นคือ คิก(บล็อก)ท่านออก) แต่ถ้า
ทำให้เขารู้สึกว่า เราเป็นเพื่อนหรือบอกต่อจากเพื่อนสู่เพื่อน
หรือที่ทางการตลาดว่า Viral Maketing อย่างนั้นจะให้ผลที่ดีกว่า"
สรุปง่ายๆ เป็นการตลาด ที่มาขายโดยผู้ซื้อไม่รู้สึกว่ากำลังถูกให้ซื้อ
จึงเป็นความเนียนบนฐานของการช้อปปิ้ง
มีแต่ความรู้สึก "อยากจะได้" ส่วนขั้นตอนการจะ "ได้"
ก็ต้องผ่านวิธีการ"ซื้อ" โดยที่ผู้ขายทำหน้าที่เพียงการประชาสัมพันธ์
และเลือกกลุ่มของการเข้าถึง ตามแต่ละกลุ่มลูกค้าที่เป็นเป้าหมาย
อย่างลืมว่า 500 ล้านคนในเฟซบุค ที่แม้แต่ซีอีโอของเว็บยังบ่นตามใบปิดหนังว่า
เขาไม่มีเพื่อนสักราย แต่ความหมายของนักการตลาดแล้ว
มันคือ "โอกาส"
และอย่าลืมว่า ถ้าให้นับไล่เรียงลำดับประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก
หนึ่ง คือ จีน สอง คือ สหรัฐ สาม คือ อินเดีย
เฟซบุค ก็เป็นประเทศจำลองที่มีประชากร เป็น "อันดับสี่" นับจากนั้น
ดังนั้น ใครที่เล่นเฟซบุค ก็เป็น "อภิสิทธิ์ตัวแทน" ที่ไม่ต้องมีวิซ่าเข้าประเทศ!!



แต่ความเนียน ใช่ว่าจะไม่มีอุปสรรค
เพราะโอกาสจะเนียนได้ มิใช่ด้วยมอยส์เจอไลเซอร์
ไม่ด้วยการประทินผิวแบบเบบี้เฟซ หรือกระบวนการโฟโต้ช้อปส์เบลอภาพ
เพราะกระบวนเนียน ต้องทำให้ความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งเกิดขึ้นอยู่ในใจ
เหมือนกับเพือนผู้เขียนท่านหนึ่งที่บอกว่า
"เป็นแฟนไม่ได้ ก็ขอเป็นเพื่อนเอาไว้ก่อนก็แล้วกัน"
ประมาณว่า ขอให้ลิงค์กันติดไว้ก่อน อนาคตข้างหน้า คอ่ยว่ากัน
จึงหนีไม่พ้น "เงือ่นเวลา" ที่จำต้องใช้มากกว่าปกติ
ซึ่งคงหายสงสัยว่า หน่วยขายประกันชีวิตส่วนใหญ่
ผู้สัมภาษณ์มักเลือก คนที่มีประวัติในเชิง"ครอบครัวขยาย" เป็นหลัก
มากกว่า "ครอบครัวเดีย่ว" เพราะมีโอกาสประกันได้ถึงหลานของพี่ของน้อง
และปัญหาในเรือ่งของประเด็น ก็มีผลตอ่ความรู้สึกโดยภาพรวมของผู้บริโภค
อย่างไรเสียผู้บริโภค ที่จะเลือกสินค้าตัวใดตัวหนึ่งแบบควักสตงสตางค์
นั่นหมายความว่า สินค้าตัวนั้นจะต้องส่งผลเร้าเชิงบวกต่อความรู้สึกทีดี
แม้แต่ "เหล้าหรือบุหรี่" ที่รู้ทั่วบ้านทั่วเมืองว่ามันไม่ดี
แต่กรณีเหล่านี้ ย่อมหนีไม่พ้น "ความรู้สึกของผู้บริโภค" เป็นใหญ่
อยู่เหนือในเงือ่นไขและตรรกะทางสังคม ยิ่งทำให้รู้สึกผู้บริโภคแลดูไม่ฉลาด
หรือเป็นการถูกเอาเปรียบหักหลัง นอกจากจะสร้างทัศนคติเชิงลบแล้ว
ยังอาจเป็นสิ่งเลวร้าย จากปากหนึ่ง ไปสู่อีกปากหนึ่ง
แล้วประทานโทษ ธรรมชาติของปากเดียว ยอ่มไม่สิ้นสุดเพียงแค่อีกปาก
แต่ถ้าเป็นฉากเลิฟซีน อันนี้เข้าข่ายที่ลับตาซึ่งพอควรอนุโลมได้บ้าง




หรือการสื่อสารเหลียบๆเคียงๆ ในเชิงรบ กว่าจะบุกตีศึกถึงยังพระนคร
ความไม่ชัดเจนในการสือ่สาร อันเป็นผลให้การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย
มีการคาดเคลือ่นและได้ในกลุ่มที่ไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ที่วางไว้
ไม่อยากยกกรณี สส.กรุงเทพท่านหนึ่ง ที่ไปสำรวจตะเข็บพื้นที่ชายแดน
ซึ่งถ้ามีความชัดเจนในหลักเขตแดนชัด และมีหน่วยพิทักษ์ไปเป็นโขยง
เพราะเชื่อได้ว่าเป็นฝั่งไทย สิ่งที่หลงเหลือกลับมาในประเทศ
คงไม่เหลือไว้เพียงแค่ "หนึ่งทวิตเตอร์กับบางคลิปในยูทูบ"
ซึ่งจุดฉลาดโดยส่วนใหญ่ การตลาดแบบเนียนๆมักถูกนำไปเป็น"ทางเลือก"
ให้กับผู้บริโภค ไม่ถึงกับสุ่มหาคู่แบบดูตัว แต่ตอบสนองคุณสมบัติของสินค้า
เข้ากับรสนิยมของกลุ่มเป้าหมาย ยิ่งเฟซบุคยิ่งต้องบอกว่าง่าย
เพราะตลาดสามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้
แม้ไม่ทุกคน แต่ถ้าสักครึ่งหนึ่งก็ประมาณ 250 ล้านผู้ใช้
ต่อให้ซอยยิกซอยน้อยอย่างไร ในแง่ของการงบประชาสัมพันธ์
เมือ่ไปเทียบกับสือ่ประชาสัมพันธ์ในช่องทางอื่นๆ
ก็หลีกหนีมองไม่ได้ว่าคุ้มสุดคุ้ม




การตลาดแบบเนียนๆ จึงเป็นศาสตร์ที่ต้องประกอบไปด้วย
"ศิลปะ" และ "ยุทธวิธี"
ซึ่งทั้งสองกระบวนการ ย่อมไม่ถึงปฏิบัติในแง่ตายตัว
สามารถปรับเปลี่ยนไปตามกระแสความต้องการของตลาด
ยิ่งผู้บริโภค มีโอกาสรับข้อมูลข่าวสารได้อย่างถาโถม
และติดตามเทรนด์ใหม่ๆเฉพาะกลุ่ม นักการตลาดยิ่งต้องศึกษาตัวแปร
และประยุกต์ใช้ให้เข้ากับตัวสินค้าในจุดที่เหมาะสม
ไม่ใช่เอาตีนตบไปขายกับคนเสื้อเหลือง หรือเอาหนังสือลับ ลวง พรางไปขายผบ.ทบ.













Create Date : 04 มกราคม 2554
Last Update : 4 มกราคม 2554 21:26:59 น. 1 comments
Counter : 777 Pageviews.

 
ยาวจังเลยนะครับ

ขอบคุณครับ

แต่ได้ความรู้ดี


พิมพ์เองเลยหรือครับ

ตัวอกษรโตกว่านี้ จะทำให้อ่านง่ายกว่านี้ครับ


โดย: ethic&philosophy วันที่: 13 มกราคม 2554 เวลา:0:57:26 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Mr.Chanpanakrit
Location :
สงขลา Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 28 คน [?]




Friends' blogs
[Add Mr.Chanpanakrit's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.